หมวดหมู่: Thailand Travel

เตรียมตัวให้พร้อม check list ให้ดี ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ

เตรียมตัวก่อนเดินทางต่างประเทศ

การเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะไปท่องเที่ยวหรือทำธุระก็ตาม ทุกคนจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร ใบรับรองต่างๆ และสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับการไปพักในต่างประเทศ ซึ่งในบทความนี้ได้ลิสต์ทุกอย่างที่ควรเตรียมให้พร้อมก่อนการเดินทางไว้แล้ว เพื่อให้ทริปเดินทางไปยังต่างประเทศของทุกคนราบรื่นไม่ติดขัด หากพร้อมแล้วสามารถเช็กลิสต์ได้ตามนี้เลย

vaccine passport

เอกสารสำคัญ

แม้จะสิ้นสุดภาวะระบาดของโรค COVID-19 แล้ว แต่การเดินทางไปต่างประเทศบางประเทศ อาจจะต้องเตรียมตัวแสดงเอกสารใบรับรองที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ COVID-19 ที่นอกเหนือจากเอกสารปกติด้วย เพื่อความปลอดภัยของคนในประเทศ เอกสารสำคัญๆ ได้แก่

Vaccine Passport

การเตรียมตัวก่อนเดินทางไปต่างประเทศ ต้องศึกษาว่าประเทศปลายทางนั้น จำเป็นต้องแสดงหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิค-19 หรือเรียกสั้นๆ ว่า “Vaccine Passport” หรือไม่ ซึ่งการขอ Vaccine Passport จะต้องเตรียมทั้งเอกสารตัวจริงและสำเนาให้ครบก่อน ได้แก่ เอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 บัตรประจำตัวประชาชน หนังสือเดินทาง และค่าธรรมเนียมการออกหนังสือรับรองฯ 50 บาท โดยมีทั้งแบบรูปเล่ม และแบบดิจิทัล สามารถยื่นขอที่หน่วยงานสาธารณสุข หรือจะยื่นขอผ่านแอปพลิเคชั่น “หมอพร้อม” ก็ได้ทั้งสองช่องทางเลย

ใบรับรองแพทย์ Fit to Fly

ใบรับรองแพทย์ Fit to Fly (Fit to Fly Health Certificate) เป็นเอกสารทางการแพทย์อีกหนึ่งประเภทที่ต้องเตรียมก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เป็นการแสดงผลการตรวจหาเชื้อโควิค-19 ภายในระยะเวลา 36-72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง ทั้งนี้ เงื่อนไขเรื่องของระยะเวลานั้น ขึ้นอยู่กับสายการบินและเกณฑ์ของประเทศปลายทาง

passport

หนังสือเดินทางหรือ Passport

หนังสือเดินทาง หรือ Passport เป็นเอกสารชิ้นแรกที่ต้องมีการเตรียมตัวเมื่อจะไปต่างประเทศ และเป็นเอกสารสำคัญที่สุดที่ต้องติดตัวไว้ตลอดระยะเวลาที่เดินทางหรืออยู่ในต่างประเทศ เพราะ Passport เปรียบเสมือนเอกสารที่แสดงตัวตนและสถานภาพของบุคคลนั้นๆ การเตรียมตัวก่อนการเดินทางไปต่างประเทศจะต้องตรวจสอบวันหมดอายุ และสภาพความเสียหายของเล่ม Passport ด้วยทุกครั้ง 

ตั๋วเครื่องบิน

ก่อนการเดินทางไปต่างประเทศจะต้องเช็กตั๋วเครื่องบินให้พร้อมเสมอ เบื้องต้น คือ การตรวจสอบเวลาเช็กอินและเคาท์เตอร์เช็กอินที่เป็นข้อมูลล่าสุด เพราะในบางครั้งสายการบินอาจมีการปรับเปลี่ยนในช่วงเวลากระชั้นชิด สามารถตรวจสอบในเว็บไซต์หรือตรวจสอบ ณ สนามบินได้เลย แต่ว่าผู้เดินทางต้องเตรียมเอกสารสำหรับการเช็กอินให้พร้อม 

การเช็กอิน หากไม่มีสัมภาระที่ต้องโหลดสามารถเช็คอินล่วงหน้าในเว็บไซต์ได้ แต่หากมีสัมภาระก็จะต้องนำไปโหลดที่เคาท์เตอร์ก่อน ดังนั้น ผู้เดินทางจึงควรเตรียมตัวเผื่อเวลาสำหรับการทำธุรกรรมต่างๆ เหล่านี้ไว้ล่วงหน้า 2-3 ชั่วโมง ก่อนการเดินทางไปต่างประเทศ

เอกสารจองเดินทาง

เอกสารจองที่พัก

การเตรียมตัวก่อนการเดินทางไปต่างประเทศ ควรจองที่พักไปก่อนล่วงหน้า ตามระยะเวลาที่พักในต่างประเทศ และเตรียมเอกสารจองที่พักไว้ด้วยตอนเดินทาง เพื่อเป็นสิ่งที่ใช้ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ว่าเป็นการเข้าประเทศไปอย่างถูกต้องถูกกฎหมาย มีที่พักที่แน่นอนในประเทศนั้นๆ 

ประกันการเดินทาง

ประกันการเดินทางเป็นสิ่งที่บางคนอาจจะละเลยไปหรือมองว่าไม่จำเป็น ในการเตรียมตัวก่อนการเดินทางไปต่างประเทศ จึงไม่สนใจที่จะทำประกันการเดินทาง แต่การทำประกันการเดินทางไปต่างประเทศนั้นมีความสำคัญมาก เพราะจะเป็นสิ่งที่คุ้มครองผู้เดินทางเมื่อมีเหตุไม่คาดฝัน เช่น การเจ็บป่วย อุบัติเหตุ กระเป๋าเดินทางล่าช้าสูญหาย ไฟลต์บินล่าช้า หรือในการยื่นขอวีซ่าบางประเทศจำเป็นต้องทำประกันการเดินทางด้วย เป็นต้น 

sim card

สิ่งอำนวยความสะดวก

การเตรียมตัวไปต่างประเทศ จะต้องเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกไปให้พร้อม เพราะจะทำให้การดำรงชีวิตในต่างประเทศง่ายขึ้นมาก ตัวช่วยอำนวยความสะดวกจะประกอบไปด้วย

ซิมเพื่อใช้งานต่างประเทศ

ปัจจุบันเครือข่ายโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ตสามารถเชื่อมโยงกันระหว่างประเทศได้สะดวกขึ้น การเตรียมตัวก่อนเดินทางไปต่างประเทศควรจะเตรียมเรื่องของการใช้งานเครือข่ายการสื่อสารระหว่างการเดินทางด้วย ซึ่งผู้ให้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยเองมีหลายบริษัทที่รองรับการใช้งานซิมในต่างประเทศ หรือในบางกรณีไม่ต้องเปลี่ยนซิม สามารถใช้เบอร์เดิมในต่างประเทศได้เลย เพียงแค่สมัครแพคเกจสำหรับเปิดใช้งานในต่างประเทศเท่านั้น 

translate

แอปแปลภาษา

ควรเตรียมโหลดตัวช่วยที่ดีนี้ไว้ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อการเดินทางท่องเที่ยวที่ราบรื่น สามารถใช้แอปแปลภาษาช่วยในการสื่อสารกับคนท้องถิ่น โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้เดินทางและคนท้องถิ่นภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง หรือกรณีที่การพูดภาษาในแต่ละสำเนียงที่ไม่คุ้นเคย อาจทำให้การสื่อสารผิดพลาดได้ ดังนั้นการเตรียมโหลดแอปแปลภาษาไว้จะเป็นสิ่งที่ช่วยนักเดินทางได้เป็นอย่างดี

ที่ชาร์จแบตสำรอง

การเตรียมตัวไปต่างประเทศ สิ่งหนึ่งที่ห้ามลืมเลยคือที่ชาร์จแบตสำรอง เพราะจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์เป็นปัจจัยที่ห้าเลยก็ว่าได้ ข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ การค้นหาข้อมูลสถานที่ต่างๆ การถ่ายรูป การเล่นโซเซียล ดังนั้นควรเตรียมที่ชาร์จแบตสำรองไปด้วยทุกครั้ง เพื่อจะได้ใช้โทรศัพท์ได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในเวลาฉุกเฉิน แต่การพกที่ชาร์ตแบตสำรองนั้น ต้องศึกษากฎของสายการบินต่างๆ ด้วย ว่าจะสามารถพกที่ชาร์จแบตสำรองประเภทไหนขึ้นเครื่องบินได้บ้าง

หัวแปลง

ที่แปลงหัวปลั๊ก

แต่ละประเทศนั้นจะใช้ปลั๊กแตกต่างกัน รวมถึงกระแสไฟก็ยังไม่เท่ากันด้วย ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ได้รับความเสียหาย เช่น การเสียบสายชาร์ตโทรศัพท์ กล้องถ่ายรูป ไดร์เป่าผม เครื่องหนีบผมต่างๆ จึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีการเตรียมที่แปลงหัวปลั๊กติดตัวไปด้วย ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเสียบอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ใดๆ ได้เลย อีกทั้งการไปหาซื้อตามร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในต่างประเทศนั้นอาจจะไม่มีจำหน่ายหรือมีจำหน่ายในราคาแพงก็ได้ 

บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต

การเตรียมตัวเกี่ยวกับการเงินก่อนเดินทางไปต่างประเทศนั้น นอกจากควรเตรียมเงินสดไปตามความเหมาะสมแล้ว ยังควรเตรียมบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตติดตัวไปด้วย เพราะการเดินทางไปต่างประเทศ มักมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถใช้เงินสดได้หรือเงินสดไม่พอจ่าย การพกบัตรเครดิตบัตรเดบิตต่างๆ ไปด้วย จะเป็นตัวช่วยในกรณีฉุกเฉินได้

ยาประจำตัว

สิ่งของจำเป็น

แต่ละคนมีสิ่งของที่จำเป็นสำหรับร่างกายไม่เหมือนกัน ซึ่งการไปต่างประเทศจะต้องเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้พร้อมที่สุด เพราะบางสิ่งบางอย่างเป็นความจำเป็นเฉพาะตัว จึงต้องเตรียมไว้ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ

ยาประจำตัว

การเตรียมตัวก่อนการเดินทางไปต่างประเทศ ต้องคำนึงถึงยาที่ควรจะพกไปด้วย โดยทั่วไปสามารถพกไปได้หากเป็นยาสามัญประจำบ้าน เช่น ยาพาราเซตามอล ยาลดไข้ แก้ปวด ยาแก้แพ้ ยาลดกรด แก้ท้องอืดท้องเสีย เป็นต้น แต่หากเป็นยาเฉพาะโรคบางชนิดที่เป็นยาห้ามเข้าประเทศนั้นๆ จะต้องกรอกแบบฟอร์มขออนุญาตการนำยาเข้าประเทศ และจะต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ระบุถึงโรคประจำตัวและยาที่จำเป็นต้องใช้ด้วย

ชุดปฐมพยาบาล

ชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นก็เป็นอีกสิ่งที่สำคัญที่ต้องเตรียมตัวไว้ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บ จะได้สามารถหยิบมาใช้ได้ทันที ซึ่งหากสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นทั้งตนเองและเพื่อนร่วมเดินทางได้โดยไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล ก็จะทำให้การเดินทางราบรื่นมากขึ้น

covid 19 kit

COVID-19 Kit

ทุกการเดินทางไปต่างประเทศควรเตรียมชุด COVID-19 Kit ติดตัวไปด้วย โดยมีอุปกรณ์สำคัญ เช่น หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ สเปย์แอลกอฮอล์ เพื่อเป็นการรักษาความสะอาดและป้องกันเชื้อโรค เนื่องจากไวรัสโควิดยังสามารถติดต่อกันได้ง่ายอยู่ในปัจจุบัน

สิ่งของส่วนตัว

สิ่งของส่วนตัว

สิ่งของส่วนตัวที่ต้องมีการเตรียมให้ครบก่อนการเดินทาง ประเภทเสื้อผ้า เครื่องแต่งตัวต่างๆ นั้น ควรเตรียมให้เรียบร้อย ครบจำนวนวันที่ต้องเดินทางไปและอาศัยในต่างประเทศ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกังวลเมื่อไปเที่ยวหรือทำธุระ

เสื้อผ้า

การเตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวก่อนการเดินทางไปต่างประเทศนั้น ควรจะเตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับฤดูกาลของประเทศนั้นๆ พร้อมทั้งคำนึงถึงจุดประสงค์ของการเดินทางด้วย เช่น การเตรียมเสื้อผ้าสำหรับการไปเที่ยวย่อมแตกต่างจากการเตรียมเสื้อผ้าสำหรับการไปทำธุระ เป็นต้น อีกทั้งการเตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมยังช่วยให้สามารถจัดการน้ำหนักของกระเป๋าเดินทางได้ด้วย

ถุงมือและถุงเท้า

ในกรณีที่เดินทางไปต่างประเทศในช่วงฤดูหนาวนั้น นอกจากเสื้อผ้า การแต่งตัวที่เหมาะสมแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญกับการเตรียมถุงมือและถุงเท้าด้วย ซึ่งจะต้องเป็นถุงมือถุงเท้าที่ใส่ในฤดูหนาวโดยเฉพาะ เพราะจะมีเนื้อผ้าที่หนา กันลมหนาวได้ ที่แตกต่างจากวัสดุทั่วไป 

รองเท้า

รองเท้าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในการแต่งตัว การเตรียมรองเท้าไปเที่ยวต่างประเทศจะต้องพิจารณาถึงสภาพอากาศและภูมิประเทศของประเทศนั้นๆ ด้วย เช่น รองเท้าที่ใส่สำหรับเดินบนหิมะ รองเท้าสำหรับประเทศเขตร้อน และรองเท้าที่เหมาะกับการเดินในพื้นที่ที่เป็นเนินสูงต่ำ เป็นต้น ซึ่งต้องเตรียมรองเท้าให้เหมาะสม โดยที่ตัวผู้สวมใส่ต้องรู้สึกสบายเท้า เพราะจะส่งผลถึงสุขภาพในด้านอื่นๆ ด้วย

ของใช้ประจำวัน

การเดินทางไปต่างประเทศทุกครั้ง ควรเตรียมของใช้ส่วนตัวที่ต้องในชีวิตประจำวันสำหรับทำความสะอาดไปด้วย เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ แชมพู โฟมล้างหน้า เครื่องสำอางค์ ผ้าเช็ดตัว ซึ่งควรแบ่งเป็นเซ็ตเล็กสำหรับถือขึ้นเครื่องบินอีกหนึ่งเซ็ต เพื่อที่จะได้ใช้ทำความสะอาดร่างกายระหว่างทาง ในกรณีที่เดินทางระยะเวลายาวนานหรือต้องเปลี่ยนเครื่อง (Transit) ที่สนามบินใดสนามบินหนึ่ง โดยการพกพาสิ่งของเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามกฎของการบิน คือ การพกของเหลวชิ้นเล็กไม่เกินชิ้นละ 100 มิลลิลิตร

ข้อมูลต่างประเทศ

ข้อมูลของประเทศนั้น

ก่อนการเดินทางไปต่างประเทศ ต้องเตรียมตัวหาข้อมูลที่จำเป็นต่างๆ ของประเทศปลายทางด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ข้อห้ามปฏิบัติ วัฒนธรรม สภาพอากาศ และระบบขนส่งมวลชน เพื่อให้การเดินทางเป็นไปด้วยดี ดังนี้

ข้อห้ามของประเทศนั้น และวัฒนธรรมของประเทศปลายทาง

แต่ละประเทศมีวัฒนธรรม ธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างกัน การออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศคือการไปค้นพบโลกในอีกด้านหนึ่ง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศที่จะเดินทางไป โดยเฉพาะข้อห้ามที่ไม่ควรปฏิบัติในพื้นที่ ซึ่งบางประเด็นจะต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ หากเป็นประเด็นอ่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและศาสนา 

สภาพอากาศ

สภาพอากาศเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศ ดังนั้นก่อนจะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศจึงต้องศึกษาเรื่องของสภาพอากาศในช่วงเวลานั้นๆ ที่จะเดินทางไปถึง เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการเตรียมตัวในเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น การเตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสม การเตรียมยาป้องกันไข้หวัด การเตรียมอุปกรณ์ที่สำคัญ การเตรียมแผนการเดินทาง และการเตรียมสภาพร่างกายให้มีความพร้อมที่จะเผชิญกับอากาศที่ไม่คุ้นเคยในต่างประเทศ

ข้อมูลระบบขนส่งมวลชน

เพื่อให้การเดินทางไปต่างประเทศมีประสิทธิภาพ ประหยัดเวลา ควรเตรียมตัวไว้ก่อน โดยการศึกษาข้อมูลระบบขนส่งมวลชนของประเทศนั้นๆ ให้ดีเสียก่อน จะช่วยให้วางแผนการเดินทางได้คล่องแคล่วยิ่งขึ้น เช่น ตารางเวลารถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน รถบัส เป็นต้น การเตรียมข้อมูลในเรื่องของระบบขนส่งมวลชนเป็นสิ่งที่ควรทำก่อนจะเดินทางไปถึงประเทศปลายทาง เพราะการท่องเที่ยวจะได้ไม่เสียเวลาไปกับการหลงทางหรือการหาเส้นทาง

อาหาร

ก่อนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ควรเตรียมตัวหาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารประจำชาติ หรืออาหารประจำถิ่นต่างๆ ที่ควรไปจะลองรับประทานดู เป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศอื่นๆ ด้วย การวางแผนเกี่ยวกับอาหารการกินนั้นก็จะกลายเป็นอีกเรื่องสนุกของการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเลยทีเดียว  

สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนเดินทางไปต่างประเทศให้พร้อมเสมอ ได้แก่ การเตรียมเอกสารสำคัญ การเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก สิ่งของจำเป็น สิ่งของส่วนตัว ตลอดจนข้อมูลของประเทศปลายทาง ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญอีกหนึ่งสิ่ง คือ การบริหารจัดการเวลาและความคล่องตัวในการเดินทาง ซึ่ง Airportels เป็นบริการที่ตอบโจทย์ของนักเดินทางในเรื่องการรับฝากกระเป๋าสัมภาระทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ลดความกังวลใจในการต้องดูแลสัมภาระระหว่างรอในสนามบิน เพียงนำไปฝากไว้ นักเดินทางก็สามารถจัดการธุระในส่วนอื่นๆ ได้อย่างสบายใจก่อนการเช็กอิน และยังมีความปลอดภัย รวดเร็ว ใช้งานง่ายอีกด้วย

เตรียมตัวก่อน รู้ก่อน รู้ขั้นตอนในการเข้าพักโรงแรม

รู้หรือไม่ว่าหนึ่งในปัญหาสำคัญของมือใหม่หัดเที่ยว มักจะเกิดขึ้นระหว่างการเช็คอินโรงแรม เพราะในภาพจำหลายคนอาจจะคิดว่า แค่ จอง จ่าย จบ ก็เดินไปรับกุญแจเข้าห้องพักกันได้แล้ว แต่จริง ๆ แล้ว การเข้าพักกับโรงแรมเองก็ต้องใช้ ขั้นตอน และเอกสาร พร้อมทั้งกติกาสากลประกอบด้วย ซึ่งวันนี้ AIRPORTELs จะพาไปดูวิธีการจองโรงแรมไปจนถึงการเช็คอินเช็คเอาท์ ว่ามีอะไรบ้างที่ผู้อ่านต้องระวัง !

ขั้นตอนการเข้าพักโรงแรม
booking

การจองห้องพัก

จริง ๆ การจองห้องพักนั้น ถูกออกแบบมาให้เป็นขั้นตอนที่ง่ายและสะดวกที่สุดอยู่แล้วในการหาที่พัก เพราะถ้าขั้นตอนการจองลำบาก ก็ยากที่จะทำให้ลูกค้าเลือกเข้ามาใช้บริการกับโรงแรมต่าง ๆ ซึ่งโรงแรมส่วนมากนั้นจะขอแค่ชื่อ ช่องทางการติดต่อ และมัดจำเท่านั้น หรือถ้าเราจองผ่านนายหน้าที่เชื่อถือได้บางเจ้าอาจจะไม่จำเป็นต้องวางเงินมัดจำด้วย ซึ่งการจองโรงแรมนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบได้แก่

การจองด้วยตัวเอง หรือการจองโดยตรง

หรือพูดง่าย ๆ คือการติดต่อขอจองห้องพักกับโรงแรมโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อผ่านโทรศัพท์ เมลล์ โซเชียลมีเดีย หรือวอร์คอินเซอรเวย์ (Walk-in Survey) ซึ่งส่วนมากนั้นจะเหมาะกับการจองห้องจำนวนมาก ที่ต้องการสำรวจสิ่งอำนวยความสะดวกของโรงแรมก่อน รวมไปถึงต้องการต่อรองราคาด้วยตัวเอง เนื่องจากตัวเองมีกำลังในการต่อรอง หรือไม่เช่นนั้นผู้เข้าพักอาจจะเลือกจองแบบนี้เพราะต้องการรีเควสพิเศษบางอย่างจากโรงแรม แต่หากเราเป็นนักท่องเที่ยวธรรมดาที่ไม่ได้มีความต้องการพิเศษอะไร การจองแบบนี้มีโอกาสจะได้ราคาห้องที่สูงกว่าการจองผ่านนายหน้า จึงแนะนำให้ทำการเทียบราคาให้ดีก่อนตัดสินใจจอง

การจองผ่านนายหน้า

การจองโรงแรมผ่านนายหน้าอาจจะฟังเหมือนเราจะต้องเสียเงินเพิ่ม แต่จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องกลับกัน โดยเฉพาะกับบริษัทขนาดใหญ่ หรือนายหน้าออนไลน์ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีกำลังในการต่อรองมาก ทำให้ได้ห้องพักที่มีราคาถูกกว่า ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าห้องพักที่สั่งจองผ่านนายหน้าอย่าง Traveloka Booking หรือ Agoda นั้นมีราคาถูกกว่า นอกจากนั้นยังอาจจะมีบริการเสริมอื่น ๆ อย่าง ส่วนลดตามโอกาส หรือการจองแบบไร้มัดจำ แต่สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งในการจองที่พักผ่านนายหน้าคือ การตกหล่นของข้อมูล หรือการโดนหลอกจากนายหน้าที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ฉะนั้นใครที่จองผ่านนายหน้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แนะนำให้มีการโทรไปสอบถามโรงแรมทั้งก่อนจอง และหลังจอง เพื่อความครบถ้วนของข้อมูล

ข้อแนะนำและข้อควรระวังในการการจองห้องพัก

  • เทียบราคาการจองแบบโดยตรง และผ่านนายหน้าก่อนเสมอ
  • ตรวจสอบก่อนเสมอว่าโรงแรมยังให้บริการอยู่หรือไม่ เพราะบางครั้งโรงแรมที่ปิดไปแล้ว อาจจะยังเปิดการจองออนไลน์ผ่านนายหน้าเอาไว้อยู่
  • จองแบบยกเลิกได้เสมอ หรือทำประกันท่องเที่ยวเอาไว้หากจำเป็น เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
  • หลังจองตรวจสอบเสมอว่าโรงแรมได้รับการจองของเราหรือยัง
  • การจองแบบจองแล้วเข้าพักเลยอาจจะเกิดความผิดพลาดหรือตกหล่นได้ เลือกที่พักที่มั่นใจได้ว่ามีพนักงานให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
  • พิมพ์ใบยืนยันการจองหรือจดหมายยืนยัน และหลักฐานการจ่ายเงินไว้เก็บไว้ในกรณีที่มีปัญหา และนำไปในวันเช็กอินด้วย
ขั้นตอนการพักเข้าโรงแรม

การเช็กอิน ขั้นตอนในการเข้าพักโรงแรม

การเช็กอิน คือขั้นตอนในการยืนยันตนเพื่อเข้าพักกับโรงแรม โดยมีจุดประสงค์ในการยืนยันตัวผู้เข้าพัก และเก็บไว้เป็นหลักฐาน ทั้งเพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าพัก แขกท่านอื่นในโรงแรม และเพื่อแจ้งข้อมูลใด ๆ ที่ผู้เข้าพักควรทราบนั่นเอง โดยในขั้นตอนนี้เองก็เป็นช่วงที่เหมาะที่สุดสำหรับการแจ้งความต้องการใด ๆ หรือสอบถามบริการที่ต้องการกับทางโรงแรมโดยตรง

ขั้นตอนการเช็กอินโรงแรมเป็นอย่างไรบ้าง ?

