14 วิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้ประหยัดพื้นที่และเบาขึ้นแบบ 300%

ใกล้วันหยุดยาวเข้ามาทุกที หลายคนมีแพลนกลับบ้านต่างจังหวัด ไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ บางคนอาจมีแพลนไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศในช่วงนี้ สิ่งที่สำคัญที่ต้องเตรียมตัวให้ดีคือการจัดกระเป๋า 

หลายคนอาจกำลังหาวิธีจัดกระเป๋าเดินทางที่ประหยัดเนื้อที่อยู่ เพราะนอกจากจะช่วยให้เก็บเสื้อผ้าของใช้ต่างๆ ได้เป็นระเบียบ เพิ่มพื้นที่ให้กับกระเป๋าเดินทางแล้ว ยังเป็นวิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบาลงได้อีกด้วย ซึ่งมีข้อดีหลายข้อ เหมาะมากๆ กับคนที่ต้องเดินทางโดยเครื่องบิน 

14 วิธีการจัดกระเป๋าประหยัดพื้นที่

สำหรับเทคนิคการจัดกระเป๋าเดินทางทั้ง 14 วิธีที่จะเล่าให้ฟังนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ การจัดการกับเสื้อผ้าสิ่งของในกระเป๋าและการจัดการกับกระเป๋าเดินทาง ถ้าพร้อมแล้วมาดูวิธีพับผ้าจัดกระเป๋าเดินทางกันเลย

จัดกระเป๋าไม่ให้ผ้ายับ

7 เทคนิคจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋ายังไงให้ไม่ยับ พร้อมประหยัดพื้นที่

เมื่อต้องจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางหลายคนมักเจอกับปัญหาเสื้อผ้ายับเวลาที่ต้องอัดเสื้อผ้าหลายๆ ชุดลงกระเป๋า จะมีวิธีไหนบ้างที่ช่วยให้จัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางโดยที่เสื้อผ้าไม่ยับ พร้อมใส่ได้เลยโดยไม่ต้องรีด นอกจากเป็นระเบียบ เสื้อผ้าไม่ยับแล้ว ยังเป็นวิธีจัดกระเป๋าเดินทางประหยัดเนื้อที่อีกด้วย ช่วยให้ใส่สัมภาระได้อย่างคุ้มค่าเลยทีเดียว 

มาดู 7 วิธีพับผ้าจัดกระเป๋าเดินทางกันเลย

1. ม้วนเสื้อผ้าแทนการพับ 

วิธีจัดกระเป๋าเดินทางประหยัดพื้นที่ วิธีแรกคือการจัดการกับเสื้อผ้าด้วยการม้วนแทนการพับ เพราะการม้วนเสื้อผ้า นอกจากช่วยเพิ่มพื้นที่ให้กระเป๋าเดินทางแล้ว ยังทำให้หยิบเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ ออกมาใช้ได้ง่าย ยังช่วยให้ผ้าไม่มีรอยยับอีกด้วย  

2. ใช้ถุง Zip Lock ช่วย

สำหรับใครที่จะไปเที่ยวหลายวันหรือไปเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะเมืองหนาว แน่นอนว่าเหล่าเสื้อผ้ากันหนาวตัวหนาๆ เสื้อขนสัตว์ต่างๆ มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักค่อนข้างเยอะ วิธีจัดกระเป๋าเดินทางประหยัดเนื้อที่คือวิธีการใช้ถุง Zip Lock เข้ามาช่วย เพราะโดยปกติเสื้อผ้าของเรามีอากาศแทรกอยู่ ทำให้กินพื้นที่ในกระเป๋าเดินทาง แต่เมื่อเราใช้ถุง Zip Lock แพ็กเสื้อผ้า จะทำให้เสื้อผ้าของเราเล็กลงได้เยอะมาก ทำให้เหลือพื้นที่ในกระเป๋าเพิ่มขึ้น จะใส่เสื้อผ้าหรือสัมภาระอื่นๆ เพิ่มก็มีพื้นที่ว่างเหลือๆ เลย

3. อะไรแตกง่ายห่อด้วยถุงเท้า

ส่วนการจัดเก็บถุงเท้าลงกระเป๋าเดินทาง เราสามารถช่วยเพิ่มพื้นที่ให้กระเป๋าเดินทางอีกนิด ด้วยการนำถุงเท้าห่อกับสัมภาระที่อาจแตกหักง่าย วิธีนี้นอกจากจะเพิ่มพื้นที่กระเป๋าเดินทางแล้ว ยังช่วยให้ป้องกันสัมภาระกระแทกและแตกหักง่ายให้ปลอดภัยอีกด้วย

4. รองเท้าใครว่าเกะกะ เอาไว้ช่วยเก็บของได้

ใครที่คิดว่าการเดินทางไปเที่ยวไม่ควรเอารองเท้าไปหลายคู่ เพราะเกะกะกระเป๋า บอกเลยว่าคุณต้องคิดใหม่ถ้ารู้เรื่องนี้ เพราะรองเท้าไม่ได้เกะกะพื้นที่กระเป๋าเดินทางอย่างที่คิด เพราะสามารถให้รองเท้าช่วยเก็บของได้ 

นำสิ่งของ สัมภาระชิ้นเล็กๆ อย่างถุงเท้า ขวดน้ำหอม ชุดชั้นใน แพ็กใส่ถุง Zip Lock ก่อน 1 ชั้น แล้วนำใส่เข้าไปในรองเท้า วิธีนี้ไม่ใช่เพียงวิธีจัดกระเป๋าเดินทางประหยัดพื้นที่เท่านั้น แต่ยังช่วยคงรูปทรงของรองเท้าไว้ได้อีกด้วย ทริปหน้าจะเอารองเท้าไปเปลี่ยนกี่คู่ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ลองใช้เทคนิคการจัดกระเป๋าเดินทางแบบนี้ดูกันเลย

5. เสื้อชั้นในผู้หญิง ให้ซ้อนกันไว้

วิธีการจัดกระเป๋าเดินทางให้ประหยัดพื้นที่ โดยเฉพาะสาวๆ สิ่งสำคัญที่ต้องจัดการเลยคือการจัดชุดชั้นในลงกระเป๋าเดินทาง วิธีนี้ช่วยเพิ่มพื้นที่กระเป๋าและช่วยให้ชุดชั้นในปลอดภัย ไม่ถูกทับจนเสียรูปทรง ทำได้โดยจัดเรียงชุดชั้นในให้อยู่ในแนวเดียวกัน แล้วแพ็กลงถุงซิปล็อก ก่อนที่จะใส่ลงในกระเป๋าเดินทาง 

6. ใช้เข็มขัดจัดทรงเสื้อที่ต้องใส่ออกงาน

ส่วนการจัดชุดออกงาน เสื้อเชิ้ตหรือชุดที่ม้วนพับยากใส่กระเป๋าเดินทาง วิธีพับผ้าจัดกระเป๋าเดินทางที่ช่วยให้เสื้อผ้าไม่เสียทรง ให้ใช้เข็มขัดใส่ตามแนวทรงคอปกเสื้อหรือใส่ในบริเวณที่พับยาก แล้วจัดการม้วนเก็บเข้ากระเป๋าเดินทาง โดยวางไว้ด้านบนสุดของกระเป๋า เพราะเมื่อถึงที่พักแล้วจะได้รีบนำออกมาแขวนทันที แค่นี้ก็สามารถจัดชุดออกงานใส่กระเป๋าเดินทางได้แบบไม่กลัวเสียทรงแล้ว

เทคนิคจัดกระเป๋าให้เบา

7 เทคนิคจัดกระเป๋าให้เบาสบายตัว

แน่นอนว่าเรื่องน้ำหนักกระเป๋า ปัญหานี้เป็นปัญหาที่นักเดินทางโดยเครื่องบินกังวลกันมาก จะทำอย่างไรดี ถ้ามีสัมภาระที่ต้องพกเดินทางเยอะแต่น้ำหนักโหลดกระเป๋าจำกัด มาดู 7 วิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบา ไม่เกินน้ำหนักกระเป๋าที่ซื้อไว้ จะได้ลองนำไปทำตามกันดูเลย

1. วางแผน Carry On ให้ดี

อย่างแรกเลย ไม่ว่าคุณจะซื้อน้ำหนักโหลดกระเป๋าไว้หรือไม่ก็ตาม อยากให้วางแผนกระเป๋าที่จะใช้ Carry On ให้ดี คุณสามารถนำกระเป๋าไปได้สูงสุด 2 ใบ แน่นอนว่าสัมภาระทุกชิ้นสำคัญแต่ไม่ควรแบกขึ้นเครื่องไปทุกชิ้น และไม่จำเป็นต้องนำของสำคัญใส่กระเป๋าโหลดใต้เครื่องทั้งหมดเพราะอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝัน อย่างกระเป๋าที่โหลดไว้อาจดีเลย์ จนทำให้มาช้าได้ ของสำคัญที่ควรนำ Carry On ไปด้วยมีอะไรบ้าง มาเช็กกันเลย

  • เอกสารประจำตัวและเอกสารสำคัญต่างๆ 
  • เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนในวันแรกเมื่อไปถึงยังที่หมาย
  • แล็ปท็อป แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
  • เครื่องสำอาง ของใช้ส่วนตัวที่สำคัญ
  • อุปกรณ์  Gadget ต่างๆ 

ที่ต้องวางแผนการจัดสัมภาระ Carry On แบบนี้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแบกของหนักเกินไปและป้องกันหากเกิดเหตุกระเป๋าดีเลย์ คุณก็ยังมีสัมภาระสำคัญอยู่กับตัวเอง ทำให้แพลนเที่ยวนั้นยังดำเนินต่อไปได้แบบไม่มีสะดุดด้วย

