เที่ยวสิงค์โปร 2565 ถ่ายรูปสวยๆที่ไหนดี จุดเช็คอินล่าสุด

สิงค์โปรเป็นจุดหมายปลายทางที่คนไทยนิยมเดินทางไป เที่ยวต่างประเทศ เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวสวยงามมากมาย ตะลุยแหล่งชิมแหล่งช้อป เที่ยวสนุกสไตล์ตอบโจทย์ครบถ้วนทุกความพึงพอใจ แม้จะเป็นประเทศบนเกาะเล็กๆ แต่อุดมด้วยธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมที่หลอมรวมกับความทันสมัยได้อย่างลงตัว ถ้าถามนักท่องเที่ยวมือใหม่ถึงประสบการณ์เที่ยวสิงคโปร์ เชื่อว่าหลายคนไม่ทราบว่ามีจุดเช็คอินทีเด็ดแอบซ่อนไว้มากมายอย่างเหลือเชื่อ หากมีโอกาสไปเยือนสักครั้งคุณจะพบมุมมองใหม่ๆ แตกต่างจากที่เคยคิด

 
https://www.tiktok.com/@airportels/video/7153520979732401435?is_copy_url=1&is_from_webapp=v1
 

จุดเช็คอิน น่าสนใจที่เลือกมาแนะนำ 9 แห่ง มีดังนี้

1. Library @ Orchard 

ไปสิงคโปร์ไปเที่ยมชมห้องสมุดกัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าห้องสมุดกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่ชิลมาก ด้วยไอเดียการจัดผังห้องสมุดอย่างเก๋ไก๋ มีมุมนั่งอ่านกระจายไปทั่ว บรรยากาศเงียบสงบมองออกไปชมวิวสวนสาธารณะ เปิดให้ชาวสิงคโปร์เข้าไปใช้บริการฟรี ทุกรายการที่ค้นหา ยืม หรือคืนหนังสือเป็นระบบดิจิตอลทั้งหมด ห้องสมุดแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 สถานที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง บริเวณชั้น 3 และ ชั้น 4 ในห้างสรรพสินค้า Orchard Gateway Shopping ซึ่งปกติเป็นย่านช้อปปิ้งชื่อดัง หลังจากปิดปรับปรุงช่วงปี พ.ศ. 2550 แล้วกลับมาเปิดใหม่ได้อัปเกรดเป็นห้องสมุดแนวบูติคสุดล้ำแตกต่างจากห้องสมุดธรรมดา กลายเป็นไวรอลที่นักท่องเที่ยวปักหมุดไว้ต้องไม่พลาดมาเยือนพร้อมถ่ายรูปสวยๆ กลับไป พื้นที่ข้างในไม่ใหญ่มากแต่ข้างในมีมุมสวยๆ หลายมุม อยากถ่ายรูปก็สามารถทำได้ หากไม่อยากถ่ายรูปที่ติดคนเยอะ ควรแวะเข้าไปช่วงเช้าที่ยังไม่ค่อยมีคน 

เวลาทำการ : เปิดทุกวัน 11.00–21.00 น.
การเดินทาง : ลงสถานี MRT Somerset เดินมาที่ Orchard Gateway ชั้น 3

 
 

2. Potato Head Singapore

ร้านอาหารและรูฟท็อปบาร์บรรยากาศสบายๆ ชื่อ Potato Head เป็นอาคารเก่าแก่ตั้งอยู่ในย่านไชน่าทาวน์ของสิงคโปร์ ลักษณะเป็นตึกสีครีมขอบแดง 3 ชั้น ชั้นล่างสุดเป็นร้านเบอร์เกอร์ ถัดไปอีกชั้นก็เป็นที่นั่งเหมือนกัน และรูฟท็อปค็อกเทลบาร์บนดาดฟ้าที่ควรจองที่นั่งล่วงหน้าในวันหยุดสุดสัปดาห์ การตกแต่งร้านสไตล์คลาสสิกย้อนยุคแต่งโคมไฟระย้าให้แสงนวลอบอุ่นและกระเบื้องพื้นลายตารางหมากรุก พนักงานเป็นกันเองและบริการทันสมัยสแกน QR code บนโต๊ะดูเมนูออนไลน์สั่งค็อกเทลสไตล์ทรอปิคอลที่มีส่วนผสมของน้ำผลไม้รสเปรี้ยวอย่างมะนาว สับปะรด และเสาวรส  เนื่องจากตัวอาการตั้งเด่นอยู่กลางสามแยกบนถนน Keong Saik จึงถือเป็นแลนด์มาร์ค สถานที่ถ่ายรูปที่ไม่ว่าใครมาเที่ยวเป็นต้องถ่ายเก็บช็อตตึกนี้ลงโซเชียลกันแทบทุกคน 

เวลาทำการ : วันจันทร์ถึงพฤหัสบดีเปิด 17.00-24.00 น. วันศุกร์ถึงอาทิตย์เปิด 16.00-24.00 น.
การเดินทาง : ลงที่สถานี China Town ประตู C เดินประมาณ 10 นาทีถึง

 
 

3.Buddha Tooth Relic Temple

วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว หรือเรียกว่าวัดเขี้ยวแก้ว เป็นวัดสำคัญของชาวสิงคโปร์อยู่ใกล้ย่านไชน่าทาวน์ เป็นสถานที่ประดิษฐานของพระทันตธาตุ หรือฟันของพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ ใครไปเที่ยวชมวัดต้องแต่งกายเรียบร้อย หลีกเลี่ยงสายเดี่ยว เสื้อแขนกุด กางเกงขาสั้น แต่ทางวัดแจกผ้าถุงให้ยืมฟรีเพื่อนักท่องเที่ยวไปแล้วก็ไม่อยากให้เสียเที่ยว ลักษณะอาคารสถาปัตยกรรมเป็นวัดพุทธของจีนในสมัยราชวงศ์ถังผสมผสานกับศิลปะมันดาลา สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2550 ด้วยเงินทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ตัวอาคารมีทั้งหมด 9 ชั้น ชั้น 1 เป็นที่ประดิษฐานของพระประทานพร ชั้น 2 และ 3 เป็นส่วนพิพิธภัณฑ์จัดแสดงพระพุทธรูปและสิ่งล้ำค่าต่างๆ ห้องสมุด และร้านขายของฝากของที่ระลึก บริเวณชั้น 4 เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในสถูปใหญ่ และระฆังยักษ์ ชาวพุทธบางคนมานั่งสมาธิ สวดมนต์ บ้างก็เดินเวียนเทียนรอบๆ ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล คนไทยสายบุญไปเที่ยวสิงคโปร์ต้องไปกราบขอพรกันให้ได้ ชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้ามีสวนหย่อมเล็กๆ ให้พักผ่อนหลังจากเดินเที่ยวชมทั้งอาคารใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

เวลาทำการ : ทุกวันเวลา 9:00 – 18:00 น.
การเดินทาง : สถานี Chinatown ทางออก A

 
 

4. Fort Canning Park Tree Tunnel

จุดถ่ายรูปยอดฮิตอีกแห่งของเหล่าฮิปสเตอร์ บริเวณอุโมงค์ต้นไม้สีเขียวใจกลางเมืองที่สวนสาธารณะฟอร์ทแคนนิง (Fort Canning Park) ซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของสิงคโปร์ การเดินทางไปสวนสาธารณะไม่ไกลจากตึก Park Mall ที่สถานีรถไฟฟ้า Dhoby Ghaut MRT Station โดยจุดเช็คอินนี้มีนักท่องเที่ยวมาเช็คอินถ่ายรูปกันเต็มไปหมด ถือเป็นแหล่งถ่ายรูปพรีเวดดิ้งที่ได้รับความนิยมด้วย คนถ่ายรูปต้องอยู่ด้านล่างแล้วถ่ายมุมเสยขึ้นไปเพื่อเก็บภาพอุโมงค์และต้นไม้ด้านบน หรือจะถ่ายบันไดวนจากด้านบนลงมาด้านล่างก็ได้มุมแปลกตาอีกแบบ แนะนำให้ไปตอนเช้าไม่ค่อยมีคนจึงจะลองหามุมถ่ายสวยได้หลายแบบโดยไม่มีคนอื่นมายืนให้เกะกะ บริเวณใกล้เคียงมีอุทยานและพิพิธภัณฑ์ชื่อดังของสิงคโปร์ ถ้าได้ไปแล้วอย่าให้เสียเที่ยว แวะไปถ่ายรูปอุโมงค์ต้นไม้สักแป๊บก็แล้วกัน

อุโมงค์ต้นไม้ Fort Canning Park
การเดินทาง : MRT มาลงสถานี Dhoby Ghaut ออก Exit B

 
 