  1. ผู้เข้าพักจะต้องแจ้งเรื่องการจองห้องพักกับพนักงานภายในโรงแรม โดยมีการแสดงหลักฐานการจอง เช่น ใบจองห้องพัก หรือรหัสการจองที่ได้รับจากเว็บไซต์รับจอง
  2. ผู้เข้าพักจะต้องยืนยันตัวตนเพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาเป็นผู้ที่จองห้องพักจริงๆ โดยการยืนยันตัวตนมักจะใช้บัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทางเป็นเอกสารประจำตัว
  3. ผู้เข้าพักจะต้องกรอกรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้โรงแรมมีข้อมูลเพียงพอในการให้บริการ รายละเอียดที่ต้องกรอกก็อาจจะมี ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล และอื่นๆ
  4. พนักงานจะแนะนำโรงแรมและกฎระเบียบต่าง ๆ เช่น ตารางเวลาเปิด-ปิดของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในโรงแรมการละเว้นเสียงดังในช่วงเวลาไหนถึงเวลาไหน เป็นต้น
  5. พนักงานจะมอบกุญแจหรือคีย์การ์ดให้ลูกค้า เพื่อใช้ในการเปิดประตูห้องพัก และจะพาลูกค้าไปยังห้องพักโดยส่วนใหญ่จะมีการแนะนำและแสดงแหล่งจ่ายไฟฟ้า สัญญาณอินเตอร์เน็ต โทรทัศน์ และอุปกรณ์อื่นๆ ในห้องพัก ไปด้วยในขั้นตอนนี้

เอกสารใดบ้างที่ใช้ยืนยันตนในโรงแรมได้

  • หนังสือเดินทาง
  • บัตรประจำตัวประชาชน
  • ใบขับขี่

เรื่องอะไรบ้างที่ควรแจ้งตอนเช็คอิน

  • ห้องสูบบุหรี่ / ไม่มีบุหรี่
  • ขออัพเกรดห้อง
  • ขอชั้นสูง / ชั้นเตี้ย
  • ขอไม่รับ มินิบาร์ หรือ ไม่รับแอลกอฮอล์ในมินิบาร์
  • จองดินเนอร์
  • Late Check-out / Early Check-in

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเช็คอินโรงแรม

  • การเก็บข้อมูลผู้เข้าพักของโรงแรมตามระเบียบจริง ๆ นั้นต้องทำการเก็บทุกคน ฉะนั้นทุกคนในทริปต้องเตรียมหลักฐานยืนยันตัวเองเอาไว้ แม้ว่าในทางปฏิบัติโรงแรมอาจจะไม่ได้ขอทั้งหมด
  • การเช็คอินโรงแรมส่วนมากจะมีเวลามาตรฐาน อยู่ที่ช่วงบ่ายโมงเป็นต้นไป เพื่อเป็นการเตรียมห้องให้เรียบร้อย แต่บางโรงแรมก็ถูกออกแบบให้เช็กอิน และเช็กเอาท์ได้ ตลอด 24 ชั่วโมง
  • หากไปถึงโรงแรมก่อนเวลาเช็คอิน หลายโรงแรมจะอนุญาตให้ใช้ Facility บางส่วนก่อนเพื่อให้แขกได้ฆ่าเวลา สามารถสอบถามโรงแรมได้ว่ามีบริการใดไหมที่เราสามารถเข้าไปใช้ได้ก่อน
  • บางโรงแรมสามารถขอ Early Check-in ได้ ฉะนั้นอย่าลืมสอบถามและแจ้งความประสงค์เพื่อทำให้แผนเที่ยวของเราคล่องตัวที่สุด
  • โรงแรมส่วนมากจะมีการเก็บค่ามัดจำผู้เข้าพัก เพื่อประกันความเสียหายระหว่างเข้าพัก ซึ่งหากไม่มีปัญหาผู้เข้าพักจะได้คืนเมื่อทำการเช็กเอาท์

Early Check-in คืออะไร ต้องทำเรื่องอย่างไร ?

การขอ Early Check-in คือการแจ้งโรงแรมเอาไว้ว่าเราต้องการเข้าไปพักก่อนเวลาทั่วไป ซึ่งอาจจะเกิดจากแผนเที่ยว เที่ยวบิน หรือสาเหตุอื่น ๆ ซึ่งแล้วแต่โรงแรมจะอนุมัติ หรือสามารถทำตาคำร้องได้หรือไม่ โดยการทำเรื่อง Early Check-in นั้นก็ไม่ยาก เพียงแค่สอบถามหรือบอกโรงแรมโดยตรงได้เลย ทว่าเราแนะนำว่าควรให้เวลาโรงแรมเตรียมการอย่างน้อย 4-8 ชั่วโมง

Check out

วิธีการเช็กเอาท์โรงแรม

การเช็คเอาท์โรงแรมเป็นขั้นตอนสิ้นสุดการพักผ่อนในโรงแรม ที่จะทำในวันสุดท้ายของการพัก โดยในวันนั้นหลังจากที่เราตื่นนอนและเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถนำกุญแจห้องไปยื่นที่เคาน์เตอร์รีเซปชั่นได้เลย แน่นอนว่าหลังจากยื่นกุญแจไปแล้ว เราก็จะกลับเข้าไปในห้องของเราไม่ได้แล้วเช่นกัน โดยส่วนมากโรงแรมจะมีเวลาเช็คเอาท์สากลอยู่ในช่วง 10-11 โมงเพื่อเตรียมห้องให้ทันลูกค้าที่จะเข้ามาพัก แต่ในบางกรณีที่โรงแรมไม่ได้มีแขกเยอะหรือมีคนรอใช้ห้อง ก็สามารถทำเรื่องของอนุโลมเช็กเอาท์เลทได้

ขั้นตอนการเช็กเอาท์โรงแรมเป็นอย่างไรบ้าง ?

  1. แจ้งรีเซปชั่นและส่งมอบกุญแจห้องคืน
  2. พนักงานจะเข้าตรวจสอบห้องว่ามีความเสียหายใดไหม และ มินิบาร์อยู่ครบรึเปล่า
  3. หลังจากการตรวจสอบเมื่อไม่มีปัญหา โรงแรมคืนค่ามัดจำห้อง และคิดเงินบริการ Pre-Paid ที่เราใช้ไปในโรงแรม
  4. เป็นอันเสร็จสิ้นการเช็คเอาท์

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเช็คเอาท์โรงแรม

  • เวลาการเช็กเอาท์สากลอยู่ที่ช่วง 10-11 โมง
  • เลทเช็กเอาท์จำเป็นต้องแจ้งก่อน ส่วนมากจะได้ต่อเวลาไม่เกินบ่าย 2 โมง
  • หากแจ้งออกเกินเวลามาก ๆ โรงแรมอาจจะคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
  • โรงแรมจะเก็บของที่เราลืมเอาไว้ในห้องให้และติดต่อกลับไว้ภายหลัง แต่ก็ควรตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนออกจากห้อง
  • บางโรงแรม Minibar ใช้ระบบ Sensor ฉะนั้นซื้อของมาใส่คืนก็อาจจะเสียเงินเหมือนกัน

Late Check-out คืออะไร ต้องทำเรื่องอย่างไร ?

การขอ Late Check-out คือการแจ้งโรงแรมเอาไว้ว่าเราต้องการพักต่ออีกเล็กน้อย อาจจะเพราะมีธุระที่ยังไม่เสร็จ หรืออยากใช้บริการบางอย่างของโรงแรมต่ออีกนิด การ Late Check-out ถือว่าเป็น Optional Service ที่โรงแรมไม่จำเป็นต้องมอบให้ผู้เข้าพักก็ได้ ฉะนั้นอย่าคาดหวังว่าทุกโรงแรมจะใจดีเหมือนกัน

สิ่งที่ควรทำเมื่อเข้าพัก

สิ่งที่ควรทำเมื่อเข้าพักโรงแรม

ต่อไปนี้ก็เป็นข้อแนะนำประกอบกับขั้นตอนอื่นๆ ถึงสิ่งทั่วไปที่ควรทำเมื่อเข้าพักโรงแรม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างการพักอาศัย และเพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายและทรัพย์สิน ดังนี้

  • เมื่อเข้าพักโรงแรมควรปฏิบัติตามกฎของโรงแรมอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เสียค่าปรับหากมีการละเมิดกฎของที่พัก 
  • ควรชาร์จแบตโทรศัพท์ให้เต็มอยู่เสมอ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ฉุกเฉินที่จะต้องติดต่อให้คนมาช่วย 
  • ควรตรวจสอบความแน่นหนาของประตูให้ดี เพื่อป้องกันการเข้าได้ง่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต 
  • ห้ามตรวจสอบปลั๊กไฟในห้องเพื่อป้องกันปัญหาความขัดข้องไฟฟ้า
พักโรงแรม

สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเข้าพักโรงแรม

เมื่อเข้าพักโรงแรม นอกจากจะมีขั้นตอนการเข้าพักโรงแรมที่ควรทำแล้วยังมีสิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและเพื่อความปลอดภัยทั้งร่างกายและทรัพย์สินเช่นกัน ดังนี้

  • ไม่ควรทำเสียงดังโวยวาย ควรลดเสียงดังๆ ที่อาจจะรบกวนคนอื่นในโรงแรม เช่น เล่นเพลงดังหรือพูดคุยดังเกินไป
  • ไม่ควรวางของมีค่าไว้นอกห้องหรือนอกกระเป๋า ควรนำของมีค่า เช่น ทองคำ อัญมณี หรือเงินสด ไว้ในตู้เซฟที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ และควรปิดกระเป๋าให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันการขโมย
  • ไม่ควรหยิบของในห้องกลับไป ไม่ควรหยิบของที่ไม่ได้เป็นของตนเอง เพราะอาจจะเข้าข่ายการลักลอบนำของออกนอกโรงแรมและอาจได้รับบทลงโทษได้
  • ไม่ควรลักลอบนำสัตว์เข้าห้อง ควรปฏิบัติตามกฎของโรงแรม ซึ่งบางโรงแรมอาจจะไม่อนุญาตให้เข้าพักพร้อมสัตว์ เพื่อป้องกันไม่ให้เสียค่าปรับในภายหลัง
  • ไม่เปิดเผยเลขห้องให้กับคนอื่นหรือผ่านโซเชียลมีเดีย เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาความปลอดภัย
  • ต้องตรวจสอบค่าใช้จ่ายของห้องพักกับโรงแรมให้เรียบร้อยก่อนเซ็นที่ใบเสร็จ และหากมีข้อสงสัยใดๆ ให้สอบถามพนักงานโรงแรมเพิ่มเติม
  • ห้ามเปิดประตูห้องให้กับคนแปลกหน้า เพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สินและความปลอดภัยของร่างกายของผู้พักอาศัยในห้องโรงแรม
  • รักษาความสะอาดและรักษาความเรียบร้อยของห้องพัก ไม่ควรสร้างความเสียหายหรือทิ้งขยะในห้องพักจนทำให้เกิดความสกปรก
  • อย่าเปิดที่จอดรถหรือรับบริการจากผู้ไม่รู้จักที่อาจเป็นอันตราย
  • อย่าเก็บของมีค่าอย่างเงินสดหรือเครื่องประดับให้ที่ห้องพักโดยไม่มีความจำเป็น เพราะอาจเสี่ยงต่อการหลอกลวงหรือการขโมย
  • ติดต่อพนักงานโรงแรมหรือติดต่อศูนย์สนับสนุนการเดินทางเมื่อเกิดปัญหาหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับการเข้าพักโรงแรม

การทำตามขั้นตอนต่างๆ ของการเช็คอินเข้าพักโรงแรมจะช่วยให้ทุกอย่างเป็นไปได้รวดเร็วและถูกต้องเป็นไปตามกฎของโรงแรม โดยจะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาและมีความปลอดภัยในระหว่างการเข้าพักโรงแรม
เมื่อมีการเดินทางและมีสัมภาระหนัก การใช้บริการรับส่ง-ฝากกระเป๋ากับ AIRPORTELs Luggage Delivery จะช่วยลดภาระที่ต้องใช้ในการขนกระเป๋า ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกและคล่องตัวยิ่งขึ้น
AIRPORTELs Luggage Delivery จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการขนกระเป๋าเอง โดยสามารถส่งกระเป๋าไปถึงโรงแรมโดยตรง และไม่ต้องเก็บสัมภาระในระหว่างเดินทาง ทำให้ลดความเสี่ยงในการสูญหายหรือเสียหายของสิ่งของที่อาจเกิดขึ้นได้ในการขนกระเป๋าเอง

Boarding Pass คืออะไร สำคัญอย่างไรเมื่อเรามีเที่ยวบิน

Boarding Pass คือ กระดาษใบยาวๆ ที่เราได้รับหลังทำการเช็กอิน (check-in) เมื่อไปถึงสนามบิน มีใครเคยสงสัยกันบ้างไหมว่าคืออะไรกันแน่ ทำไมเวลาเดินทางทั้งในและต่างประเทศ ต้องใช้ Boarding Pass อยู่เสมอ และที่สำคัญ คือ ทุกคนจะทำ Boarding Pass หาย ไม่ได้นะ ไม่งั้นไม่ได้ขึ้นเครื่องแน่ๆ

Boarding Pass คืออะไร

Boarding Pass คือ เอกสารสำคัญที่ควรถือไว้คู่กับหนังสือเดินทาง (Passport) เพราะเป็นเอกสารที่มีข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับการบิน จึงมีไว้สำหรับยืนยันตัวตนของเราหลายระหว่างบิน โดยตัว Boarding Pass จะประกอบด้วยข้อมูลสำคัญของเรา ไม่ว่าจะเป็นชื่อ-นามสกุล หมายเลขเที่ยวบิน เวลาขึ้นเครื่อง เวลาถึงปลายทาง ประตูทางออกขึ้นเครื่อง ชั้นที่นั่งโดยสาร และเลขที่นั่งโดยสาร

จริงๆ แล้วถ้าเราทำ Boarding Pass หาย ไม่ใช่แค่เราจะไม่ได้ขึ้นเครื่อง แต่ยังเกิดความเสี่ยงต่างๆ ตามมาจากข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล เพราะ Boarding Pass นั้นมีบาร์โค้ดที่สามารถสแกนเข้าไปดูข้อมูลอื่นๆ ของเราได้เทียบเท่ากับตัวเล่ม Passport เลยนะ ดังนั้น เมื่อได้ Boarding Pass มาแล้ว ต้องรักษาไว้ให้ดี อย่าทำหาย หรือ ถ่ายรูปโพสต์ลงบนโซเชียลแพลตฟอร์มต่างๆ เป็นอันขาด

passpoet

Boarding Pass คืออะไร

เมื่อเราไปถึงสนามบินแล้ว เราไม่สามารถขึ้นเครื่องบินได้ในทันที สิ่งแรกที่ทุกคนต้องทำเหมือนกันเลย คือ การเช็กอิน (check-in) หรือ การลงทะเบียนยืนยันการเดินทาง ซึ่งปกติแล้วทางสายการบินจะมีเคาน์เตอร์เตรียมไว้รอรับเราอยู่ใกล้ๆ กับประตูทางเข้าอยู่แล้ว พอทำการเช็กอิน (check-in) เสร็จ ทุกคนจะได้รับกระดาษสีขาวใบยาวๆ ที่ระบุข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางในเที่ยวบินนี้ของเรามา เจ้ากระดาษใบนี้แหละ คือ “Boarding Pass”

แต่ถ้าใครไม่อยากต่อแถวยาวๆ ก็สามารถทำการเช็กอิน (check-in) แบบอัตโนมัติด้วยตัวเอง ผ่านเครื่อง kiosk ตามจุดที่สนามบินเตรียมเอาไว้ให้ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยลักษณะของตู้ประเภทนี้จะคล้ายๆ กับตู้ ATM เราสามารถตอบคำถามต่างๆ ที่ตู้นี้ถามให้ครบ เช่น ชื่อ-สกุลอะไร นั่งตรงไหน สายการบินอะไร ถ้าตอบถูกหมด ก็จะได้รับ “Boarding Pass” เช่นเดียวกัน

หรือใครที่ต้องการความสะดวกสบาย เดี๋ยวนี้บางสายการบินก็มีบริการเช็กอินออนไลน์ (online-check-in) ผ่านเว็บไซต์ โดยเราสามารถทำการเช็กอินได้ภายระยะเวลา 24 ชั่วโมง ก่อนเครื่องออก ซึ่งการเช็กอินประเภทนี้ เราจะได้ “Boarding Pass” ในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถกดบันทึกไว้เป็นไฟล์รูปภาพภายในโทรศัพท์มือถือได้ วิธีนี้จะเป็นวิธีที่สะดวกสบายมากที่สุด แถมยังช่วยรักษ์โลกผ่านการลดปริมาณการใช้กระดาษได้อีกด้วย

ข้อมูลใน boarding pass

ข้อมูลใน Boarding Pass

ไม่ว่าเราจะทำการเช็กอินแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นการเช็กอินหน้าเคาเตอร์ เช็กอินผ่านตู้ kiosk หรือเช็กอินผ่านช่องทางออนไลน์ Boarding Pass ที่ได้รับมา คือ Boarding Pass เดียวกัน สามารถใช้เป็นเอกสารในการขอขึ้นเครื่องบินได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกระดาษสีขาวทรงแนวนอนแบบยาว หรือเป็นภาพไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ เพราะ Boarding Pass ที่เราได้รับมาจะมีข้อมูลสำคัญของตัวเรา ดังนี้

1.ชื่อ-นามสกุล ผู้โดยสาร

สำหรับชื่อ-นามสกุลของผู้โดยสารที่ปรากฎอยู่บน Boarding Pass นั้น อาจจะดูแปลกตาสำหรับคนไทย เพราะอย่างแรกเลย
คือ ชื่อ-นามสกุลผู้โดยสารที่ปรากฎอยู่บน Boarding Pass จะพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ และอย่างที่สอง คือ ชื่อ-นามสกุลบน Boarding Pass จะมีการสลับตำแหน่งกัน คือ นามสกุลจะปรากฎอยู่ข้างหน้า ส่วนชื่อจะอยู่ด้านหลังนามสกุลอีกที เช่น ถ้าคุณชื่อ Michel Jackson ชื่อ-นามสกุลที่ปรากฎอยู่บน Boarding Pass ของคุณ คือ Jackson Michel

โดยเราต้องตรวจทานให้ดีว่าชื่อ-นามสกุลของเรา มีการสะกดที่เหมือนกับชื่อ-นามสกุลที่ปรากฎอยู่บนหนังสือเดินทาง (Passport) หรือไม่ เพราะถ้าหากมีตัวอักษรสะกดแตกต่างกันแม้แต่ตัวเดียว เราก็อาจจะถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องบินได้ และสำหรับใครที่ขึ้นเที่ยวบินภายในประเทศ อาจใช้บัตรประจำตัวประชาชนเป็นเอกสารยืนยันตัวตนแทนหนังสือเดินทาง (Passport) ได้เช่นกัน

2. หมายเลขเที่ยวบิน

ในส่วนของหมายเลขเที่ยวบินนั้น จะเป็นโค้ดตัวอักษรภาษาอังกฤษจำนวน 2 ตัว ตามด้วยตัวเลขอีก 3-4 หลักต่อท้าย ทุกคนจึงควรจำตัวอักษร 2 หลักแรกบน Boarding Pass ให้ดี เพราะตัวอักษรนั้น คือ รหัสที่จะบอกสายการบินที่ต้องขึ้น เช่น AK1234 ตัวอักษร AK ที่ปรากฎอยู่ด้านหน้า จะบอกให้รู้ว่าเที่ยวบินที่ต้องขึ้นเป็นเที่ยวบินของสายการบินใด ซึ่งแต่ละสายการบินจะมีรหัสตัวอักษรนำคู่ที่แตกต่างออกไป

3. เวลาขึ้นเครื่อง

สำหรับใครที่ได้รับ Boarding Pass มาแล้ว จะเห็นตัวเลข 3-4 หลัก ที่เขียนติดกันเอาไว้ โดยมีตัวอักษร A หรือ P ต่อท้าย มักปรากฎอยู่บริเวณที่ส่วนกลางของขอบกระดาษ เช่น 300A หรือ 1010P โดยเจ้าตัวโค้ด A หรือ P นี้ คือ ตัวเลขบอกเวลาขึ้นเครื่อง โดย 300A หมายถึง เวลา ตี 3 ส่วน 1010P หมายถึง เวลา 4 ทุ่ม 10 นาที

โดยตัวอักษร A นั้น ย่อมาจากคำว่า AM (Ante Meridiem) หมายถึง เวลา 12 ชั่วโมงหลังเที่ยงคืน ส่วนตัว P นั้น ย่อมาจากคำว่า PM (Post Meridiem) หมายถึง เวลา 12 ชั่วโมงหลังเที่ยงวัน ถ้าหากใครจำเวลา AM และ PM ผิด อาจทำให้ไปถึงสนามบินผิดเวลา จนอาจทำให้ตกเครื่อง หรือต้องรอขึ้นเครื่องนานถึง 12 ชั่วโมงที่สนามบินได้เลย ซึ่งทริคในการจำก็ง่ายๆ A คือ จำว่าตัว A เป็นอักษรตัวแรกของภาษาอังกฤษ เวลาก็จะเริ่มนับตั้งแต่ช่วงเข้าสู่วันใหม่ หรือเที่ยงคืน ส่วน P ก็จะกลายเป็นหลังเที่ยงวันไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ เราควรเผื่อเวลาก่อนขึ้นเครื่องสักเล็กน้อย หากเวลาขึ้นเครื่องบน Boarding Pass คือ 1130A หรือ 11 โมงครึ่ง เราก็ควรจะไปรอที่เกต (Gate) ตั้งแต่ 10 โมงครึ่ง หรือหากมาสาย ถ่ายรูป กินข้าว ช็อปปิงเพลินไปหน่อย ก็ควรมาถึงเกตอย่างช้าสุดตอน 11 โมงเช้า ไม่งั้นอาจตกเครื่องได้ เพราะไม่ใช่ว่ามาถึงเกตแล้วจะได้ขึ้นเครื่องทันที พี่ๆ แอร์โฮสเตสและสจ๊วต เขาจะเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องตามโซนและคลาสของที่นั่ง หากเราไปผิดเวลา อาจจะทำให้เกิดความล่าช้าได้

โดยผู้โดยสารชั้น First Class และ Business Class จะได้ขึ้นเครื่องก่อน ตามด้วยผู้โดยสารขึ้น Economy Class โดยจะเรียกขึ้นเครื่องตามโซนที่นั่ง ซึ่งใครได้ที่นั่งเข้าออกยากๆ บริเวณตรงกลางด้านหลัง ก็มักจะถูกเรียกให้ขึ้นเครื่องก่อน

พูดง่ายๆ คือ หากเราไม่อยากมีปัญหาในการเดินทาง จนต้องมาลุ้นว่าจะขึ้นเครื่องทันก่อนเครื่องออกหรือไม่ ให้ดูเวลาขึ้นเครื่องใน Boarding Pass ให้ดี คือ เวลาเครื่องออกเท่าไหร่ ควรไปรอที่เกตก่อนหน้าเวลาที่ปรากฎสัก 30-60 นาที ซึ่งเวลาที่เขียนอยู่บน Boarding Pass คือ เวลาท้องถิ่นที่สนามบินนั้นๆ ตั้งอยู่

4. เวลาถึงปลายทาง

ในส่วนของเวลาถึงปลายทาง คือ เวลาคาดการณ์โดยประมาณที่ครื่องบินจะลงจอดยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งมีหลักการในการเขียนตัวเลขลงใน Boarding Pass เหมือนกันกับการเขียนบอกเวลาขึ้นเครื่อง คือ ตัวเลข 3-4 หลัก แล้วตามด้วยตัวอักษร A หรือ P เช่น 1010A คือ 10 โมงเช้ากับอีก 10 นาที นั่นเอง

นอกจากนี้ เราควรปรับนาฬิกาให้เวลาตรงตามเวลาท้องถิ่นของปลายทางนั้นๆ โดยสามารถดูเวลาจาก Time Zone สากลได้ เช่น เมืองไทยมีรหัสโซนเวลาเป็น GMT+7:00 BKK นั่นหมายความว่า โซนเวลาของประเทศไทย ที่มีเมืองหลวง คือ กรุงเทพมหานครนั้น จะมีเวลาเร็วกว่าโซนเวลามาตรฐาน คือ เมืองกรีนิชประเทศอังกฤษ (Greenwich Mean Time) อยู่ 7 ชั่วโมง หากเราเดินทางไปจากเมืองไทยไปถึงประเทศอังกฤษ ก็ต้องปรับเวลาให้เร็วขึ้น 7 ชั่วโมง เช่น เวลาเครื่องลงจอดที่อังกฤษ นาฬิกาเราบอกเวลา 10 โมงเช้า เราก็ต้องปรับลดเวลาลง 7 ชั่วโมง ให้เป็นเวลา ตี 3 แทน

5. ประตูทางออกขึ้นเครื่อง

อีกสิ่งสำคัญที่ Boarding Pass สามารถบอกเราได้ คือ ประตูทางออกขึ้นเครื่อง หรือ Gate นั่นเอง เพราะเครื่องบินโดยสารนั้นมีขนาดที่ใหญ่ ทำให้มีประตูทางออกขึ้นเครื่อง หรือ Gate หลายประตู แยกตามโซนและคลาสที่นั่ง เมื่อเราได้ Boarding Pass มาแล้ว ก็ต้องตรวจดูว่า เราได้ขึ้นเครื่องบินที่ประตูทางออกขึ้นเครื่อง หรือ Gate ไหน และจำหมายเลข Gate เอาไว้ให้ดี แต่บางครั้งอาจมีตัวอักษรภาษาอังกฤษอยู่ด้านบน คล้ายกับโซนของที่จอดรถ เช่น Gate B12 เป็นต้น

6. เลขที่นั่งโดยสาร

Boarding Pass คือ สิ่งที่สามารถบอกเลขที่นั่งโดยสารของเราได้ โดยมีเลขบอกแถวและที่นั่ง จะมีลักษณะคล้ายเลขที่นั่งเวลาไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ ซึ่งเราต้องดูที่ตัวอักษรภาษาอังกฤษในหลักแรกก่อน ว่าเราได้นั่งแถวไหน และตามปกติแล้ว แถวหน้าสุดจะเป็นรหัส A แถวที่ 2 เป็น B แถวที่ 3 เป็น C เรียงตามลำดับ A-Z แล้วหลังจากนั้น ค่อยดูเลขที่นั่งต่อท้าย ว่าเราได้เลขที่นั่งอะไร โดยจะนับ 1 ที่ตำแหน่งซ้ายสุด เช่น A1 คือ ที่นั่งแถวหน้าสุด ติดริมหน้าต่างฝั่งซ้ายของตัวเครื่องบิน

7. ชั้นที่นั่งโดยสาร

สำหรับชั้นที่นั่งโดยสาร จะมีโค้ดเป็นตัวย่อภาษาอังกฤษต่อท้ายเลขที่นั่ง ซึ่งเป็นตัวอักษรแบ่งเอาไว้ตามหลักสากลให้ดูบน Boarding Pass เหมือนกันทุกสายการบิน คือ รหัส P J และ Y
โดยรหัสทั้ง 3 มีความหมายดังต่อไปนี้
P หมายถึง First Class
J หมายถึง Business Class
Y หมายถึง Economy Class

ยกตัวอย่างเช่น Boarding Pass ระบุว่าคุณได้ที่นั่ง A1Y คือ คุณได้นั่งที่นั่งชั้นประหยัด (Economy Class) แถวแรก ติดหน้าต่างด้านซ้ายสุดนั่นเอง

boarding pass ทำอะไรได้บ้าง

Boarding Pass ทำอะไรได้บ้าง

อย่างที่กล่าวไป Boarding Pass คือ เอกสารที่สำคัญที่สุดแล้วในการเดินทางโดยเครื่องบิน ดังนั้น คุณต้องระวังไม่ให้ Boarding Pass หาย เพราะคุณต้องใช้ Boarding Pass เป็นเอกสารประกอบการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอนระหว่างที่อยู่ในสนามบิน ไม่ว่าจะเป็นในระหว่างการตรวจสอบ และโหลดกระเป๋า การโชว์ให้เจ้าหน้าที่ตรงประตูทางออกขึ้นเครื่องดู และโชว์ให้พนักงานต้อนรับดูตอนหาที่นั่ง