2. วางแผนเสื้อผ้าแต่ละวันไปก่อน

เคยไหม แบกเสื้อผ้าไปก่อนเยอะๆ โดยที่ไม่ได้วางแผน เหมือนจะไปอยู่ยาวทั้งเดือน แต่ความจริงแพลนเที่ยวแค่ 3 วัน เมื่อถึงเวลาเดินทาง ต้องแบกกระเป๋าหนักหลาย 10 กิโล ซึ่งวิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบา สามารถทำได้ง่ายๆ แค่วางแผนการใส่เสื้อผ้าแต่ละวัน นับให้ดีว่าต้องนำเสื้อผ้าไปด้วยกี่ตัวหรือมีตัวไหนสามารถแมตช์กันได้ไหม รวมถึงใครที่ไปเที่ยวเมืองหนาว สามารถใส่เสื้อผ้าบางชิ้นซ้ำได้ อาจวางแผนเสื้อผ้าไปแบบเสื้อ 2 ต่อกางเกง 1 ตัว แบบนี้ก็นับเป็นวิธีจัดกระเป๋าเดินทางประหยัดเนื้อที่ในกระเป๋าและช่วยไม่ให้กระเป๋าหนักเกินไปด้วย3. โกงน้ำหนักด้วยการแต่งตัวหนา ๆ ไปเลย

3. โกงน้ำหนักด้วยการแต่งตัวหนา ๆ ไปเลย

แต่สำหรับใครที่ต้องเอาเสื้อผ้าไปเยอะจริงๆ คัดแล้วก็ยังเยอะอยู่ กลัวน้ำหนักกระเป๋าเกินแต่ก็ไม่มีพื้นที่จัดเก็บใส่กระเป๋าได้แล้ว แนะนำให้ใช้วิธีโกงน้ำหนักแบบนี้เลย ใส่เสื้อผ้าที่มีไปเลย 3-4 ตัว ต่อให้ใส่เยอะยังไงก็ไม่ได้ถูกคำนวณน้ำหนักอยู่แล้ว เป็นอีกวิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบาที่ไม่ผิดกฎของสายการบินด้วย 

4. ไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำ

วิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบาและเพิ่มพื้นที่ให้กระเป๋าเดินทางได้ คือไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำไปด้วย เพราะอุปกรณ์ที่ใช้อาบน้ำ เครื่องใช้ส่วนตัวส่วนใหญ่เป็นของเหลว ทำให้กระเป๋ามีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นได้ และทางโรงแรมมักมีอุปกรณ์อาบน้ำให้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพกไป

5. ทำ Checklist ของในกระเป๋า เพื่อกันหาย

 วิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบาต้องทำ Checklist เพื่อเตรียมสัมภาระที่จำเป็น วิธีนี้จะช่วยให้ไม่ลืมของสำคัญและยังช่วยป้องกันของหายได้ด้วย สัมภาระที่จำเป็นส่วนใหญ่มีอะไรบ้าง เช็กพร้อมกันตามนี้ได้เลย

  • สัมภาระสำคัญ ได้แก่ บัตรประชาชน หนังสือเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน บัตรเครดิต เงิน ใบจองที่พักอาจเป็นในรูปแบบอีเมล อุปกรณ์สื่อสาร สมาร์ทโฟน สายชาร์จ กล้องถ่ายรูป พาวเวอร์แบงค์ และแผนการเดินทางท่องเที่ยว (ถ้ามี) 
  • เครื่องแต่งกาย ได้แก่ เสื้อ กางเกง กระโปรง ชุดชั้นใน ชุดนอน ชุดกันหนาว ถุงมือ ถุงเท้า ผ้าพันคอ (เมื่อไปประเทศอากาศหนาว) รองเท้าแตะ หมวก รวมถึงแว่นตาเครื่องประดับต่างๆ ด้วย
  • ของใช้ส่วนตัว เช่น อุปกรณ์อาบน้ำ อุปกรณ์ทำผม อาหารเสริม รวมถึงผ้าอนามัย
  • ของใช้อื่นๆ เช่น ถุงพลาสติกสำหรับใส่เสื้อผ้าใช้แล้ว กระดาษชำระ ยาทากันยุง

6. ของชิ้นใหญ่ ของหนัก วางไว้ใกล้ล้อ

อีกวิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบาคือจัดการเรียงสัมภาระที่มีน้ำหนักมากไว้ด้านล่างกระเป๋า ให้ใกล้กับล้อ และสัมภาระน้ำหนักเบาวางไว้ด้านบน จะช่วยให้รู้สึกไม่หนัก ลากกระเป๋าได้สบายมากขึ้น ไม่ต้องฝืนด้วย

7. ใช้กระเป๋า Soft Case เบากว่า จุได้เยอะกว่า

อย่าลืมว่าน้ำหนักทั้งหมดไม่ได้นับแค่สัมภาระภายในกระเป๋าเท่านั้นแต่ยังรวมน้ำหนักของกระเป๋าเดินทางเข้าไปด้วย วิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบา ลดน้ำหนักกระเป๋าได้เยอะ คือ เปลี่ยนมาใช้กระเป๋าเดินทางแบบ Soft Case นอกจากถือกระเป๋าเบาลงแล้ว ยังเพิ่มพื้นที่ให้กับสัมภาระอีกด้วย

การจัดกระเป๋าเบาสบาย

ทำไมต้องจัดกระเป๋าให้เบา ?

การจัดการวางแผนสัมภาระและเสื้อผ้าก่อนจัดกระเป๋าไปเที่ยวเป็นวิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบาลงได้ ไม่ใช่เพียงแค่ให้มีน้ำหนักเบาลงเท่านั้น แต่ยังมีข้อดีมากมายไม่ว่าเป็น 

  • ช่วยให้ไม่ต้องเสียเงินโหลดกระเป๋า 
  • ช่วยให้น้ำหนักกระเป๋าไม่เกินตามที่สายการบินกำหนด
  • ช่วยให้เตรียมสัมภาระได้ครบ
  • ช่วยให้หยิบสัมภาระได้สะดวก 
  • ช่วยให้เดินทางสะดวก 
  • กระเป๋าเดินทางไม่เป็นภาระเวลาเดินทาง
  • ช่วยเพิ่มพื้นที่ใส่สัมภาระอื่นๆ รวมถึงของฝากได้
  • ช่วยป้องกันสัมภาระสูญหายได้
ส่งกระเป๋าที่น้ำหนักเกิน

ถ้ากระเป๋าหนักเกินไป ส่งด้วย AIRPORTELs

หากสัมภาระเยอะ คัดเท่าที่จำเป็นแล้วยังมีน้ำหนักมากอยู่ดี แบบนี้ส่งผ่าน AIRPORTELs เลย บริการรับฝากและขนส่งกระเป๋าเดินทางในประเทศไทย ให้คุณเดินทางได้อย่างสะดวกปลอดภัย ไม่ต้องกังวลกับน้ำหนักสัมภาระ ให้คุณท่องเที่ยวในประเทศไทยแบบไร้กระเป๋าเดินทาง ราคาขนส่งกระเป๋าเริ่มต้น 299 บาท ราคารับฝากกระเป๋าเริ่มต้น 100 บาท  

ก่อนเดินทางท่องเที่ยวที่ไหนก็ตาม หากได้ลองทำตามวิธีการจัดกระเป๋าเดินทางประหยัดพื้นที่ทั้ง 14 ข้อนี้ จะเห็นว่านอกจากช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างให้กระเป๋า ช่วยให้กระเป๋าเบาลง ไม่เสียเงินโหลดค่ากระเป๋าเพิ่ม ช่วยให้กระเป๋าเดินทางเป็นระเบียบ เตรียมสัมภาระได้ครบถ้วน เทคนิคการจัดกระเป๋าเดินทางนี้ยังช่วยให้เดินทางได้สะดวก ไม่ต้องแบกกระเป๋าหนักๆ ไปเที่ยวกับตัวตลอดเวลา ให้คุณท่องเที่ยวเดินทาง ทำธุระสำคัญได้อย่างคล่องตัวนั่นเอง ไม่หวั่นแม้เกิดเหตุไม่คาดคิด

วิธีรับมือ เมื่อกระเป๋าเดินทาง สูญหาย-ล่าช้า-ส่งผิด ต้องทำอย่างไร ?

การเดินทางผ่านสายการบิน ไม่ว่าในประเทศหรือนอกประเทศ มีปัญหาอย่างหนึ่งที่พบได้บ่อยนั่นคือ กระเป๋าดีเลย์หรือกระเป๋าเดินทางหาย ซึ่งเรื่องนี้อาจเกิดได้กับทุกคน และแน่นอนว่าการเกิดเรื่องแบบนี้จะเป็นปัญหาต่อตารางเวลา ที่แต่ละคนตั้งใจวางแผนไว้เมื่อถึงจุดหมาย และอาจส่งผลเสียในหลายๆ ด้าน จนชวนหัวเสีย สำหรับวันนี้เราจะพาไปดูวิธีการรับมือ ป้องกัน หรือแก้ปัญหาเหล่านี้กันว่าสามารถทำได้อย่างไรได้บ้าง

วิธีรับมือ เมื่อกระเป๋าเดินทาง สูญหาย-ล่าช้า-ส่งผิด ต้องทำอย่างไร ?
ทำไมการขนส่งกระเป๋าเดินทางถึงเกิดปัญหา

ทำไมการขนส่งกระเป๋าเดินทางถึงเกิดปัญหา

กระเป๋าไม่ได้เข้าสู่การเช็กอินกระเป๋าไม่ได้เข้าสู่การเช็กอิน

ในบางครั้งขณะที่เราต้องการจะโหลดกระเป๋าใต้เครื่อง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำการเช็กอินที่สายการบิน รวมทั้งให้เช็กอินกระเป๋า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการติดแท็กให้ โดยสิ่งเหล่านี้เราจะต้องสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ทำครบหรือไม่มีการตกหล่น จะช่วยแก้ปัญหากระเป๋าดีเลย์ได้