5. Garden by the bay

สวนพฤกษศาสตร์ใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ เป็นโครงการสร้างสร้างปอดใจกลางเมืองโดยการถมดินบนทะเลริมอ่าวมารีน่าเป็นพื้นดินปลูกต้นไม้นานาชนิด แบ่งเป็นโซนเรือนต้นไม้ และโซนป่าและน้ำตกจำลอง มีทางเดินลอยฟ้ามองออกไปเห็นทัศนียภาพของสวนแนวตั้งและวิวอ่าวรอบๆ โซนสวนแนวตั้งเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ทำเป็นรูปต้นไม้ยักษณ์เรียกว่า Supertrees จำนวน 18 ต้น มีความสูงหลากหลายตั้งแต่ 25-50 เมตร เพื่อใช้ปลูกพืชเมืองร้อนเป็นไม้ดอกไม้ประดับและเฟิร์นให้ความร่มรื่นเขียวขจีในตอนกลางวัน ด้านบนติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อให้พลังงานหลอดไฟส่องสว่างหลากสีสันในตอนกลางคืน ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ออกแบบเป็นพิเศษให้ความสดชื่นเย็นฉ่ำสมกับเป็นปอดใจกลางเมืองที่เปิดให้เข้าชมฟรีตลอดวัน และมีการแสดงแสดง สี เสียง ทุกค่ำคืนเป็นเวลา 1 ชั่วโมงด้วย

อย่าลืมลงมาดูโชว์แสง สี เสียง ที่ Garden Rhapsody นักท่องเที่ยวเค้ามาจองที่นั่งและนอนรอดูกัน วันมี 2 รอบ ระหว่าง 19:45 น. และ 20:45 น. ห้ามพลาดนะ
การเดินทาง : ให้นั่ง MRT มาลงสถานี Bayfront ทางออก B 

 
 

6. Capsule Pod Boutique Hostel

ที่พักแบบแคปซูลเป็น พิกัดถ่ายรูป2565ที่หลายคนอยากไปชมดูสักครั้งว่าบรรยากาศเป็นอย่างไร เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็กเกอร์ที่ต้องการเพียงห้องพักส่วนตัวเล็กๆ ใกล้แห่งช้อปปิ้งย่านถนน Haji Lane และถนน Arab Street มีห้องนอนพร้อมบุฟเฟต์อาหารเช้าทุกวันมีให้เลือกเป็นเซ็ท ลูกค้าใช้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย Wi-Fi ฟรี ส่วนห้องน้ำเป็นห้องรวมมีครบทั้งห้องอาบน้ำ สุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้าในห้องเดียว พร้อมผ้าเช็ดตัวและเครื่องใช้ในห้องน้ำให้ฟรี ในห้องพื้นที่กะทัดรัด เตียงและผ้านวม พร้อมช่องเก็บของ ช่องเสียบปลั๊กไฟ ไฟอ่านหนังสือ และราวแขวนผ้า ถ้าเป็นห้องแบบบิสซิเนสพ็อดจะมีบริการแล็ปท็อปให้ใช้งานฟรี พร้อมเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้าแห้ง สำหรับซักรีดแบบบริการตัวเอง ราคาค่าห้องถือว่าไม่แพงมาก ใครอยากสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ลองพักโรงแรมแนวแคปซูลที่นี่สักคืนก็ไม่เสียหายอะไร

การเดินทาง : สถานี Chinatown

 
 

7. Capita Spring

พูดถึง จุดเช็คอินถ่ายรูปชมวิวโด่งดังที่สุดในสิงคโปร์ คงหนีไม่พ้นเมอร์ไลออน รูปปั้นกึ่งสิงโตกึ่งปลา ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสิงคโปร์บริเวณ Merlion Park ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ซึ่งเราเคยผ่านตากันมาแล้ว แต่นักท่องเที่ยวมือใหม่อาจไม่ทราบว่าใกล้ๆ กันมีจุดชมวิวน่าสนใจอีกแห่ง คือสวนลอยฟ้า (Sky Garden) อยู่ชั้น 51 ของตึก  Capita Spring ซึ่งเป็นอาคารที่ตั้งออฟฟิศ ที่พักอาศัย และร้านอาหารของบริษัท CapitaLand Development สำหรับสวนลอยฟ้าเป็นโซนที่เปิดให้คนนอกเดินขึ้นไปชมวิวและถ่ายรูปได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย เปิดเฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ภายในเวลาทำการของออฟฟิศ โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลาคือ รอบเช้า 8:30 – 10:30 น. และรอบบ่าย 14:30 – 18:00 น. เมื่อขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกสูงแล้วมองออกไปจะเห็นท้องฟ้าสวยและวิวทะเลของอ่าวมารีน่าทั้งหมด ถือเป็นจุดชมวิวดีที่สุดแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ นอกจากวิวบนสวนลอยฟ้าชั้น 51 แล้ว  ยังมีโซน Green Oasis ระหว่างชั้น 17-20 ที่จัดแต่งเป็นสวนภายในตึกให้เดินเล่นรอบๆ จัดมุมนั่งชิลๆ ชมเมืองได้ 360 องศาเช่นกัน

เวลาเปิดปิด : Green Oasis วันจันทร์-ศุกร์ – ชั้น Level 17 : 7:30–22.30 น. / ชั้น Levels 18–20 : 7:30–18.00 น.
เวลาเปิดปิด : Sky Garden วันจันทร์-ศุกร์ – ชั้น Level 51 : 7:30–22.30 น.
การเดินทาง : อยู่ใกล้สถานี MRT Raffles Place เดิน 5 นาที

 
 

8.Marina One

จุดถ่ายรูปที่ไม่ควรพลาดในทริปเที่ยวสิงคโปร์คือสวนในตึกซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูสย่าน Marina Bay มีดีไซน์สถาปัตยกรรมล้ำเลิศมาก มองจากด้านนอกเห็นเป็นอาคารสี่เหลี่ยมขนานกับถนน แต่ออกแบบใจกลางอาคารเป็นสวนแนวดิ่งสร้างพื้นสีเขียวที่ร่มรื่น ทางเดินในสวนและแนวกันสาดเป็นเส้นคดโค้งรูปทรงอิสระ ไฮไลท์เป็นน้ำตกจำลองสูงถึง 13 เมตร ถ่ายรูปสวยๆ ได้หลายมุม ถือเป็นต้นแบบของงานภูมิสถาปัตยกรรมที่ผสานกับสถาปัตยกรรมอย่างกลมกลืน สร้างปอดใจกลางเมืองที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในย่านธุรกิจของสิงคโปร์ได้อย่างเหลือเชื่อ

เวลาทำการ : เปิดทุกวัน 24 ชม.
การเดินทาง :
ลงสถานี MRT Marina One เดิน 5 นาที

 
 

9. Ministry of Communications & Information

อาคารยอดฮิตที่ใครผ่านก็ต้องขอถ่ายรูปสักหน่อย แต่ใครจะไปคิดว่าที่นี่ คืออดีตอาคารกองบัญชาการตำรวจแห่ง สิงค์โปร แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นอาคารกระทรวงวัฒนธรรมชุมชนและเยาวชนเป็นที่เรียบร้อย ความโดดเด่นของตึกก็อยู่ที่สีสันของหน้าต่าง ที่ไล่สีทำให้ดูน่ารัก จำนวน 927 บานไล่โทนไปมาเป็นสีรุ้ง ตัวอาคารมีทั้งหมด 6 ชั้น ในทุกๆชั้นจะมีหน้าต่างเรียงรายในขนาดและรูปทรงเท่าๆกันจำนวน 927 บานด้วยกัน และทำเป็นโซนสีสันที่ตัดกันเป็นสีรุ้งซึ่งทำให้ตึกนี้กลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งหนึ่งในย่านคลาร์กคีย์(Clarke quay)ไปเลย หน้าต่างที่เป็นสีรุ้งสวยงาม ที่มีมากถึง 927 หน้าต่างเลยค่ะ

การเดินทาง : นั่งMRT มาลงสถานี Clarke Quay ออก Exit B

 
 

สิงค์โปรเป็นประเทศที่ใกล้บ้านเรา เดินทางง่าย  ใครอยากไปเที่ยวควรเช็คแพ็คเกจโปรแกรมทัวร์กันให้ดี มีแลนด์มาร์กที่น่าสนใจอีกมาก อย่างที่รู้กันว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีความหลากหลาย จุดปักหมุดโดดเด่นที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันตลอด เช่น มัสยิดสุลต่านสีทองที่สวยงามและมีอายุเกือบ 200 ปี ตั้งอยู่ในย่าน Bugis เป็นชุมชนของหลายเชื้อชาติ ทั้งมุสลิม อินเดีย และมลายู ถัดจากมัสยินสุลต่านเดินไปตาม Arab street เข้าสู่ย่าน Haji lane ซึ่งเป็นแหล่งรวมสตรีทอาร์ตและ Grafity ที่เหมาะกับการถ่ายรูปสุดคิ้วท์อวดในโซเชียล อ่านมาถึงตรงนี้คงมองเห็นภาพแล้วสิงคโปร์เป็นจุดหมายปลายทาง เที่ยวต่างประเทศที่ไปเยือนครั้งเดียวไม่เคยพอจริงๆ 

 

ที่มาข้อมูล :

รวมสถานที่ทำพาสปอร์ตในกรุงเทพฯ อัปเดต 2565 เตรียมตัวบิน!!