ตรวจสอบและโหลดกระเป๋า

สำหรับใครที่ถึงสนามบินเร็ว และอยากเดินช็อปปิงสินค้าปลอดภาษีในสนามบินระหว่างรอขึ้นเครื่อง แต่ไม่อยากลากกระเป๋าไปมาให้พะรุงพะรัง สามารถนำกระเป๋าฝากกับ AIRPORTELs ก่อนได้ พอถึงเวลาค่อยกลับมานำกระเป๋าไปโหลดทีหลัง โดยใช้ Boarding Pass เป็นเอกสารในการยืนยันตัวตนว่าเราคือผู้โดยสารคนเดียวกับคนที่ได้เช็กอินไปก่อนหน้านี้ ของที่โหลดเพิ่มจะได้เอาไปรวมกับของเก่าที่โหลดเอาไว้ก่อนหน้าได้ถูกคน

โดยหลายคนเลือกที่จะมาช็อปปิงสินค้าในสนามบินกันค่อนข้างมาก เพราะนอกจากราคาจะถูกกว่าตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปแล้ว ยังสามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ฟรี เพิ่มเติมจากน้ำหนักมาตรฐานที่สายการบินแจ้ง หรือผู้โดยสารได้ซื้อน้ำหนักเอาไว้

โชว์ให้เจ้าหน้าที่ตรงประตูทางออกขึ้นเครื่องดู

เราจำเป็นต้องแสดง Boarding Pass โชว์ให้เจ้าหน้าที่ตรงประตูทางออกขึ้นเครื่องดู เพื่อเป็นการยืนยันตัวตนว่าเราคือผู้โดยสารของสายการบินนั้นๆ และเราขึ้นเครื่องบินถูก Gate เพราะอย่างที่บอกไว้ข้างต้น ว่าเครื่องบินโดยสารนั้นมีขนาดใหญ๋ และมีหลาย Gate หากขึ้นผิด Gate จะสร้างความลำบากให้กับเรา รวมถึงแอร์โฮสเตส และสจ๊วตบนเครื่องบินเวลาต้องหาที่นั่ง อีกทั้งยังเป็นการตรวจสอบซ้ำอีกครั้งว่าเราเป็นผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วเครื่องบินมาอย่างถูกต้อง

โชว์ให้พนักงานต้อนรับดู

สาเหตุสำคัญที่ต้องโชว์ Boarding Pass ให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องดูอีกรอบ คือ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกเจ้าหน้าที่ให้จัดหาที่นั่งให้เราได้อย่างสะดวก และจะได้มีหลักฐานยืนยันว่าเราเป็นเจ้าของที่นั่งนั้นๆ หากมีคนอื่นมานั่งที่นั่งของเราบนเครื่องบิน

Boarding Pass คือ เอกสารที่สำคัญที่สุดในการเดินทางโดยเครื่องบิน เพราะมีข้อมูลสำคัญต่างๆ มากมาย ทั้งชื่อ-นามสกุล หมายเลขเที่ยวบิน เวลาขึ้นเครื่อง เวลาถึงปลายทาง ประตูทางออกขึ้นเครื่อง เลขที่นั่ง และชั้นโดยสาร แถมยังมีบาร์โค้ดที่สามารถเข้าไปแก้ไขชื่อ-นามสกุล และเที่ยวบินต่างๆ แบบออนไลน์ได้ด้วย ในกรณีที่ทำ Boarding Pass หาย อาจหมายถึงโอกาสเสี่ยงในการโดนจารกรรมข้อมูล หรือโดนกลั่นแกล้งจนตกเครื่องบินได้ในที่สุด ดังนั้น ทุกคนต้องเก็บรักษา และห้ามทำ Boarding Pass หาย ตลอดจนห้ามโพสต์ข้อมูลบน Boarding Pass ลงบนโซเชียลเป็นอันขาด

ขึ้นเครื่องไม่ทัน ไม่ต้องกังวล มาดูกันว่าต้องทำยังไง

หลายคนที่มีประสบการณ์เดินทางด้วยเครื่องบิน อาจเคยพบกับเหตุการณ์ที่เช็กอินไม่ทัน ขึ้นเครื่องไม่ทันหรือเฉียดฉิวตกเครื่องกันมาบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวให้พร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เผื่อในอนาคตมีโอกาสเจอเหตุการณ์ขึ้นเครื่องไม่ทันแบบนี้ จะได้ไม่ตื่นตระหนกตกใจกันไปเสียก่อน บทความนี้ ได้รวบรวมข้อมูลที่ควรรู้มาไว้หมดแล้ว ทั้งสาเหตุที่เกิดขึ้นของปัญหา ควรทำอย่างไรเมื่อขึ้นเครื่องไม่ทัน และการป้องกันไม่ให้ตกเครื่อง เตรียมพร้อมกับการเดินทางได้แบบไม่ต้องกังวล

ขึ้นเครื่องไม่ทัน ไม่ต้องกังวล
เช็กอินไม่ทัน

ขึ้นเครื่องไม่ทัน เช็กอินไม่ทัน คืออะไร

เหตุการณ์ขึ้นเครื่องไม่ทัน เช็กอินไม่ทัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลายคนอาจเคยผ่านประสบการณ์มาบ้าง ซึ่งอาจเจอได้ทั้งเที่ยวบินขาไป หรือขากลับ โดยสาเหตุมักเกิดจากการที่ไปถึงเกตไม่ทันเวลา หรือการไปไม่ทันตามกำหนดเวลาเช็กอิน ทำให้ไม่สามารถขึ้นเครื่องเดินทางในเที่ยวบินนั้นๆ ได้ นอกจากนี้ การขึ้นเครื่องไม่ทันอาจเกิดจากปัญหาการเดินทาง สภาพการจราจรที่ติดขัด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้การเดินทางล่าช้า กว่าจะถึงสนามบินก็ไปเช็กอินไม่ทันเสียแล้ว รวมไปถึงปัญหาอื่นๆ เช่น พาสปอร์ตหาย การจำวันเดินทางผิดวัน หรือเดินทางไปผิดสนามบิน เป็นต้น

ขึ้นเครื่องไม่ทัน

ขึ้นเครื่องไม่ทันแน่นอน หากยังทำแบบนี้

การขึ้นเครื่องไม่ทันอาจทำให้เสียเวลา เสียเงินโดยไม่จำเป็น และอาจจะทำให้ตารางนัดต้องเสียหายจากการเดินทางที่ล่าช้าด้วย เพราะฉะนั้น หากรู้ถึงสาเหตุของการที่ทำให้ไปเช็กอินไม่ทัน หรือการไปขึ้นเครื่องไม่ทัน ก็จะทำให้ทุกคนเตรียมความพร้อม และลดข้อผิดพลาดในการเดินทางได้ แล้วสาเหตุที่ทำให้ทุกคนขึ้นเครื่องบินไม่ทันมีอะไรบ้าง ไปดูพร้อมกันเลย

เช็กอินไม่ทัน

การเช็กอินไม่ทันอาจเกิดขึ้นได้ 2 กรณี กรณีแรก คือ เดินทางไปสนามบินล่าช้าด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น ตื่นสาย เตรียมตัวไม่ทัน รถติด หรือมีธุระบางอย่างที่กว่าจะเดินทางมาถึงสนามบิน ก็ไปเคาเตอร์เช็กอินไม่ทันเสียแล้ว เพราะฉะนั้น การเผื่อเวลาเดินทางจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ และกรณีที่สอง คือ เช็กอินทัน แต่ขึ้นเครื่องไม่ทันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเช่นกัน หลายคนอาจโล่งใจหลังจากที่ไปเช็กอิน และได้รับ Boarding Pass สำหรับขึ้นเครื่องเรียบร้อย เลยแอบไปหาของกิน เดินเล่น ช็อปปิง หรือเข้าห้องน้ำอย่างเพลิดเพลิน จนอาจทำให้เดินทางไปขึ้นเครื่องไม่ทันในที่สุด

เข้าแถวเช็กอิน

ติดอยู่ในแถวเช็กอิน

การติดอยู่ในแถวเช็กอินเป็นเวลานานก็ไม่อาจวางใจได้เลย หากแถวที่ยาวเหยียดเป็นแถวที่อยู่ในช่วงที่ใกล้เวลาปิดเคาท์เตอร์เช็กอินของเที่ยวบินที่ต้องการเดินทาง ทางที่ดีควรรีบไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ว่าง และอยู่ใกล้มากที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว อาจทำให้ทุกคนเช็กอินไม่ทัน และเดินทางไปขึ้นเครื่องไม่ทันอย่างแน่นอน

เดินซื้อของเพลินจนลืมเวลา

หลังจากเช็กอินเรียบร้อยแล้ว แต่เวลายังเหลือให้ได้ไปเดินซื้อของ โดยเฉพาะใน Duty Free ที่สามารถซื้อของได้มากขึ้น แต่ใช้เงินน้อยลง เพราะเหล่าสินค้าใน Duty Free เป็นสินค้าปลอดภาษีทั้งหมด ทำให้บางคนสนุกกับการเดินเลือกซื้อของจนลืมดูเวลา จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ขึ้นเครื่องไม่ทัน เพราะฉะนั้น หากอยากเดินเลือกซื้อของควรต้องระวังในเรื่องของระยะเวลาในการเดินเลือกซื้อ และเผื่อเวลาสำหรับเดินทางไปขึ้นเครื่องด้วย

บอกลาครอบครัวก่อนขึ้นเครื่อง

บอกลาครอบครัว เพื่อน แฟน หรือคนที่มาส่ง

ก่อนการเดินทางมักมีการบอกลาคนที่มาส่ง เช่น ครอบครัว เพื่อน หรือแฟน โดยหลายคนอยากเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ได้ร่ำลากันไว้ให้นานที่สุด บางคนอาจมีการร่ำลาคนที่มาส่งหลายคน ใช้เวลาพูดคุย กับบุคคลเหล่านั้นให้นานเท่านาน ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ขึ้นเครื่องไม่ทันได้ ดังนั้น ควรใช้เวลาในการบอกลาแบบสั้นๆ หรือมีความพอดี เพื่อให้ความคิดถึงได้ทำงาน และเดินทางไปถึงจุดหมายโดยไม่มีอะไรผิดพลาด

ไม่เผื่อเวลา

สิ่งสำคัญที่ควรพึงระลึกไว้เสมอเวลาเดินทาง โดยเฉพาะการขึ้นเครื่องบิน คือ การเผื่อเวลา ทุกคนไม่ควรชะล่าใจให้กับทุกสถานการณ์ เช่น เวลาเดินทางไปสนามบิน การจราจร อุปสรรค สภาพอากาศ หรือการเช็กสนามบินที่ต้องไปให้ดี หลายคนอาจมีประสบการณ์เดินทางไปผิดสนามบินมาแล้ว นอกจากนี้ การจัดเตรียมเอกสารให้ถูกต้อง ครบถ้วนก่อนเดินทาง และการทำธุระส่วนตัวก็ควรเผื่อเวลาไว้อย่างน้อย 1-3 ชั่วโมง ก่อนการเดินทางทุกครั้ง เพราะการไม่เผื่อเวลาไว้สำหรับข้อผิดพลาด อาจทำให้ทุกคนเดินทางไปเช็กอินไม่ทันเวลา รวมไปการขึ้นเครื่องไม่ทันในที่สุด

ขึ้นเครื่องไม่ทันต้องทำไง

ขึ้นเครื่องไม่ทัน ควรทำอย่างไร

เมื่อขึ้นเครื่องไม่ทันไปแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น โดยเราได้รวบรวมวิธีรับมือกับสถานการณ์ขึ้นเครื่องไม่ทันไว้ให้แล้ว ไปดูกันเลย

ตั้งสติและทำใจให้นิ่ง

สติมา ปัญญาเกิด ใช้ได้เสมอกับทุกสถานการณ์ เพราะการไปเช็กอินไม่ทัน หรือขึ้นเครื่องไม่ทัน อาจทำให้ใจเสีย วิตกกังวล ลนลานทำอะไรไม่ถูก สิ่งสำคัญที่ควรทำเป็นอย่างแรกเลย คือ การตั้งสติ และควบคุมอารมณ์ เพื่อหาทางออกของปัญหาต่อไป

รีบติดต่อกับทางสายการบิน

หลังจากที่ตั้งสติแล้ว ทุกคนควรรีบติดต่อกับเจ้าหน้าที่ หรือทางสายการบินให้เร็วที่สุด พร้อมกับบอกถึงสาเหตุที่ทำให้ไปขึ้นเครื่องไม่ทันอย่างมีเหตุผลกับเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยจัดการปัญหาตามสมควร

สอบถามรายละเอียดกับทางสายการบิน

พูดคุยสอบถามรายละเอียดกับทางสายการบิน

พูดคุยสอบถามด้วยความสุภาพ และใจเย็น เกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ สำหรับเที่ยวบิน และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่ เพราะแต่ละสายการบินมีมาตรการที่ต่างกัน หากขึ้นเครื่องไม่ทัน แต่อาจมีบางเที่ยวบินที่มีที่นั่งว่าง และสามารถออกตั๋วใหม่ให้ได้ โดยเสนอเที่ยวบินที่เร็วที่สุด และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่สูงกว่าปกติ หรือบางกรณีอาจได้ตั๋วบินฟรี ทั้งนี้ต้องสอบถามสายการบินให้ชัดเจนถึงข้อมูล และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ

แจ้งให้ปลายทางทราบถึงเหตุสุดวิสัย

หากแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเที่ยวบินได้แล้ว ในกรณีที่ทำการจองที่พัก หรือจองอะไรต่างๆ เอาไว้ แต่เดินทางขึ้นเครื่องไม่ทัน กำหนดการถึงปลายทางอาจล่าช้าจากเดิม จึงควรแจ้งให้ปลายทางได้รู้ไว้ เพื่อทำการแก้ไขข้อมูลอีกทีว่าสามารถดำเนินการอย่างไรต่อไปได้บ้าง

ป้องกันไม่ให้ตกเครื่อง

วิธีป้องกันการขึ้นเครื่องไม่ทัน

เมื่อรู้สาเหตุของการขึ้นเครื่องไม่ทันแล้ว สิ่งที่ควรทำ คือ การนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับใช้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์
เช็กอินไม่ทัน หรือขึ้นเครื่องไม่ทันในอนาคต

ตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียด

การตรวจสอบข้อมูลในการเดินทางทุกอย่างให้ละเอียด เช่น เที่ยวบิน สนามบิน เกต วันที่-เวลา ตลอดจนเอกสารที่เกี่ยวข้องไม่เพียงแค่พาสปอร์ต กับตั๋วเครื่องบินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงใบจองที่พัก แผนการเดินทาง ทุกคนควรตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อไม่ให้ผิดพลาดจนทำให้ขึ้นเครื่องไม่ทัน

เผื่อเวลาล่วงหน้าก่อนเดินทางไปสนามบิน

การเผื่อเวลาในการเดินทาง คือ สิ่งที่เราย้ำเตือนไว้เสมอ ควรถึงสนามบินล่วงหน้าให้เกิน 1 ชั่วโมงขึ้นไป สำหรับใครที่ยังไม่ชินกับการเดินทาง หรือหากต้องเดินทางในช่วงเทศกาลยิ่งต้องเผื่อเวลาให้มากขึ้นไปอีก เพื่อลดความเสี่ยงของการเช็กอินไม่ทัน และการขึ้นเครื่องไม่ทันได้มากขึ้น

เช็กอินล่วงหน้า

เช็กอินล่วงหน้า

ปัจจุบันมีการเช็กอินทางออนไลน์ (Online Check-in) แล้ว หากใครกลัวว่าจะมาเช็กอินไม่ทันเมื่อถึงสนามบิน ก็สามารถเช็กอิน
ออนไลน์มาก่อนล่วงหน้าได้ เมื่อมาถึงสนามบินจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปคอยต่อแถวนานๆH3: สำรวจน้ำหนักกระเป๋า
น้ำหนักกระเป๋า เป็นสาเหตุที่ทำให้เสียเวลาได้ หากน้ำหนักกระเป๋าเกินก็ต้องมาคอยจัดการปัญหาว่าจะตัดสินใจทิ้งอะไรออกไปบ้าง เสียเวลาและเสียความรู้สึก เพราะของบางชิ้นก็ตัดสินใจเลือกยาก แต่หากตัดสินใจยังไม่ได้ ทุกคนสามารถฝากสัมภาระของตัวเองกับ AIRPORTELs ไว้ก่อน ขากลับค่อยมารับของก็ได้ หมดห่วงเรื่องสัมภาระในกระเป๋าที่ทำให้น้ำหนักเกิน

เก็บเอกสารสำคัญไว้อย่างปลอดภัย

ขึ้นเครื่องไม่ทันเพราะเอกสารหายมีอยู่จริง โดยเฉพาะเอกสารที่สำคัญ และจำเป็นต้องใช้ เช่น พาสปอร์ต Boarding Pass สำหรับขึ้นเครื่อง ดังนั้น ควรมีกระเป๋า หรือซองเก็บเอกสารสำคัญที่สามารถจัดเก็บ และเปิดใช้งานได้ง่าย จะได้ไม่เสียเวลาหาให้นานเวลาต้องการใช้ และลดความเสี่ยงที่เอกสารจะหล่นหายระหว่างเดินทาง

การเช็กอินไม่ทัน หรือการขึ้นเครื่องไม่ทันล้วนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง บางคนอาจเคยเจอเหตุการณ์นี้แล้ว หรือบางคนอาจยังไม่เคยเจอ ดังนั้น จึงควรรู้ถึงสาเหตุ และวิธีแก้ไขปัญหาเมื่อขึ้นเครื่องไม่ทัน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมก่อนการเดินทาง ลดความผิดพลาด และเดินทางถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ

แกลมปิ้ง (glamping) คืออะไร ต่างจาก camping อย่างไร 

แกลมปิ้ง (glamping) คืออะไร ต่างจาก camping อย่างไร 

แกลมปิ้ง คือการตั้งแคมป์แบบหรูหรา ซึ่งคำว่า Glamping ก็มาจากการรวมคำว่า Glamorous ที่แปลว่าสวยงาม หรูหรา ส่วน Camping หมายถึงการตั้งแคมป์นั่นเอง โดยจะผสมผสานระหว่างการตั้งแคมป์แบบดั้งเดิมเข้ากับความหรูหราสไตล์โรงแรมหรือรีสอร์ต ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถนอนกางเต็นท์ท่ามกลางธรรมชาติได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น เพราะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างดีและครบครัน ซึ่งอันที่จริง แกลมปิ้งนั้นมีมานานแล้ว แต่เพิ่งเป็นกระแส และได้รับความนิยมในช่วงสถานการณ์โควิดระบาดที่ผ่านมา  เพราะผู้คนโหยหาการท่องเที่ยวแนวธรรมชาติมากขึ้น ประกอบกับการได้เห็นรูปภาพสวยๆ และคอนเทนต์ต่างๆ จากบรรดา Vloger และ Influencer ก็ยิ่งดึงดูดให้ผู้คนอยากออกไปสัมผัสประสบการณ์ที่แปลกใหม่ด้วยตัวเองดูสักครั้ง  

แกลมปิ้งได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ไต้หวัน โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเดิมทีการตั้งแคมป์ก็เป็นกิจกรรมที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบกันอยู่แล้ว เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมากมาย และการไปท่องเที่ยวในแต่ละฤดูก็ยังให้บรรยากาศที่ต่างกันด้วย พอมีความสะดวกสบายเข้ามาเพิ่ม ก็ยิ่งทำให้การตั้งแคมป์ได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก

glamping vs camping แตกต่างกันอย่างไร

glamping vs camping แตกต่างกันอย่างไร

การตั้งแคมป์แบบ Glamping และการตั้งแคมป์แบบดั้งเดิม หรือ Camping มีทั้งส่วนที่คล้ายและแตกต่างกัน ส่วนที่เหมือนกัน คือการเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่เน้นประสบการณ์ใกล้ชิดธรรมชาติ ใช้ชีวิตกลางแจ้ง ได้สูดอากาศอันสดชื่น นอนดูดาว ตื่นเช้ามาเปิดเต็นท์ก็เห็นทิวทัศน์สวยๆ อยู่ตรงหน้า แต่การตั้งแคมป์แบบ Glamping จะหรูหราและสะดวกสบายมากกว่า เหมือนยกรีสอร์ตมาตั้งไว้กลางธรรมชาติ ทำให้นักท่องเที่ยวที่ไม่เคยตั้งแคมป์ได้มีโอกาสเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ 

ในขณะที่การตั้งแคมป์แบบเดิมจะได้รับความนิยมเฉพาะกลุ่มเท่านั้น เพราะแม้จะราคาถูก ทำให้ประหยัดค่าที่พักได้มากกว่าการนอนในโรงแรม แต่ก็ต้องยอมรับว่าการนอนเต็นท์ที่ดูเหมือนจะสนุกและท้าทาย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่สะดวกสบายเท่าไหร่ ยิ่งถ้าต้องแบกเต็นท์ไปเอง กางเต็นท์เอง ก็ต้องใช้เวลาและพละกำลังไม่น้อยเลยทีเดียว ยังไม่รวมถึงการทำอาหาร ห้องน้ำ ความปลอดภัย ฯลฯ ที่ทำให้หลายคนถอดใจจนต้องพับโครงการไปในที่สุด 

glamping มีจุดเด่นอย่างไร

glamping มีจุดเด่นอย่างไร

ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตกันอย่างเร่งรีบ เผชิญกับความเครียด ความกดดัน และปัญหาสารพัดในแต่ละวัน จึงไม่มีใครอยากจะออกไปผจญภัยแบบลำบากลำบนในช่วงวันหยุดอีก Glamping จึงถือเป็นการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนี้ได้อย่างลงตัว ส่วนใหญ่ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อแลกมากับการพักผ่อนที่สะดวกสบาย ในขณะเดียวกันก็ได้หลีกหนีความวุ่นวาย ไปให้ธรรมชาติโอบกอดเยียวยาจิตใจ ใช้เวลากับคนที่รัก แถมยังได้รูปเก๋ๆ ลงโซเชียลด้วย นอกจากนี้การท่องเที่ยวสไตล์ Glamping ยังมีจุดเด่นอีกมากมาย เช่น

สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

ที่พักที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการนอนพักในโรงแรม มีทั้งเตียงอย่างดี นอนแล้วนุ่มสบาย ไม่ปวดหลัง เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เช่น เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ ตู้เย็นขนาดเล็ก ไมโครเวฟ กาน้ำร้อน อินเทอร์เน็ต ชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับรับประทานอาหาร ห้องน้ำส่วนตัว เครื่องทำน้ำอุ่น บางแห่งมีอ่างอาบน้ำ หรืออ่าง Jacuzzi ให้ ในขณะที่บางแห่งก็มีพื้นที่ครัว รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ให้สามารถประกอบอาหารได้อย่างสะดวกสบาย  

มีความปลอดภัย

นอกจากภายในเต็นท์ที่พักแบบ Glamping จะเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแล้ว โครงสร้างของเต็นท์ก็มีความแข็งแรงมากกว่าเต็นท์ขนาดเล็ก ทำให้รู้สึกมั่นคง ปลอดภัย ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องสภาพอากาศ เสียงรบกวน แมลง หรือสัตว์มีพิษ อีกทั้งยังอยู่ในบริเวณของที่พักที่จัดไว้ให้โดยเฉพาะ จึงเหมือนได้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยอีกหนึ่งชั้น   

พื้นที่ความเป็นส่วนตัว

แม้ที่พักจะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่เต็นท์ที่ใช้สำหรับพักผ่อนก็คล้ายกับห้องส่วนตัวที่ปิดได้อย่างมิดชิด และทางที่พักก็มักจะเว้นระยะห่างระหว่างเต็นท์ รวมถึงมีพื้นที่บริเวณรอบเต็นท์ให้สามารถออกมาทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเป็นส่วนตัว พื้นที่ใช้สอยแบ่งเป็นสัดส่วน มีที่เก็บของ มีห้องน้ำในตัว สะอาดสะอ้าน ไม่ต้องใช้ห้องน้ำรวม นักท่องเที่ยวจึงสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจ 

บรรยากาศดี มีกิจกรรมที่น่าสนใจให้ลองทำ

การไป Glamping ไม่เพียงแต่จะได้พักผ่อนและดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังจะได้ใช้เวลาสร้างความทรงจำดีๆ และกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนผ่านกิจกรรมต่างๆ  เช่น การทำอาหาร ย่างบาร์บีคิว ดริปกาแฟ ผิงไฟ ร้องเพลง ตกปลา เล่นเกมต่างๆ อีกทั้งที่พักหลายแห่งก็ยังจัดเตรียมกิจกรรมสนุกๆ ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย เช่น การขี่ม้า การเดินป่า ดูดาว ถ่ายรูปสวยๆ เป็นต้น

glamping มีกี่แบบ

glamping มีกี่แบบ

ปัจจุบันคนไทยนิยมเที่ยวแบบ Glamping กันมากขึ้น ที่พักหลายแห่งจึงมีการออกแบบห้องพักหลากหลายประเภท เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเลือกพักได้ตามความชอบ งบประมาณที่ต้องการ หรือจำนวนคนในทริป เช่น มาเป็นคู่ มาพร้อมครอบครัว หรือมากับกลุ่มเพื่อนหลายคน เป็นต้น โดยมีรูปแบบต่างๆ ให้เลือก ดังนี้

แกลมปิ้งแวน

แกลมปิ้งแวน หรือเรียกง่ายๆ ก็คือรถบ้าน ลักษณะภายนอกจะเหมือนกับรถธรรมดา อาจจะเป็นรถตู้หรือรถบัสก็ได้ แต่ด้านในถูกดัดแปลงให้เปรียบเสมือนบ้านขนาดย่อมที่สามารถเคลื่อนที่ได้ มีห้องน้ำ ห้องครัว ที่นอน โซฟาพับได้ โต๊ะทานอาหาร และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปหลายแห่ง ยิ่งถ้าไปหลายคน เมื่อหารเฉลี่ยค่าใช้จ่ายแล้วก็จะประหยัดกว่าด้วย แต่ข้อเสียก็คือต้องมีคนขับที่มีความชำนาญเส้นทาง และควรจะมีความรู้ในการใช้งานรถ เช่น การเติมน้ำสะอาด การระบายของเสีย การเสียบไฟฟ้าเพื่อใช้งานขณะจอดรถ เป็นต้น 