กระเป๋าถูกขโมย

สำหรับกระเป๋าถูกขโมย อันนี้ต้องบอกว่าเป็นกรณีส่วนน้อยมากๆ ที่จะเกิด เมื่อคุณได้ทำการเช็กอินกระเป๋าเรียบร้อย โหลดใต้เครื่องเสร็จสรรพ และออกสู่จุดหมายปลายทาง แต่ในขณะที่กำลังรอกระเป๋าไหลลงจากสายพาน อาจเกิดการถูกขโมยกระเป๋าได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ กระเป๋าเดินทางหายกับการถูกขโมยมีหลายรูปแบบเลยทีเดียว 

กระเป๋าถูกส่งไปผิดเที่ยวบิน

สิ่งที่สามารถพบได้บ่อยในสายการบิน คือ การส่งกระเป๋าเดินทางไปผิดเที่ยวบิน ซึ่งในจุดนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่แย่ที่สุด เพราะกระเป๋าของเราอาจบินข้ามไปอีกประเทศ กว่าจะได้คืนหรือจะได้กลับมา จำเป็นที่จะต้องรอไฟลต์บินมาลงยังสนามบินหรือสถานที่ที่เราอยู่ เพื่อส่งมอบกระเป๋า โดยใช้เวลารอนานหลายชั่วโมง บางทีอาจจะเป็นวันได้

กระเป๋าค้างอยู่ที่สนามบิน

ในกรณีนี้สามารถเกิดขึ้นได้อยู่บ่อยๆ หลังจากที่เราได้ทำการเช็กอินกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย แต่เจ้าหน้าที่ลืมส่งโหลดใต้ท้องเครื่อง หรือหากการเช็กอินผิดพลาด อาจทำให้กระเป๋าเดินทางค้างอยู่ที่สนามบินโดยไม่รู้ตัว

เมื่อกระเป๋าเดินทางเรามีปัญหาต้องทำอย่างไร ?

เมื่อกระเป๋าเดินทางเรามีปัญหาต้องทำอย่างไร ?

สำหรับใครที่ทำการโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องเสร็จไปสู่จุดหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังรอกระเป๋าโหลดตามสายพาน กลับพบว่า กระเป๋าเดินทางหาย หรือทำไมกระเป๋าดีเลย์ เมื่อเทียบกับคนที่ขึ้นเครื่องมาด้วยกัน งานนี้ต้องบอกเลยว่าอย่าเพิ่งตกใจ แต่ให้รีบทำตามรายละเอียดด้านล่าง ดังต่อไปนี้

ติดต่อเจ้าหน้าที่ติดต่อเจ้าหน้าที่

หลังจากที่ได้รู้ว่ากระเป๋าเดินทางหายระหว่างรอบริเวณสายพาน เพราะรอกระเป๋าแต่กลับไม่มาสักที สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการอยู่บริเวณสายพานหรือจะแจ้งเจ้าหน้าที่ที่จุดรับแจ้งของหาย รวมทั้งสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินที่คุณใช้บริการได้ด้วย โดยเจ้าหน้าที่จะขอข้อมูลแท็กกระเป๋าเพื่อทำการเช็ก รวมถึงสอบถามช่องทางการติดต่อ เพื่อบอกว่าสามารถคืนกระเป๋าเดินทางให้เราได้เมื่อไรและอย่างไร 

ติดต่อประกันการเดินทาง

ในกรณีที่ได้ทำประกันการเดินทางเอาไว้ หากเกิดกรณีกระเป๋าสูญหายหรือเกิดกระเป๋าดีเลย์ ให้ทำการติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ได้ทำประกันเอาไว้ หรือสามารถใช้บัตรเครดิตที่มีประกันการเดินทาง เพื่อติดต่อได้เช่นกัน ซึ่งในกรณีนี้คือจะได้รับเงินชดเชยหลังจากที่กระเป๋าหาย โดยเบื้องต้นมีเกณฑ์เยียวยาสากลอยู่ที่ 10% ของเงินเอาประกันสูงสุด ในทุกๆ 6 ชั่วโมง ที่กระเป๋ามีการล่าช้า และอาจต้องดูเงื่อนไขที่คุณได้ทำประกันการเดินทางไว้ตั้งแต่แรก

คุยกับสายการบินเรื่องการชดเชย

สำหรับใครที่ไม่ได้ทำประกันการเดินทางไว้ ทางสายการบินจะต้องรับผิดชอบที่ทำให้กระเป๋าดีเลย์หรือกระเป๋าหาย โดยเบื้องต้นเราจำเป็นต้องถ่ายรูปกระเป๋า รวมทั้งสัมภาระในกระเป๋าพร้อมเก็บแท็กกระเป๋าไว้ ส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่จะทำให้ได้รับค่าชดเชยตามอย่างควรจะได้ในกรณีสูญหาย แต่ถ้าหากเป็นเรื่องดีเลย์ มีการชดเชยเช่นกันแต่เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่ง เมื่อได้กระเป๋ามาเป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะส่งกระเป๋าไปให้ยังที่พักโดยทันที

ก่อนไปเที่ยวควรเตรียมตัวเผื่อกระเป๋าดีเลย์ กระเป๋าหาย อย่างไร

ก่อนไปเที่ยวควรเตรียมตัวเผื่อกระเป๋าดีเลย์ กระเป๋าหาย อย่างไร

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระเป๋าดีเลย์หรือกระเป๋าสูญหาย จึงควรมีการเตรียมตัวเอาไว้ก่อน ไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นระหว่างทริปบิน โดยสามารถทำได้ตามวิธีต่างๆ ดังนี้

ถ่ายภาพกระเป๋าก่อนแพ็กเอาไว้

การถ่ายสภาพกระเป๋าก่อนการแพ็กนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อที่จะได้รู้ว่ากระเป๋าเดินทางของเรามีลักษณะแบบไหน มีจุดไหนที่ชำรุดหรือไม่เรียบร้อยอย่างไร และจากนั้นจึงค่อยนำข้าวของใส่ลงกระเป๋าให้เรียบร้อย ในกรณีที่กระเป๋าหายหรือชำรุดสามารถใช้ภาพนี้แจ้งเจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นการยืนยันในภายหลังได้

จำหรือถ่ายภาพน้ำหนักกระเป๋าเราเอาไว้

ในขณะที่กำลังเช็กอินและอยู่ในช่วงกำลังชั่งน้ำหนักกระเป๋าในจุดนี้เราสามารถถ่ายภาพเก็บไว้ได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้ทำการดำเนินการจริง ๆ ในจุดนี้ก็สามารถใช้เป็นหลักฐานได้เช่นกัน

บินด้วย Direct Flight

การเลือกไฟลต์บินแบบ Direct Flight หรือคือสายการบินที่บินตรงไปยังจุดหมาย โดยไม่มีการเปลี่ยนเครื่อง ระหว่างประเทศ ในจุดนี้จะสามารถป้องกันกระเป๋าดีเลย์ได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าเป็นไฟลต์ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องระหว่างการเดินทาง กระเป๋าอาจตกหล่นได้

ถามสนามบินเสมอว่า กระเป๋าเราจะไปไฟลต์ไหน

ในขณะที่ให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจเช็กและติดแท็กที่กระเป๋า ให้เราถามไปตรงๆ เลยว่ากระเป๋าเราไปไฟลต์ไหน การถามแบบนี้ถือว่าเป็นการรีเช็กว่าเจ้าหน้าที่มีการทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องหรือไม่ และสามารถลดความกังวลใจของเราได้

จัด Carry On เอาไว้เผื่อกระเป๋าดีเลย์

สำหรับใครที่ต้องการความปลอดภัย แม้เกิดการกระเป๋าดีเลย์ จำเป็นที่จะต้องจัดเตรียมข้าวของใส่กระเป๋าที่จะ Carry On หรือก็คือกระเป๋าที่เราสามารถถือขึ้นเครื่องได้ ในจุดนี้ต้องเช็กด้วยว่าการนำกระเป๋าขึ้นไปยังโซนที่นั่ง สามารถเอาอะไรขึ้นไปได้บ้าง อะไรที่ไม่สามารถเอาขึ้นไปได้ และจำกัดน้ำหนักอยู่ที่จำนวนเท่าไร ก่อนการแพ็กกระเป๋าจริง

ส่งกระเป๋าไปก่อน 

การส่งกระเป๋าไปยังจุดหมายปลายทางก่อนที่เราจะขึ้นเครื่องเพื่อบิน จะสามารถสร้างความมั่นใจได้ว่ากระเป๋าจะไม่ดีเลย์หรือหายไปได้แน่นอน เมื่อเราไปถึงจุดหมายปลายทาง สามารถนำกระเป๋าออกมาได้ตามเงื่อนไขของสายการบิน

ใช้ Air Tag เพื่อป้องกันกระเป๋าถูกขโมย 

Air Tag คืออุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับติดกระเป๋าเดินทาง เพื่อที่จะเช็กว่ากระเป๋าเดินทางอยู่ในจุดไหน โดยใช้การเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนที่สามารถให้กระเป๋าส่งสัญญาณเตือน และบอกทิศทางว่าเราสามารถพบกระเป๋าได้ที่จุดใด 

ไปเช็กอินก่อนเวลามาก ๆ 

การไปเช็กอินก่อนเวลามากๆ จะสามารถลดความผิดพลาดทั้งตัวเราและเจ้าหน้าที่ได้ ในขณะเช็กอินและทำการติดแท็กกระเป๋าเพื่อโหลดลงเครื่อง ซึ่งจุดนี้ ทางเราอาจจะสามารถขอเจ้าหน้าที่เช็กดูว่ากระเป๋าติดแท็กถูกไฟลต์ ข้อมูลถูกต้องหรือเปล่า แต่ถ้าหากไปในเวลากระชั้นชิด จะยื่งทำให้เกิดความผิดพลาดได้มากยิ่งขึ้น