 

ได้เวลาโบยบินอีกครั้ง อยู่กรุงเทพฯ นานคงเริ่มคิดถึงที่เที่ยวสวย ๆ กันแล้ว ตอนนี้หลายคนวางแผนจัดทริปฉลองโควิดขาลง สำหรับใครที่กำลังเล็งเป้าหมายไป เที่ยวต่างประเทศ สิ่งแรกที่ต้องพร้อม ไม่มีไม่ได้ นี่เลย พาสปอร์ต ใครที่เคยทำพาสปอร์ตไว้ รีบหยิบมาเช็คด่วน ๆ ต้องต่อหรือยัง ส่วนใครที่ยังไม่เคยทำ เตรียมตัวได้แล้ว ถึงเวลาบินจะได้ไม่ฉุกละหุก

ว่าแต่ คนกรุงเทพฯ ต้องไปทำพาสปอร์ตที่ไหน ใกล้บ้านเรามีที่ทำบ้างหรือยัง เรามาอัพเดท สถานที่ทำพาสปอร์ต ในกรุงเทพฯกันที่เลย

 

บริการทำพาสปอร์ตที่เปิดทุกวันไม่เว้นเสาร์-อาทิตย์ (เริ่ม 1 ตุลาคม 2565)

  • สำนักงานหนังสือเดินทางปทุมวัน MBK Center ชั้น 5โซน A  

เปิด 10.00 – 18.00 น. โทร 02-126-7612

  • สำนักงานหนังสือเดินทางบางใหญ่ Central Westgate ชั้น G โซนสีเขียว                          

เปิด 10.00 – 18.00 น.

สองแห่งนี้ เปิดให้จองคิวออนไลน์ล่วงหน้าที่ MBK รับวันละ 1,500 คิว ส่วน Central Westgate รับวันละ 800 คิว เปิดบริการทุกวันยกเว้นวันหยุดราชการและวันเสาร์-อาทิตย์ที่เป็น Long Weekend เหมาะกับผู้ที่ต้องทำงานในวันธรรมดาและไม่มีเวลา 

 

บริการทำพาสปอร์ตที่เปิดวันจันทร์ – วันศุกร์

  • กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ ถ.แจ้งวัฒนะ                              

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทร 02-203-5000 กด 1 

  • สำนักงานหนังสือเดินทาง ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถนนแจ้งวัฒนะ ชั้น 7 อาคาร B ฝั่งตะวันออก          

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทร 02-143-7680

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว บางนา – ศรีนครินทร์ ที่ศูนย์การค้าธัญญาพาร์ค ชั้น 1 โซน C       

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทรศัพท์ 02-136-3800, 02-136-3802, 093-010-5246

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว สายใต้ใหม่ – ตลิ่งชัน อยู่ที่อาคาร SC Plaza สายใต้ใหม่ ถนนบรมราชชนนี 

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทรศัพท์ 02-422-3431

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว มีนบุรี ที่ Big C สุวินทวงศ์ 

เปิด 8.30 – 16.30 น.  โทรศัพท์ 02-024-8362-64

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว สถานีรถไฟฟ้า MRT คลองเตย ถนนพระราม 4         

เปิด 8.30 – 16.30 น.  โทรศัพท์ 02-024-889, 093-010-5247

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ธัญบุรี ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ชั้น 3     

 เปิด 10.00 – 18.00 น. โทรศัพท์ 02-150-9002

 
 

รวมทั้งหมด 9 แห่งสำหรับ สถานที่ทำพาสปอร์ต ในกรุงเทพฯ เลือกสถานที่ใกล้บ้าน หรือที่สะดวกกันได้ตามนี้ สามารถโทรถามรายละเอียดกันอีกครั้งตามเบอร์ที่ให้ไว้หรือโทร Call Center กงสุล 02-572-8442

สำหรับใครที่จำเป็นต้องทำพาสปอร์ตแบบด่วนพิเศษ สามารถทำได้ทุกแห่ง แต่เขาเปิดให้ทำพาสปอร์ตด่วนถึง 11.00 น.เท่านั้น การจะทำพาสปอร์ตให้รวดเร็ว ทางกรมการกงสุลได้เปิดให้มีระบบจองคิวออนไลน์ล่วงหน้าที่ เว็บไซต์ www.qpassport.in.th  

 

ขั้นตอนการลงทะเบียน

  1. เข้าไปที่หน้าลงทะเบียนสมัครสมาชิก
  2. กรอกข้อมูลส่วนบุคคลให้ครบ จะได้รับลิงก์ยืนยันทางอีเมล์
  3. เข้าอีเมล์ไปกดลิงค์ยืนยัน
  4. กลับเข้าเว็บไซต์อีกครั้ง กรอกอีเมล์และใส่รหัสยืนยันตัวตน
  5. เริ่มใช้งานได้ เลือกจองคิวสถานที่ที่สะดวกที่สุด
 
 

ถ้าไม่ได้จองคิวในเว็บไซต์ จะ Walk-in เข้าไปเลยได้ไหม

สามารถ Walk-in ไปรับบัตรคิวที่สำนักงานแต่ละแห่งได้ตามปกติ สำหรับสำนักงานบริการที่ MBK และ Central Westgate จะมีเครื่อง Kiosk ติดตั้งไว้ทำพาสปอร์ตอัตโนมัติด้วย เรามาดูกันว่า Kiosk นี้ทำอะไรได้บ้าง

 

ทำพาสปอร์ตด้วยเครื่องอัตโนมัติ (KIOSK)

วันที่ไปทำพาสปอร์ตอย่าลืมเตรียมบัตรประชาชนตัวจริงให้พร้อม และถ้าเป็นการต่ออายุ ก็ต้องนำพาสปอร์ตเล่มเดิมไปด้วย มีบางคนทำไว้นานแล้วไม่ได้ใช้เลยหาไม่เจอ แบบนี้ต้องมีใบแจ้งความไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ ยังมีเอกสารอื่นที่ต้องใช้สำหรับบางกรณี คือ

  • ถ้าเปลี่ยนชื่อ ต้องนำหลักฐานการเปลี่ยนแปลงชื่อ นามสกุล
  • สำหรับผู้ที่อายุไม่ถึง 20 ปี จะต้องมีบัตรประชาชนของคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครอง และถ้าอายุไม่ถึง 15 ปี ต้องนำสูติบัตรตัวจริงไปด้วย

ที่สำคัญ คือทำพาสปอร์ตแบบคีออสเลือกรูปไม่ได้แต่ถ่ายได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ใครไม่พอใจก็ถ่ายใหม่ได้เรื่อยๆ ถ่ายเสร็จก็โอนเงินผ่าน QR CODE ได้เลย สะดวกรวดเร็ว

 

ต่อไปเรามาเช็คค่าธรรมเนียมการทำพาสปอร์ตกันว่า แต่ละแบบมีค่าใช้จ่ายเท่าไร

ค่าธรรมเนียมทำพาสปอร์ตแบบธรรมดา

ประเภท 5 ปี ค่าธรรมเนียม 1,000 บาท และประเภท 10 ปี 1,500 บาท

ค่าธรรมเนียมทำพาสปอร์ตแบบด่วนพิเศษ 

ประเภท 5 ปี ค่าธรรมเนียม 3,000 บาท และประเภท 10 ปี 3,500 บาท

ทั้งสองแบบมีค่าจัดส่ง EMS 40 บาท 

ความจริงแล้ว การทำพาสปอร์ตแบบธรรมดาใช้เวลาไม่นาน พื้นที่จัดส่งในต่างจังหวัดจะได้รับเล่มภายในไม่เกิน 1 สัปดาห์ ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ แค่ 3 วันก็ได้รับแล้ว ยกเว้นว่าที่อยู่ไม่สมบูรณ์ หรือไม่มีผู้รับ และไปรษณีย์ตีกลับ ก็อาจจะต้องเสียเวลาไปรับเอง หรือติดต่อชำระค่าจัดส่งเพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งใหม่อีกครั้ง หากวางแผน ท่องเที่ยว ล่วงหน้าเป็นอย่างดีแล้ว อย่างไรก็ทัน ไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมแพงทำด่วนพิเศษ ยกเว้นว่าต้องเดินทางกะทันหันจริง ๆ 

 

ต้องการไปรับพาสปอร์ตเองต้องไปที่ไหน

สามารถเดินทางไปรับได้ที่กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ เปิดให้รับได้เฉพาะช่วงเวลา 14.30 – 16.30 น. โดยนำใบรับฉบับจริง พร้อมบัตรประชาชนไปแสดง ถ้าให้คนอื่นไปรับแทน เพิ่มเอกสารอีก 2 อย่างคือ ใบรับที่ระบุการมอบอำนาจ และบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ

ครบจบเรื่องการทำพาสปอร์ตไปแล้ว ใครที่มีประเทศในใจและกำลังวางแผนเดินทางอยู่ ขอให้ทุกอย่างราบรื่นและสนุกกับการ ท่องเที่ยว ครั้งใหม่แบบสุด ๆ ไปเลย

 
 

ที่มาข้อมูล:

เดินทางบ่อยต้องอ่าน! สิ่งของที่ควรห่อก่อนเดินทาง

ใครที่เดินทางบ่อย ๆ อาจจะเคยมีประสบการณ์ที่เลวร้ายแบบไม่อยากให้เจออีกเลยไม่ว่าจะเป็นการเดินทางทริปไหนก็ตาม นั่นก็คือ ความเสียหายของสัมภาระหรือกระเป๋าที่ใช้แพ็กสัมภาระในการเดินทางนั่นเอง ซึ่งใครที่เดินทางบ่อยอาจจะทราบอยู่แล้วว่า สิ่งไหนที่มีโอกาสหรือเสี่ยงที่จะเสียหาย แต่สำหรับนักเดินทางมือใหม่ วันนี้เราจะพาคุณมาเปิดคัมภีร์สำหรับนักเดินทางว่าในกระเป๋าสัมภาระของคุณมีสิ่งไหนที่เป็น สิ่งของที่ควรห่อ เป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการแตก หัก บุบ หรือเกิดความเสียหาย เพื่อให้การเดินทางของคุณนั้นราบรื่นและสนุกได้อย่างเต็มที่

1. กระเป๋าเดินทาง

สิ่งของที่ควรห่อ อย่างแรกเลยนั่นคือกระเป๋าสำหรับใส่สัมภาระนั่นเอง คุณลองนึกภาพกระเป๋าใบสวยที่คุณเลือกมากับมือ หมายมั่นปั้นฝันไว้ว่าจะใช้ให้ถึง 5 ปี 10 ปี แล้วเกิดเป็นรอยขีดข่วน หรือมีรอยบุบจากการกระแทกจนหมดสภาพ คุณจะทำใจรับได้ไหมกับเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าคุณทำใจไม่ได้ที่จะให้กระเป๋าของคุณเป็นรอย เสียหาย แตก บุบ แนะนำว่าให้ห่อก่อนการเดินทางดีที่สุด

สิ่งของที่ควรห่อ,อาหารกลิ่นฉุน

2. อาหารหรือของที่มีกลิ่นฉุน

คุณคงไม่อยากเปิดกระเป๋าออกมาแล้วพบว่าของที่อยู่ในกระเป๋ามีกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากของที่ตัวคุณเองเป็นคนใส่เข้าไป โดยที่ลืมนึกไปว่ามันมีกลิ่นที่ฉุนและรุนแรง ถ้าเป็นน้ำหอมคงไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นปลาเค็มหรืออาหารทะเลที่จะทำให้มีกลิ่นติดที่เสื้อผ้าแบบสลัดสะบัดอย่างไรก็ไม่มีทางหลุดออกไปได้ขึ้นมา รับรองว่าทริปนั้นคุณคงหมดความมั่นใจและหมดสนุกไปอย่างแน่นอน

สิ่งของที่ควรห่อ,ไดร์เป่าผม

3. ของที่อาจแตกได้ระหว่างเดินทาง

ของที่อาจจะแตกหรือมีรอย เช่น อุปกรณ์ในการออกกำลังกาย อุปกรณ์กีฬา หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จะช่วยอำนวยความสะดวกอย่าง ไดร์เป่าผม เครื่องหนีบผม ที่ถือเป็น สิ่งของที่ควรห่อ ที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป ถ้าคุณไม่อยากให้เครื่องไม้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ของคุณเสียหายระหว่างเดินทางล่ะก็ ห่อกันไว้ดีกว่า ถ้าไม่อยากเสียเงินซื้อใหม่

สิ่งของที่ควรห่อ,เครื่องสำอาง

4. เครื่องสำอาง

สิ่งที่สาว ๆ ทุกคนหวงแหนที่สุดนั่นก็คือเครื่องสำอาง เครื่องสำอางเป็น สิ่งของที่ควรห่อ อีกประเภทหนึ่ง เชื่อว่าคุณสาว ๆ ทุกคนคงเคยเจอเปิดกระเป๋าใส่เครื่องสำอางออกมาแล้วพบว่า แป้งในตลับแตก บลัชออนแตกหลุดออกมา หรือแม้แต่ตลับอายแชโดว์สีโปรดของคุณก็มีสิทธิ์โดนกระแทกได้ ดังนั้นควรห่อป้องกันไว้แต่ต้นจะดีกว่า หากแตกเสียหายไปแล้ว คุณอาจจะต้องเสียเงินซื้อเครื่องสำอางใหม่โดยใช่เหตุก็เป็นได้

สิ่งของที่ควรห่อ,ที่หนีบผม

5. ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นของเหลว

 ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นของเหลวนี้ หมายความรวมถึงของใช้ทุกชนิดที่อาจจะเกิดการรั่วไหลออกมาจากหลอดหรือขวดที่บรรจุ เช่น โลชั่น ครีมบำรุง แชมพู ครีมนวด เป็นต้น จนทำให้เสื้อผ้าของคุณเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ต้องมานั่งคอยแก้ปัญหา หรือต้องซักชุดใหม่ ถ้าไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ก็ห่อหรือแพ็กให้เรียบร้อยจะดีที่สุด

            สิ่งเหล่านี้เป็นเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สำคัญ หากคุณพลาดลืมห่อ อาจทำให้คุณหมดสนุกหรือต้องมานั่งเซ็งที่และมาคอยหาวิธีจัดการหรือแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอีก จนทำให้คุณหมดสนุกไปตลอดการเดินทางนั้นก็เป็นได้

แลกเงินที่ไหนได้เรทดี ? เรามีคำตอบ

จุดแลกเปลี่ยนเงิน

ก่อนที่เราจะเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศต่าง ๆ นั้น เราต้องแลกเปลี่ยนเงินตรา จากเงินบาทไทย เป็นสกุลเงินของประเทศนั้น ๆ โดยต้องเตรียม พาสปอร์ตหรือสำเนา สำหรับแลกเงินบาทเป็นเงินต่างประเทศ และเตรียมบัตรประชาชน สำหรับแลกเงินต่างประเทศเป็นเงินบาท วันนี้เรามี จุดแลกเปลี่ยนเงิน เรทดี ๆ และสะดวกมาฝากกัน ดังนี้

จุดรับแลกเงินที่ 1

Super Rich Thailand หรือ superrich สีเขียว บริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศ สำนักงานใหญ่ อยู่ที่ ซอยราชดำริ 1 ถนนราชดำริ ตรงข้ามเซ็นทรัลเวิลด์ มีสาขา 15 สาขา ในแหล่งท่องเที่ยวและห้างสรรพสินค้า เช่น เซ็นทรัล เวสต์เกต เซ็นทรัล พระราม 2 สยามพารากอน มีการรับซื้อและขายเงินถึง 38 สกุล โดยถ้าอยากได้เรทเดียวกับสำนักงานใหญ่ สามารถไปที่สาขาวิภาวดี 22 ได้

สามารถตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนแต่ละประเทศได้ที่ Superrichthailand วันเวลา เปิดทำการ: สำหรับสำนักงานใหญ่ จันทร์-ศุกร์ 9.00-18.00 วันเสาร์และวันหยุดราชการ 9.30-17.00 วันอาทิตย์ ปิดบริการ ติดต่อสอบถามได้ที่ 02-057-8888, 02-057-8899

จุดแลกเปลี่ยนเงิน

จุดรับแลกเงินที่ 2

Supper Rich Currency Exchange หรือ Supper rich สีส้ม สำนักงานใหญ่ในประเทศไทย อยู่ที่ ถนนราชดำริ 2 ตรงข้ามเซ็นทรัลเวิลด์ โดยมีสาขาภายในประเทศถึง 49 สาขา ในแหล่งท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า สถานี BTS สถานี MRT และต่างจังหวัด เช่น จังหวัดอุบลราชธานี ภูเก็ต หัวหิน นครราชสีมา และต่างประเทศ 2 สาขา ได้แก่ สปป.ลาว และประเทศอังกฤษ

สามารถตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนแต่ละประเทศได้ที่ Superrich1965 วันเวลา เปิดทำการ :สำหรับสำนักงานใหญ่ เปิดให้บริการทุกวัน 09.00-18.00 น.ติดต่อสอบถามได้ที่ 02-057-8888, 02-057-8899

โดย Supper rich ทั้งสีเขียวและสีส้ม มีบริการ จองเงินสกุลต่างประเทศออนไลน์ แลกเงินจาก QR Code และแลกเงินผ่านบัตรเครดิตได้ ถือว่าเป็น จุดแลกเปลี่ยนเงิน ที่ไม่ต้องถือเงินไปมาก ๆ อีกแล้ว​ จึงปลอดภัยขึ้นมาก