ซึ่งปัจจุบันจุดจอดรถแกลมปิ้งแวนในไทยที่มีบริการเหล่านี้ก็ยังมีไม่มาก จึงไม่เป็นที่นิยมนัก แต่บางที่พักก็มีการนำรถแกลมปิ้งแวนมาใช้เป็นห้องพัก เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้บรรยากาศที่สมจริง

เต็นท์โดมขนาดใหญ่ 

เต็นท์โดมขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลม เป็นเต็นท์ที่นิยมมากที่สุด และเหมาะมากสำหรับสาย Glamping เพราะมีความแข็งแรงทนทาน ทนได้ทั้งแดดและฝน ด้านในพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง โล่งโปร่งสบาย เหมือนเป็นห้องๆ หนึ่ง ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด นอนได้หลายคน และยังสามารถติดแอร์ วางเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย บางแห่งก็ต่ออุโมงค์ทำห้องน้ำในตัวให้เรียบร้อย ผนังสามารถมองเห็นวิวด้านนอกหรือนอนชมดาวยามค่ำคืนได้ แต่หากต้องการความเป็นส่วนตัวก็สามารถปิดม่านได้

เต็นท์ทรงกระโจมหรือเต็นท์มองโกลทรงคลาสิก

เต็นท์ทรงกระโจมจะให้บรรยากาศของการตั้งแคมป์มากกว่า จึงเป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ชอบการถ่ายรูป สร้างคอนเทนต์ ลักษณะเป็นกระโจมสามเหลี่ยมที่มียอดแหลมตรงกลาง ทำให้หลังคาสูง พื้นที่ด้านในดูโล่งโปร่งมากขึ้น อากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่ร้อนอบอ้าว เวลาเปิดประตูก็จะสามารถมองเห็นวิวสวยๆ ได้เต็มตา และหากเป็นเต็นท์กระโจมที่มีขนาดใหญ่ก็สามารถนอนได้หลายคนและวางสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ได้ครบไม่ต่างจากเต็นท์โดมเลย แต่ข้อเสียคือ เต็นท์กระโจมบางรุ่น โดยเฉพาะรุ่นที่มีขนาดใหญ่มักจะมีเสาตรงกลาง อาจจะทำให้รู้สึกเกะกะเล็กน้อย

บ้านต้นไม้ 

บ้านต้นไม้ เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ คล้ายกระท่อม สร้างอยู่บนต้นไม้ มักออกแบบให้มีความกลมกลืนกับธรรมชาติ ให้ความรู้สึกร่มรื่น เหมาะสำหรับคนที่ชอบความเงียบสงบ อยากหลบหลีกความวุ่นวายไปผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติ ตื่นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ขับกล่อมด้วยเสียงนก เสียงใบไม้ หรือคนที่อยากเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบใหม่ เติมเต็มความฝันในวัยเด็ก เพราะที่พักที่มีบ้านต้นไม้มีจำนวนจำกัด และแต่ละแห่งก็มีจำนวนไม่มาก เนื่องจากก่อสร้างยาก ต้องใช้พื้นที่เยอะ แต่ราคาก็อาจจะสูงกว่าห้องพักแบบธรรมดา

โดยสรุปแล้วแกลมปิ้งก็คือการท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งที่พัฒนามาจากการตั้งแคมป์แบบดั้งเดิมหรือ Camping โดยยังคงเน้นความใกล้ชิดธรรมชาติไว้ แต่เพิ่มความหรูหราและสะดวกสบายเข้ามา การตั้งแคมป์จึงไม่ได้เป็นการท่องเที่ยวที่จำกัดเฉพาะสายลุย หรือสาย Adventure อีกต่อไป แต่ใครๆ ก็สามารถสัมผัสประสบการณ์นอนกางเต็นท์ชมวิวได้ เทรนด์การท่องเที่ยวแบบ Glamping จึงได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการตั้งแคมป์ขายดีจนมีแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ในขณะเดียวกันที่พักและสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งต้องปรับตัวและเพิ่มห้องพักแบบ Glamping เพื่อดึงดูดลูกค้า 

อย่างไรก็ตามก่อนออกเดินทางนักท่องเที่ยวก็ควรจะศึกษาสถานที่ เส้นทาง สภาพภูมิอากาศ รวมถึงเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อม แต่สำหรับใครที่ไม่ได้ขับรถไปเอง การแบกสัมภาระจำนวนมากอาจเป็นอุปสรรคในการเดินทางได้ ขอแนะนำบริการดีๆ จาก Airportels ผู้ให้บริการขนส่งกระเป๋าเจ้าแรกในไทย ที่จะช่วยขนสัมภาระไปส่งให้ถึงที่พักทุกแห่งทั่วประเทศ โดยสามารถกดจองผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างง่ายดายแค่ปลายนิ้ว แล้วออกเดินทางตัวเปล่าแบบชิลๆ ไม่ต้องหิ้วกระเป๋าเองให้เหนื่อย แวะเที่ยวตามจุดต่างๆ ได้เต็มที่ ถึงที่พักพร้อมกระเป๋าที่รออยู่แล้ว ปลอดภัยด้วยระบบติดตามสัมภาระที่สามารถเช็กสถานะได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเดินทางที่สะดวกสบายกว่าที่เคย

13 ที่เที่ยวของคนโสด เดินทางท่องเที่ยวคนเดียว ลุยเดี่ยวมีข้อดีกว่าที่คิด

หากใครที่เป็นคนโสดแล้วอยากไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจหรือไม่อยากรอเพื่อนว่าง บทความนี้จะมาแนะนำ 13 ที่เที่ยวในไทยสำหรับคนโสดที่อยากไปพักใจ อยากเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว อยากลองทำอะไรใหม่ๆ ลุยเดี่ยวคนเดียวชิลๆ ท้าทายตัวเองว่าเที่ยวคนเดียวสามารถไปเที่ยว และการไปเที่ยวคนเดียวนั้นมีข้อดีมากกว่าที่เราคิด เพราะจะได้ใช้เวลากับตัวเองได้อย่างเต็มที่ สามารถโฟกัสกับสิ่งรอบตัว ซึมซับบรรยากาศได้มากขึ้นและยังมีข้อดีของการเที่ยวคนเดียวอื่นๆ อีกมากมายอยู่ในช่วงท้ายของบทความ

13 ทริปคนโสด ลุยเดี่ยว คนเดียวชิลๆ

13 ทริปคนโสดทั่วประเทศไทย ที่ได้คัดสรรมาแล้ว เดินทางท่องเที่ยวคนเดียวได้ทั้งหญิงและชาย ปลอดภัยไม่อันตราย ท่องเที่ยว พักผ่อนได้อย่างสบายใจ คลายกังวล กลับจากทริปด้วยใจฟูๆ 

ปาย จ.แม่ฮ่องสอน

1. ปาย จ.แม่ฮ่องสอน

สัมผัสเมืองเหนือ อากาศเย็นๆ และผู้คนที่อัธยาศัยดี การเดินทางที่สะดวก อาหารการกินก็ไม่แพง เหมาะแก่การมาเที่ยวคนเดียว บางทีเราอาจจะไม่กล้ากินเยอะเพราะว่าไม่มีคนหารด้วย แต่ที่นี่สามารถเพลิดเพลินกับอาหารได้แบบจุใจ และบรรยากาศสดชื่น อยู่กับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ และไปคนเดียวก็ไม่เหงา เพราะมีหลายอย่างสนุกๆ ให้ได้ลองทำมากมาย สถานที่ท่องเที่ยวก็เยอะ 

โดยที่ห้ามพลาดเลย เมื่อไปถึงก็คือ ‘ทะเลหมอกหยุนไหล’ เมื่อมาปายแล้ว การชมทะเลหมอกก็นับว่าถ้าไม่ได้มาก็เหมือนมาไม่ถึงก็ว่าได้ เพราะที่ปายคือสถานที่ที่ถูกขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองสามหมอก เพราะไม่ว่าจะมาตอนไหนก็จะพบหมอกทุกครั้งที่ได้มาเยือน เมื่อมองออกไปภาพที่เห็นคือทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น และรายล้อมไปด้วยทิวเขาน้อยใหญ่ต่างๆ และยังมีเสน่ห์ของบ้านเรือนเมืองปายที่ถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกอีกด้วย ที่เมื่อได้มาเที่ยวคนเดียวเหมือนได้สัมผัสความสงบ และดื่มด่ำให้เวลากับตัวเองได้อย่างเต็มที่ 

  • ที่อยู่ : หมู่บ้านสันติชล ตำบลเวียงใต้ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/hQiREWHZGzcxqHvw8
  • เปิดให้เข้าชม : เปิด 5.30-18.00 น. (ค่าเข้าชม 20 บาท)
  • เบอร์โทร : –
เชียงคาน จ.เลย

2. เชียงคาน จ.เลย

เมืองเล็กๆ ริมแม่น้ำโขงที่เต็มไปด้วยการตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมโบราณดั้งเดิม ให้ได้ซึมซับบรรยากาศวันวาน เดินเล่นคนเดียวได้ชิวๆ แถมยังมีกิจกรรมให้ทำ เช่น ไปปั่นจักรยานเลียบแม่น้ำโขง ได้สัมผัสธรรมชาติ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ทำให้การมาเที่ยวคนเดียวนั้นไม่เหงาอีกมากมาย เช่น ‘สกายวอล์ค เชียงคาน’ หรือ ‘สกายวอล์ค ภูคกงิ้ว’ สูงเทียบเท่ากับตึก 30 ชั้น จุดเด่นคือมีทางเดินที่ทำด้วยกระจก เป็นการปลดล็อคความกล้า เพราะจุดนี้เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น และน่าหวาดเสียว แต่ก็ต้องยอมรับว่าจุดที่วิวสวยงามมากเลยทีเดียว

  • ที่อยู่ : ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/inPvyiqBeMfBwi9V7
  • เปิดให้เข้าชม : ตลอดทั้งวัน
  • เบอร์โทร : –

หรือจะเป็น ‘ถนนคนเดินเชียงคาน’ ที่เหมาะแก่การเดินชิล มีทั้งของกิน ของอาร์ตต่างๆ สินค้าพื้นเมือง สินค้าแฮนด์เมด มีกิจกรรมให้ทำมากมายสำหรับคนมาเที่ยวคนเดียว บ้างก็มีการเพ้นหน้า สัก เป็นต้น ด้วยอากาศเย็นๆ และบรรยากาศดี จนติดใจอยากมาอีกรอบเลยก็ได้

  • ที่อยู่ : ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/R3XgyifiuXidhv5Z9
  • เปิดให้เข้าชม : ตลอดทั้งวัน (ถนนคนเดินเปิดช่วง 17.00-22.00 น.)
  • เบอร์โทร : –
บางกระเจ้า จ.สมุทรปราการ

3. บางกระเจ้า จ.สมุทรปราการ

ไปเติมความสดชื่นกับธรรมชาติแบบเต็มเหนี่ยว รอบล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียว เดินทางง่าย นั่ง BTS ไปได้ จุดเด่นของที่นี่เลยคือ การปั่นจักรยานเที่ยวสัมผัสบรรยากาศรอบด้าน ทั้งธรรมชาติและวิถีชีวิตของชุมชน ซึ่งหากมาเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวแล้วเกิดหลงทาง ก็สามารถถามคุณลุงคุณน้าตามชุมชน 

เมื่อมาถึงคุ้งบางกระเจ้าแล้ว พลาดไม่ได้เลยที่จะไป ‘สวนศรีนครเขื่อนขันธ์’ หรือ ‘สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติศรีนครเขื่อนขันธ์’ ภายในสวนจะเต็มไปด้วยร่มเงาของต้นไม้ เย็นสบาย พักผ่อนหย่อนใจจากกายที่เหนื่อยล้าได้อย่างเต็มที่ ถ่ายรูปสวยโพสต์ลงโซเชียล และยังสามารถให้อาหารปลาได้อีกด้วย ซึ่งจะมีจำหน่ายอยู่ด้านหน้าของสวน และจุดไฮไลต์ในสวนคือ ‘หอดูนก’ ที่มีความสูง 7 เมตร มีทั้งหมด 3 ชั้น ซึ่งในแต่ละชั้นยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับนกที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศอีกด้วย 

  • สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติ ศรีนครเขื่อนขันธ์
  • ที่อยู่ : 73 ซ.วัดราษฎร์รังสรรค์ ต.บางกะเจ้า อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
  • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/7uaBbVzLzJiV947q7?g_st=il
  • เปิดให้เข้าชม : เปิด 05.00 – 19.00 น. ทุกวัน
  • เบอร์โทร : 02 461 0972
สิมิลัน จ.พังงา

4. สิมิลัน จ.พังงา

บรรยากาศทะเลสวยๆ ที่ภาคใต้ น้ำทะเลใสสีฟ้า และเต็มไปด้วยหากทรายขาวละเอียด มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ที่จะมาช่วยทำให้การมาเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวนั้นเต็มไปด้วยเรื่องสนุก ไม่ว่าจะเป็น ดำน้ำดูปะการัง จุดว่ายน้ำ ดำน้ำ มุมถ่ายรูปสวยๆ โพสต์อวดลงโซเซียล จุดไฮไลท์ที่คนชอบมาถ่ายรูปคือ ‘หินเรือใบ’ หรือ ’Sailing Rock’ เป็นหินที่เกิดจากกัดเซาะพังทลายจากน้ำทะเล เลยเกิดเป็นหินรูปร่างแปลกตา ผู้คนจึงชอบมาถ่ายรูปกัน

  • ที่อยู่ : อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน เลขที่ 93 หมู่ที่ 5 บ้านทับละมุ ถนนเพชรเกษม ตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/32L4izpNCpnf99Ze6
  • เปิดให้เข้าชม : 15 ตุลาคม – 15 พฤษภาคม ของทุกปี
  • เบอร์โทร : 0-7645-3272
ไร่ชาฉุยฟง จ.เชียงราย

5. ไร่ชาฉุยฟง จ.เชียงราย

ไร่ชาสีเขียว เพื่อให้ได้นั่งจิบชาพักผ่อนให้จิตใจสงบ สถานที่ก็สวยงาม ถ่ายรูปกันได้กับวิวสีเขียว และท้องฟ้าสีคราม ท่ามกลางภูเขาน้อยใหญ่ และรอบๆ ยังมีคาเฟ่เล็กๆ ให้นักเดินทางท่องเที่ยว ให้ได้อร่อยไปพร้อมกับเค้ก และจิบชาในบรรยากาศดีดี

ถ้าเราอยากมาเที่ยวคนเดียวเพื่อพักผ่อนจิตใจ การมาที่ไร่ชาจะช่วยทำให้สดชื่น ลดความเหนื่อย คลายความตีงเครียดได้ดี เพราะว่าในไร่ชานั้นล้อมรอบไปด้วยสีเขียว ซึ่งสีเขียวเป็นสีที่ช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้จิตใจภายในสงบได้ และยังช่วยเรื่องการมองเห็น ทำให้มีสมาธิได้ดี 

  • ที่อยู่ : 97 หมู่ 8 อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/S7JvTSCBPQ5ZPkyc6
  • เปิดให้เข้าชม : 08.30-17.30 น.
  • เบอร์โทร : 0-5377-1563
แพกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี 

6. แพกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี 

สัมผัสธรรมชาติแท้ๆ ให้เราได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ที่แพกาญจนบุรี จะมีอะไรฟินไปกว่าการได้นอนบนแพมองท้องฟ้า แล้วปล่อยใจไหลไปกับสายน้ำ บางทีการมาเที่ยวคนเดียวนั่นก็เพราะอยากสลัดความวุ่นวายต่างๆ การได้มองดูสายน้ำไหลผ่านก็ทำให้เพลิดเพลินจิตใจได้ แลได้ซึมซับบรรยากาศไปอีกด้วย หรือถ้าเริ่มรู้สึกเบื่อ ที่แพกาญจนบุรีก็มีกิจกรรมให้ทำตลอด 

ยกตัวอย่างเช่น ครอส ริเวอร์ แคว (Cross River Kwai) ที่พักที่ตกแต่งให้ดูคล้ายรถไฟที่เชื่อมกับประวัติศาสตร์ของจังหวัดกาญจนบุรี มีกิจกรรมที่ห้ามพลาด อย่างเรือคายัคที่มีให้ทุกห้อง ไม่ทำให้คุณต้องเบื่อแน่นอน

  • ที่อยู่ : 138 หมู่ 4 ตำบลหนองหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/pQhkTnbrzmGb5tRv6
  • เปิดให้เข้าชม : ตลอดเวลา
  • เบอร์โทร : 09-3120-7832
แปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา

7. แปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา

ถ้าใครที่อยากเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว ต้องได้ลองมาที่แปดริ้ว มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย กิจกรรมที่หลากหลาย มาเที่ยวคนเดียวได้แบบมันส์ ไม่เหงา เป็นการได้พักผ่อนจากความเหนื่อยทั้งหลาย ซึ่งมีสถานที่ที่เป็นจุดไฮไลท์มากมายที่เหมาะกับทั้งชายและหญิง เช่น อาจจะเริ่มด้วยการมาทำบุญที่ ‘วัดหลวงพ่อโสธร’ ที่เมืองแปดริ้ว เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล เพื่อให้จิตใจสงบ ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำบางปะกง เป็นทริปการท่องเที่ยวที่ช่วยทำให้อยู่กับความสงบ สลัดความวุ่นวายภายในจิตใจออกได้อย่างเต็มที่

  • วัดหลวงพ่อโสธร
  • ที่อยู่ : ถนนเทพคุณากร ตำบลหน้าเมือง อำเถอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/eaK6JRvySsNTPEc38
  • เปิดให้เข้าชม : วันจันทร์-ศุกร์ เปิด 7.00-16.30 น. เสาร์-อาทิตย์ เปิด 7.00-17.00 น.
  • เบอร์โทร : 038-511-048

หรือหากอยากได้ความชุ่มชื้นสักหน่อย ให้คลายร้อน ก็แวะมาเล่นน้ำที่ ‘น้ำตกบ่อทราย’ อยู่ในกลางป่า เป็นน้ำตกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ บนร่องน้ำขออ่างเก็บน้ำคลองสียัด นอกจากจะได้เล่นน้ำเย็นๆ แล้ว บรรยากาศรอบๆ นั้นก็สวยงาม แสงแดดที่กระทบกับกับสายน้ำที่ไหลผ่าน เป็นการเอาใจที่เหนื่อยมาชะล้างให้ผ่อนคลาย

  • น้ำตกบ่อทราย
  • ที่อยู่ : หมู่ 18 บ้านคลองสียัด ตำบลคลองตะเกรา อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา
  • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Se4kYBURMxHTdqFdA?g_st=ic
  • เปิดให้เข้าชม : เปิด 7.00-18.00 น. ทุกวัน
  • เบอร์โทร : 09-6817-9906 , 06-3684-8669
Coro Field สวนผึ้ง จ.ราชบุรี

8. Coro Field สวนผึ้ง จ.ราชบุรี

ฟาร์มสไตล์ญี่ปุ่น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร หากมาเที่ยวคนเดียวไม่น่าเบื่อแน่นอน เพราะมีกิจกรรมมากมายให้ได้ทำ เช่น ชมผัก ปลูกผัก แถมยังได้กินผักออร์แกนิค ตอบโจทย์สายออร์แกนิคสุดๆ ถ้าไม่อยากทำอะไร ที่นี่มีบริเวณพื้นที่สำหรับทำกิจกรรม เป็นมุมพักผ่อนชั้นยอด และถ้าหากหิวก็ยังมีโซนร้านอาหาร คาเฟ่ ให้ได้เพลิดเพลินไปกับอาหารออร์แกนิคอีกด้วย บรรยากาศภายในร้านที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ที่ญี่ปุ่น

  • ที่อยู่ : ตำบลป่าหวาย อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี
  • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/CZ6CK4W69HoJ4xvp7?g_st=ic
  • เปิดให้เข้าชม : วันจันทร์-ศุกร์ เปิด 9.00-18.00 น. เสาร์-อาทิตย์ เปิด 9.00-21.00 น.
  • เบอร์โทร : 0-92569-4791
เกาะขาม สัตหีบ จ.ชลบุรี

9. เกาะขาม สัตหีบ จ.ชลบุรี

เกาะขามเป็นเกาะยอดนิยมของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ เพราะมีน้ำทะเลที่ใสแจ๋ว หาดทรายสีขาว ท้องฟ้าสีคราม ที่ที่เหมาะแก่การพักผ่อน หรือจะได้รูปสวยๆ กลับมาแน่นอน ด้วยวิวสวยๆ จะทำให้คุณลืมไปเลยว่าอากาศร้อน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ทำมากมาย ทริปมาเที่ยวคนเดียวที่สนุดสุดเหวี่ยงไปกับการดำน้ำดูปะการัง หรือจะพายเรือคายัค

  • ที่อยู่ : สำนักงานกิจการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม ทัพเรือภาคที่ 1 ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/x6mBvksmFXFfme186
  • เปิดให้เข้าชม : สามารถเที่ยวชมได้ตามรอบเรือ จุดจำหน่ายตั๋ว ท่าเรือเขาหมอจอ
  • เบอร์โทร : 0-3312-4848, 09-3397-1342 (เฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ 08.30-11.30 น. และ 13.00-16.30 น.)
อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

10. อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

ตลาดน้ำอัมพวา เป็นตลาดที่รู้จักกันดีในสมุทรสงคราม มีชื่อเสียงทั้งในเรื่องของอร่อย รวมไปถึงการนั่งเรือล่องแม่น้ำ แถมยังไม่ไกลจากกรุงเทพ เดินทางได้ง่าย มาเที่ยวคนเดียวได้สบาย 

ที่ที่ผู้คนนิยมมาเที่ยวกันมากที่สุดก็คงไม่พ้น ‘ตลาดน้ำอัมพวา’ เป็นตลาดที่ทรงเสน่ห์เหลือล้น เพราะจะมีพ่อค้า แม่ค้าที่พายเรือขายอาหาร และเครื่องดื่มกันมากมาย มีทั้งขนมไทย ก๋วยเตี๋ยวเรือ ผัดดไทย และอื่นๆ อีกมากมาย บอกเลยว่าถึงแม้ว่าจะมาเที่ยวคนเดียวก็เจริญอาหารสุดๆ แถมบรรยากาศยังเหมือนได้กลับไปอดีต พักผ่อนได้อย่างเต็มที่

  • ที่อยู่ : อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
  • พิกัด : https://g.page/amphawa?share
  • เปิดให้เข้าชม : วันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ 09.00-21.00 น
  • เบอร์โทร : –

หรือถ้าเป็นสายรักสัตว์ที่อัมพวามี ‘บ้านแมวไทย’ เป็นสถานที่ที่จะรวบรวมแมวพันธุ์ไทยโบราณต่างๆ ไว้ ซึ่งจะมีโซนให้เราได้ไปเล่นกับน้องๆ ได้อย่างใกล้ชิด น้องจะเดินเข้ามาอ้อน กระโดดขึ้นตัก หรือถ้าจะอุ้มก็ได้ เป็นสวรรค์ของทาสแมวจริงๆ ซึ่งหากมาเที่ยวคนเดียวแล้วเหงา ก็สามารถแวะมาที่นี่ น้องแมวจะช่วยเยียวยาจิตใจให้เราได้

  • ที่อยู่ : ตำบลแควอ้อม อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/sHdY3dZD12HaBV7P9
  • เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.
  • เบอร์โทร : 0-3470-2068
โบราณสถาน จ.อยุธยา

11. โบราณสถาน จ.อยุธยา

เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยวัดเก่าแก่ และโบราณสถานที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เหมือนได้มาสัมผัสกับอดีตต่างๆ เป็นการมาเที่ยวคนเดียวที่ครบรสชาติ สถานที่ที่ได้สัมผัสธรรมชาติ พร้อมกับประวัติศาสตร์ และได้กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ ควบคู่ไปกับการพักผ่อนหย่อนใจ

ซึ่งมีวัดที่สำคัญมากมาย โดยจะเริ่มกันที่ ‘วัดใหญ่ชัยมงคล’ นับเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของอยุธยาเลย เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และมีนักท่องเที่ยวมากันมากมาย หากเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว นอกจากได้กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังได้ความรู้ และเพลิดเพลินไปกับสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นอีกด้วย

  • ที่อยู่ : 40/3 หมู่ที่ 3 ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/PdTxx23ZYHJ3g29
  • เปิดให้เข้าชม : เปิด 8.00-17.00 น. 
  • เบอร์โทร : –

และต่อกันด้วย ‘วัดมหาธาตุ’ เป็นอีกวัดที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากเป็นประดิษฐานองค์พระบรมสารีริกธาตุ และเป็นศูนย์กลางเมืองในการจัดพระราชพิธีต่างๆ และยังมีเศียร์พระพุทธรูปหน้าวิหารเล็กที่ปกคลุมไปด้วยรากไม้ใหญ่ ที่ถ้าหากมาเที่ยวที่นี่และได้เห็นเป็นครั้งแรกจะต้องรู้สึกว่าดูน่าหลงใหล เหมือนถูกดึงเข้าไปในอดีตเลยก็ว่าได้ 

  • ที่อยู่ : เชิงสะพานป่าถ่าน ถนนนเรศวร ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/uUCriY2vTZCaLKQC6
  • เปิดให้เข้าชม : เปิด 8.30-16.30 น. มีค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาท 
  • เบอร์โทร : –

ซึ่งหากได้เดินทางท่องเที่ยวคนเดียว บอกได้เลยว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะนอกจากโบราณสถานที่ให้ความรู้ และได้สัมผัสบรรยากาศต่างๆ แล้วยังมีคาเฟ่มากมายให้ได้ไปลิ้มลอง

เกาะสีชัง จ.ชลบุรี

12. เกาะสีชัง จ.ชลบุรี

เกาะสีชังเป็นอีกหนึ่งเกาะที่มีความสวยงาม แถมยังใกล้กรุงเทพ การเดินทางนั้นก็ไม่ยากมาเที่ยวคนเดียวก็สามารถเดินทางได้อย่างสบาย ไม่ต้องกลัวหลง มีเรือข้ามไปเกาะสีชัง โดยเรือข้ามไปเกาะสีชังเที่ยวแรก 6.00 น. เที่ยวสุดท้าย 19.00 น. มีเรือออกทุกๆ 1 ชั่วโมง และเมื่อไปถึงก็มีมอเตอร์ไซต์ให้เช่าบริการ ขับรับลมฟินๆ รอบเกาะ หรือถ้าหากไม่อยากขับก็มีพี่วินมอเตอร์ไซต์ให้รับจ้าง และรถสกายแล็บให้ใช้บริการ