สรุปแล้ว เมื่อเกิดกรณีกระเป๋าดีเลย์หรือกระเป๋าเดินทางหาย ทางเลือกในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือการติดต่อเจ้าหน้าที่สนามบิน เพื่อตามหาว่ากระเป๋าเดินทางไปตกหล่นอยู่ที่ไหน โดยทางสนามบินก็จะหาทางแก้ไข เพื่อชี้แจงเรื่องกระเป๋าหายให้ หรือหากไม่เจอจริง ๆ ทางสายการบินก็พร้อมที่จะชดเชยให้ แต่เพื่อความชัวร์ ควรมีการเตรียมตัวป้องกันก่อนเดินทาง นับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่จะสามารถลดความผิดพลาดของสายการบิน และเราจะสามารถสื่อสารกับสายการบินได้ง่ายยิ่งขึ้น

ลิสต์ 20 สิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน มัดรวมครบ จัดเต็ม ไม่มีพลาด

ยุคสมัยที่ผู้คนสามารถจองตั๋วเครื่องบินผ่านแอปพลิเคชันมือถือ อีกทั้งสายการบินยังขยันออกโปรโมชันมายั่วยวนกิเลส จนทำให้บัตรเครดิตในมือหลายๆ คนต้องสั่น 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเดินทางด้วยเครื่องบินกลายเป็นหนึ่งในการเดินทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าการขึ้นเครื่องบินจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ผู้คนก็มักหลงลืมเกี่ยวกับเรื่องมาตรการความปลอดภัย โดยเฉพาะในเรื่องของสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน 

ลิสต์ 20 สิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน

บ่อยครั้งที่ผู้โดยสารถูกบังคับให้ต้องทิ้งสินค้าที่เพิ่งซื้อหรือครีมแพงๆ ไว้ที่สนามบิน เนื่องจากลืมไปว่าของเหล่านั้นเป็นของต้องห้ามขึ้นเครื่อง 

AIRPORTELs จึงอยากชวนทุกคนมาพูดคุยถึง สิ่งของห้ามขึ้นเครื่อง 20 อย่าง พร้อมถึงสาเหตุที่พวกมันถูกแบนจากเครื่องบิน รวมไปถึงบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนกฏของสายการบินอีกด้วย ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านต่อกันได้เลย

ของเหลว

1. ของเหลว

สาเหตุที่ของเหลวกลายมาเป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2006 หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอังกฤษได้ทำการจับกุมกลุ่มผู้ก่อการร้าย ซึ่งมีเป้าหมายในการลักลอบนำสารระเบิดขึ้นไปบนเครื่องบินของสายการบินอังกฤษหลายสายที่มุ่งหน้าไปยังเมืองต่างๆ ทั้งในแคนาดาและสหรัฐอเมริกา โดยลักลอบนำสารระเบิดใส่ในขวดน้ำหวาน เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ และวางแผนที่จะนำไปใช้ในการจุดชนวนบนเครื่องบิน โชคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถขัดขวางแผนการก่อการร้ายได้เสียก่อน หลังจากเหตุการณ์นั้น ทำให้ของเหลวทุกชนิดกลายเป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่องมาจนถึงทุกวันนี้

ในปัจจุบัน สายการบินอนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถนำของเหลวใส่กระเป๋า Carry-on ได้ โดยแต่ละชิ้นต้องบรรจุในภาชนะที่ไม่เกิน 100 มิลลิลิตร และรวมกันทั้งหมดไม่เกิน 1,000 มิลลิลิตร หากต้องการพกพาของเหลวขึ้นเครื่องบิน ควรทำการเตรียมตัวดังนี้:

  • แบ่งของเหลวใส่ภาชนะบรรจุ สามารถหาซื้อชุดพกพาของเหลวได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยมักเป็นเซ็ตขวดใส่ของเหลวแบบใส ที่มีขนาดไม่เกิน 100 มิลลิลิตร
  • ใส่ขวดของเหลวในถุงซิปล็อกใส นำของเหลวทั้งหมดที่พกติดตัวขึ้นเครื่อง ใส่ในถุงพลาสติกใส และแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ณ ที่จุดตรวจความปลอดภัย
  • โหลดของเหลวที่เกินปริมาณที่กำหนด สำหรับของเหลวที่มีปริมาณมากกว่า 100 มิลลิลิตร ควรทำการโหลดเข้าใต้เครื่องบิน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระหว่างขึ้นเครื่อง
  • ของเหลวที่ซื้อจากร้าน Duty Free ที่สนามบิน ห้ามทำการแกะออกจากบรรจุภัณฑ์หรือมีร่องรอยฉีกขาด ใส่ในถุงพลาสติกปิดผนึก และต้องมีใบเสร็จเป็นหลักฐานยืนยันว่าเพิ่งซื้อสินค้ามาจาก Duty Free ที่ท่าอากาศยาน มิฉะนั้นของที่เพิ่งซื้ออาจกลายเป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่องได้

ของเหลวที่อนุโลมให้นำขึ้นเครื่องได้

ทั้งนี้มีของเหลวบางชนิดที่ได้รับการยกเว้นให้สามารถพกพาเกิน 100 มิลลิลิตรขึ้นเครื่องบินได้ โดยควรพกพาในปริมาณที่จำเป็นต้องใช้ในระหว่างการเดินทางบนเครื่องบินเท่านั้น และต้องทำการแจ้งเจ้าหน้าที่ ณ จุดตรวจความปลอดภัยก่อนทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ผิดกฏสิ่งของต้องห้ามขึ้นเครื่อง   

ของเหลวประเภทยา

สำหรับผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยสามารถนำยาที่เป็นของเหลว เช่น ยาน้ำ ยาแบบฉีดเข้าใต้ผิวหนัง หรือแบบสเปรย์พ่น ขึ้นเครื่องได้ โดยต้องมีฉลากและเอกสารกำกับยาที่เป็นชื่อของผู้โดยสาร สามารถนำขึ้นไปในปริมาณที่เพียงพอสำหรับไฟล์ทบินเท่านั้น

อาหารที่ต้องพกพา

ผู้ที่มีปัญหาทางด้านโภชนาการที่ต้องทานอาหารแบบพิเศษตามคำแนะนำของแพทย์ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อขออนุญาตนำอาหารเหลวขึ้นมาบนเครื่องได้ อาหารแบบพิเศษได้รับข้อยกเว้นจากการเป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่อง เพราะถือเป็นสิ่งของที่ใช้ในการรักษาความเจ็บป่วยแบบจำเพาะบุคคล และเป็นอาหารที่ผู้โดยสารไม่สามารถหาได้ในขณะที่อยู่บนเครื่องบิน

อาหารหรือนมสำหรับเด็กทารก

อาหารหรือนมสำหรับทารกไม่ถือเป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน เพราะเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ระหว่างการเดินทาง หลังจากได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พ่อแม่หรือผู้ปกครองที่เดินทางพร้อมเด็กอ่อน สามารถพกอาหารสำหรับทารก เช่น นมแม่ นมกล่อง หรืออาหารบดในปริมาณที่พอเหมาะขึ้นเครื่องได้ โดยไม่ขัดต่อกฏของสายการบิน

2. แบตเตอรี่สำรอง (Power Bank) 

2. แบตเตอรี่สำรอง (Power Bank) 

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ประกาศให้มีการกำหนดเกณฑ์ของแบตเตอรี่ลิเธียมที่สามารถพกพาขึ้นเครื่องได้ โดยมีเกณฑ์ดังนี้:

  • แบตเตอรี่ลิเธียมที่มีความจุไฟ น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100 Wh (20,000 mAh) – ไม่อนุญาตให้โหลดใต้ท้องเครื่อง แต่สามารถพกพาติดตัวขึ้นเครื่องบินได้
  • แบตเตอรี่ลิเธียมที่มีความจุไฟ มากกว่าหรือเท่ากับ 100 – 160 Wh (20,000 – 32,000 mAh) – ไม่อนุญาตให้โหลดใต้ท้องเครื่อง แต่สามารถพกพาติดตัวขึ้นเครื่องบินได้ คนละไม่เกิน 2 ชิ้น
  • แบตเตอรี่ลิเธียมที่มีความจุไฟ มากกว่า 160 Wh (32,000 mAh) ขึ้นไป – ไม่อนุญาตให้โหลดใต้ท้องเครื่องและห้ามพกพาติดตัวขึ้นเครื่องบิน

ดังนั้นก่อนออกเดินทาง อย่าลืมเช็กค่าความจุไฟของแบตเตอรี่สำรอง เพราะอาจกลายเป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่องโดยไม่รู้ตัว และทำให้ต้องทิ้งไว้ที่จุดตรวจความปลอดภัยที่สนามบินอย่างน่าเสียดาย

ขาตั้งกล้อง (Tripod)

3. ขาตั้งกล้อง (Tripod) 

สำหรับไอเท็มชนิดนี้ อาจมีการถกเถียงกันอยู่พอสมควร เพราะบางสายการบินก็อนุญาตให้นำขึ้นเครื่อง แต่บางสายการบินก็เป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน สาเหตุหลักเป็นเพราะขนาดของขาตั้งกล้องที่บ่อยครั้งมีความยาวเกินกระเป๋า Carry-on หรืออาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาวุธได้ ดังนั้นหากคิดที่จะพกพาขึ้นเครื่องแล้ว ควรเช็กว่ามีความยาวไม่เกินเกณฑ์ที่สายการบินกำหนดหรืออาจเลือกโหลดใต้เครื่องเลยก็เป็นทางออกที่ดีเช่นเดียวกัน