จุดรับแลกเงินที่ 3

Twelve Victory Exchange ร้านแลกเงินสีชมพูเข้ม สำนักงานใหญ่ อยู่ถนนประดิพัทธ์ ซอย ประดิพัทธ์ 21 มีสาขาในกรุงเทพ ถึง 29 สาขา และสาขาต่างจังหวัด ถึง 21 สาขา เช่น หัวหิน พัทยา ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี นครสวรรค์ แม่สาย แม่สอด ชัยนาท

สามารถตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนแต่ละประเทศได้ที่ Twelvevictory วันเวลา เปิดทำการ :สำหรับสำนักงานใหญ่ จันทร์-ศุกร์ 8.30-17.00 น. เสาร์ อาทิตย์ และหยุดนักขัตฤกษ์ 9.30—18.00 น. ติดต่อสอบถามได้ที่ 02-618-4663, 02-090-2231-2

จุดแลกเปลี่ยนเงิน

จุดรับแลกเงินที่ 4

Value Plus Exchange มีทั้งหมด 29 สาขา โดยที่มีถึง 4 สาขาที่ใกล้แนวรถไฟฟ้า ได้แก่ สาขาสยามพารากอน สาขาสนามบินสุวรรณภูมิ สาขาเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว สาขาธนิยะ​ ถนนสีลม และสาขาต่างจังหวัดทางภาคใต้ ทั้งสมุย กระบี่ และภูเก็ต

สามารถตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนแต่ละประเทศได้ที่ Valueplusexchange วันเวลา เปิดทำการ :สำหรับสาขาสยามพารากอน เปิดบริการทุกวัน 10:00-21:00 น. ติดต่อสอบถามได้ที่ 085-004-9999, 088-901-5665

เป็นอย่างไรกันบ้าง​ สำหรับ จุดแลกเปลี่ยนเงิน ทั้ง 4 จุดที่เรานำมาเสนอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น​ อัตราแลกเปลี่ยนที่สำนักงานใหญ่มักจะให้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าสาขา แต่ถ้าหากแลกเปลี่ยนเงินจำนวนไม่มาก แนะนำให้ใช้บริการจุดรับแลกเงินใกล้บ้าน จะทำให้สะดวก ช่วยประหยัดค่าเดินทางและค่าเสียเวลาไปได้มาก

ข้อดี – ข้อเสียของการ ห่อกระเป๋าเดินทาง

หากคุณกำลังมีแพลนจะเดินทางด้วยเครื่องบินในเร็ว ๆ นี้ หรือเป็นผู้ที่เดินทางโดยเครื่องบินอยู่บ่อยครั้ง​ แต่ยังไม่เคยใช้บริการ ห่อกระเป๋าเดินทาง วันนี้เราจะมาแนะนำทั้งข้อดีและข้อเสียของการห่อกระเป๋าเดินทางเพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจในการเดินทางครั้งหน้ากันเลย

ห่อกระเป๋าเดินทาง

การห่อกระเป๋าเดินทางหรือ wrap ส่วนมากจะใช้พลาสติกที่มีลักษณะคล้ายกับพลาสติกห่ออาหารมาพันรอบกระเป๋าเดินทางให้แน่นหนา หรือใช้เป็นวัสดุอื่น ๆ ที่พันด้วยเทปกาวอย่างแน่นหนาก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน หากคุณไม่สะดวกที่จะห่อกระเป๋าด้วยตัวเอง ทางสนามบินก็จะมีจุดห่อกระเป๋าไว้บริการ ค่าใช้จ่ายโดยมากจะคิดตามขนาดของกระเป๋า ข้อดีของการห่อกระเป๋าก่อนโหลดขึ้นเครื่องที่เห็นได้ชัดเจน และคงเดากันได้ไม่ยากเลยนั่นก็คือเพื่อป้องกันรอยขีดข่วนหรือป้องกันความเสียหายต่าง ๆ นั่นเอง หากกระเป๋าเดินทางของคุณเป็นวัสดุไฟเบอร์ก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้อง ห่อกระเป๋าเดินทาง เพราะวัสดุชนิดนี้จะค่อนข้างเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย ในการเคลื่อนย้ายจึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดรอยขีดข่วน การห่อจะช่วยถนอมกระเป๋าให้คงความสวยงามไว้ได้

ห่อกระเป๋าเดินทาง

ข้อดีข้อต่อมานั่นก็คือการช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกระเป๋าเดินทางของคุณ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าผ้า กระเป๋าเนื้อบาง กระเป๋าเดินทางที่ชำรุดล็อกกระเป๋าไม่ได้​เป็นต้น การ ห่อกระเป๋าเดินทาง จะทำให้คุณไม่ต้องกังวลว่าของด้านในจะเสียหาย ไม่ต้องคอยลุ้นว่ากระเป๋าจะเปิดจนของเล็ดลอดออกมาจากกระเป๋าได้หรือไม่

ห่อกระเป๋าเดินทาง

และข้อดีที่สำคัญอีกประการก็คือเพื่อป้องกันการถูกขโมยทรัพย์สิน หากเราห่อกระเป๋าเดินทางอย่างมิดชิด​ ก็จะช่วยลดโอกาสการถูกเปิดกระเป๋าเพื่อขโมยของ หรือการนำของผิดกฎหมายมาใส่ในกระเป๋าของเราได้ กระเป๋าที่เป็นซิปจะถูกเปิดได้ง่ายการห่อกระเป๋าจะช่วยให้กระเป๋ามิดชิด ไม่ตกเป็นเป้าของมิจฉาชีพ

นอกจากข้อดีที่ได้กล่าวไป​ มาต่อกันที่ข้อเสียของการห่อกระเป๋า แน่นอนว่าเมื่อเราห่อกระเป๋าก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หากคุณประเมินแล้วว่ากระเป๋าและทรัพย์สินข้างในไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง การห่อก็ไม่ได้จำเป็นมากนัก​ ก็ไม่ต้องห่อก็ได้

ข้อเสียอีกข้อหนึ่งก็คือ​ เมื่อคุณห่อกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เกิดอยากเปิดกระเป๋า หรือโดนขอตรวจกระเป๋า​ คราวนี้ก็จะเป็นงานใหญ่ที่เราจะต้องเอาส่วนที่ห่อออกก่อนนั่นเอง​ และหากคุณเลือกที่จะห่อกระเป๋าเอง เพราะไม่อยากจ่ายเงินค่าห่อกระเป๋าที่สนามบิน การห่อกระเป๋าจะเป็นการเพิ่มขั้นตอนในการเตรียมกระเป๋าอีกอย่างหนึ่ง

การห่อกระเป๋าเดินทางก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน​ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของคุณ หากพิจารณาว่าการ ห่อกระเป๋าเดินทาง จะเป็นผลดีกับกระเป๋ามากกว่า แม้จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม​ แต่กระเป๋าไม่เกิดความเสียหาย​ ก็คุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไป

เที่ยวต่างประเทศ ใช้ Internet Sim Card หรือ Pocket Wifi แบบไหนดี ?

ซิมท่องเที่ยว,pocket wifi

สมัยนี้การท่องเที่ยวในต่างประเทศอินเทอร์เน็ตคือปัจจัยอันดับต้น ๆ ที่นักท่องเที่ยวต้องมีติดตัวไว้ตลอด ไม่ใช่แค่การอัปโหลดโซเชี่ยลเพียงอย่างเดียวยังมีประโยชน์เรื่องการเดินทาง การค้นหาสถานที่ รวมถึงการแปลภาษาและอื่น ๆ อีกมากมาย นักท่องเที่ยวจำนวนมากจึงเกิดข้อสงสัยว่าเวลาจะเดินทางไปต่างประเทศควรเลือก ซิมท่องเที่ยว แบบ Internet Sim Card หรือจะเลือกเป็น Pocket Wifi ดี บทความนี้มีแนวทางการเปรียบเทียบดี ๆ มาเป็นข้อแนะนำได้ตัดสินใจ

ซิมท่องเที่ยว,pocket wifi

เลือกใช้ Internet Sim card

ลักษณะก็คือซิมมือถือที่ใช้งานกันเป็นปกตินี่เอง แต่ความต่างจากซิมทั่ว ๆ ไปที่เราใช้งานคือพวกนี้จะเป็น ซิมท่องเที่ยว หมายความว่าโปรโมชั่น การเปิดใช้งานต่าง ๆ จะใช้สำหรับต่างประเทศเท่านั้น โดยมือถือที่จะรับสัญญาณต้องมีระบบดาต้าโรมมิ่ง ระดับการใช้งานก็มีความจำกัดขึ้นอยู่กับว่าเลือกใช้บริการเจ้าไหน