จุดที่เป็นไฮไลท์ที่ต้องแวะมาถ่ายรูปด้วยคือ ‘ช่องอิศริยาภรณ์’ หรือ ‘ช่องเขาขาด’ ความงามที่ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาชม เป็นช่องเขาขาดที่มีลักษณะคล้ายแหลมพรหมเทพ และยังมีกิจกรรมให้ทำอีก นั่นคือการตกปลา เนื่องจากที่นี่มีโขดหินมากมาย เลยเป็นแหล่งที่อยู่ของปลาหลายชนิด ซึ่งถ้าหากไม่อยากตกปลา เราก็สามารถนั่งชมปลาอย่างเดียวได้ เพราะปลาแต่ละชนิดที่นี่นั้นมีลวดลายที่สวยงาม หาดูได้ยาก 

  • ที่อยู่ : 231/1 ถนนท่าเทววงษ์ อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/g1VWfQwZLQvoRCL36
  • เปิดให้เข้าชม : เปิด 8.00-18.00 น.
  • เบอร์โทร : –
ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่

13. ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่

เมื่อพูดถึงการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว หลายคนคงเคยคิดอยากลองหนีขึ้นดอย ไปสัมผัสอากาศเย็นๆ บรรยากาศเมืองเหนือ ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น และไปเพลิดเพลินกับอาหารท้องถิ่นของชาวเหนือ ซึ่งที่ดอยอินทนนท์มีที่ให้เที่ยวมากมาย กิจกรรมให้ทำก็เยอะ ของกินก็อร่อย ผู้คนในชุมชนก็น่ารัก 

ซึ่งมาถึงดอยสิ่งแรกที่นึกถึงก็คงเป็นการชมวิวระดับพระเจ้าสร้าง โดยเริ่มที่ ‘จุดชมวิวกิ่วแม่ปาน’ เป็นวิวที่สวยขนาดยอมทนตื่นเช้ามาให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นในยามเข้า และบรรยากาศของทะเลหมอก แถมเส้นทางในการขึ้นมาจุดชมวิวนั้นก็ได้สัมผัสธรรมชาติได้อย่างเต็มปอด ร่มเงาของต้นไม้ และมีแสงแดดส่องรำไรตามพื้นป่า มีเฟิร์นหลายชนิด มอสสีเขียวขึ้นคลุมโคนต้นไม้มากมาย แม้ว่าจะเดินไกลแค่ไหนก็คงต้องหายเหนื่อยเลยทีเดียวเดียว เมื่อได้ชมวิวสวยงามตามข้างทางแบบนี้ เป็นทริปมาเที่ยวคนเดียวที่คุ้มสุดๆ แล้วกับสิ่งสวยงามที่ได้พบเจอ

  • ที่อยู่ : เขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ บริเวณกม.ที่ 43 ใกล้กับพระมหาธาตุ นถทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ถนนจองทอง-ดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง สันป่าตอง และแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/tfkjFPX4YGbzRWAC9
  • เปิดให้เข้าชม : เปิด 6.00-16.00 น.
  • เบอร์โทร : 09-3146-9682
ข้อดีของการไปเที่ยวคนเดียว ไม่ต้องง้อใคร

ข้อดีของการไปเที่ยวคนเดียว ไม่ต้องง้อใคร

การเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวนั้นไม่ได้แย่อย่างที่เราคิดเสมอไป บางคนอาจจะกลัวเหงา  แต่จริงๆ การเที่ยวคนเดียวมีข้อดีมากมายหลายอย่าง ซึ่งถ้าหากเราไม่อยากไปคนเดียว มัวแต่รอให้เพื่อนว่าง รอใครสักคนไปด้วย อาจทำให้เราพลาดไปสถานที่ที่เราชอบ ไปพักผ่อน ฮีลลิ่งจิตใจเลยก็ได้ ยิ่งถ้าเป็นนิทรรศการที่มีวันมากำหนดด้วยอีก จริงๆ การไปเที่ยวไม่จำเป็นต้องไปเป็นแก๊งก็สนุกได้ ข้อดีของการท่องเที่ยวคนเดียวจะมีอะไรบ้างนั้น มาดูกันเลย

เป็นการเปิดโลก ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง อยู่กับอิสระที่แท้จริง

บางครั้งการไปเที่ยวหลายคนอาจจะเกิดความวุ่นวายหลายอย่าง เช่น รอคนครบ  ไปเลท การตัดสินใจร่วมกัน กิจกรรมที่ทำ สถานที่พัก ฯลฯ การมาเที่ยวคนเดียวสามารถตัดสินใจเองได้เลยโดยไม่ต้องรอความเห็น และในระหว่างเดินทางเราจะได้มีเวลาคิดอะไรได้มากมาย สลัดความวุ่นวาย ได้อยู่กับตัวเอง และได้พักผ่อนอย่างแท้จริง ประหยัดพลังงานร่างกายจากการใช้กับผู้คน และยังได้โฟกัสกับสิ่งรอบตัวได้อย่างเต็มที่ 

ได้เจอคนใหม่ เพื่อนใหม่ และอาจจะพบรักใหม่ในที่ใหม่ๆ

การไปเที่ยวคนเดียว นอกจากจะได้ลองทำอะไรกิจกรรมใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยได้ลองทำคนเดียวแล้ว ยังได้เจอกับคนใหม่ๆ อีกด้วย เพื่อนในแก๊งอาจจะไม่เหมาะกับสไตล์การท่องเที่ยวในแบบของเราก็ได้ การได้มาเที่ยวคนเดียว ทำให้เราได้เจอคนแบบเดียวกัน ชอบอะไรเหมือนกัน จึงมีในหลายเหตุการณ์ที่การท่องเที่ยวนั้นนำพารักมาหาเราและส่วนใหญ่นั้นเป็นคนโสด  และได้เพื่อนใหม่ที่เดินทางท่องเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน 

ออกจากเซฟโซน กล้าตัดสินใจเอง คิดเองแบบ 300%

อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า การเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวเราจะสามารถตัดสินใจได้เลยโดยไม่ต้องรอความเห็น ซึ่งในจุดนี้จะช่วยทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิด กล้าทำ เป็นการหลุดออกจากเซฟโซนอย่างนึง ในตอนเริ่มต้นเราอาจจะยังไม่กล้าสนทนากับใคร หรือไม่กล้าเริ่มทำอะไรมากนัก แต่ในบางสถานการณ์จะบังคับให้เราต้องทำอะไรสักอย่าง เช่น เมื่อต้องการความช่วยเหลือในการเดินทาง เราอาจจะต้องถามคนที่อยู่แถวนั้น

และในกรณีที่อยู่คนเดียวต้องตัดสินใจ ณ ตอนนั้น เราจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากการตัดสินใจของเรา แม้ว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือไม่ ในภายหลังเราจะสามารถนำประสบการณ์ตรงนี้ขึ้นมาใช้ได้เอง

ค้นหาตัวเอง พบเจอตัวตนใหม่ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน

ในบางครั้งเราก็ยังไม่รู้จักตัวเองไปซะทั้งหมดหรอก การมาเที่ยวคนเดียวจะทำให้เรามองเห็นตัวเองในหลายมุมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น มุมที่กล้าหาญ มุมที่บ้าได้หลุดโลก หรือมุมที่เราได้เห็นวิวสวยๆ นั้นทำให้มีความสุขได้มากขนาดไหน จนทำให้เรากลายเป็นคนใหม่ที่เราชอบมากกว่าเดิม 

หลายคนอาจจะไม่กล้าเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว จากเหตุผลหลายๆ อย่าง เช่น อาจจะกลัวเหงา หรือกลัวว่าคนอื่นจะมองอย่างไรเวลาเห็นเราอยู่คนเดียว หรือไม่กล้าที่จะทำกิจกรรมคนเดียว บทความนี้จะเชิญชวนให้กล้าออกไปใช้เวลากับตัวเอง เที่ยวคนเดียวแบบไม่ต้องรอใคร กล้าคิด กล้าตัดสินใจ กล้าลองทำอะไรคนเดียว เป็นการปลดล็อคตัวเองในอีกขั้น นั่นเลยเป็นหนึ่งในข้อดีของการมาท่องเที่ยวคนเดียว

ซึ่งบางครั้งการไปเที่ยวคนเดียวก็ต้องการความสะดวกสบาย เพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง ทั้งกระเป๋าและสัมภาระ ที่อาจจะสร้างความลำบากให้กับการเดินทาง เป็นอุปสรรคในการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว ซึ่งเพื่อลดภาระการเดินทาง เพื่อให้เดินทางได้อย่างสบายใจ สบายหลัง สามารถเลือกใช้บริการรับส่ง-ฝากกระเป๋ากับ Airportels เป็นสายงานบริการที่จะช่วยบริการขนส่งกระเป๋าเดินทางของนักท่องเที่ยว ช่วยให้การเดินทางของเรานั้นสะดวกสบายมากขึ้น มีหลายสาขาให้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นสาขาสุวรรณภูมิ สาขาเซนทรันเวิล์ด สนามบินดอนเมืองก็สามารถฝากสัมภาระไว้ได้เลย แล้วไปเที่ยวคนเดียวได้โดยไม่ต้องพกกระเป๋าหนักๆ และวันสุดท้ายของทริปก็สามารถฝากสัมภาระ ไว้ที่โรงแรมก่อน แล้วออกไปเที่ยวได้เช่นกัน ทริปไปเที่ยวคนเดียวจะสนุกมากขึ้น

ไปเที่ยวทะเลไทยช่วงไหนปังสุด ด้วยปฏิทินเที่ยวทะเลไทย 12 เดือน

แน่นอนว่าประเทศไทยนั้น มีจุดเด่นเรื่องการท่องเที่ยว โดยเฉพาะทะเลไทยที่สวยงามไม่แพ้ชาติใดในโลก ทำให้ทะเลของไทยเป็นที่นิยมตลอดทั้งปี เนื่องจากมีน้ำทะเลสีฟ้าสดใส สภาพอากาศเอื้ออำนวย ทำให้คุณพร้อมออกเดินทางศึกษาโลกใต้ท้องทะเลอันกว้างใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด  

ปฏิทินเที่ยวทะเล 12 เดือน เที่ยวยังไงให้เจอทะเลสวย 

เที่ยวทะเลช่วงไหนดี? หลายคนกว่าจะได้ไปเที่ยวในแต่ละครั้ง ต้องทำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อย เมื่อมีโอกาสเที่ยวเลยต้องการผ่อนคลายด้วยบรรยากาศริมทะเล แน่นอนว่าทะเลไทยสามารถเที่ยวได้ทั้งปี แต่ต้องเลือกฝั่งทะเลที่จะไปให้เหมาะสมในแต่ละเดือนก่อน เพราะช่วงมรสุมของทะเลแต่ละฝั่งนั้น แตกต่างกันไปในแต่ละเดือน 

ดังนั้นควรเช็กดูสภาพอากาศของทะเลที่จะไปว่าเป็นอย่างไร มีลม พายุ ฝนฟ้าคะนองหรือไม่? เพื่อให้เที่ยวทะเลได้อย่างเต็มที่ ในบทความนี้ ทาง Airpostels ได้รวบรวมข้อมูลไว้ให้เรียบร้อยแล้วว่าในแต่ละเดือนควรเที่ยวทะเลที่ไหนดี

ทะเลไทยแบ่งออกเป็นกี่โซน 

ทะเลของไทย เป็นที่นิยมทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อนที่มีแดดส่องตลอดทั้งวัน อีกทั้งมีหาดทรายเม็ดละเอียดสีขาวจนถึงสีเหลืองอร่าม น้ำทะเลของไทยก็มีสีสว่างเป็นประกาย ทำให้ทะเลไทยติดอันดับทะเลที่สวยอันดับต้นๆ ของโลก โดยทะเลของไทยนั้น แบ่งออกเป็น 4 โซนหลักๆ ได้แก่ 

  1. ทะเลฝั่งอันดามัน เช่น เกาะพีพี เกาะหลีเป๊ะ เกาะราชา
  2. ทะเลฝั่งอ่าวไทย เช่น เกาะเต่า เกาะพะงัน เกาะสมุย
  3. ทะเลฝั่งตะวันออก เช่น พัทยา เกาะล้าน เกาะเสม็ด เกาะช้าง เกาะกูด
  4. ทะเลฝั่งตะวันตก หรือฝั่งอ่าวไทยตอนบน เช่น  ทะเลชะอำ หัวหิน

ซึ่งทะเลทั้ง 4 โซนของไทยนั้น จะมีช่วงที่ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดเข้ามา โดยลมมรสุมตัวนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ลมฝน’ เมื่อลมฝนพัดผ่านเข้ามาบริเวณทะเลไทย ทำให้ ทะเลบริเวณนั้นมีฝนตก ฟ้าคะนอง ลมแรง ถือเป็นช่วงมรสุม จึงควรศึกษาสภาพอากาศให้ดีก่อน 

ทะเลอ่าวไทย

เที่ยวทะเลอ่าวไทยช่วงไหนดี? ทะเลอ่าวไทย เป็นทะเลที่มีความโดดเด่นในเรื่องของน้ำทะเลใสไม่แพ้กับโซนอันดามัน แต่แตกต่างกันตรงที่ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยจะเป็นทรงแบบยกตัว ทำให้ชายฝั่งจะค่อนข้างเรียบตรงมากกว่า แต่เนื้อทรายยังคงมีความละเอียด อีกทั้งน้ำทะเลสีฟ้า มองลงไปก็เห็นฝูงปลา และปะการังชัดเจน 

  • ช่วงเดือนที่เหมาะสม 

ช่วงเดือนที่เหมาะสมกับการไปเที่ยวทะเลอ่าวไทย คือ ช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤศจิกายน

  • จังหวัดที่ติดทะเล

จังหวัดของไทยที่ติดอยู่กับทะเลอ่าวไทย มีทั้งหมด 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพัทลุง จังหวัดสงขลา จังหวัดชุมพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดนครศรีธรรมราช

  • ที่เที่ยวแนะนำ

ที่ทะเลอ่าวไทย อยากให้ทุกคนได้มาลองสัมผัสกับ ‘เกาะพะงัน’ กันดู เพราะเกาะแห่งนี้มีชื่อเสียงอย่างมากกับงานฟูลมูนปาร์ตี้ (Full Moon Party) ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องแวะมา นอกจากงานฟูลมูนปาร์ตี้แล้ว เกาะพะงันยังมีชายหาดสวยๆ อีกมากมายทั้งหาดยาว หาดแม่หาด หาดริ้น ให้คุณได้สัมผัสน้ำทะเลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด 

ทะเลอันดามัน 

เที่ยวทะเลอันดามันช่วงไหนดี? ทะเลอันดามันมีชื่อเสียงอย่างมาก เนื่องจากเกาะหลายๆ เกาะนั้น เกิดการยุบตัวของชายฝั่ง เกิดเป็นอ่าวใหญ่น้อยและเกาะต่างๆ มากมาย มีหาดทรายขาวสะอาด พร้อมน้ำทะเลสีฟ้าเข้มแต่ดูใสเป็นประกาย ทำให้เห็นฝูงปลา สีของปะการังชัดเจน จึงทำให้ทะเลอันดามันเลื่องชื่อไปไกลถึงต่างประเทศ

  • ช่วงเดือนที่เหมาะสม 

ช่วงเดือนที่เหมาะสมกับการไปเที่ยวทะเลอันดามัน คือ ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน ขอบอกก่อนเลยว่าใครที่จะไปช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน หรือปลายเดือนเมษายนให้ระวังฝนตก

  • จังหวัดที่ติดทะเล

ทะเลอันดามัน ประกอบด้วยจังหวัดโดยรอบทั้งหมด 6 จังหวัดด้วยกัน คือ จังหวัดสตูล จังหวัดกระบี่ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดพังงา จังหวัดระนอง และจังหวัดตรัง

  • ที่เที่ยวแนะนำ

ที่เที่ยวแนะนำของทะเลอันดามันมีมากมาย สำหรับใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัวขึ้นมาหน่อย แนะนำให้เลือกไปเที่ยวที่ ‘เกาะไข่’ เนื่องจากเกาะไข่เป็นเกาะขนาดเล็กที่อยู่ใกล้กับเกาะยาวน้อย โดยเกาะไข่สามารถแบ่งย่อยๆ ออกได้อีก 3 เกาะ คือ เกาะไข่นอก เกาะไข่ใน และเกาะไข่นุ้ย (ไม่ได้เปิดให้เข้าชม) และใครที่ได้แวะมาเกาะไข่ต้องอย่าลืมแวะออกแรงด้วยการเดินขึ้นไปที่จุดชมวิวเกาะไข่นอก ให้คุณได้สัมผัสบรรยากาศวิวทะเลแสนสวยได้จากมุมสูง 

ทะเลตะวันออก 

ทะเลตะวันออก เป็นโซนที่ใกล้กับกรุงเทพมหานครเป็นอย่างมาก ใช้เวลาขับรถเพียงเล็กน้อยก็สามารถถึงที่หมายได้ง่าย โดยทะเลตะวันออกนั้น มีจุดเด่นในเรื่องของการเดินทาง ให้คุณได้พักชมวิวทะเล ว่ายน้ำเพื่อความผ่อนคลาย ทานอาหารแสนอร่อย เติมแรงก่อนกลับไปทำงาน

  • ช่วงเดือนที่เหมาะสม 

เที่ยวทะเลตะวันออกช่วงไหนดี? เดือนที่เหมาะสมที่จะไปทะเลตะวันตก คือ ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน 

  • จังหวัดที่ติดทะเล

ทะเลตะวันออก ประกอบด้วยจังหวัดโดยรอบ คือ จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดตราด จังหวัดจันทบุรี

  • ที่เที่ยวแนะนำ

สำหรับที่เที่ยวทะเลตะวันออกนั้น ขอแนะนำเกาะแสมสาร ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ‘เกาะแสมสาร’ เป็นเกาะที่อยู่ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากโครงการในพระราชดำริ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่จะมีเวลาเปิด-ปิดเกาะชัดเจน ทำให้เกาะมีสภาพดี หาดสวย น้ำใส อีกทั้งมีกิจกรรมหลากหลายให้นักท่องเที่ยวได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำดูปะการัง, การนั่งเรือท้องกระจก, พายเรือคายัก ฯลฯ ให้คุณสามารถเห็นธรรมชาติและความสวยงามจากโลกใต้ท้องทะเล

ทะเลตะวันตก

ทะเลตะวันตก เป็นทะเลที่อาจจะไม่ได้สวยเท่าทะเลอันดามัน หรือโซนอื่นๆ แต่มีข้อดีที่การเดินทางไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก เพียงขับรถ 2-3 ชั่วโมง สามารถชมทะเลสวยๆ ได้แล้ว สำหรับใครที่มีแพลนไปทะเลตะวันตก แนะนำให้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเลย

  • ช่วงเดือนที่เหมาะสม 

เดือนที่เหมาะสมที่จะไปทะเลตะวันตก คือ ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม โดยแนะนำให้เริ่มไปทะเลตะวันตกในช่วงต้นเมษายน ถือเป็นช่วงเวลาที่ดี เพราะมีโอกาสที่ฝนตกค่อนข้างน้อย

  • จังหวัดที่ติดทะเล

จังหวัดที่ติดทะเลฝั่งตะวันตกนั้น ประกอบด้วย 2 จังหวัด คือ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดเพชรบุรี

  • ที่เที่ยวแนะนำ

ที่เที่ยวแนะนำของทะเลฝั่งตะวันตก คงหนีไม่พ้นจุดยอดฮิตอย่าง ‘หัวหิน’ ไม่ได้เลย เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ตอบโจทย์ทั้งสายชอบไปเที่ยว สายชอปปิง สายคาเฟ่ เดินรับบรรยากาศริมทะเล ชมพระอาทิตย์ตกในช่วงเย็น นับว่าหัวหินเป็นเมืองที่มีความเจริญไม่แพ้กับกรุงเทพเลยทีเดียว! 

เที่ยวทะเลเดือนมกราคมที่ไหนดี ? 

มกราคมเที่ยวทะเลไหนดี? ในเดือนแรกของปีนั้น ต้องบอกว่าเป็นเรื่องดีที่จะมีแพลนไปทะเล เพราะสภาพอากาศดีเกือบทุกที่ ยกเว้นฝั่งอ่าวไทย ขอแนะนำให้เลือกไปทะเลฝั่งอันดามันที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวย น้ำใส หาดทรายสีขาว รีบกางแผนที่แล้วเลือกทะเลที่สนใจได้เลย! 

เกาะพีพี จังหวัดกระบี่

เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ถือเป็นไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาด เพราะช่วงเดือนมกราคมเป็นช่วงที่น้ำทะเลสีสวยมาก อีกทั้งอากาศกำลังดี ให้คุณได้ดำน้ำดูปะการัง นั่งชมวิวทะเลสวยๆ พร้อมชมพระอาทิตย์ตกยามเย็น เพียงเท่านี้แล้วเรียกว่าคุ้มในคุ้ม

เกาะราชา จังหวัดภูเก็ต

เกาะราชา มีทรายเม็ดละเอียดสีขาวสะอาด พร้อมน้ำทะเลสีฟ้า-ฟ้าเข้มที่มีความใสสะอาด เหมาะกับผู้ที่ต้องการดำน้ำดูปะการัง เพราะที่นี่เป็นศูนย์รวมของปะการังหายาก รวมถึงสัตว์น้ำหายากอีกด้วย ให้คุณได้เห็นปะการังเขากวาง ปลาไหลทะเล ปลาปักเป้า ปลากระเบนด้วยสายตาตนเอง

เกาะไม้ท่อน จังหวัดภูเก็ต 

ห่างจากเกาะราชาไปไม่ไกล จะเจอกับเกาะไม้ท่อน โดยเกาะไม้ท่อนเป็นเกาะส่วนตัว เลยทำให้นักท่องเที่ยวมีจำนวนไม่มาก เหมาะกับผู้ที่อยากสัมผัสบรรยากาศความสงบของทะเล แถมยังสามารถดำน้ำดูปะการังที่หน้าเกาะได้เลย ไม่ต้องนั่งเรือต่อ

เที่ยวทะเลเดือนกุมภาพันธ์ที่ไหนดี ?

มกราผ่านไป แล้วกุมภาพันธ์เที่ยวทะเลไหนดี? ด้วยสภาพอากาศของเดือนนี้ ต้องบอกว่าสามารถไปเที่ยวทะเลได้ทุกที่ โดยให้ระวังฝั่งอ่าวไทยเหมือนเดิม เพราะฝั่งอ่าวไทยอาจมีมรสุมในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์

เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี

เกาะเต่า ถือว่าเป็นเกาะยอดนิยมสำหรับนักดำน้ำ สามารถฝึกดำน้ำได้ทั้งน้ำตื้น น้ำลึก และแบบฟรีไดฟ์ เนื่องจากมีจุดดำน้ำมากกว่า 20 จุดรอบเกาะ โดยเกาะเต่าเป็นเกาะที่มีลักษณ์โค้งเว้าคล้ายเมล็ดถั่ว ตั้งอยู่ห่างจากเกาะพะงันออกไปประมาณ 45 กิโลเมตร มีน้ำทะเลที่ใสสะอาด พร้อมสูดอากาศดีๆ จากธรรมชาติโดยตรง

เกาะล้าน จังหวัดชลบุรี

เกาะล้าน จังหวัดชลบุรี เดินทางง่ายๆ ไม่ไกลจากกรุงเทพ พร้อมชมหาดทรายสีขาว น้ำทะเลสวยๆ จากหาดตาแหวน หาดเทียน หาดนวล และหาดอื่นๆ ได้ตามต้องการ

หาดเขาตะเกียบ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

หาดเขาตะเกียบ เป็นชายหาดหัวหินที่มีแลนมาร์กอันโดดเด่น ชัดเจน ด้วยองค์พระพุทธรูปปางสมุทรที่ตั้งอยู่บนเขาริมชายหาด หันหน้าออกสู่ทะเล เป็นหาดกว้างให้ทุกท่านได้เดินริมทะเลอย่างเพลิดเพลิน

เที่ยวทะเลเดือนมีนาคมที่ไหนดี ?

มีนาคมเที่ยวทะเลไหนดี? เดือนมีนาคมเป็นเดือนที่ควรหลีกเลี่ยงทะเลฝั่งอ่าวไทย เพราะถือเป็นช่วงที่กำลังจะมีมรสุม แนะนำให้เลือกเที่ยวทะเลฝั่งอันดามัน ฝั่งตะวันออก หรือฝั่งตะวันตกก็ยังได้เห็นวิวทะเลสวยๆ อยู่

หาดชะอำ จังหวัดเพชรบุรี

หาดชะอำเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยว หลายๆ คนคงชินตาไปกับเตียงผ้าใบจำนวนมากที่ตั้งอยู่ริมทะเล อีกทั้งหาดชะอำมีกิจกรรมให้ทำมากมายทั้งขี่ม้า เล่นเจ็ตสกี ให้คุณได้ใช้เวลากับทะเลให้เต็มที่

หาดหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

หาดหัวหิน ตั้งอยู่ในอำเภอหัวหิน เป็นหาดชื่อดังที่ทุกคนต้องเคยได้ยิน มีกิจกรรมหลากหลายให้ทำทั้งการขี่ม้า เล่นน้ำทะเล แต่ที่หาดนี้จะไม่มีการเล่นกีฬาทางน้ำที่เสียงดัง เช่น เจ็ตสกี ทำให้บรรยากาศของหาดนี้จะค่อนข้างเงียบสงบ ได้ยินเสียงลมทะเลได้ชัดเจน

เกาะกูด จังหวัดตราด

เกาะกูดเป็นเกาะที่มีความเงียบสงบ มีชายหาดที่สวยงามพร้อมกับน้ำใสสะอาด เป็นศูนย์รวมธรรมชาติมากมายทั้งน้ำตก ลำธาร ให้คุณสามารถผ่อนคลายความเครียดไปกับเกาะแห่งนี้

เที่ยวทะเลเดือนเมษายนที่ไหนดี ?