อาหารที่มีกลิ่นแรง

4. อาหารที่มีกลิ่นแรง

ไม่แปลกที่อาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น ทุเรียน กะปิ ปลาร้า หรืออาหารทะเลตากแห้ง จะกลายเป็นของต้องห้ามขึ้นเครื่อง เพราะอาจส่งกลิ่นรบกวนผู้โดยสารคนอื่นๆ ระหว่างการเดินทาง โดยเฉพาะในเที่ยวบินระยะไกล คงไม่มีใครอยากต้องมาทนกับกลิ่นเหม็นตลอดทั้งไฟล์ท ทางที่ดีที่สุดควรทำการแพ็คให้มิดชิดและโหลดลงใต้ท้องเครื่องเลยจะดีที่สุด 

อาวุธ ของมีคม 

5. อาวุธ ของมีคม 

ของมีคมทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น กรรไกร มีดพก คัตเตอร์ หรือแม้กระทั่งกรรไกรตัดเล็บ ล้วนเป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่อง เพราะอาจถูกใช้เป็นอาวุธโดยผู้ไม่ประสงค์ดีได้ หากต้องการพกของมีคม ให้ใส่ไว้ในกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่อง เพื่อไม่เป็นการฝ่าฝืนกฏความปลอดภัยของสนามบิน 

สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

6. สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

สำหรับเมืองไทย เรื่องของสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์นั้น อาจยังไม่ได้มีการตรวจขันอย่างเข้มงวดเท่าไหร่นัก แต่หากเดินทางไปในประเทศที่มีมาตรการตรวจสอบอย่างจริงจังแล้ว อาจโดนยึดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ที่พกติดตัวไปด้วย ทางออกที่ดีที่สุดคือการเลือกใช้สินค้าของแท้ เพราะนอกจากเป็นการสนับสนุนแบรนด์เจ้าของลิขสิทธิ์แล้ว ยังไม่เสี่ยงละเมิดกฏหมายลิขสิทธิ์อีกด้วย

 ของประดับมูลค่าแพง

7. ของประดับมูลค่าแพง

ของประดับและของมีค่าเป็นไอเท็มที่ถูกบางสายการบินกำหนดให้เป็นของต้องห้ามขึ้นเครื่อง เพราะกลัวในเรื่องของการโจรกรรมหรือการสูญหายระหว่างเที่ยวบิน ดังนั้นหากจะทำการพกติดตัว ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะเหตุไม่คาดฝันนั้นอาจเกิดขึ้นได้เสมอ

วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด

8. วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด

ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ไฟแช็ก ไม้ขีดไฟ หรือ ประทัด สีสเปรย์ และดอกไม้ไฟ ล้วนเป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่อง เพราะอาจปะทุและทำให้เกิดอุบัติเหตุกับผู้โดยสารคนอื่นๆ บนเที่ยวบินได้ จึงเป็นสิ่งของที่ไม่ควรพกพาติดตัวในขณะเดินทางเป็นอย่างยิ่ง

สารฟอกขาว (Bleach)

9. สารฟอกขาว (Bleach)

สารฟอกขาวทั้งชนิดน้ำและชนิดผงเป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน ทั้งนี้ยังรวมไปถึง สารที่มีฤทธิกัดกร่อนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำกรด สารหนู หรือ สารกำจัดแมลง สารเหล่านี้เป็นสารอันตราย ซึ่งหากเกิดรั่วไหลในระหว่างเที่ยวบิน อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย จึงไม่ได้รับอนุญาตให้นำขึ้นไปบนเครื่องบิน 

เนื้อสัตว์ของสดหรือแช่เเข็ง

10. เนื้อสัตว์ของสดหรือแช่เเข็ง

บางประเทศอาจมีข้อกำหนดเรื่องการนำเข้าเนื้อสัตว์หรือของสดเข้าประเทศ เพราะกลัวว่าอาจส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมหรือเป็นการนำโรคและพาหะเข้าสู่ประเทศ ส่วนของแช่แข็งนั้น หากแพ็คหรือจัดเก็บไม่ดีก็อาจจะละลาย และส่งกลิ่นรบกวนผู้โดยสารคนอื่นๆ ในระหว่างการเดินทางได้ 

สารเสพติด

11. สารอันตรายต่างๆ หรือสารเสพติด

แน่นอนว่าสารเสพติดเป็นของต้องห้ามขึ้นเครื่อง ที่ไม่สามารถพกพาติดตัวได้ ไม่ว่าจะเป็นนอกเครื่องบินหรือบนเครื่องบินก็ตาม ทั้งนี้ควรระมัดระวังเรื่องข้อกฏหมายของแต่ละประเทศ เช่น การซื้อสินค้าที่ผสมสารเสพติด เช่น กัญชา เพราะอาจถูกกฏหมายในประเทศต้นทาง แต่อาจผิดกฏหมายร้ายแรงในประเทศปลายทาง จึงควรศึกษาข้อกฏหมายของแต่ละประเทศให้ดีก่อนออกเดินทางเสมอ

วัตถุที่แตกง่าย

12. วัตถุที่แตกง่าย

ระหว่างการเดินทางด้วยเครื่องบินนั้น อาจเจอสภาพอากาศแปรปรวน เครื่องตกหลุมอากาศ ซึ่งแรงกระแทก อาจทำให้ข้าวของบนเครื่องเสียหายได้ ดังนั้นวัตถุที่แตกได้ง่าย เช่น แก้ว หรือกระจก จึงเป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกคน 

สัตว์บางชนิด และสัตว์ มีพิษ

13. สัตว์มีพิษ สัตว์ดุร้าย

สายการบินบางแห่ง บางประเทศอนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถนำสัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก เช่น สุนัข หรือแมว ขึ้นมาบนเครื่องบินได้ แต่สำหรับสัตว์มีพิษและสัตว์ดุร้ายนั้น ถือเป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบินโดยเด็ดขาด เพราะอาจเป็นอันตรายต่อคนอื่นๆ บนเที่ยวบินได้ 

14. ไม้ตียุงไฟฟ้า

หลายคนอาจแปลกใจว่าทำไมไม้ตียุงไฟฟ้า จึงเป็นของต้องห้ามขึ้นเครื่อง สาเหตุเพราะอุปกรณ์ทุกชนิดที่สามารถนำมาดัดแปลงเป็นอาวุธได้นั้น จะไม่ได้รับอนุญาตให้พกพาขึ้นเครื่องได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นหากไม่อยากโดนยึดไม้ตียุงละก็ ไม่ควรนำไม้ตียุงไฟฟ้ามาด้วยจะดีที่สุด

อุปกรณ์กีฬาบางชนิด

15. อุปกรณ์กีฬา

เหตุผลของการห้ามนำอุปกรณ์กีฬาบางชนิดขึ้นเครื่องคือ อุปกรณ์เหล่านี้สามารถดัดแปลงมาเป็นอาวุธได้นั่นเอง เป็นเรื่องที่อาจขัดใจนักกีฬาหลายๆ คน แต่เพื่อความปลอดภัยแล้วก็ไม่ควรฝ่าฝืนกฏ และทำการโหลดอุปกรณ์กีฬาลงใต้เครื่องบิน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

PC และ Labtop บางชนิด

16. โทรศัพท์หรือ Notebook บางรุ่น

โดยปกติแล้ว โทรศัพท์มือถือและโน้ตบุ๊คไม่ได้เป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่อง สามารถพกพาขึ้นเครื่องบินได้โดยไม่มีปัญหา แต่อาจเกิดเหตุการณ์ที่มือถือหรือโน้ตบุ๊คบางรุ่น ที่ทางแบรนด์ยอมรับว่ามีปัญหาตั้งแต่กระบวนการผลิต ทำให้เสี่ยงต่อการระเบิด หรือก่อให้เกิดอุบัติเหตุระหว่างการใช้งาน จนสายการบินต้องทำการแบน อาจเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก แต่เป็นอีกสิ่งที่ควรระวังก่อนการเดินทาง เพราะอาจถูกปฎิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องบินได้  

17. แม่เหล็ก

สำหรับแม่เหล็กอันเล็กๆ เช่น แม่เหล็กติดตู้เย็น อาจไม่เป็นปัญหา แต่หากเป็นแม่เหล็กขนาดใหญ่ หรืออุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดสนามแม่เหล็ก ถือเป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน เพราะสามารถส่งสัญญานรบกวนเข็มทิศ จนอาจส่งผลต่อการทำงานของอุปกรณ์อื่นๆ บนเครื่องบินได้ 

อุปกรณ์สื่อสารบางชนิด

18. อุปกรณ์รักษาความปลอดภัย

กุญแจมือ กระบองท่อน หรือ อุปกรณ์วิทยุสื่อสาร (อาจไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานในบางประเทศ) แม้ว่าจะไม่ใช่ของมีคมก็ตาม แต่ก็ถือเป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่องด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

อาวุธ หรืออุปกรณ์ป้องกันตัว

19. อุปกรณ์ป้องกันตัว 

ไม่ว่าจะเป็น สนับมือ เครื่องช็อตไฟฟ้าแบบพกพา หรือสเปรย์พริกไทย ล้วนถูกจัดให้เป็นของอันตรายและเป็นสิ่งของต้องห้ามขึ้นเครื่อง เช่นเดียวกับอาวุธปืนและของมีคม