สามารถเลือกใช้บริการได้จากค่ายมือถือที่คุณใช้งานอยู่ตอนนี้ก็ได้หรือจะเลือกซื้อเฉพาะที่เป็น ซิมท่องเที่ยว เอาไว้ท่องเที่ยวต่างประเทศก็ไม่มีปัญหา ในส่วนของราคาก็มีเป็นแพ็กเกจให้เลือกโดยถ้าเป็นแพ็กเกจมาตรฐานสำหรับการเดินทาง 5 วันขึ้นไปตกอยู่ราว ๆ 400 บาท แต่ทั้งนี้ก็อยู่ที่ปริมาณอินเทอร์เน็ตและประเทศเดินทางไปด้วยเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องใช้หลักฐานใด ๆ ในการซื้อ หาซื้อได้ตามช็อปมือถือหรือร้านมือถือได้เลย

ข้อดี – มีความสะดวกในการเลือกซื้อมาใช้งาน ราคาประหยัด สามารถใช้แบบส่วนตัวเหมาะกับคนที่เดินทางจำนวนน้อย ๆ ไม่มีคนแบ่งกันใช้งาน

ข้อเสีย – ความสุ่มเสี่ยงกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเดินทางไปยังประเทศนั้น ๆ เช่น ไม่รองรับสัญญาณ รวมถึงมีข้อจำกัดที่เยอะอย่างระยะสัญญาณที่ไม่ไกลกันมากนัก ต้องคอยปล่อยสัญญาณอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา มีการจำกัดปริมาณการใช้งานหากใช้หมดแล้วจะทำให้อินเทอร์เน็ตช้าลง

ซิมท่องเที่ยว,pocket wifi

เลือกใช้ Pocket Wifi

อีกรูปแบบคือการเลือกใช้ Pocket Wifi ลักษณะก็คือจะเป็นกล่องปล่อยสัญญาณไวไฟที่มีขนาดเล็ก ให้ลองนึกภาพการมี router ส่วนตัวพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก แต่ต้องทำการชาร์จอุปกรณ์หากแบตเตอรี่ใกล้จะหมดด้วยเพื่อให้ยังคงใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความแรงของอินเตอร์เน็ตสูง ใช้งานได้สะดวก จำนวนเครื่องรับสัญญาณเชื่อมต่อได้เยอะ และในชุดอุปกรณ์จะมีสายชาร์จไว้ชาร์จไฟ

ปกติสามารถหาซื้อได้จากบริษัทที่จำหน่าย Pocket Wifi โดยตรง หรือติดต่อจากบริษัททัวร์, กรุ๊ปทัวร์ ต่าง ๆ ก็มักมีให้บริการด้วยเช่นกัน ขณะที่ราคาขึ้นอยู่กับประเทศที่เดินทางโดยเฉลี่ยเริ่มต้นวันละ 200 บาทขึ้นไป ปกติ Pocket Wifi จะใช้การยืมจึงต้องมีการเขียนรายละเอียดผู้ยืมรวมถึงมีเอกสารยืนยันตัวตนว่าคนที่ยืมเป็นใคร หากเครื่องชำรุด มีปัญหาหรือสูญหายจะได้ตามตัวได้ถูกต้อง

ข้อดี – มีอินเทอร์เน็ตที่เร็ว แรง ใช้งานได้สะใจ เชื่อมต่อได้กับหลายอุปกรณ์โดยสัญญาณแทบไม่ลดลง เดินทางไปประเทศไหนก็ไม่ค่อยมีปัญหา เหมาะกับกรุ๊ปทัวร์เดินทางไปกันหลายคน

ข้อเสีย – มีขนาดเครื่องใหญ่ ต้องพกพาติดไว้ตลอด มีค่าใช้จ่ายในการเช่ายืมแพง ไม่เหมาะกับคนเดินทางน้อย

เหล่านี้คือข้อดี ข้อเสียของ Internet Sim Card หรือ Pocket Wifi เมื่อทราบแบบนี้แล้ว ใครที่กำลังจะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ 7-10 วันสามารถเลือกในแบบที่เหมาะกับการใช้งานและตามความสะดวกของคุณได้เลย

จุดสอบถาม INFO/Tourist info, battery charging, ฝากของในกรุงโซล

สำหรับใครที่เที่ยวอยู่ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ หรือวางแผนว่าจะไปเที่ยว แล้วต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับ จุดบริการนักท่องเที่ยวในโซล จุดบริการชาร์จไฟสำรอง และจุดฝากของ วันนี้เราได้รวบรวมมาให้แล้ว จะมีจุดไหนที่อยู่ใกล้ตำแหน่งที่คุณต้องการบ้าง มีข้อมูลที่ควรรู้ ดังนี้

1. จุดบริการนักท่องเที่ยว (Tourist Information Center)        

จุดบริการนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ เป็นหนึ่งในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศ ซึ่งที่เกาหลีก็มีจุดเด่นด้านนี้เช่นกัน โดยที่สนามบินอินชอน (Incheon International Airport) จะเป็นศูนย์หลักที่ให้คำปรึกษาด้านการท่องเที่ยว เพราะมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากมาใช้บริการที่สนามบินนี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ที่สามารถสื่อสารเป็นภาษาเกาหลี จีน ญี่ปุ่นและอังกฤษไว้คอยให้บริการ ซึ่งจะช่วยเหลือเกี่ยวกับข้อมูลการท่องเที่ยว บริการจองบัตรที่พัก ร้านอาหาร การเดินทาง ต่าง ๆ รวมถึงโปรแกรมท่องเที่ยวรอบกรุงโซลด้วย และยังมี จุดบริการนักท่องเที่ยวในโซล ในบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกมากมาย เช่น สนามบินคิมโพ (Gimpo International Airport) ย่านคังนัม (Gangnam) ควังฮวามุน (Gwanghwa mun) นัมแดมุน (Namdaemun) ทงแดมุน (Dongdaemun) เมียงดง (Myeongdong) ศูนย์วัฒนธรรมนานาชาติโซล (Seoul Global Cultural Center) สะพานซัมอิล (Samilgyo) อิเทวอน (Itaewon) ชัมชิล (Jamsil) และ หน้ามหาวิทยาลัยฮงอิก (Hongik) เป็นต้น

Hongdae Tourist Information centre,จุดบริการนักท่องเที่ยวในโซล

2. จุดชาร์จแบตเตอรี่สาธารณะ (Battery charging)

ปัจจุบันนี้สมาร์ทโฟนเป็นสิ่งสำคัญที่หลายคนต้องมีติดตัวตลอดเวลา เพราะฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย ยิ่งเวลาไปเที่ยวหรือเดินทางด้วยแล้ว เราสามารถดูข้อมูลได้อย่างง่ายดายผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นี้ หากเวลาที่ต้องการใช้งานแต่แบตเตอรี่กลับหมดจนเปิดไม่ติด ก็จะเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดเป็นอย่างมาก แต่ในกรุงโซลมีจุดให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่มากมาย หากมีเหตุแบตเตอรี่หมดหรือเหลือน้อย ก็สามารถเข้าไปขอใช้บริการได้ แต่การพกแบตเตอรี่สำรองไปด้วยจะดีที่สุด เพื่อให้ความสนุกไม่ต้องมาสะดุดเพราะแบตมือถือหมด

power bank and a charger,จุดบริการนักท่องเที่ยวในโซล

3. จุดฝากกระเป๋า (Luggage storage)

ปัญหาที่หลายคนต้องเจอเวลาไปเที่ยวคือการต้องแบกกระเป๋าหรือสัมภาระไปด้วย ซึ่งเราสามารถแก้ปัญหานี้ได้โดยการฝากกระเป๋านั่นเอง โดยส่วนใหญ่จะพบเห็นได้ตามสถานีรถไฟใต้ดินและในสนามบิน เช่น ในสถานีรถไฟโซล (Seoul station) จะมีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน โดยแบบฟรีจะตั้งอยู่ที่ ห้าง Lotte Outlets ชั้น 1 และ 3 และห้าง Lotte Mart ที่บริเวณซุปเปอร์มาเก็ต ส่วนตู้แบบเสียเงิน จะอยู่บริเวณสถานีรถไฟโซล ซึ่งตู้แบบฟรีจะไม่ได้เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนตู้แบบเสียเงิน สามารถฝากได้ครั้งหนึ่งนาน 24 ชั่วโมง ถ้าเกินกว่านั้นจะถูกปรับเงินได้ ดังนั้นต้องคำนวณเวลาให้ดี เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น

self service storage,จุดบริการนักท่องเที่ยวในโซล

การวางแผนที่ดีนำไปสู่การท่องเที่ยวอย่างมีคุณภาพ แต่บางทีก็อาจเจอสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ จึงต้องมีสติอยู่เสมอ หากพบเจอปัญหาระหว่างการท่องเที่ยว จุดบริการนักท่องเที่ยวก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่จะช่วยให้ปัญหาต่าง ๆ ผ่านพ้นไปได้

10 แหล่งช้อปในเกาหลีที่คุณไม่ควรพลาด!