ในช่วงเมษายนเที่ยวทะเลไหนดี? เดือนนี้ถือเป็นช่วงหน้าร้อนที่หลายๆ คนอยากเดินทางไปสัมผัสน้ำทะเล ขอแนะนำให้ไปทะเลฝั่งตะวันออก และหลีกเลี่ยงการเดินทางไปทะเลฝั่งอ่าวไทย เพราะช่วงนี้อ่าวไทยกำลังมีมรสุมอยู่

เกาะเฮ จังหวัดภูเก็ต

เกาะเฮเป็นเกาะเล็กๆ ในจังหวัดภูเก็ต ที่มีชื่อเสียงเรื่องหาดทรายขาว น้ำใส สามารถเห็นฝูงปลาได้จากผิวน้ำ อีกทั้งยังสามารถทำกิจกรรมทางน้ำได้หลากหลาย เช่น ขี่เจ็ตสกี ดำน้ำชมปะการัง เล่นเรือลากร่ม เป็นต้น

หาดเขาเต่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

สำหรับใครที่อยากหลบหนีความวุ่นวาย มาเน้นความสงบจากธรรมชาติต้องมาที่หาดเขาเต่าเลย เพราะหาดแห่งนี้มีน้ำทะเลที่ไม่ลึกมาก เหมาะกับการว่ายน้ำเล่น หรือเดินเล่นริมชายหาดเพื่อสูดบรรยากาศริมทะเล

หาดบางแสน จังหวัดชลบุรี

ผลัดเปลี่ยนบรรยากาศจากความสงบอย่างเขาเต่า มาสู่บรรยากาศริมทะเล แต่ใกล้กรุงเทพกันบ้าง หาดบางแสนเป็นสถานที่ยอดนิยมของคนไทยเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเดือนไหนๆ หาดบางแสนก็จะเต็มไปด้วยผู้คนเสมอ โดยเฉพาะในช่วงสงกรานต์ เดือนเมษายน จะมีงานสงกรานต์ให้ผู้คนได้มาเล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างสนุกสนาน

เที่ยวทะเลเดือนพฤษภาคมที่ไหนดี ?

เดือนพฤษภาคมเริ่มมีฝนตก ไปเที่ยวทะเลไหนดี? เดือนนี้ถือเป็นเดือนที่ประเทศไทยนั้น เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ จะมีฝนฟ้าคะนองจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณริมทะเล คลื่นจะขึ้นสูง ลมพัดแรง ทำให้ทะเลที่พอจะไปเที่ยวได้อยู่ คือ ทะเลฝั่งตะวันตก นั่นเอง

หาดหว้าขาว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

คำว่า ‘หาดสวย น้ำใส ได้ชมวาฬ’ ถือเป็นสโลแกนของหาดแห่งนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งหาดแห่งนี้เป็นหาดเล็กๆ ในหมู่บ้านชาวประมงที่หลายๆ คนอาจยังไม่เคยได้ยินชื่อเลย แต่ขอบอกว่าทะเลที่นี่มักพบวาฬบรูด้าบ่อยๆ ด้วย

หาดเจ้าสำราญ จังหวัดเพชรบุรี

หาดเจ้าสำราญเป็นชายหาดที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีร่มมาตั้งบังวิวทะเล อีกทั้งหาดแห่งนี้มีชื่อเสียงในเรื่องของการมาพักผ่อนหย่อนใจ ให้คุณได้นั่งเล่นน้ำชิลๆ พร้อมกับแวะทานอาหารทะเลอร่อยๆ ก่อนกลับ

หาดปึกเตียน จังหวัดเพชรบุรี

ใครที่เคยอ่านวรรณคดีไทยต้องรู้จักกับรูปปั้นที่มีชื่อเสียงของที่นี่ ด้วยการนำรูปตัวละครจากเรื่องพระอภัยมณีที่มีทั้งนางผีเสื้อสมุทร พระอภัยมณี นางเงือก และสินสมุทรมาวางที่หาดปึกเตียน ให้ทุกคนได้กลับสู่โลกแห่งวรรณคดีไทย พร้อมชมวิวทะเลอันกว้างใหญ่

เที่ยวทะเลเดือนมิถุนายนที่ไหนดี ?

อยากไปเที่ยวเดือนมิถุนายนเที่ยวทะเลไหนดี? ในช่วงนี้ถือว่าเป็นฤดูฝนของไทย ทะเลฝั่งอันดามัน ฝั่งตะวันออก และตะวันตกโดยส่วนใหญ่จะมีพายุฝนฟ้าคะนองเป็นหลัก แนะนำให้เลือกไปทะเลฝั่งอ่าวไทยจะดีกว่า

หาดยาว เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี 

ใครที่อยากจะแวะเกาะพะงันต้องมาที่นี่เลย หาดยาว ซึ่งเป็นหาดที่มีความยาวกว่า 1 กิโลเมตร ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของเกาะ ให้คุณได้ชมวิวพระอาทิตย์ตกที่ราวกับว่าหายไปที่ผืนน้ำได้อย่างไร้สิ่งกีดขวาง

เกาะกุลา จังหวัดชุมพร

ขึ้นชื่อในเรื่องน้ำใสสะอาดของทะเลฝั่งอ่าวไทย ต้องเคยได้ยินชื่อ ‘เกาะกุลา’ ที่เกาะแห่งนี้สามารถมองเห็นปะการังและฝูงปลาจากผิวน้ำเลย เพราะตัวน้ำมีความใสมาก สามารถดำน้ำดูปะการังได้ตั้งแต่หน้าหาดเลยทีเดียว

เกาะนุัยนอก จังหวัดนครศรีธรรมราช

เกาะนุ้ยนอก เป็นเกาะขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช เกาะแห่งนี้มีจุดไฮไลต์ที่ทำให้ที่นี่กลายเป็นที่รู้จักของคนไทย ก็คือ บ่อน้ำจืดที่มีรูปเท้าขนาดประมาณ 30 นิ้ว ซึ่งจะมองเห็นรอยเท้านี้ได้ในช่วงที่น้ำทะเลลดลงเท่านั้น ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดกำเนิดของ ‘หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด’ อีกทั้งตัวเกาะนุ้ยนอกเองมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ สามารถนั่งเรือชมปลาโลมาสีชมพูรอบเกาะได้เลย

เที่ยวทะเลเดือนกรกฏาคมที่ไหนดี ?

เดือนกรกฎาคมเที่ยวทะเลไหนดี? นับว่าเป็นเรื่องยากสำหรับการวางแผนไปเที่ยวทะเล ขอแนะนำให้เลือกทะเลฝั่งอ่าวไทยไปก่อน เพื่อลดโอกาสการเจอลมมรสุม

เกาะพิทักษ์ จังหวัดชุมพร

เกาะแห่งนี้เป็นเกาะของชุมชนชาวประมงขนาดเล็ก แต่มีกิจกรรมให้ทำแบบไม่เหมือนใคร ให้ทุกท่านได้ลองศึกษาชีวิตแบบชาวประมง ด้วยการรับประทานอาหารทะเลแบบสดๆ พร้อมกับปั่นจักรยานชมเกาะ หรือล่องเรือชมปะการัง ก็สามารถเลือกได้ตามสะดวก

เกาะมัดสุม จังหวัดสุราษฎร์ธานี

เกาะมัดสุมหรือเกาะหมู เป็นเกาะที่มีหาดทรายสีขาวสะอาด พร้อมกับน้ำทะเลสีฟ้าสดใส ให้คุณได้ใช้เวลาภายในเกาะได้อย่างเต็มที่ เพราะมีทั้งร้านอาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย

เกาะง่าม จังหวัดชุมพร

เกาะง่ามแห่งนี้ไม่ได้มีแค่เกาะเดียว ยังมีทั้งเกาะง่ามใหญ่ เกาะง่ามน้อย เกาะหลักง่ามให้คุณได้ดำน้ำชมปะการัง ซึ่งเกาะแห่งนี้ปะการังจะไม่ได้มีสีสันสวยงามมากแต่มีการพบปะการังสีดำ ซึ่งถือว่าเป็นปะการังที่หาเจอได้ยาก

เที่ยวทะเลเดือนสิงหาคมที่ไหนดี ?

เดือนสิงหาคมเที่ยวทะเลไหนดี? สภาพอากาศเดือนสิงหาคมยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นช่วงมรสุม จึงควรวางแผนเที่ยวทะเลโซนอ่าวไทยไปก่อน

เกาะหลักแรด จังหวัดชุมพร

เกาะแห่งนี้เป็นเกาะหินปูนที่มีลักษณะคล้ายกับตัวแรด ไม่มีชายหาด แต่นิยมมาดำน้ำชมปะการัง เพื่อชมสีสันของโลกใต้ท้องทะเล ทั้งดอกไม้ทะเล สัตว์ทะเลนานาชนิด โดยเฉพาะปลิงทะเลสร้อยไข่มุก หรืองูทะเลก็มักพบที่บริเวณนี้

เกาะมะพร้าว จังหวัดชุมพร

เกาะแห่งนี้เป็นเกาะสัมปทานรังนก จะต้องมีการขออนุญาตก่อนเข้าชม ซึ่งบนเกาะแห่งนี้มีหาดทรายสีขาวนวล พร้อมทรัพยากรธรรมชาติอย่างครบครัน เนื่องจากมีต้องขออนุญาตก่อนถึงจะเข้าได้ ทำให้พื้นน้ำตรงนี้เป็นแหล่งความอุดมสมบูรณ์

เกาะมาตรา จังหวัดชุมพร

เกาะมาตราหรือมัตรา เป็นเกาะที่มีทรายขาวสะอาดสลับกับกองโขดหิน มีจุดเด่นในเรื่องของปะการัง ให้คุณได้ดำน้ำชมปะการังสวยๆ พร้อมกับชมความงามของกลุ่มฝูงปลา

เที่ยวทะเลเดือนมกันยายนที่ไหนดี ?

เดือนกันยายนเที่ยวทะเลไหนดี? เข้าสู่เดือนที่ 9 ของปีกันแล้ว แต่ยังอยู่ในช่วงฤดูฝน ทำให้ทะเลโซนอื่นๆ ยังคงอยู่ในช่วงมรสุม แต่โซนอ่าวไทยยังถือว่าสภาพอากาศดีกว่าโซนอื่นๆ  

เกาะทะลุ จังหวัดชุมพร

เกาะทะลุ ตัวเกาะแห่งนี้เป็นเกาะหินปูนที่มีโพรงถ้ำขนาดใหญ่คร่อมอยู่ที่ผิวน้ำ มีทั้งจุดดำน้ำตื้นและน้ำลึกให้คุณได้ชมบรรยากาศใต้ทะเล ทั้งปะการัง ดอกไม้ทะเล และสัตว์น้ำอีกมากมาย

เกาะกะโหลก จังหวัดชุมพร

เกาะกะโหลก เป็นเกาะหินปูนขนาดใหญ่ คล้ายกับเกาะทะลุ เพียงแต่เกาะกะโหลกจะมีรูปร่างเป็นก้อนใหญ่ๆ โดดเด่นในเรื่องของกิจกรรมดำน้ำชมปะการัง ให้คุณได้พบปะกับฝูงปลามากมาย โดยเฉพาะฝูงปลาโทงเทงร่มตัวโตที่ถือเป็นไฮไลต์ของเกาะแห่งนี้เลยก็ว่าได้

เกาะลังกาจิว จังหวัดชุมพร

เกาะลังกาจิว เป็นเกาะที่มีความสวยงามทางธรรมชาติ ทั้งหาดทรายสีขาวเม็ดละเอียด น้ำทะเลสีฟ้า พร้อมกับพื้นที่แนวปะการังที่สมบูรณ์กว่า 0.025 ตารางกิโลเมตร

เที่ยวทะเลเดือนตุลาคมที่ไหนดี ?

ตุลาคมเที่ยวทะเลไหนดี? ในเดือนนี้ยังคงเป็นฤดูฝนอยู่ แนะนำให้ไปเที่ยวทะเลฝั่งอ่าวไทย จะมีโอกาสเจอฝนน้อยกว่าทะเลอื่น หรือสามารถเลือกไปทะเลฝั่งตะวันตก บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ก็กำลังเข้าสู่ช่วงปลายมรสุม

หาดวนกร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

สำหรับหาดวนกร เป็นชายหาดที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติวนกร ทำให้พื้นที่แห่งนี้ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีหาดสวย น้ำใส พร้อมเปิดบริการให้นักท่องเที่ยวได้มาเล่นน้ำ และนอนเต็นท์ค้างแรม

เกาะนางยวน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

เกาะนางยวน เป็นเกาะเล็กๆ จำนวน 3 เกาะเชื่อมต่อกัน โดยที่สามารถเห็นหาดทรายเชื่อมถึงกันในช่วงที่เวลาน้ำลง เกาะนางยวนโดดเด่นเรื่องการดำน้ำดูปะการังเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเกาะขนาดเล็ก ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ทำให้เกาะแห่งนี้เป็นสมบัติจากธรรมชาติที่แท้จริง

เกาะช้าง จังหวัดตราด

ขึ้นชื่อว่า ‘เกาะช้าง’ ก็จะต้องเป็นเกาะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในจังหวัดตราด ภายในเกาะมีทั้งหาดทรายขาว หาดคลองพร้าว ให้คุณได้เล่นน้ำทะเลอย่างจุใจ พร้อมทำกิจกรรมมากมาย ทั้งการดำน้ำดูปะการัง  นั่งเรือชมธรรมชาติ พายเรือคายัก ฯลฯ 

เที่ยวทะเลเดือนพฤศจิกายนที่ไหนดี ?

เที่ยวทะเลช่วงไหนดี? ต้องบอกเลยว่าเดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนที่มีสภาพอากาศที่ดีขึ้นชัดเจน ท้องฟ้าโปร่งขึ้น มีฝนน้อยลงมาก แต่ทะเลบางแห่งยังคงเป็นช่วงมรสุมหรือยังอยู่ในช่วงเฝ้าระวัง แนะนำให้เลือกทะเลฝั่งอ่าวไทย หรือฝั่งทะเลอันดามันจะปลอดภัยมากกว่า

เกาะห้อง จังหวัดกระบี่

เกาะห้อง หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า เกาะเหลาบิเละ ซึ่งเกาะห้องแห่งนี้ เป็นอ่าวรูปทรงโค้ง 2 อ่าวและหันหน้าเข้าหากัน เมื่อมองดูจากด้านบนจะเห็นเหมือนรูปปีกนก ถือเป็นธรรมชาติที่หาดูได้ยาก อีกทั้งมีแนวปะการังอยู่รอบเกาะห้องอีกด้วย

เกาะรอกนอก จังหวัดกระบี่

เกาะรอกจะประกอบไปด้วยเกาะรอกนอก และเกาะรอกใน โดยเกาะรอกนอกจะมีจุดเด่นในเรื่องของหาดทรายสีขาวละเอียด และสัตว์น้ำนานาชนิด ให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์ใกล้ชิดกับสัตว์โลกใต้ท้องทะเล

เกาะพะลวย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ที่นี่คือเกาะพลังงานสะอาดต้นแบบของประเทศไทย โดยจะเห็นกังหันลมจำนวนกว่า 68 ต้น กำลังทำงานอยู่ ขอบอกว่าที่นี่หาดสวย น้ำใส อีกทั้งยังใช้พลังงานทดแทนแบบครบ 100% เต็ม

เที่ยวทะเลเดือนธันวาคมที่ไหนดี ?

เดือนสุดท้ายของปีมาแล้ว ใครที่มีแพลนไปทะเลช่วงสิ้นปี สามารถเลือกได้เลย เพราะสภาพอากาศในเดือนธันวาคมเป็นช่วงที่เหมาะกับการไปทะเลทั่วไทย ให้คุณได้เตรียมแพ็กกระเป๋าแล้วไปรับลมทะเลกันเลย 

หมู่เกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล

หมู่เกาะตะรุเตา เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่ห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติสีเขียว อีกทั้งมีหาดเล็กหาดน้อยอยู่เพียบ สำหรับใครที่ชอบการผจญภัยคงพลาดไม่ได้ เพราะที่นี่มีเส้นทางเดินชมธรรมชาติ พร้อมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเกาะแห่งนี้ ถือว่าได้เล่นน้ำทะเลด้วย แล้วยังได้รู้ความเป็นมาของเกาะแห่งนี้อีกด้วย

หาดเจ้าหลาว จังหวัดจันทบุรี

หาดเจ้าหลาว เป็นหาดขึ้นชื่อของจังหวัดจันทบุรี มีน้ำทะเลใสสะอาด พร้อมกับหาดทรายสีเหลืองที่มีเม็ดละเอียด อีกทั้งมีร้านค้าค่อนข้างน้อย ทำให้สามารถชมความสวยงามของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่

หาดสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

หลายๆ คนอาจยังไม่รู้จักหาดสามร้อยยอดแต่จะคุ้นเคยกับเขาสามร้อยยอดมากกว่า หาดสามร้อยยอดแห่งนี้เป็นหาดที่เงียบสงบ มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีน้ำทะเลใสสะอาด เมื่อลงไปเดินริมชายหาดจะเห็นเปลือกหอยและปลาดาวมากมาย

ไปเที่ยวทะเลอย่าลืมเตรียมอะไรไปบ้าง

ไปเที่ยวทะเลต้องเตรียมอะไรไปบ้าง มัดรวมสิ่งของที่จำเป็นไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ไปดูกันเลย!

  • กระเป๋าเดินทาง สำหรับใส่เสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ต้องการนำไปด้วย
  • ชุดว่ายน้ำ แน่นอนว่าเป็นการไปเที่ยวทะเล จะขาดไม่ได้เลยกับชุดว่ายน้ำ
  • รองเท้าแตะ ควรเลือกรองเท้าแตะที่สามารถโดนน้ำได้ ไม่ลื่นจนเกินไป แนะนำให้เลือกรองเท้าที่มีพื้นยึดเกาะกับพื้นพอสมควร เพื่อลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุลื่นล้ม
  • ครีมกันแดด ไอเทมหลักสำหรับทริปทะเล ออกไปรับแสงแดด ต้องดูแลผิวให้ดีด้วย ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง เพื่อป้องกันรังสียูวี
  • ผ้าเช็ดตัว ถึงแม้ว่าโรงแรมส่วนใหญ่จะมีเตรียมผ้าขนหนูผืนใหญ่และผืนเล็กไว้ให้แล้ว แต่สำหรับผู้ที่ชอบว่ายน้ำ หรือมีแพลนจะเดินทางไปเกาะต่างๆ ควรมีผ้าเช็ดตัวอีกผืนติดเผื่อไปด้วย
  • โทรศัพท์มือถือหรือกล้อง ใช้สำหรับถ่ายรูปสวยๆ เก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ 
  • ถุงซิปกันน้ำ สำหรับใส่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นสายชาร์จ แบตเตอรี่สำรอง โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ

เที่ยวทะเลช่วงไหนดี? แล้วหากอยากไปเที่ยวทะเลอันดามันช่วงไหนดี? เชื่อว่าหลายๆ คนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ คงมีทะเลที่เล็งไว้ในใจแล้วแน่ๆ และสำหรับใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวทะเลเร็วๆ นี้ แนะนำให้ดูปฏิทินเที่ยวทะเลที่ทาง Airportels รวมรวมไว้ให้แบบจบครบทั้ง 12 เดือน เพื่อให้ทุกคนได้ไปเที่ยวทะเลอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางสภาพอากาศดี ทะเลสวย น้ำใส อีกทั้งอย่าลืมเช็กสิ่งที่ควรเตรียมก่อนไปเที่ยวด้วย เมื่อทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ก็ออกเดินทางสู่ชายหาดสวย เกาะอันงดงาม และโลกใต้ท้องทะเลอันกว้างใหญ่กันได้เลย! 

สายช้อปต้องรู้ ภาษีแบรนด์เนมคืออะไร ใครบ้างที่ต้องจ่าย ?

ปกติแล้วเวลาไปเที่ยวต่างประเทศ เรามักจะเจอสินค้าแบรนด์เนมของแท้ราคาถูกขายเต็มไปหมด ซึ่งเหตุผลที่มีราคาถูกนั้นไม่ได้แปลว่าเป็นของเลียนแบบ แต่เป็นเพราะสินค้าเหล่านั้นยังไม่ได้ถูกคิดภาษีนำเข้า จึงทำให้มีราคาถูกกว่าสินค้าแบรนด์เนมที่ขายในประเทศนั่นเอง แน่นอนว่าสายช้อปต้องไม่พลาด ที่จะซื้อของแบรนด์เนมติดไม้ติดมือหรือหิ้วกลับมาฝากคนรู้จักอย่างแน่นอน ซึ่งในไทยมียกเว้นภาษีให้สำหรับสินค้าแบรนด์เนมที่มีจุดประสงค์ในการซื้อมาใช้ส่วนตัว แต่ถ้าซื้อมาจำนวนมากเกินไป อาจโดนปรับภาษีนำเข้า จนมีราคาแพงกว่าสินค้าแบรนด์เนมที่ซื้อในประเทศไทยได้เลยทีเดียว

ดังนั้นบทความนี้จะพามารู้จักกับภาษีแบรนด์เนม หรือที่หลายๆ คนเรียกว่าภาษีหิ้วของว่าคืออะไร สินค้าใดบ้างที่ต้องเสียภาษี มีอัตราเท่าไรบ้าง เพื่อให้สายช้อปไม่ถูกปรับภาษีนำเข้าจนต้องมาเสียใจภายหลังได้

ภาษีนำเข้าคืออะไร มีอัตราอย่างไร

ภาษีนำเข้า เป็นภาษีที่จัดเก็บโดยกรมศุลกากร โดยจะเก็บภาษีจากผู้ที่นำสินค้าเข้ามาในประเทศไทยเพื่อนำภาษีนั้นไปใช้ในการพัฒนาประเทศ และเป็นการสร้างกำแพงไม่ให้สินค้าจากต่างประเทศมาทำลายการค้าภายในประเทศได้ เพราะถ้าหากไม่มีการเก็บภาษีนำเข้า ก็จะสามารถนำสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาขายได้อย่างง่ายดาย ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าลักษณะเดียวกันในประเทศขายได้ยากมากขึ้น 

องค์ประกอบของภาษีนำเข้าจะมี 2 ส่วน ได้แก่

1.ภาษีนำเข้า กรมศุลกากรมีหน้าที่จัดเก็บ โดยอัตราภาษีนำเข้าที่กรมศุลกากรกำหนดไว้จะแบ่งตามชนิดของสินค้า ดังนี้

  • คิดภาษี 30% สำหรับสินค้าประเภทเสื้อผ้า หมวก เข็มขัด รองเท้า เครื่องสำอาง น้ำหอม 
  • คิดภาษี 20% สำหรับสินค้ากระเป๋าแบรนด์เนม 
  • คิดภาษี 10% สำหรับสินค้าที่เป็น CD DVD อัลบั้มเพลง ตุ๊กตา 
  • คิดภาษี 5% สำหรับสินค้านาฬิกาข้อมือ แว่นตา แว่นกันแดด 
  • ได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าอุปกรณ์ไอทีต่างๆ แผงวงจรไฟฟ้า โทรศัพท์ กล้อง แต่ยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%

2.ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% นอกจากจะจัดเก็บภาษีนำเข้าแล้ว กรมศุลกากรจะต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อนำส่งให้กรมสรรพสามิตด้วย โดยคำนวณตามราคาสินค้าที่บวกภาษีนำเข้าแล้ว

ตัวอย่างการคำนวณภาษีนำเข้า สมมุติว่าซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมมาในราคา 40,000 บาท 

  1. คิดภาษีนำเข้ากระเป๋าแบรนด์เนม 40,000×20% = 8,000 บาท 
  2. คิดภาษีมูลค่าเพิ่ม (40,000+8,000)x7% = 3,360 บาท

รวมภาษีนำเข้าที่ต้องเสีย คือ 8,000+3,360 = 11,360 บาท

สิ่งของอะไรบ้างที่เสี่ยงโดนภาษี ? 

โดยปกติแล้วสิ่งของทั่วไป หรือของใช้ส่วนตัวที่เป็นไปตามข้อกำหนดจะไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้าอยู่แล้ว แต่จะมีสินค้าบางอย่างที่ถูกกำหนดปริมาณการนำเข้าไว้ หรือสินค้าที่เป็นของต้องกำกัด ซึ่งต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง สินค้าเหล่านี้จำเป็นต้องเสียภาษีอย่างแน่นอน โดยสินค้าที่ต้องเสียภาษีนำเข้าและสินค้าที่เป็นของต้องกำกัด มีดังนี้

ของต้องกำกัดมีอะไรบ้าง

  • อาวุธปืน กระสุนปืน วัตถุระเบิด
  • บุหรี่ ยาสูบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • อาหาร ยา เครื่องสำอาง และอาหารเสริม
  • พืชและส่วนต่างๆ ของพืช
  • สัตว์มีชีวิตและซากสัตว์
  • ชิ้นส่วนยานพาหนะ
  • เครื่องมือวิทยุสื่อสาร อุปกรณ์โทรคมนาคม
  • ศิลปวัตถุ โบราณวัตถุ พระพุทธรูป

สินค้าอะไรบ้างที่ต้องเสียภาษีนำเข้า

  • งของที่นำไปจากประเทศไทยไว้ก่อนเดินทาง จะไม่ถูกคิดมูลค่าด้วย)
  • สิ่งของที่มีลักษณะทางการค้า แม้จะมีมูลค่าต่ำกว่า 20,000 บาท
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินกว่า 1 ลิตร
  • บุหรี่เกินกว่า 200 มวน รวมไปถึงยาสูบเกินกว่า 250 กรัม

ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ปกติก็ซื้อแบรนด์เนมทำไมไม่ต้องจ่ายภาษี ?