20. กระเป๋าสัมภาระที่มีแบตเตอรี่ชนิดลิเธียม

ในปัจจุบันมีกระเป๋าแบบสมาร์ตแบ็ก ที่ถูกออกแบบมาให้มีฟังก์ชันต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น GPS ติดตาม หรือมีแบตเตอรี่สำรองที่สามารถชาร์ตมือถือได้ระหว่างเดินทาง ข่าวร้ายก็คือกระเป๋าสัมภาระดังกล่าวนั้น ถูกองค์กรด้านการบินนานาชาติกำหนดให้เป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน เพราะมีแบตเตอรี่ลิเธียมที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้นั่นเอง โดยมีการอนุโลมให้สามารถนำขึ้นเครื่องได้ หากสามารถถอดแบตเตอรี่ออก และไม่ใช้งานแบตเตอรี่สำรองในขณะเดินทาง หากไม่สามารถทำได้ ทางสายการบินอาจทำการปฎิเสธให้ผู้โดยสารเดินทางไปพร้อมกับกระเป๋า

โทษและมาตรการเมื่อผู้โดยสารทำผิดกฏ

โทษและมาตรการเมื่อผู้โดยสารทำผิดกฏ

แน่นอนว่าการไม่ปฏิบัติตามกฏของสายการบิน เช่น การลักลอบนำของต้องห้ามขึ้นเครื่อง  ย่อมตามมาด้วยบทลงโทษ ซึ่งมาตรากฏหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของสนามบินนั้น มีโทษค่อนข้างรุนแรง โดยมีบทลงโทษ ดังนี้: 

นำสิ่งต้องห้ามมาถึงหน้าด่านตรวจ

หากเจ้าหน้าที่ตรวจค้นเจอวัตถุหรือสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน เช่น ของเหลว เจล หรือของมีคม เจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธไม่ให้ผู้โดยสารผ่านการตรวจไปได้ จนกว่าของที่เป็นสิ่งต้องห้ามจะถูกทิ้งหรือทำลาย และหากผู้โดยสารทำการขัดขวาง หรือหลีกเลี่ยงการตรวจค้นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่อง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เมื่อสิ่งต้องห้ามหลุดตรวจและถูกบนในเกตหรือเครื่องบิน

ผู้อยู่ในอากาศยานในระหว่างรอการบิน หากถูกตรวจพบเจอสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องไว้ในครอบครอง ผู้โดยสารต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท 

เมื่อสิ่งต้องห้ามหลุดตรวจและไปถึงด่านตรวจขาออก

โทษของการครอบครองสิ่งของต้องห้าม อาจมีความหนักเบาแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของสิ่งที่ครอบครอง โดยเจ้าหน้าที่อากาศยานมีหน้าที่ รายงานและส่งมอบตัวผู้โดยสารที่กระทำผิดหลังจากที่เครื่องได้ลงจอด ให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำการลงโทษตามมาตรากฏหมายของประเทศปลายทาง

การเดินทางด้วยเครื่องบินนั้นเป็นการเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว แต่มีกฏระเบียบมากมายที่จำเป็นต้องรู้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระหว่างเดินทาง โดยเฉพาะในเรื่องของสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน เพราะความไม่รู้อาจทำให้ต้องเสียเวลา เสียทรัพย์สิน และเสียความรู้สึกในขณะเดินทาง หรือแย่ที่สุดอาจโดนปรับและต้องโทษโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย 

AIRPORTELs หวังว่าบทความนี้จะช่วยไขความกระจ่างเกี่ยวกับสิ่งของห้ามขึ้นเครื่องให้กับทุกคน เดินทางครั้งต่อไปจะได้เตรียมตัวกันให้พร้อม จะได้เช็กอินกันได้ลื่นปรื้ดไม่มีสะดุด เดินทางได้สมูธตลอดทั้งทริป

มาจัดกระเป๋าเดินทางกัน check list พกของไปให้ครบไม่มีขาด

หากพูดถึงเรื่องไปเที่ยว ไม่ว่าใครก็อยากจะไปกันทั้งนั้น แต่ก่อนที่จะไปเที่ยวได้ ก็ต้องจัดกระเป๋าไปเที่ยวกันก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆ คนน่าจะไม่ชอบกัน เพราะว่าขี้เกียจ ไม่รู้จะเริ่มต้นจัดกระเป๋ายังไง ยังไม่รวมที่คิดไม่ออกว่าควรหยิบอะไรไปบ้างดี ถ้าหยิบไปแล้วจะได้ใช้ไหม หรือจะลืมอะไรไปบ้างหรือเปล่า ดังนั้น การจัดกระเป๋าไปเที่ยวตาม Checklist กระเป๋าเดินทาง จึงถือว่าเป็นทางออกที่สามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ โดย Checklist กระเป๋าเดินทางที่ AIRPORTELs นำมาฝากในบทความนี้จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย!

วิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้ครบ
Checklist ช่วยจัดกระเป๋าเดินทาง

Checklist กระเป๋าเดินทางจาก AIRPORTELs

การจัดกระเป๋าไปเที่ยวนั้นควรเริ่มจากการแบ่งหมวดสิ่งของก่อนว่ามีหมวดหมู่อะไรบ้าง เพื่อที่จะได้จัดลำดับความสำคัญของสิ่งของว่าควรจะเริ่มต้นหยิบอะไรใส่กระเป๋าก่อนดี และถ้าหากกระเป๋าเต็มจะได้ตัดสิ่งของที่มีความจำเป็นน้อยที่สุดออกไปได้ โดย Checklist กระเป๋าเดินทางที่ AIRPORTELs ลิสต์มาให้นั้น สามารถแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 หมวดหมู่ ได้แก่ ของใช้จำเป็น ปัจจัย 4 และของเบ็ดเตล็ด โดยแต่ละหมวดหมู่มีรายละเอียด ดังนี้

ของใช้จำเป็นที่ต้องมีในกระเป๋าเดินทาง มีอะไรบ้าง

“ของใช้ที่จำเป็น” เป็น Checklist กระเป๋าเดินทางหมวดหมู่แรกที่ควรให้ความสำคัญในการจัดกระเป๋าไปเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งของเหล่านี้จำเป็นต่อการไปเที่ยวและการใช้ชีวิต หากลืมหรือขาดหายไป อาจส่งผลให้เกิดปัญหาตามมาได้อย่างแน่นอน โดยสิ่งของที่ไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาด มีดังนี้

หนังสือเดินทาง

หนังสือเดินทาง ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่จะแสดงและยืนยันตัวตนของเราได้ หากลืมอาจทำให้ไม่สามารถออกนอกประเทศหรือไม่สามารถเข้าประเทศปลายทางได้ ดังนั้น จึงไม่ควรลืม ควรพกติดตัวไว้เสมอและควรเก็บรักษาไว้ให้ดีที่สุด

Boarding Pass หรือหลักฐานการจองไฟล์ทของสายการบิน

Boarding Pass เป็นหลักฐานในการจองไฟล์ทของสายการบิน ว่าเราจองไว้ในชื่อเราจริงไหม จองไว้วันที่เท่าไร เดินทางเวลาไหน และเดินทางกับสายการบินอะไร เพื่อที่จะได้ทำการเช็กอิน ป้องกันการตกเครื่อง และเดินทางได้อย่างถูกต้อง

สำเนาของหนังสือเดินทางและหลักฐานการจองไฟล์ทของสายการบิน

ถึงแม้เราจะมีหนังสือเดินทาง และ Boarding Pass ตัวจริงอยู่ในมือแล้ว แต่การมีสำเนาสำรองไว้ประมาณ 1-2 ชุด จะช่วยให้เราอุ่นใจได้มากขึ้น เพราะอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ เช่น หนังสือเดินทาง หรือ Boarding Pass หาย หรือได้รับความเสียหาย จะได้มีสำเนาที่นำมาใช้แทนกันได้ 

เงินต่างประเทศ หรือเงินดอลล่าร์

ก่อนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ควรทำการแลกเงินเป็นสกุลเงินของประเทศที่เราจะไปเที่ยวเสียก่อน ในกรณีที่บางสถานที่รับแต่เงินสดเท่านั้น จะได้มีเงินสดไว้ใช้จ่าย และควรแลกไปในจำนวนที่เพียงพอ หรืออาจแลกเงินเป็นสกุลดอลลาร์เผื่อไว้ เพราะถ้าหากเงินที่แลกมาไม่พอ สามารถใช้เงินดอลลาร์แทนได้

Power Bank และสายชาร์จ อุปกรณ์ IT

Power Bank สายชาร์จ หรืออุปกรณ์ IT ต่างๆ รวมถึงอินเทอร์เน็ต เป็นสิ่งที่ควรเตรียมไว้ก่อนการเดินทาง เพราะการไปเที่ยวนั้นต้องใช้มือถือในการติดต่อสื่อสาร ถ่ายรูป หรืออัปเดตลงโซเชียลเป็นหลัก รวมถึงการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อหาข้อมูลต่างๆ ของสถานที่ท่องเที่ยว อินเทอร์เน็ตที่ดีทำให้ค้นหาได้รวดเร็ว ไม่ต้องหงุดหงิดเมื่อรอข้อมูล ส่วนแบตเตอรี่ที่ลดลงไปตามการใช้งานหรือหมดในระหว่างวัน หากมีแบตสำรองพกติดตัวไว้ก็นำมาชาร์จได้ตลอด ไม่ต้องกลัวแบตหมด

อแดปเตอร์แปลงไฟตามประเทศปลายทาง

หัวปลั๊กไฟในแต่ละประเทศนั้นมีลักษณะไม่เหมือนกันและมีกระแสไฟที่ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่าง เช่น

  • ประเทศญี่ปุ่น ใช้ปลั๊ก Type A และ B ที่มีกำลังไฟ 100V 50Hz
  • ประเทศเกาหลีใต้ ใช้ปลั๊ก Type C และ F ที่มีกำลังไฟ 110V/220V 60Hz
  • ประเทศสิงคโปร์ ใช้ปลั๊ก Type C, G และ M ที่มีกำลังไฟ 230V 50Hz
  • ประเทศไต้หวัน ใช้ปลั๊ก Type A และ B ที่มีกำลังไฟ 110V 60Hz
  • ประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้ปลั๊ก Type A และ B ที่มีกำลังไฟ 120V 60Hz 
  • ประเทศอังกฤษ ใช้ปลั๊ก Type G ที่มีกำลังไฟ 230V 50Hz