กรุงโซลเมืองหลวงของเกาหลีใต้เป็นปลายทางของหลาย ๆ คนที่คิดจะเดินทางไปประเทศนี้ เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย นอกจากนั้นยังมี แหล่งช้อปในเกาหลี ที่มีของขายละลานตาอีกด้วย จะมีที่ไหนบ้างไปดูกันเลย

1. มยองดง (Myeongdong)

ถ้ามาเที่ยวโซลแล้วห้ามพลาดการมาเดินเล่นที่นี่ เพราะมีของขายมากมายทั้งในห้างสรรพสินค้า และตลอดสองฝั่งถนนเรียงรายตลอดทาง เป็นแหล่งที่ขึ้นชื่อว่าสินค้ามีมากมายและราคาถูกแห่งหนึ่ง โดยมีสินค้าที่เป็นที่นิยมอย่างเช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ กระเป๋าถือทั้งแบรนด์จากในประเทศและต่างประเทศ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากมาย นอกจากนี้ยังมีอาหารประจำถิ่นให้ได้ลองกันอย่างจุใจอีกด้วย

Myeongdong district

2. ทงแดมุน (Dongdaemun)

ตลาดขายปลีกและขายส่งขนาดใหญ่ที่สุดในย่านนี้ โดยมีห้างสรรพสินค้ากว่า 25 แห่ง และเป็นแหล่งของผู้ผลิตสินค้านับหมื่นร้าน สินค้าในย่านนี้ก็มีให้เลือกหลากหลายอย่างเช่น เครื่องหนัง เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ ของเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์สำนักงานมากมาย

Dongdaemun Design Plaza

3. ถนนอีแด (Edae Shopping Street)

เป็น แหล่งช้อปในเกาหลี ที่ตั้งอยู่บริเวณมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา ซึ่งเป็นอีกจุดเช็คอินยอดนิยม จึงมีสินค้ามากมายเกี่ยวกับผู้หญิงให้เลือกสรร ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง และอื่น ๆ ที่หากสาว ๆ คนไหนมาเยือนต้องไม่ผิดหวังแน่นอน

Fashion Street

4. ตลาดกวางจัง (Gwangjang Market)

เป็นตลาดที่มีร้านขายผ้ามากมายหลายชนิดทั้งปลีกและส่ง ทั้งผ้าไหม ลินิน ซาติน และผ้าทออื่น ๆ ลักษณะเดียวกับย่านพาหุรัดบ้านเรา นอกจากนี้ยังมีชุดและงานฝีมือพื้นเมืองให้เลือกช้อปได้อย่างจุใจ โดยสินค้าในย่านนี้ถึงแม้จะไม่ใช่สินค้าแบรนด์เนมแต่ก็รับรองได้ว่ามีคุณภาพดีแน่นอน

Gwangjang Market

5. ตลาดนัมแดมุน (Namdaemun Market)

เป็นย่านการค้าที่คึกคักแห่งหนึ่งที่มีสินค้าให้เลือกมากมายหลายชนิด โดยเป็นตลาดพื้นเมืองที่มีสินค้าทั้งเสื้อผ้า เครื่องหนัง สินค้านำเข้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และของใช้สอยอื่น ๆ ด้วย

Namdaemun market,แหล่งช้อปในเกาหลี

6. อีแทวอน (Itaewon)

ตลาดอีกแห่งที่มีสินค้ามากมายให้เลือกซื้อหา ทั้งสินค้าแบรนด์เนม เครื่องหนัง รองเท้า กระเป๋า ของที่ระลึกและของโบราณต่าง ๆ เรียงรายตลอดทาง

Itaewon-dong district,แหล่งช้อปในเกาหลี

7. อินซาดง (Insa-dong)

ย่านที่เป็นแหล่งของร้านขายของโบราณ ชาพื้นเมือง และร้านหนังสือ นอกจากนี้ยังมีงานศิลปะมากมายรวมอยู่ในแหล่งนี้ด้วย ใครที่อยากดื่มด่ำกับศิลปะพื้นเมืองเกาหลีต้องห้ามพลาดที่นี่

Insadong Street,แหล่งช้อปในเกาหลี

8. ฮงแด (Hongdae)

ตลาดย่านฮงแด ตั้งอยู่บริเวณมหาวิทยาลัยฮงอิก (Hongik University) ที่ขึ้นชื่อเรื่องศิลปะ โดยในวันธรรมดาก็มีสินค้ามากมายให้เลือกซื้อ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าแนววัยรุ่นและวัยทำงาน และในวันเสาร์-อาทิตย์ ก็จะมีตลาดนัดที่ส่วนใหญ่เป็นงานฝีมือและงานประดิษฐ์จากเหล่านักศึกษามาวางขายกันมากมาย

Hongdae district,แหล่งช้อปในเกาหลี

9. ห้างซัมซีกิล (Ssamziegil)

เป็นสถานที่ยอดนิยมอีกแห่งของวัยรุ่นเกาหลี โดยมีสินค้าประเภทงานฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์มากมาย รวมถึงของที่ระลึกก็สามารถหาซื้อได้ที่นี่ด้วย

ssamziegil building,แหล่งช้อปในเกาหลี

10. ศูนย์การค้าโคเอ็กซ์ (COEX mall)

ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่หลายคนให้ความสนใจเพราะมีสินค้ามากมายให้เลือกซื้อ ทั้งสินค้าแบรนด์เนม เครื่องสำอาง และ อื่น ๆ มากกว่า 300 แบรนด์ นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นเป็นห้องสมุดที่ตกแต่งอย่างสวยงามสะดุดตา ซึ่งมีหนังสือมากกว่า 50,000 เล่ม และยังมีอควาเรียมสำหรับคนที่ชอบบรรยากาศโลกใต้ทะเลให้ได้เดินชมอีกด้วย

COEX Mall

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ แหล่งช้อปในเกาหลี ที่น่าสนใจ ยังมีอีกมากที่ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งหากจะไปช้อปที่ไหนนั้น ขอแนะนำให้วางแผนการเดินทางและการใช้จ่ายให้ดี เพื่อให้การท่องเที่ยวเต็มไปด้วยความสนุกและราบรื่นตลอดการเดินทาง

เมนูอาหารที่ควรไม่ควรพลาดเมื่อไปญี่ปุ่น

ไปเที่ยวญี่ปุ่นทั้งทีจะอิ่มแต่บรรยากาศในการท่องเที่ยวของสถานที่เพียงอย่างเดียวก็คงเที่ยวไม่ครบสูตร อาหารญี่ปุ่นก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ประเทศญี่ปุ่นกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของเอเชีย ดังนั้นเมื่อไปถึงญี่ปุ่นแล้วสิ่งที่พลาดไม่ได้เลยนั่นคืออาหารญี่ปุ่นแบบออริจินอล วันนี้เราได้รวบรวมเมนูอาหารญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องลองเมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น มาดูกันสิว่า อาหารแนะนำที่ญี่ปุ่น มีเมนูอะไรน่าสนใจกันบ้าง

Grilled Beef with sesame

กิวด้ง

อาหารแนะนำที่ญี่ปุ่น ชามแรกนั่นก็คือ กิวด้ง เป็นเมนูอาหารที่แปลตรงตัวว่าข้าวหน้าเนื้อใส่ชาม เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก แต่ที่แนะนำว่าไปญี่ปุ่นแล้วต้องไปทานนั่นเพราะรสชาติที่เป็นต้นตำหรับของเมนูนี้ จะมีความกลมกล่อม รสชาติของข้าวที่เข้ากันได้ดีกับเนื้อที่โปะมาบนข้าวหากตอกไข่ดิบที่ตีแล้วใส่บนเนื้อเพิ่มเข้าไปอีกจะทำให้ได้รสชาติที่สุโค่ยสุด ๆ

Japanese eel grilled with rice,อาหารแนะนำที่ญี่ปุ่น

คาบายากิ (kabayaki)

คาบายากิ คือข้าวหน้าปลาไหล ที่ญี่ปุ่นจะนิยมนำปลาไหลทะเลมาทำเมนูอาหารแบบปิ้งย่าง ที่นิยมสุดคือการนำปลาไหลทะเลเคลือบซอสแล้วย่างบนเตาถ่านจนสุกหอม หรือบางร้านก็จะเอาไปนึ่งแทนการย่าง แต่หากคุณไปเที่ยวในเขต Nagoya ก็จะมีวิธีการกินที่พิเศษกว่าพื้นที่อื่นคือจะนำชาราดลงไปบนข้าวหน้าปลาไหลอีกรอบ เรียกว่า ฮิตสึมะบุชิ ไม่ว่าจะไปเที่ยวพื้นที่ไหนก็ลองลิ้มชิมรสให้ครบตามขั้นตอนจะได้รู้รสชาติความเป็นออริจินอลแบบครบสูตร

Delicious Potato croquettes,อาหารแนะนำที่ญี่ปุ่น

โคร็อกเกะ (korokke)

เมนูที่หาทานได้ทั่วไป แล้วกลายมาเป็นเมนู อาหารแนะนำที่ญี่ปุ่น ได้อย่างไร นั้นเพราะต้องทานแบบร้อน ๆ หรือที่พึ่งทำเสร็จใหม่ ที่จริงมันคือ มันฝรั่งบดแล้วนำมาปรุงรสชุบด้วยแป้งแล้วทอด ซึ่งบางสูตรก็อาจจะมีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ลงไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ จะทานแบบสแน็คหรือเครื่องเคียงก็ได้ จะให้อร่อยต้องกินตอนทอดใหม่ ๆ จะทำให้คุณติดใจจนลืมไม่ลงเลยทีเดียว