หลายๆ คนมีข้อสงสัยว่าปกติก็ซื้อของแบรนด์เนมจากต่างประเทศ แต่ไม่เห็นต้องจ่ายภาษี สรุปแล้วกรมศุลกากรคิดภาษีแบรนด์เนมอย่างไรกันแน่ คำตอบคือการเรียกปรับภาษีขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ศุลกากร ซึ่งส่วนมากเจ้าหน้าที่จะยกเว้นภาษีให้กับสินค้าที่ซื้อมาเพื่อใช้การส่วนตัว โดยเจ้าหน้าที่จะพิจารณาจากลักษณะแพ็กเกจของสินค้า หากมีการแกะกล่องและนำออกมาใช้แล้ว เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะพิจารณาว่าเป็นของใช้ส่วนตัวและละเว้นการเสียภาษี แต่ในทางกลับกัน หากแพ็กเกจแบรนด์เนมที่ซื้อมายังสมบูรณ์ครบครัน ยังไม่มีการใช้งาน เจ้าหน้าที่อาจพิจารณาว่าเป็นสินค้านำเข้าในลักษณะค้าขายได้ เพราะสินค้าแบรนด์เนมที่ยังไม่แกะกล่องจะสามารถนำไปขายต่อในราคาสูงได้นั่นเอง นอกจากพิจารณาจากลักษณะแพ็กเกจแล้ว ยังพิจารณาจากจำนวนสินค้าอีกด้วย หากหิ้วของแบรนด์เนมมาจำนวนไม่มาก และไม่สำแดงพิรุธว่าจะนำไปขายต่อ เจ้าหน้าที่สามารถพิจารณาละเว้นภาษีได้

อย่างไรก็ตาม AIRPORTELs ขอแนะนำว่าหากหิ้วสินค้าแบรนด์เนมมาจำนวนมาก และไม่สามารถแกะกล่องมาใช้เองได้ครบทุกชิ้น ก็ควรไปสำแดงกับเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้เสียค่าปรับแสนแพงจะดีกว่า

หากต้องชำระภาษีศุลกากรขาเข้า ต้องเตรียมตัวอย่างไร ? 

กรณีที่ไม่มีของต้องเสียภาษีนำเข้า สามารถเดินผ่านได้ที่ช่องไม่มีสิ่งของต้องสำแดง หรือ ช่องเขียว (Nothing to declare) ได้เลย แต่ถ้าหากมีของที่ต้องเสียภาษีให้เดินผ่านช่องมีสิ่งของต้องสำแดงหรือ ช่องแดง (Goods to declare) เพื่อชำระภาษีศุลกากรขาเข้า โดยสิ่งที่ต้องเตรียมคือ หนังสือเดินทาง และใบเสร็จรับเงินสินค้า 

ใบเสร็จรับเงินถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ภาษีแบรนด์เนมที่ต้องเสียนั้นคำนวณออกมาได้อย่างถูกต้องที่สุด เพราะหากไม่มีใบเสร็จรับเงิน เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะตีราคาจากเว็บไซต์หรือฐานข้อมูลที่จำหน่ายสินค้านั้นๆ ซึ่งสินค้าอาจถูกตีราคาถูกกว่า หรือแพงกว่าราคาจริงที่ซื้อมาได้ ดังนั้นใบเสร็จรับเงินจึงเป็นหลักฐานยืนยันที่ช่วยให้จ่ายภาษีแบรนด์เนมในราคาที่ถูกต้องได้ แต่ในกรณีที่เป็นสินค้าประเภทของสะสมที่ไม่มีราคาที่แน่นอน และมีราคาสูงมาก อาจขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ศุลกากรว่าต้องเสียภาษีเท่าไร แต่โดยปกติแล้วจะเสียภาษีในราคาที่ไม่สูงมาก

ทำยังไงไม่ให้โดนภาษีแบรนด์เนม

วิธีการหิ้วของแบรนด์เนมโดยไม่ให้โดนภาษีแบรนด์เนม คือ พยายามซื้อไม่ให้มีมูลค่ารวมทั้งหมดเกินเกณฑ์ราคา 20,000 บาท รวมถึงไม่ซื้อจำนวนมากเกินไป เพราะถึงแม้ว่าจะหิ้วมามูลค่ารวมไม่ถึง 20,000 บาท แต่การซื้อจำนวนมากอาจเข้าข่ายลักษณะเพื่อค้าขายและเสียภาษีได้ นอกจากนั้นควรแสดงเจตนาให้ชัดเจนว่าซื้อมาเพื่อใช้เป็นของส่วนตัว อย่างการแกะกล่องออกมาใช้เลย รวมไปถึงไม่ซื้อของแบรนด์เนมรุ่นเดิมซ้ำๆ กันหลายชิ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นการซื้อเพื่อเป็นของฝากให้กับคนรู้จัก แต่เจตนานั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้

คุ้มไหมที่ไม่สำแดงสินค้าเพื่อเลี่ยงภาษี

หากคิดจะไม่สำแดงสินค้าเพื่อเลี่ยงภาษีล่ะก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก เพราะหากหลีกเลี่ยงไม่สำแดงสินค้า และเดินผ่านเข้าช่องเขียว อาจถูกสุ่มตรวจสัมภาระ เมื่อพบว่ามีของที่ต้องเสียภาษีอยู่ด้วย จะถูกปรับเงินสูงสุด 4 เท่าของราคาสินค้าที่รวมภาษี หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกทั้งยังถูกยึดสินค้าที่นำเข้ามาด้วย เรียกได้ว่าทั้งเสียเงิน เสียของ เสียเวลา ไม่คุ้มอย่างมาก หากรู้ตัวว่ามีสินค้าที่ต้องเสียภาษีแบรนด์เนมก็ควรสำแดงต่อเจ้าหน้าที่และจ่ายภาษีอย่างถูกต้องจะดีกว่า

ภาษีนำเข้า ภาษีแบรนด์เนม หรือภาษีหิ้วของ คือภาษีที่กรมศุลกากรต้องจัดเก็บกับผู้ที่นำสินค้าเข้ามาในประเทศไทย โดยของที่ต้องเสียภาษีคือของใช้ส่วนตัวที่มีมูลค่าเกิน 20,000 บาท หรือสินค้าที่มีจำนวนมากที่เข้าข่ายลักษณะค้าขาย รวมไปถึงแอลกอฮอล์ บุหรี่ หรือยาสูบที่มีปริมาณหรือน้ำหนักเกินเกณฑ์ ส่วนของที่ไม่ต้องเสียภาษีคือของใช้ส่วนตัวที่มีมูลค่าไม่เกิน 20,000 บาท หรือแอลกอฮอล์ บุหรี่ ยาสูบที่ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด รวมถึงไม่ใช่ของต้องห้ามหรือของกำกัด และอุปกรณ์ไอทีต่างๆ แผงวงจรไฟฟ้า โทรศัพท์ กล้อง ที่ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า แต่ยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% อยู่ดี 

ส่วนใครที่ซื้อของแบรนด์เนมแต่ไม่อยากเสียภาษีนำเข้า ให้ซื้อของที่มูลค่าไม่มากและไม่ซื้อจำนวนมากเกินไป หรือใช้วิธีแกะกล่องแล้วใช้งานเลยเพื่อแสดงเจตนาว่าเป็นของใช้ส่วนตัว แต่ AIRPORTELs ไม่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสำแดงสินค้าเพื่อเลี่ยงภาษี เพราะไม่คุ้มค่า อาจเสียค่าปรับหรือถูกจำคุกได้

รู้ไว้กันพลาด!! ขนาดกระเป๋าที่โหลดขึ้นเครื่อง และค่าโหลดต้องคำนวณ

เมื่อจำเป็นต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน ไม่ว่าเป็น เที่ยวบินภายในประเทศหรือเที่ยวบินระหว่างประเทศ “กระเป๋าสัมภาระ” ถือเป็นอีกหนึ่งเพื่อนร่วมทางที่ทุกคนต้องนำไปด้วยเสมอ แม้เคยเดินทางบ่อยหรือเพิ่งขึ้นเครื่องบินครั้งแรก หลายๆ คนอาจมีความกังวลเกี่ยวกับน้ำหนักกระเป๋า ค่าใช้จ่ายในการโหลดกระเป๋าหรือแม้แต่ขนาดของกระเป๋า

บทความนี้ ได้รวบรวมคำตอบเกี่ยวกับการนำกระเป๋าขึ้นเครื่องและการโหลดกระเป๋าไว้หมดแล้ว ไม่ว่าเป็น ขนาดกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง จำนวนกระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง และอัตราค่าโหลดกระเป๋าแต่ละสายการบิน เช่น การบินไทย นกแอร์ แอร์เอเชีย ไทยเวียตเจ็ท และไลอ้อนแอร์

ขนาดไซส์ทั่วไปของกระเป๋าเดินทางแบบล้อลาก 

แม้ว่าสายการบินต่างๆ มีรายละเอียดของข้อกำหนดหรือนโยบายเกี่ยวกับการสัมภาระที่ถือขึ้นเครื่องและโหลดขึ้นเครื่องที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่กระเป๋าล้อลากบางขนาดสามารถโหลดขึ้นเครื่องได้เพียงอย่างเดียว เพราะมีขนาดใหญ่กว่าขนาดของช่องสัมภาระเหนือศีรษะในห้องโดยสาร ทั้งนี้ ในท้องตลาดยังมีกระเป๋าให้เลือกซื้อหลายขนาด เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคน ดังนี้  

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 16 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 16 นิ้ว เป็นขนาดกระเป๋าที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ โดยส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างประมาณ 24×41 เซนติเมตร มีความสูงไม่รวมที่จับลากประมาณ 43 เซนติเมตร เป็นไซส์กระเป๋าที่เหมาะกับทริปเดินทางประมาณ 1-2 วัน 

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 18 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 18 นิ้ว เป็นขนาดกระเป๋าที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ โดยส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างประมาณ 24×46 เซนติเมตร มีความสูงไม่รวมที่จับลากประมาณ 46 เซนติเมตร เป็นไซส์กระเป๋าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกนิด จึงเหมาะกับทริปเดินทางประมาณ 2-3 วัน

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 22 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 22 นิ้ว ถือเป็นขนาดของกระเป๋าที่ใหญ่ที่สุด ที่สายการบินต่างๆ ยังอนุญาตให้ถือขึ้นเครื่องและใส่ในช่องสัมภาระเหนือศีรษะในห้องโดยสารได้ โดยส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างประมาณ 23×40 เซนติเมตร มีความสูงไม่รวมที่จับลากประมาณ 55 เซนติเมตร เป็นไซส์กระเป๋าที่เหมาะกับทริปเดินทางประมาณ 2-4 วัน 

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 24 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 24 นิ้ว เป็นขนาดกระเป๋าที่ต้องโหลดขึ้นเครื่องแทนการถือ เพราะมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่นโยบายของสายการบินส่วนใหญ่อนุญาต โดยส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างประมาณ 24×45 เซนติเมตร มีความสูงไม่รวมที่จับลากประมาณ 61 เซนติเมตร เป็นไซส์กระเป๋าที่เหมาะกับทริปเดินทางประมาณ 5 วัน – 1 สัปดาห์ 

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 26 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 26 นิ้ว เป็นขนาดกระเป๋าที่ต้องโหลดขึ้นเครื่องแทนการถือ โดยส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างประมาณ 27×40 เซนติเมตร มีความสูงไม่รวมที่จับลากประมาณ 67 เซนติเมตร เป็นไซส์กระเป๋าที่เหมาะกับทริปเดินทางตั้งแต่ 1 สัปดาห์ – 10 วัน 

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 28 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 28 นิ้ว เป็นขนาดกระเป๋าที่ต้องโหลดขึ้นเครื่อง โดยส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างประมาณ 30×46 เซนติเมตร มีความสูงไม่รวมที่จับลากประมาณ 78 เซนติเมตร เป็นไซส์กระเป๋าที่เหมาะกับทริปเดินทางไม่เกิน 2 สัปดาห์

กระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องแบบไหนได้บ้าง

โดยทั่วไป สัมภาระหรือกระเป๋าเดินทางที่สามารถนำขึ้นเครื่องบิน ไม่ว่าเป็น กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง หรือกระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง สามารถใช้ได้ทั้งกระเป๋าถือ กระเป๋าสะพาย หรือกระเป๋ามีล้อลาก 

นอกจากเรื่องนโยบายในส่วนของน้ำหนักและขนาดกระเป๋าแล้ว บางสายการบินอาจมีการกำหนดจำนวนของสัมภาระร่วมด้วย ซึ่งรายละเอียดของการถือกระเป๋าขึ้นเครื่องและการโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้ 

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง คือ สัมภาระที่ผู้โดยสารสามารถพกติดตัวขึ้นเครื่องบินได้ เช่น กระเป๋าถือหรือกระเป๋าเดินทางที่มีล้อลากไซส์ 12-22 นิ้ว ซึ่งต้องเก็บไว้บนช่องใส่กระเป๋าเหนือศีรษะหรือช่องใส่ของด้านหน้าเก้าอี้ โดยมักกำหนดน้ำหนักไว้ไม่เกิน 7 กิโลกรัม ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสายการบิน นอกจากนี้ ต้องไม่มีของต้องห้ามต่างๆ เช่น

  • ของเหลวปริมาณเกิน 50 มิลลิลิตร
  • ของมีคมหรืออาวุธต่างๆ เช่น มีด ปืน หรือกรรไกร
  • สัตว์ที่มีชีวิตหรือซากของสัตว์
  • อาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น ทุเรียน ปลาร้า หรือขนุน

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage) 

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง คือ กระเป๋าเดินทางที่มีขนาดใหญ่ตั้งแต่ 24 นิ้วขึ้นไป โดยส่วนใหญ่การเดินทางภายในประเทศ ไม่เกิน 15 กิโลกรัม ส่วนการเดินทางระหว่างประเทศ ไม่เกิน 20 กิโลกรัม ซึ่งของที่ไม่ควรใส่หรือต้องห้าม มีดังนี้

  • ของต้องห้ามตามข้อกำหนดของแต่ละประเทศ เช่น ของผิดกฎหมาย หรือยารักษาโรคบางชนิด
  • ของมีค่า เช่น แล็ปท็อป เงินสด หรือเครื่องประดับ
  • อุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี เช่น บุหรี่ไฟฟ้าที่มีแบตเตอรี หรือเพาว์เวอร์แบงก์
  • อาวุธและวัตถุไวไฟ

ทั้งนี้ ของมีค่าและอุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี สามารถถือขึ้นเครื่องได้ โดยเพาว์เวอร์แบงก์ความจุต้องไม่เกิน 32,000 mAh และบุหรี่ไฟฟ้าที่มีแบตเตอรีความจุไม่เกิน 100Wh ซึ่งไม่อนุญาตให้ชาร์จบนเครื่องบิน

ขนาด น้ำหนัก และค่าโหลดของแต่ละสายการบิน

แต่ละสายการบินมีการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับขนาดและน้ำหนักของกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือขึ้นเครื่อง ไปจนถึงมีค่าบริการในการโหลดกระเป๋าที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผู้ที่ต้องการเดินทางด้วยการโดยสารเครื่องบิน ควรศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อให้ง่ายต่อการเตรียมตัว หมดปัญหาการต้องแกะสัมภาระมาแพ็กใหม่ที่สนามบินหรือต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม 

สำหรับใครที่กำลังจะบินหรือกำลังเปรียบเทียบสายการบินที่ใช้บริการ แต่ละสายการบินมีนโยบายเกี่ยวกับขนาด น้ำหนัก และค่าโหลดสัมภาระ ดังนี้

1. การบินไทย (Thai Airway)

การบินไทย (Thai Airway) เป็นสายการบินสัญชาติไทยที่ให้บริการทั้งจุดหมายปลายทางภายในประเทศและต่างประเทศ รวมกว่า 35 ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมันนี ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ โดยมีท่าอากาศยานหลักอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สำหรับนโยบายเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือและโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทย กระเป๋าสัมภาระที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ คือ กระเป๋าสัมภาระจำนวน 1 ชิ้น น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม โดยขนาดของกระเป๋าต้องไม่เกิน 25x45x56 เซนติเมตร รวมความสูงจากล้อ และมือจับ ซึ่งต้องเก็บไว้ในช่องเก็บของเหนือศีรษะหรือใต้เบาะนั่งได้

นอกจากนี้ยังสามารถพกสิ่งของเหล่านี้ขึ้นเครื่องโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

  • กระเป๋าใส่ของมีค่า เช่น กระเป๋าถือ หรือกระเป๋าใส่เงิน โดยมีขนาดกระเป๋าไม่เกิน 12.5x25x37.5 เซนติเมตร และน้ำหนักไม่เกิน 1.5 กิโลกรัม
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์แบบพกพาหรือแล็ปท็อป
  • ไม้ค้ำยัน ในกรณีที่เป็นผู้สูงอายุ ผู้ป่วย หรือผู้ที่ทุพพลภาพ
  • กล้องหรือกล้องส่องทางไกลขนาดเล็ก
  • อาหารเด็กเล็ก

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทย กระเป๋าสัมภาระที่สามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ คือ 

  • ชั้นหนึ่ง ระหว่างประเทศ 50 กิโลกรัม
  • ชั้นธุรกิจ ในประเทศ 40 กิโลกรัม และระหว่างประเทศ 40 กิโลกรัม
  • ชั้นประหยัดพิเศษ  ในประเทศ 30 กิโลกรัม และระหว่างประเทศ 40 กิโลกรัม
  • ชั้นประหยัด  ในประเทศ 20-30 กิโลกรัม และระหว่างประเทศ 20-35 กิโลกรัม

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักสัมภาระเกิน

  • กรณีที่บินภายในประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมคิดเป็นหน่วยบาท โดยคิดเป็น 1.5% ของค่าบัตรโดยสารชั้นประหยัด แบบบินตรงเที่ยวเดียว ปกติสูงสุด หรือประมาณ 55-125 บาทต่อ 1 กิโลกรัม 
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมคิดเป็นหน่วยดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแตกต่างกันออกไปตามโซนของประเทศจุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทาง โดยค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 12-70 ดอลลาร์สหรัฐ การแปลงค่าเงินขึ้นอยู่กับอัตราการแลกเปลี่ยนในวันนั้นๆ

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม โดยจำเป็นต้องซื้ออย่างน้อย 5 กิโลกรัม และไม่เกิน 50 กิโลกรัม โดยต้องซื้อล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง

  • กรณีที่บินภายในประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมคิดเป็นหน่วยบาท อยู่ระหว่าง 50-60 บาท
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมคิดเป็นหน่วยดอลลาร์สหรัฐ อยู่ระหว่าง 8-56 ดอลลาร์สหรัฐ การแปลงค่าเงินขึ้นอยู่กับอัตราการแลกเปลี่ยนในวันนั้นๆ

2. ไทยสมายล์ (Thai Smile)

ไทยสมายล์ (Thai Smile) เป็นสายการบินสัญชาติไทยที่มีเส้นทางการบินภายในประเทศและจุดหมายปลายทางต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น อินเดีย เวียดนาม ศรีลังกา จีน และมาเลเซีย โดยมีท่าอากาศยานหลักอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สำหรับนโยบายเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือและโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทยสมายล์ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ คือ กระเป๋าสัมภาระจำนวน 1 ชิ้น น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม โดยขนาดของกระเป๋าต้องไม่เกิน 25x45x56 เซนติเมตร รวมความสูงจากล้อ และมือจับ ซึ่งต้องเก็บไว้ในช่องเก็บของเหนือศีรษะหรือใต้เบาะนั่งได้ 

นอกจากนี้ยังสามารถพกสิ่งของเหล่านี้ขึ้นเครื่องโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

  • กระเป๋าใส่ของมีค่า เช่น กระเป๋าถือ หรือกระเป๋าใส่เงิน โดยมีขนาดกระเป๋าไม่เกิน 12.5x25x37.5 เซนติเมตร และน้ำหนักไม่เกิน 1.5 กิโลกรัม
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์แบบพกพา หรือแล็ปท็อป
  • ผ้าคลุมไหล่ หรือผ้าห่ม จำนวนไม่เกิน 1 ผืน
  • ร่ม จำนวนไม่เกิน 1 ด้าม
  • กล้องถ่ายภาพหรือกล้องส่องทางไกลขนาดเล็ก จำนวน 1 ตัว
  • หนังสือจำนวนที่เหมาะสม
  • อาหารของเด็กทารกในปริมาณที่เหมาะสม
  • อุปกรณ์ที่ช่วยในการเคลื่อนไหวหรือการเดิน เช่น ไม้ค้ำยัน เก้าอี้วีลแชร์ หรือกายอุปกรณ์เทียม สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้
  • สุนัขนำทางสำหรับคนตาบอดหรือหูหนวก
  • สินค้าปลอดภาษี ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายของประเทศ เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือบุหรี่

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทยสมายล์ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ คือ

  • ชั้นพรีเมียม  ในประเทศ 30 กิโลกรัม และระหว่างประเทศ 40 กิโลกรัม
  • ชั้นประหยัด  ในประเทศ 20 กิโลกรัม และระหว่างประเทศ 30 กิโลกรัม

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักสัมภาระเกิน

  • กรณีที่บินภายในประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 180 บาท  
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมคิดเป็นหน่วยดอลลาร์สหรัฐ บาทไทย หรือรูปีอินเดีย ขึ้นอยู่กับประเทศต้นทางหรือจุดหมายปลายทาง โดยค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 12-15 ดอลลาร์สหรัฐ 405-540 บาทไทย และ 1400 รูปีอินเดีย

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม โดยจำเป็นต้องซื้อล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ซึ่งมีอัตราค่าใช้จ่ายเท่ากันทั้งในกรณีบินภายในประเทศและบินระหว่างประเทศ มีรายละเอียด ดังนี้

  • 5 กิโลกรัม = 600 บาท
  • 10 กิโลกรัม = 900 บาท
  • 15 กิโลกรัม = 1,350 บาท
  • 20 กิโลกรัม = 1,800 บาท
  • 25 กิโลกรัม = 2,250 บาท
  • 30 กิโลกรัม = 2,700 บาท
  • 40 กิโลกรัม = 3,600 บาท 

3. สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส (Bangkok Airways)

บางกอกแอร์เวย์ส (Bangkok Airways) เป็นสายการบินเชิงพาณิชย์ของไทยที่ให้บริการครอบคลุมหลายจังหวัดในประเทศไทย เช่น สุโขทัย ภูเก็ต เชียงใหม่ และตราด โดยมีท่าอากาศยานหลักในประเทศหลายแห่ง ไม่ว่าเป็น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานอู่ตะเภา และท่าอากาศยานสมุย นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางการบินต่างประเทศ เช่น ลาว ฮ่องกง และมัลดีฟส์ อีกด้วย สำหรับนโยบายเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือและโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

ตามนโยบายของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส กระเป๋าสัมภาระที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ คือ กระเป๋าสัมภาระจำนวน 1 ชิ้น น้ำหนักไม่เกิน 5 กิโลกรัม โดยขนาดของกระเป๋าที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเภทเครื่องบินที่โดยสาร มีรายละเอียดดังนี้ 

  • ประเภทเครื่องบิน ATR72 ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องไม่เกิน 23x36x50 เซนติเมตร
  • ประเภทเครื่องบิน Airbus 319 และ Airbus 320 ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องไม่เกิน 23x36x56 เซนติเมตร

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage)

ตามนโยบายของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส กระเป๋าสัมภาระที่สามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ คือ

  • ชั้นธุรกิจบลูริบบิน  น้ำหนักกระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง 40 กิโลกรัม
  • ชั้นประหยัด  น้ำหนักกระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง 20 กิโลกรัม

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักสัมภาระเกิน

  • กรณีที่บินภายในประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 180 บาท  
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมคิดเป็นหน่วยดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 11-60 ดอลลาร์สหรัฐ

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม โดยจำเป็นต้องซื้อล่วงหน้าก่อนเวลาเดินทางอย่างน้อย 4 ชั่วโมง

  • กรณีที่บินภายในประเทศ
    • 5 กิโลกรัม = 600 บาท
    • 10 กิโลกรัม = 900 บาท
    • 15 กิโลกรัม = 1,350 บาท
    • 20 กิโลกรัม = 1,800 บาท
    • 25 กิโลกรัม = 2,250 บาท
    • 30 กิโลกรัม = 2,700 บาท
    • 40 กิโลกรัม = 3,600 บาท 
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมคิดเป็นหน่วยดอลลาร์สหรัฐ อยู่ระหว่าง 8-48 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งราคามีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเทศต้นทางและจุดหมายปลายทาง โดยต้องซื้อน้ำหนักอย่างน้อย 5 กิโลกรัม

4. นกแอร์ (Nok Air)

นกแอร์ (Nok Air) เป็นสายการบินราคาประหยัดของไทย ให้บริการพื้นที่ครอบคลุมทั้งประเทศไทยและภายในทวีปเอเชีย เช่น เวียดนาม จีน อินเดีย และญี่ปุ่น โดยมีท่าอากาศยานหลักอยู่ที่สนามบินดอนเมือง สำหรับนโยบายเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือและโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

ตามนโยบายของสายการบินนกแอร์ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ คือ กระเป๋าสัมภาระจำนวน 1 ชิ้น น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม  โดยขนาดของกระเป๋าต้องไม่เกิน 23x36x56 เซนติเมตร รวมความสูงจากล้อ และมือจับ ซึ่งต้องเก็บไว้ในช่องเก็บของเหนือศีรษะหรือใต้เบาะนั่งได้ 

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage)

ตามนโยบายของสายการบินนกแอร์ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ แบ่งตามประเภทของบัตรโดยสาร คือ

  • บินเบาๆ (Nok Lite) ไม่มี
  • บินสบาย (Nok X-tra) ในประเทศ 15 กิโลกรัม และระหว่างประเทศ 20 กิโลกรัม
  • บินเพลิดเพลิน (Nok MAX) ในประเทศ 25 กิโลกรัม และระหว่างประเทศ 30 กิโลกรัม

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักสัมภาระเกิน

  • กรณีที่บินภายในประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 400 บาท  
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 500 บาท

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม โดยมีอัตราแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของบัตรโดยสาร จุดหมายปลายทาง จำนวนน้ำหนักที่ซื้อเพิ่ม และช่วงเวลาที่ซื้อน้ำหนักเพิ่ม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • กรณีซื้อพร้อมบัตรโดยสาร ภายในประเทศเริ่มต้นที่ 5 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 150 บาท ส่วนระหว่างประเทศเริ่มต้นที่ 5 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 200 บาท
  • กรณีซื้อเพิ่มหลังซื้อบัตรโดยสารแล้ว ภายในประเทศเริ่มต้นที่ 5 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 250 บาท ส่วนระหว่างประเทศเริ่มต้นที่ 5 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 300 บาท

5. ไทยเวียตเจ็ทแอร์ (Thai Vietjet Air)