ดังนั้น จึงควรเตรียมหัวปลั๊กแปลงไฟของแต่ละประเทศปลายทางด้วยทุกครั้ง หรืออาจจะใช้หัวปลั๊กแปลงไฟแบบ Universal ที่สามารถแปลงปลั๊กได้ทุกลักษณะ 

บัตรเครดิตกลุ่ม Visa หรือ MasterCard 

การพกบัตรเครดิตที่เป็น Visa หรือ Mastercard เป็นอีกสิ่งที่ควรพกติดตัวไว้เมื่อไปต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่มักจะรับเฉพาะ 2 กลุ่มนี้เท่านั้น เพราะมีบริการที่ครอบคลุมมากกว่าบัตรแบบอื่นๆ เช่น กดเงิน หรือรูดจ่ายด้วยบัตรได้ทันที เป็นต้น

อุปกรณ์การทำงาน ในกรณีที่เป็น Workation 

หากใครไปท่องเที่ยวแบบ Workation ต้องห้ามลืมจัดกระเป๋าไปเที่ยวพร้อมอุปกรณ์ในการทำงานให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ค เมาส์ คีย์บอร์ด ที่ชาร์จโน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่สำคัญต่อการทำงาน เพราะหากลืมสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจทำให้การทำงานไม่สะดวก แถมยังอาจหาซื้อใหม่ที่ต่างประเทศได้ยากอีกด้วย

กลุ่มปัจจัย 4 

“กลุ่มปัจจัย 4” เป็น Checklist กระเป๋าเดินทางหมวดหมู่ที่ 2 สำหรับการจัดกระเป๋าไปเที่ยวที่สำคัญรองลงมาจากของใช้จำเป็น เพราะถ้าหากลืม หรือทำหาย ยังสามารถหาซื้อใหม่ได้ โดยสิ่งของต่างๆ ในหมวดปัจจัย 4 ที่ควรจัดใส่ในกระเป๋าไปเที่ยว มีดังนี้

เสื้อผ้า กางเกง

การเลือกเสื้อผ้าและกางเกง ในการจัดกระเป๋าไปเที่ยว ควรดูก่อนว่าไปกี่วัน ไปสถานที่แบบไหนบ้าง และประเทศที่เราจะไปนั้นมีสภาพอากาศเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้คำนวณได้ถูกว่าควรจะเตรียมไปกี่ชุด และควรเลือกเสื้อผ้าแบบไหนไปให้เหมาะสมกับสถานที่และสภาพอากาศมากที่สุด

ชั้นใน

ชุดชั้นใน เป็นอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้เสื้อผ้า และกางเกง โดยการเตรียมชุดชั้นใน ให้คำนวณจากวันที่ไปเหมือนกับการเตรียมเสื้อผ้าว่าในหนึ่งวันเราจะต้องใส่กี่ตัว เพื่อที่จะได้เตรียมไปได้ถูก แต่ต้องเตรียมไปเผื่อมากกว่าที่คำนวณไว้ประมาณ 2-3 ชุด เผื่อเกิดกรณีฉุกเฉินจะได้มีใส่ และไม่ต้องกังวลว่าจะหาซื้อได้ที่ไหนบ้าง 

ชุดว่ายน้ำ

สำหรับใครที่มีแพลนเที่ยวทะเล ควรพกชุดว่ายน้ำไปด้วย หรือใครที่จองที่พักที่มีสระว่ายน้ำ และคิดว่าจะลงไปเล่นน้ำ อาจจะเตรียมชุดว่ายน้ำไปเผื่อด้วยได้ เพราะว่าในบางที่มีข้อกำหนดว่าจะต้องใส่ชุดว่ายน้ำลงเล่นน้ำเท่านั้น

รองเท้า-ถุงเท้า

รองเท้าและถุงเท้า เป็นอีกสิ่งที่ควรเตรียมให้ดี โดยอาจจะใส่รองเท้าผ้าใบไป พร้อมกับเตรียมรองเท้าแตะ และรองเท้าผ้าใบสำรองไปอีกอย่างละ 1 คู่ รวมถึงถุงเท้าที่ควรเตรียมไปให้พอดี หรือเตรียมไปเผื่อมากกว่าเดิมประมาณ 1-2 คู่  เผื่อเกิดอาการเจ็บเท้า ถุงเท้าขาด หรือเกิดกรณีฉุกเฉินจะได้มีรองเท้าและถุงเท้าเปลี่ยน

ยาสามัญ

ยาสามัญประจำบ้าน เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้ไอ ยาแก้แพ้ ยาแก้ปวดท้อง หรือยาแก้ท้องเสีย รวมถึงยาดม หรือยาแก้เมารถ เมาเรือ ก็ควรพกติดกระเป๋าไว้ เพราะว่าเวลาไปเที่ยว อาจจะต้องเจอกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เดินเยอะ กินอาหารหลากหลาย หรือขึ้น-ลงรถบ่อยๆ จนทำให้เกิดอาการป่วยต่างๆ เช่น ปวดหัว ปวดขา ปวดท้อง หรือเมารถตามมาได้ ทั้งนี้ ควรศึกษาก่อนด้วยว่าประเทศปลายทางนั้นมีข้อห้ามในการนำเข้ายาบางชนิดหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการนำเข้ายาผิดกฎหมาย

อาหารแห้ง อาหารฉุกเฉิน

อาหารแห้งหรืออาหารฉุกเฉิน เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำพริก น้ำจิ้ม หรืออาหารสำเร็จรูปอื่นๆ เป็นสิ่งที่หลายๆ คนนิยมใส่ไว้ในการจัดกระเป๋าไปเที่ยว เผื่อกลัวว่าอาหารที่ประเทศอื่นจะไม่ถูกปาก ทำให้กินได้ไม่เยอะหรือกินไม่อิ่ม จนทำให้เกิดอาการหิวตอนดึกนั่นเอง 

อาหารเสริม วิตามิน

สำหรับใครที่ต้องทานอาหารเสริมหรือวิตามินเป็นประจำ ควรแพ็กใส่กล่องหรือซองให้พอดีตามจำนวนเวลา และวันที่ไปเที่ยว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพกไปทั้งกระปุก แถมยังช่วยประหยัดพื้นที่และน้ำหนักของกระเป๋า ทั้งนี้ ควรศึกษาก่อนด้วยว่าประเทศปลายทางนั้นมีข้อห้ามในการนำเข้าอาหารเสริม หรือวิตามินบางชนิดหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการนำเข้ายาที่ผิดกฎหมาย

กลุ่มเบ็ดเตล็ด

Checklist กระเป๋าเดินทางสำหรับจัดกระเป๋าไปเที่ยวหมวดหมู่สุดท้าย คือ สิ่งของเบ็ดเตล็ด โดยหมวดหมู่นี้จะมีความสำคัญน้อยที่สุดในการจัดกระเป๋าไปเที่ยว เพราะว่าเป็นสิ่งของที่สามารถหาซื้อได้ง่าย หรือใช้ของอย่างอื่นทดแทนได้ เพื่อช่วยลดสัมภาระหรือน้ำหนักกระเป๋า โดยสิ่งของต่างๆ ในหมวดหมู่เบ็ดเตล็ด มีดังนี้

เครื่องสำอางค์ เครื่องประทินผิว

เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ เป็นสิ่งของที่สามารถหาซื้อได้ในต่างประเทศ โดยเราอาจจะพกไปแค่ชีตมาส์ก ครีมกันแดด แป้งฝุ่น ลิปสติกแท่งโปรด คอนซีลเลอร์ และที่เขียนคิ้ว ส่วนที่เหลือนั้นอาจจะไปซื้อต่างประเทศแทนได้ เพื่อประหยัดน้ำหนักกระเป๋า แถมยังได้ชอปปิงของใหม่อีกด้วย

เครื่องประดับ พร็อพถ่ายรูป

เครื่องประดับหรือพร็อพถ่ายรูป อย่างเช่น แว่นตา หมวก ต่างหู กระเป๋า หรือเครื่องประดับอื่นๆ อาจพกไปแค่เครื่องประดับชิ้นโปรดและกระเป๋าใบโปรดเท่านั้น เพื่อลดสัมภาระที่ไม่จำเป็นออกไป ประหยัดน้ำหนักกระเป๋า แล้วค่อยไปซื้อของใหม่ หรือไปเช่าที่หน้างานแทนได้

กล้องถ่ายรูป 

ถ้าหากไม่ได้ไปถ่ายรูปที่ต้องนำมาใช้งานหรือถ่ายแค่ลงโซเชียล อาจจะไม่จำเป็นที่ต้องพกกล้องถ่ายรูปไป และใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายแทน เพราะในปัจจุบันนั้นกล้องโทรศัพท์มือถือมีสเปกสูงเหมือนกับกล้องถ่ายรูป แถมยังไม่ต้องแบกให้เมื่อยอีกด้วย

ไฟฉาย เทียน ไฟแช็ก ไม้ขีดไฟ

ไฟฉาย เทียน ไฟแช็ก หรือไม้ขีดไฟ เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่นัก เพราะมีโอกาสที่จะได้ใช้น้อยมาก หรืออาจพกไปแค่ไฟฉายก็เพียงพอ แต่ถ้าหากพื้นกระเป๋าเต็มแล้ว สามารถตัดออกไปได้เช่นกัน

อื่น ๆ

สิ่งของอื่นๆ ที่สามารถหาซื้อได้ที่ปลายทางได้ง่าย ไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ หรือไม่มีความจำเป็น ควรตัดออกไปเลย เช่น ตุ๊กตา ผ้าห่ม ยากันยุง หรือของจิปาถะอื่นๆ เพื่อช่วยลดสัมภาระ และน้ำหนักกระเป๋าที่อาจเกินได้โดยที่ไม่จำเป็น

การจัดกระเป๋าเดินทาง

ทำ Checklist ช่วยจัดกระเป๋าเดินทางดีอย่างไร มีเทคนิคอะไรบ้าง ?