Katsu curry,อาหารแนะนำที่ญี่ปุ่น

ข้าวแกงกะหรี่

อาหารขึ้นชื่อของญี่ปุ่นเขาเลย ใครไปต้องหาโอกาสลองเมนูนี้สักครั้งรับรองคุณจะลืมรสชาติที่คุณคุ้นเคยที่เคยลิ้มลองจากเมืองไทยไปอย่างปลิดทิ้ง เพราะรสชาติของแกงกะหรี่ที่นี่เข้มข้นและมีความหลากหลาย มีเครื่องเคียงให้เลือกได้หลายอย่างตามความชอบอีกด้วย

Motsunabe,อาหารแนะนำที่ญี่ปุ่น

โมตสึนาเบะ (Motsunabe)

เมนูนี้หากใครไปเที่ยวที่เมืองฟุกุโอกะ แนะนำว่าต้องไปชิมโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เมนูนี้จะช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้นทั้งส่วนผสมที่ใส่ลงไปอย่าง เช่น กระเทียมและพริก ที่อยู่ในน้ำซุปต้มกับเนื้อวัวหรือหมูพร้อมผักและอาจจะมีเครื่องในด้วยที่เป็นสูตรต้นตำรับ หากกินเสร็จก็จะมีการใส่ข้าวลงไปหรือเส้นชัมปงลงไปในนำซุปที่เหลือจนอิ่มแบบเกลี้ยงหม้อกันไปเลยก็ว่าได้

ยังมีเมนู อาหารแนะนำที่ญี่ปุ่น ที่รอให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มลองอีกมากมาย ใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวเมืองไหนก็อย่าลืมกินอาหารประจำท้องถิ่นนั้น ๆ กันดู เพื่อเปิดประสบการณ์ในเรื่องรสชาติอาหารในวัฒนธรรมที่แตกต่าง

รวม Landmark สวย ๆ ในเกาหลี

ใครมีแพลนจะไปเที่ยวเกาหลียกมือขึ้น ก่อนไปต้องมาสำรวจ Landmark สวย ๆ ในเกาหลี ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเช็คอินกันก่อน จะได้ไม่เสียเที่ยวไปเกาหลีทั้งที จุดแลนด์มาร์คไหนสวย ๆ เราจะไม่พลาด ต้องไปแชะ ๆ ภาพถ่ายพร้อมกับสัมผัสบรรยากาศที่สวยงามของถานที่เหล่านั้นกันให้อิ่มเอมแบบสบายอารมณ์ให้สุด

City Skyline,Landmark ในเกาหลี

หอคอย N Seoul Tower

หอคอย N Seoul Tower เป็นหอคอยที่สูงติดอันดับ 1 ใน 18 ของโลก เป็น Landmark ในเกาหลี ที่นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวเกาหลีต้องไปเยือน เพื่อชมทัศนียภาพที่สวยงามของกรุงโซล ที่เปิดให้เข้าชมได้ทุกวันทั้งช่วงเวลากลางวันและกลางคืน ที่พลาดไม่ได้เลยคือจุดดาดฟ้าที่เป็นจุดที่เหล่าคู่รักต่างก็ไปคล้องกุญแจแห่งรัก นอกจากการเข้าเยี่ยมชมห้องต่าง ๆ ที่จัดแสดงไว้บนหอคอยแล้ว ด้วยที่ตั้งขอหอคอยอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Namsan Park ทำให้สามารถท่องเที่ยวในรูปแบบที่หลากหลายอีกด้วย การเดินทางสามารถเดินทางไปได้ 2 รูปแบบ คือ

1. เคเบิลคาร์นัมซาน (Namsan Cable)

เป็นการเดินทางแบบกระเช้าลอยฟ้า ที่เป็นกระเช้าลอยฟ้าแห่งแรกของเกาหลีสามารถชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดเส้นทาง ซึ่งความสวยงามในแต่ละฤดูก็ให้ความสวยงามที่ต่างกันไป

2. รถบัสเวียนนัมซาน (Namsan Circular Shuttle Bus)

สามารถขึ้นได้จากป้ายจอดหน้าสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุด เวลาบริการช่วง 8 โมงเช้าถึง เที่ยงคืน รถออกทุก 8 นาที มีสายบนริการทั้งหมด 3 สาย คือ สาย Namsan Circular Shuttle Bus No. 02 สาย 03 และสาย 05

Bukchon Hanok Village,Landmark ในเกาหลี

หมู่บ้าน Bukchon Hanok Village

เป็นชื่อของหมู่บ้านทางเหนือที่ตั้งตามตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้าน ในจังหวัด Gyeonggi-do ของกรุงโซล ที่ถือเป็น Landmark ในเกาหลี ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ที่รักษาสภาพและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทั้งบ้านเรือน ถนน ตอกซอยทุกอย่างให้เป็นแบบเดิม ๆ ในสมัยราชวงศ์โชซอน มีมุมสวย ๆ ในหมูบ้านตามจุดต่าง ๆ ให้ถ่ายรูป ไม่ว่าจะเป็นวิว สถาปัตยกรรมของบ้านเรือน และวิถีชีวิตของคนในชุมชน นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรี ทุกวัน 9 โมง ถึง 6 โมงเย็น

การเดินทาง

คือนั่งรถไฟใต้ดินโซล สาย 3 ลงสถานี Anguk Station ออกทางออกที่ 2 เดินตรงไป 300 แล้วเลี้ยวเข้าซอย 11 Gahoe-dong

Gyeongbokgung Palace,Landmark ในเกาหลี

พระราชวังเคียงบกกุง (Gyeongbokgung Palace)

มาถึงเกาหลีแล้ว ไม่มาพระราชวังแห่งนี้ถือว่ามาไม่ถึงเกาหลี ความมีชื่อเสียงของสถานที่แห่งนี้คือ เป็นพระราชวังขนาดใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดในโซล เป็นสถานที่ถ่ายทำในซีรี่เกาหลีหลายต่อลายเรื่อง มีจุดแลนด์มาร์คสำคัญหลายแห่งเช่น หน้าประตู Heungnyemun Gate จุดถ่ายรูปยอดฮิต, ศาลากลางน้ำ Gyeonghoeru ที่ไม่ว่าจะยืนถ่ายรูปมุมไหนก็สวยทุกมุม, ศาลาหกเหลี่ยม Gyeonghoeru ที่อยู่บนเกาะกลางน้ำพร้อมสะพานทอดยาวที่ถ่ายแล้วได้ภาพสวยสุด ๆ เปิดให้บริการทุกวัน หยุดวันอังคาร มีชุดฮันบกบริการฟรี แต่จะจำกัดจำนวนในแต่ละวัน นักท่องเที่ยวที่ใส่ชุดฮันบกสามารถเข้าชมพระราชวังเคียงบกกุงฟรี

การเดินทาง

ใช้รถไฟใต้ดินสาย 3 ลงที่สถานี Gyeongbokgung ออกทางออกที่ 5

ใช้รถไฟใต้ดิน สาย 5 ลงที่สถานี Ganghwamun ออกทางออกที่ 1 เดินอีก 400 ม.

Namiseom island,Landmark ในเกาหลี

เกาะนามิ (Namiseom Island)

เกาะนามินับเป็น Landmark ในเกาหลี ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักจากซีรี่เกาหลีเรื่อง Winter Love Song และกวนมึนโฮ เกาะนามิจะสวยงามมากที่สุดคือในช่วงฤดูใบไม้ล่วงที่ต้นเมเปิ้ลเปลี่ยนสีแดงเต็มต้นและต้นแปะก๊วยที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองสด ซึ่งใครมาแล้วเป็นต้องหลงใหลไปกับบรรยากาศที่สุดโรแมนติกแห่งนี้กันแทบไม่อยากกลับกันเลยทีเดียว

การเดินทาง

ใช้รถไฟใต้ดินสาย Gyeongchun มาที่สถานี Gapyeong แล้วต่อรถนัสหน้าสถานีมาลงที่เกาะนามิหรือนั่งแท็กซี่มายังท่าเรือเลย แล้วขึ้นเรือข้ามฟาก เรือจะออกทุก ๆ 30 นาที เที่ยวแรกออก 7.30 น. เที่ยวสุดท้ายออกจากเกาะนามิ 21.40 น.

ใครไปเที่ยวเกาหลีแล้ว อย่าลืมแวะไปเที่ยวชมยังสถานที่ที่กล่าวมาข้างต้น จะได้ไม่หลุดจุด Landmark ที่สำคัญในเกาหลี เชื่อแน่ว่าหากได้ไปเยือนแล้วคุณจะหลงรักเกาหลีได้มากกว่าที่เคยรักแน่นอน