ไทยเวียตเจ็ทแอร์ (Thai Vietjet Air) เป็นสายการบินในเครือเวียตเจ็ทแอร์ ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำจากประเทศเวียดนาม โดยเป็นสายการบินที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งภายในประเทศไทยและเมืองสำคัญของประเทศเวียดนาม เช่น เกิ่นเทอ และดานัง นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางบินระหว่างประเทศในแถบเอเชีย อาทิ กัมพูชา สิงคโปร์ และไต้หวัน อีกด้วย โดยมีท่าอากาศยานหลักอยู่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับนโยบายเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือและโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทยเวียตเจ็ทแอร์ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ คือ กระเป๋าสัมภาระจำนวน 1 ชิ้น น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม โดยขนาดของกระเป๋าต้องไม่เกิน 23x36x56 เซนติเมตร ซึ่งต้องเก็บไว้ในช่องเก็บของเหนือศีรษะหรือใต้เบาะนั่ง 

นอกจากนี้ ผู้โดยสารสามารถนำกระเป๋าถือใบเล็กหรือกระเป๋าแล็ปท็อปอีก 1 ใบขึ้นเครื่องได้

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทยเวียตเจ็ทแอร์  กระเป๋าสัมภาระที่สามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ ต้องมีน้ำหนักรวมไม่เกิน 32 กิโลกรัม และแต่ละชิ้นต้องมีขนาดไม่เกิน 81x119x119 เซนติเมตร 

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักสัมภาระเกิน

  • กรณีที่บินภายในประเทศ  ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 320 บาท 
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ  ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 450-650 บาท ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการเดินทาง

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม 

  • น้ำหนัก 15 กิโลกรัม ภายในประเทศ 355 บาท และบินระหว่างประเทศ 540-1050 บาท
  • น้ำหนัก 20 กิโลกรัม ภายในประเทศ 395 บาท และบินระหว่างประเทศ 715-1,400 บาท
  • น้ำหนัก 25 กิโลกรัม ภายในประเทศ 495 บาท และบินระหว่างประเทศ 923-1,650 บาท
  • น้ำหนัก 30 กิโลกรัม ภายในประเทศ 795 บาท และบินระหว่างประเทศ 1,260-1,980บาท
  • น้ำหนัก 35 กิโลกรัม ภายในประเทศ 955 บาท และบินระหว่างประเทศ 1,512-2,310 บาท
  • น้ำหนัก 40 กิโลกรัม ภายในประเทศ 1,195 บาท และบินระหว่างประเทศ 1,875-2,800 บาท

6. แอร์เอเชีย (Air Asia)

แอร์เอเชีย (Air Asia) เป็นสายการบินข้ามชาติต้นทุนต่ำระหว่างไทยกับมาเลเซีย ให้บริการเส้นทางการบินในหลายจังหวัดของประเทศไทย เช่น ขอนแก่น ตรัง และเชียงใหม่ รวมถึง จุดหมายปลายทางในภูมิภาคเอเชียอีกหลายแห่ง เช่น จีน ฮ่องกง และอินเดีย โดยมีฐานการบินอยู่ทั้งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และดอนเมือง สำหรับนโยบายเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือและโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

ตามนโยบายของสายการบินแอร์เอเชีย สามารถถือกระเป๋าขึ้นเครื่องได้จำนวน 2 ใบ โดยต้องมีน้ำหนักรวมกันไม่เกิน 7 กิโลกรัม ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

  • กระเป๋าสัมภาระจำนวน 1 ใบ ต้องมีขนาดไม่เกิน 23x36x56 เซนติเมตร และต้องสามารถเก็บในช่องใส่สัมภาษณ์เหนือศีรษะได้
  • กระเป๋าใส่ทรัพย์สินจำนวน 1 ใบ โดยอาจเป็นกระเป๋าถือ กระเป๋าขนาดเล็ก หรือกระเป๋าใส่แล็ปท็อป ที่มีขนาดไม่เกิน 10x30x40 เซนติเมตร และต้องสามารถจัดเก็บไว้ใต้ที่นั่งด้านหน้าได้

ในกรณีของเที่ยวการบินแอร์เอเชียอินเดีย จากจัมมู หรือ ศรีนาการ์ ไม่อนุญาตให้นำกระเป๋าสัมภาระขึ้นเครื่อง เนื่องจากข้อกำหนดการรักษาความปลอดภัยของสนามบิน

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage)

ตามนโยบายของสายการบินแอร์เอเชีย สามารถโหลดกระเป๋าสัมภาระขึ้นเครื่องได้โดยไม่จำกัดจำนวน แต่น้ำหนักรวมของกระเป๋าสัมภาระต้องไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด โดยแบ่งตามประเภทของบัตรโดยสาร คือ

  • Low Fare ไม่มี
  • Value Pack และ Premium Flex น้ำหนัก 20 กิโลกรัม
  • Premium Flatbed น้ำหนัก 40 กิโลกรัม

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักสัมภาระเกิน 

  • กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง ในกรณีที่น้ำหนักของกระเป๋าเกิน ค่าใช้จ่ายในส่วนของ 15 กิโลกรัมแรก คิดเป็น 1,300 บาท และในกิโลกรัมต่อไปกิโลกรัมละ 455 บาท รวมถึง หากกระเป๋าสัมภาระมีขนาดใบใหญ่กว่าช่องเก็บของเหนือศีรษะ มีค่าใช้จ่าย 2,210 บาท

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม โดยซื้อได้ไม่เกิน 40 กิโลกรัม

  • กรณีซื้อพร้อมบัตรโดยสาร ภายในประเทศเริ่มต้นที่ 15 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 468 บาท ส่วนระหว่างประเทศเริ่มต้นที่ 20 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 1,368 บาท
  • กรณีซื้อเพิ่มหลังซื้อบัตรโดยสารแล้ว ภายในประเทศเริ่มต้นที่ 15 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 520 บาท ส่วนระหว่างประเทศเริ่มต้นที่ 20 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 1,533 บาท

7. ไทยไลอ้อนแอร์ (Thai Lion Air)

ไทยไลอ้อนแอร์ (Thai Lion Air) เป็นสายการบินต้นทุนต่ำระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย ซึ่งมีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมทั้งภายในประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชีย เช่น จีน เนปาล ไต้หวัน และเวียดนาม โดยมีฐานการบินอยู่ทั้งท่าอากาศยานดอนเมือง สำหรับนโยบายเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือและโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ คือ กระเป๋าสัมภาระจำนวน 1 ชิ้น น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม โดยขนาดของกระเป๋าต้องไม่เกิน 20x30x40 เซนติเมตร

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ คือ

  • กรณีบินภายในประเทศ  จำนวน 1 ใบ น้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม
  • กรณีบินระหว่างประเทศ  จำนวนไม่เกิน 2 ใบ น้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัม

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักสัมภาระเกิน 

  • กรณีที่บินภายในประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 300 บาท  
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 500 บาท แต่ถ้าเป็นเส้นทางกรุงเทพฯ-กัวลาลัมเปอร์ ราคา 400 บาทต่อ 1 กิโลกรัม 

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม โดยจำเป็นต้องซื้อล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ชั่วโมง ซึ่งซื้อได้ไม่เกิน 45 กิโลกรัม และน้ำหนักสัมภาระแต่ละชิ้นต้องไม่เกิน 32 กิโลกรัม มีอัตราค่าใช้จ่ายเท่ากันทั้งในกรณีบินภายในประเทศและบินระหว่างประเทศ มีรายละเอียด ดังนี้

  • เพิ่ม 5 กิโลกรัม ภายในประเทศ 200 บาท และระหว่างประเทศ 325 บาท
  • เพิ่ม 10 กิโลกรัม ภายในประเทศ 275 บาท และระหว่างประเทศ 475 บาท
  • เพิ่ม 15 กิโลกรัม ภายในประเทศ 375 บาท และระหว่างประเทศ 625 บาท
  • เพิ่ม 20 กิโลกรัม ภายในประเทศ 405 บาท และระหว่างประเทศ 775 บาท
  • เพิ่ม 25 กิโลกรัม ภายในประเทศ 495 บาท และระหว่างประเทศ 1,000 บาท
  • เพิ่ม 30 กิโลกรัม ภายในประเทศ 645 บาท 
  • เพิ่ม 35 กิโลกรัม ภายในประเทศ 795 บาท 

ขึ้นเครื่อง แบบไม่ต้องสนใจเรื่องขนาด น้ำหนัก ทำได้ไหม?

หลังจากที่ได้ทราบเกี่ยวกับข้อจำกัดของน้ำหนักกระเป๋าที่ถือหรือโหลดขึ้นเครื่อง รวมถึง ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการโหลดกระเป๋า ในกรณีที่น้ำหนักกระเป๋าเกิน หลายๆ คนอาจสงสัยว่า สามารถเดินทางโดยสารเครื่องบิน แบบไม่ต้องสนใจเรื่องขนาดหรือน้ำหนักของสัมภาระได้ไหม? 

คำตอบ คือ สามารถทำได้ เพราะ Airportels มีบริการรับฝากกระเป๋าตามจุดต่างๆ และบริการขนส่งสัมภาระไปทั่วประเทศไทย ไม่ว่าเป็น สนามบิน ห้างสรรพสินค้า หรือโรงแรม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

มีบริการอะไรบ้าง

Airportels พร้อมช่วยอำนวยความสะดวกให้การท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น โดยมีบริการหลักๆ ดังนี้

บริการขนส่งสัมภาระกระเป๋า

Airportels ให้บริการขนส่งสัมภาระ ทั้งภายในกรุงเทพฯ และการขนส่งข้ามจังหวัด ไม่ว่าเป็น ท่าอากาศยาน ห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่พัก โดยไม่จำกัดทั้งขนาดและน้ำหนักของสัมภาระ รวมถึง ระยะทางการขนส่ง มีอัตราค่าบริการขนส่งสัมภาระกระเป๋าเริ่มต้นที่ 299 บาท พร้อมระบบติดตามสถานะของสัมภาระ 

บริการฝากของ ฝากกระเป๋า 

บริการรับฝากสัมภาระของ Airportels นั้นครอบคลุมตั้งแต่ กระเป๋าสัมภาระ อุปกรณ์กีฬา และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น แล็ปท็อป จักรยาน หรือถุงกอล์ฟ มีอัตราค่าบริการเริ่มต้นเพียง 100 บาท ต่อสัมภาระ 1 ชิ้น ซึ่งไม่มีการจำกัดน้ำหนักหรือขนาด โดยมีบริการจุดบริการที่สนามบิน และห้างสรรพสินค้า ที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS ได้แก่

  • ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
  • ท่าอากาศยานดอนเมือง เปืดให้บริการระหว่างเวลา 06.00 – 24.00 น.
  • เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ เปืดให้บริการระหว่างเวลา 10.00 – 22.00 น.
  • เทอร์มินอล 21 เปืดให้บริการระหว่างเวลา 10.00 – 22.00 น.
  • เซ็นทรัลเวิลด์ เปืดให้บริการระหว่างเวลา 10.00 – 22.00 น.

นอกจากนี้ ยังมีบริการรับฝากระยะยาว รับประกันมูลค่าของสูงสุดถึง 50,000 บาทอีกด้วย 

ดีกว่าการโหลดหรือนำขึ้นเครื่องเองอย่างไร

สำหรับข้อดีของบริการจาก Airportels ที่โดดเด่นกว่าการนำกระเป๋าถือหรือโหลดขึ้นเครื่อง มีด้วยกันมากมาย เช่น

  • เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับแผนการท่องเที่ยว หลายๆ คนจำเป็นต้องนำสัมภาระไปเก็บยังที่พักก่อน ถึงเริ่มการท่องเที่ยวได้ หรือหากบินไฟล์ตดึก หลังจากเช็กเอาต์แล้วไม่สามารถฝากกระเป๋าไว้กับที่พักได้ แต่บริการขนส่งกระเป๋าของ Airportels สามารถนำสัมภาระไปส่งให้ยังโรงแรม สนามบิน หรือห้างสรรพสินค้าใกล้รถไฟฟ้า BTS 
  • ไม่ต้องกังวลเรื่องขนาดและน้ำหนักของกระเป๋า แม้ว่าสายการบินต่างๆ มีบริการโหลดกระเป๋าและการซื้อน้ำหนักเพิ่ม แต่ส่วนใหญ่ก็ยังจำกัดน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 40-50 กิโลกรัมต่อคน รวมถึงยังมีการจำกัดขนาดของกระเป๋าที่สามารถใช้ได้อีกด้วย
  • ไม่ต้องแกะและแพ็กสัมภาระใหม่ เนื่องจากสายการบินต่างๆ ได้กำหนดปริมาณของของเหลว เช่น แชมพู ครีมนวดผม หรือน้ำหอม รวมถึง ลิสต์รายการสัมภาระที่ไม่สามารถโหลดได้ แต่จำเป็นต้องถือขึ้นเครื่อง ซึ่งทำให้หลายๆ คนต้องประสบปัญหาการแกะและแพ็กสัมภาระใหม

ก่อนการโดยสารเครื่องบิน ไม่ว่าเป็น การเดินทางท่องเที่ยวภายในและระหว่างประเทศ ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง และอัตราค่าบริการโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องก่อน เพราะแต่ละสายการบินมีนโยบายสัมภาระที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งช่วยให้ไม่ต้องแกะสัมภาระและแพ็กใหม่ที่สนามบิน หรือเสียเงินเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักกระเป๋าเกิน แต่สำหรับใครที่อยากออกทริปภายในประเทศไทย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเกณฑ์สัมภาระและยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นสำหรับแผนการท่องเที่ยว บริการฝากของและขนส่งสัมภาระของ Airportels คือคำตอบ

เอาของเหลวขึ้นเครื่องได้ไหม ปริมาณเท่าไร

ขณะการเตรียมกระเป๋าเชื่อเลยว่าหลายๆ คนจะต้องเตรียมของอย่างสบู่ แชมพู ครีมนวดหรือของเหลวอื่นๆ ใส่กระเป๋า แต่พอไปสนามบินกลับพบว่ามีข้อห้าม ห้ามนำของเหลวขึ้นเครื่องในจำนวนจำกัด เลยจำเป็นที่จะต้องทิ้งของเหล่านั้นไว้ในสนามบิน แต่ถ้าหากเราได้รู้ข้อบังคับเกี่ยวกับการนำของเหลวขึ้นเครื่อง ก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ โดยรายละเอียดที่สำคัญและจำเป็นต้องรู้มีดังต่อไปนี้

เอาของเหลวขึ้นเครื่องได้ไหม ปริมาณเท่าไร
ทำไมต้องกำหนดปริมาณของเหลวขึ้นเครื่อง

ทำไมต้องกำหนดปริมาณของเหลวขึ้นเครื่อง

การที่ไม่สามารถนำของของเหลวขึ้นเครื่องบินได้ เกิดจากการที่ของเหลวบางชนิดหากนำมารวมกัน ก็สามารถทำเป็นระเบิดและระเบิดเครื่องบินได้ ในส่วนนี้ถือว่าเป็นความปลอดภัยที่เน้นในกรณีเกิดเหตุร้ายขณะที่อยู่บนเครื่องบิน เพราะครั้งหนึ่งเคยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาแล้ว จึงเป็นมาตรฐานทั่วโลกที่ผ่านองค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ที่ได้กำหนดไว้ โดยห้ามขึ้นห้องโดยสารเด็ดขาด จะสามารถทำได้แค่โหลดใต้ท้องเครื่องเท่านั้น

ของเหลวหมายถึงอะไรได้บ้าง

ของเหลวหมายถึงอะไรได้บ้าง

สำหรับของเหลวขึ้นเครื่องบินโหลดลงกระเป๋าใต้ท้องเครื่อง จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าของเหลวเหล่านั้นสำหรับการบินหมายถึงอันไหนบ้าง ซึ่งการใช้คำว่าของเหลวก็แทบครอบคลุมทุกอย่าง โดยสามารถแยกเป็นประเภทได้ดังต่อไปนี้

  • อาหารที่มีของเหลวในปริมาณมาก ยกตัวอย่าง เครื่องดื่ม น้ำซุป น้ำเชื่อม ซอสชนิดต่างๆ น้ำพริก และอาหารชนิดอื่นๆ ที่มีน้ำมากมาย
  • เครื่องสำอาง ยกตัวอย่าง ครีมบำรุง โลชั่น น้ำหอม โทนเนอร์ หรืออื่นๆ ที่มาในรูปแบบน้ำ 
  • เครื่องสำอางที่มีของแข็งและของเหลวผสมกัน ยกตัวอย่าง มาสคาร่า ลิปกลอส และอื่น ๆ อีกมากมาย
  • เจล ยกตัวอย่าง ยาสีฟัน ยาสระผม เจลอาบน้ำ ที่เซ็ตผม และอื่นๆ อีกมากมาย
  • สิ่งที่ต้องฉีดพ่น ยกตัวอย่าง สเปรย์ โฟม ซึ่งสิ่งเหล่านี้หากทำบรรจุภัณฑ์แบบสเปรย์ก็สามารถตัดทิ้งได้เลย
ของเหลวขึ้นเครื่องได้กี่ ml.

ของเหลวขึ้นเครื่องได้กี่ ml.

สำหรับปริมาณของเหลวขึ้นเครื่องจะมีการกำหนดชัดเจนว่าสามารถนำขึ้นได้จำนวนเท่าไหร่ และสามารถนำขึ้นได้กี่มิลลิลิตร ซึ่งเนื้อหาในส่วนนี้จะมีคำตอบให้ทุกคนทำความเข้าใจ และสามารประเมินได้ว่าควรจะเอาของเหลวชนิดไหนขึ้นเครื่องได้บ้าง และสามารถนำเครื่องได้ในปริมาณที่เท่าไหร่ เพื่อที่ว่าทุกคนจะสามารถแพ็กกระเป๋าขึ้นเครื่องได้ถูก โดยมีคำตอบดังต่อไปนี้

กรณีคนทั่วไป

  • การกำหนดปริมาณต่อชิ้น นับเป็นเรื่องสำคัญที่คนทั่วไปจำเป็นต้องรู้เพื่อที่จะไม่พลาดระหว่างการโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง เบื้องต้นใน 1 บรรจุภัณฑ์ จะสามารถนำขึ้นเครื่องได้ใน 100 มิลลิลิตร ที่จะต้องมีระบุตัวเลขข้างขวดชัดเจน
  • การกำหนดจำนวนต่อชิ้น โดยปกติคนทั่วไปสามารถนำขึ้นไปสูงสุดได้ 1,000 มิลลิลิตร ดังนั้นจึงสามารถแบ่งออกเป็นขวดละ 100 มิลลิลิตรให้ได้สูงสุด 10 ขวด ซึ่งห้ามเกินมากกว่านี้ โดยจำนวนนี้รวมของเหลวทุกประเภทแล้ว
  • สำหรับของเหลวที่ได้มีการนำขึ้นเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นกี่ขวดก็ตามขวดใส่ลงในกระเป๋าพลาสติกใสใส่รวมกัน ที่มีขนาดไม่เกิน 20 x 20 เซนติเมตร และต้องปิดผนึกให้เรียบร้อย
  • ในส่วนของของเหลวขึ้นเครื่องบินโหลดกระเป๋าได้อย่างเจล และสเปรย์ จำเป็นที่จะต้องซื้อของจากสนามบิน ณ ร้านค้าที่ได้รับอนุญาตให้ขายและสามารถนำขึ้นเครื่องได้ หากใครที่จำเป็นต้องใช้ของเครื่องใช้อย่างเจลหรือสเปรย์แนะนำว่าซื้อที่สนามบินจะชัวร์กว่า และต้องปิดผนึกให้เรียบร้อย

กรณีคนที่มีโรคประจำตัวหรือผู้ป่วยที่ต้องพกยา

  • ในกรณีที่มีผู้โดยสารที่มีโรคประจำตัวหรือผู้ป่วยที่จำเป็นจะต้องพกยา จะมีเงื่อนไขไม่ตรงกับบุคคลทั่วไป นั่นก็คือกา่รนำของเหลวขึ้นเครื่อง อย่างเจล สเปรย์หรือยาในรูปแบบอื่น จะต้องมีการระบุประเภทของยา มีใบแพทย์รับรอง มีฉลากข้อมูลของยาครบพร้อม และต้องมีการระบุชื่อผู้โดยสารที่เป็นเจ้าของยาชนิดนั้นๆ ด้วย โดยจะพกได้แค่จำนวนที่เหมาะแก่การเดินทางบนน่านฟ้าเท่านั้น
  • ข้อยกเว้นในการพกยา หากเป็นยาสามัญประจำบ้านที่มีการใช้อยู่ทั่วไปสามารถพกพาได้ ตามจำนวนที่ได้มีการระบุไว้ตามเงื่อนไขของสายการบิน ทั้งนี้ยาบางประเภทที่อาจจะถูกกฎหมายในไทย แต่ผิดกฎหมายทางต่างประเทศ หรือเป็นยาที่ไม่อนุญาตให้ข้ามประเทศก็ควรจำเป็นต้องรู้ก่อนนำขึ้นเครื่อง เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาได้

กรณีผู้ปกครองที่เดินทางกับเด็กเล็กหรือทารก

  • สำหรับผู้ปกครองที่เดินทางกับเด็กเล็กหรือทารก ที่จะเป็นจะต้องมีอาหารทางโภชนาการเพื่อให้ลูกน้อยสามารถทานได้อย่างครบถ้วน ในจุดนี้สามารถนำขึ้นเครื่องได้ แต่จำเป็นจะต้องตรงตามข้อกำหนดทางการแพทย์
  • ในส่วนของอาหารของเด็กเล็กและทารกก็สามารถนำขึ้นเครื่องได้ด้วยเช่นกัน โดยปริมาณเบื้องต้นก็สามารถดูได้จากระยะที่ต้องเดินทาง แต่ทั้งนี้ในเรื่องของน้ำหรือนมจำเป็นจะต้องเตรียมไปให้พร้อม เพื่อให้ถูกสุขอนามัยของเด็กเล็กและทารกให้ได้มากที่สุด
  • ในส่วนข้าวของเครื่องใช้ของทารก ก็สามารถนำพกขึ้นเครื่องได้แต่จำเป็นที่จะต้องมีปริมาณของเหลว ขึ้นเครื่อง 100 มิลลิลิตรเท่านั้น โดยข้างของเครื่องใช้ได้แก่ โลชั่นสำหรับทาผิว ครีมกันผื่นสำหรับเด็ก และอื่นๆ ที่จะเป็นต้องใช้ตลอดการเดินทางในทริปนั้นๆ 

กรณีสินค้าจากร้านปลอดภาษี

  • อีกเงื่อนไขหนึ่งที่นับว่าเป็นเรื่องน่าสนใจจากการซื้อสินค้าจากร้านปลอดภาษีในสนามบิน จะสามารถนำของเหลวขึ้นเครื่องได้ แต่จะต้องบรรจุในถุงซิปล็อคเพื่อให้ง่ายแก่การตรวจสอบ พร้อมกันนั้นยังจำเป็นอย่างยิ่งที่ตัวสินค้าที่เป็นของเหลวจะต้องไม่มีร่องรอยของการแกะใช้งาน ถึงจะสามารถนำขึ้นเครื่องได้
ข้อห้ามนำของเหลวขึ้นเครื่องเพิ่มเติม

ข้อห้ามนำของเหลวขึ้นเครื่องเพิ่มเติม

  • สำหรับการเดินทางภายในประเทศที่แต่เดิมมีนโยบายว่า ของเหลวขึ้นเครื่องสามารถนำน้ำพริก แกง น้ำจิ้ม และอาหารพื้นเมืองขึ้นเครื่องได้เป็นอันว่าไม่สามารถทำได้แล้ว แต่ใช่ว่าจะนำขึ่นเครื่องไม่ได้เลย เพราะสามารถนำอาหารเหล่านั้นโหลดใต้ท้องเครื่องแทนได้
การปิดผนึกถุง

การปิดผนึกถุง

  • สำหรับของเหลวขึ้นเครื่องที่ได้มีการระบุขนาดขวดว่าจะต้องเป็น 100 มิลลิกรรม ไม่ว่าผู้โดยสารจะพกอะไรมาจำเป็นที่จะต้องนำขวดที่เป็นของเหลว 100 มิลลิกรัม นำมาปิดผนึกลงในถุงพลาสติกแบบใส เพื่อง่ายแก่การตรวจสอบ
  • สำหรับการเลือกใช้ถุงพลาสติกแบบใส แนะนำว่าให้เลือกแบบซิปล็อคที่จะช่วยง่ายต่อการตรวจว่าตรงกับเงื่อนไขที่สามารถนำขึ้นเครื่องได้หรือไม่ และสามารถพกได้ถุงเดียวเท่านั้น สำหรับกรณีที่จะต้องบรรจุของเหลวขึ้นเครื่องบิน โดยขนาดถุงจะอยู่ที่ 20 x 20 เซนติเมตรเท่านั้น
มาตรการเมื่อพบว่าผู้โดยสารพกของเหลวขึ้นเครื่องเกินกำหนด

มาตรการเมื่อพบว่าผู้โดยสารพกของเหลวขึ้นเครื่องเกินกำหนด

เมื่อผู้โดยสารได้ไปถึงในส่วนของการตรวจสอบของเหลวขึ้น ของเหลวขึ้นเครื่อง ทางเจ้าหน้าที่มีการตรวจสอบอย่างละเอียดและถี่ถ้วนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากพบว่าปริมาณของเหลวที่พกมานั้นเกินกว่าที่กำหนด หรือไม่ตรงตามเงื่อนไขข้อยกเว้นต่างๆ จำเป็นที่จะต้องทิ้งของเหลวเหล่านั้นก่อนขึ้นเครื่องทันที

การกำหนดปริมาณของเหลว ขึ้นเครื่อง นับว่าเป็นเรื่องสำคัญมากๆ โดยเบื้องต้นจะสามารถพกของเหลวได้ในจำนวน 100 มิลลิตรต่อ 1 ขวด โดยสามารถพกได้มากสุด 1,000 มิลลิตร หรือมากสุด 10 ขวด ซึ่งของเหลวพวกนี้สามารถเป็นได้ทั้งอาหาร เครื่องสำอาง ข้าวของเครื่องใช้ หรืออื่นๆ ที่จำเป็นจะต้องนำมารวมกันใส่ถุงซิปล็อคอย่างดีเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ง่ายๆ และสามารถรู้ได้ว่าของเหลวขึ้นเครื่อง ชนิดนั้น ๆ ถูกต้องกับข้อกำหนดหรือไม่