สำหรับข้อดีของการทำ Checklist กระเป๋าเดินทาง เพื่อช่วยจัดกระเป๋าไปเที่ยวให้ง่ายขึ้น มีดังนี้

  • ช่วยให้จัดกระเป๋าไปเที่ยวได้อย่างมีระเบียบ
  • สามารถตรวจสอบได้ง่ายว่าลืมอะไรหรือไม่
  • นำไปแต่สิ่งของที่มีความจำเป็น
  • ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าเตรียมของครบหรือเปล่า
  • ช่วยให้จัดกระเป๋าไปเที่ยวได้เร็วขึ้น เพราะรู้ว่าต้องหยิบอะไรบ้าง

โดยเทคนิคสำคัญในการทำ Checklist กระเป๋าเดินทาง มีอยู่ 2 เทคนิคด้วยกัน ได้แก่

  • การทำ Checklist 2 ฉบับ เพื่อเช็กของทั้งขาไปและขากลับ 
  • การทำ Checklist 2 แบบ สำหรับกระเป๋าเดินทางที่จะโหลดลงใต้เครื่องและกระเป๋าที่จะถือขึ้นเครื่อง เพื่อที่จะได้รู้ว่าควรใส่อะไรไว้ที่กระเป๋าไหน จะได้หาของได้ง่ายขึ้น 

การทำ Checklist กระเป๋าเดินทาง สามารถช่วยให้การจัดกระเป๋าไปเที่ยวนั้นเป็นเรื่องง่ายขึ้นได้ แถมยังช่วยให้จัดได้อย่างรวดเร็ว และสะดวกมากขึ้น เพราะรู้ว่าจะต้องใช้ของอะไรบ้าง และควรให้ความสำคัญกับสิ่งของในหมวดหมู่ไหนก่อน ที่สำคัญคือ ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบได้ว่าเราจัดของที่จำเป็นต้องใช้ครบหรือไม่ แล้วยังช่วยให้จัดกระเป๋าได้อย่างเป็นระเบียบมากขึ้

วิธีวัดกระเป๋าเดินทางไม่ให้พลาด คุ้มทุกทริป สบายทุกการเดินทาง

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คนช็อตฟีลเวลาเที่ยวมากที่สุดคือการเสียค่าโหลดกระเป๋าแบบไม่รู้ตัว ซึ่งหนึ่งในเหตุผลก็คือ การวัดขนาดกระเป๋าเดินทางไปผิดวิธีนั่นเอง บางคนอาจจะชะล่าใจว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แต่บ่อยครั้งก็ยังมีคนที่เข้าใจผิดอยู่มาก AIRPORTELs จึงได้รวบรวมเทคนิควิธีการวัดกระเป๋าเดินทาง แบบเข้าใจง่ายๆ ครบจบทุกขั้นตอน เพื่อให้การเดินทางครั้งต่อไปของทุกคนเป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีสะดุด ถ้าพร้อมแล้วตามไปดูกันเลย

ทำไมต้องวัดกระเป๋าเดินทาง

โดยปกติแล้ว สายการบินจะจำกัดจำนวน และขนาดของกระเป๋า Carry-on หรือ สัมภาระที่อนุญาตให้ผู้โดยสารนำขึ้นเครื่อง ซึ่งแต่ละสายการบินก็จะมีระเบียบและข้อกำหนดที่แตกต่างกันออกไป หากผู้โดยสารไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดเรื่องขนาดกระเป๋าเดินทางของสายการบินแล้ว สายการบินสามารถปฏิเสธที่จะให้ผู้โดยสารนำสัมภาระขึ้นเครื่องได้ และให้ทำการโหลดสัมภาระลงใต้ท้องเครื่องแทน ทำให้ต้องเสียเวลา เสียความรู้สึก และเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อาจทำให้เกิดความล่าช้าจนตกไฟล์ท ต้องทำการเลื่อนหรือจองตั๋วใหม่จนปวดหัว นอกจากนี้แบรนด์กระเป๋าบางแบรนด์ก็บอกขนาดกระเป๋าเดินทางที่รวมความสูงของล้อ แต่บางแบรนด์ก็ไม่รวม ยิ่งทำให้เกิดความสับสน และทำให้มีปัญหาตอนขึ้นเครื่อง การทำความเข้าใจกับข้อกำหนดของสายการบิน และการวัดขนาดกระเป๋าเดินทาง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและควรทำเป็นอย่างมากก่อนการเดินทางทุกครั้ง

เงื่อนไขขนาดกระเป๋า Carry On ของแต่ละสายการบินเป็นอย่างไร ? 

สายการบินส่วนใหญ่ อนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถนำสัมภาระขึ้นเครื่องได้ทั้งหมด 2 ชิ้น คือกระเป๋าสะพายหรือเป้ขนาดเล็กสำหรับเก็บของใช้ส่วนตัวเช่น พาสปอร์ต โทรศัพท์มือถือ หรือหนังสือ ที่สามารถเก็บไว้ในช่องเก็บของใต้ที่นั่ง และกระเป๋าสัมภาระแบบล้อเลื่อนหรือกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กอีก 1 ใบ 

  • โดยเฉลี่ยแล้ว กระเป๋าพกพาติดตัวควรมีขนาดไม่เกิน 37.5 เซนติเมตร (15 นิ้ว) 
  • กระเป๋าเดินทางขนาดเล็กไม่เกิน 56x36x23 เซนติเมตร (ไซส์กระเป๋าเดินทางล้อเลื่อน 14-16 นิ้ว) 
  • น้ำหนักไม่เกิน 5-7 กิโลกรัม 

หากทำการชั่งและวัดขนาดกระเป๋าเดินทางก่อนไปสนามบิน ก็จะช่วยลดโอกาสในการเจอดราม่าเรื่องการนำกระเป๋าขึ้นเครื่องอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม แต่ละสายการบินมีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องขนาดและน้ำหนักของกระเป๋า Carry-on ที่แตกต่างกันออกไป และสายการบินสามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำการตรวจสอบเกี่ยวกับกฎระเบียบก่อนออกเดินทาง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเกี่ยวกับสัมภาระที่อาจเกิดขึ้นได้

วิธีวัดขนาดกระเป๋าเดินทาง 

จะออกเดินทางทั้งที อย่าให้ทริปดีๆ ต้องมาสะดุดเพราะปัญหาเรื่องขนาดกระเป๋าเดินทาง  มาดูเทคนิคและวิธีวัดขนาดกระเป๋าเดินทางที่ถูกต้องเพื่อการเดินทางที่ราบรื่นกันดีกว่า โดยมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

  • เช็คนโยบายของสายการบินที่ใช้บริการ เข้าไปที่เว็บไซต์หรือโทรเข้าไปสอบถามสายการบินเกี่ยวกับน้ำหนักและขนาดของสัมภาระที่อนุญาตให้ผู้โดยสารนำขึ้นเครื่อง
  • วัดขนาดกระเป๋า วัดขนาดกระเป๋าเดินทางที่ต้องการนำขึ้นเครื่องด้วยสายวัด ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถใช้เป็นกระเป๋า Carry-on ได้หรือไม่ โดยควรวัดให้ครบทั้งสามด้านคือ ความยาว ความสูง และความกว้าง ในส่วนของความสูงของกระเป๋านั้น ควรวัดตั้งแต่ล้อไปจนถึงขอบบนของกระเป๋าเพื่อความแน่ใจ เพราะสายการบินหลายแห่งก็ยังคงนับรวมความสูงของล้อกระเป๋าด้วย
  • แพ็คสัมภาระให้เหมาะกับทริป ไม่พกสัมภาระเยอะจนเกินไป และควรนำเพียงสัมภาระที่จำเป็นติดตัวไป เพื่อการเดินทางที่ราบรื่นและเพิ่มความคล่องตัวในการเดินทาง
  • วัดรอบที่สอง เพื่อความถูกต้อง หลังจากที่เก็บสัมภาระทั้งหมดใส่ลงในกระเป๋า ในบางครั้งกระเป๋าอาจหนาขึ้นเพราะมีการเปิดใช้ส่วนขยาย หรือมีสัมภาระที่ทำให้ขนาดกระเป๋าเดินทางเปลี่ยนไป จึงควรมีการวัดขนาดกระเป๋าเดินทางรอบที่สองเพื่อให้มั่นใจว่าขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องที่รวมสัมภาระนั้นยังคงอยู่ภายใต้ข้อกำหนดที่ทางสายการบินอนุญาต
  • ชั่งน้ำหนักกระเป๋า นอกจากขนาดของกระเป๋าแล้ว ทางสายการบินยังมีข้อกำหนดในเรื่องของน้ำหนักกระเป๋าอีกด้วย จึงควรทำการเช็คให้แน่ใจว่ากระเป๋าไม่หนักจนเกินไป จะได้ไม่เจอค่าปรับที่คาดไม่ถึง

เลือกกระเป๋าเดินทางขนาดไหนดี

นอกจากขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องแล้ว กระเป๋าสัมภาระที่โหลดใต้ท้องเครื่องก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะยิ่งน้ำหนักกระเป๋าน้อยลงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยเซฟเงินที่สามารถนำไปใช้ระหว่างทริปได้เยอะมากขึ้นเท่านั้น มาดูกันว่ากระเป๋าแต่ละขนาด จะเหมาะกับทริปแบบไหนบ้าง

              กระเป๋าเดินทาง 16 – 21 นิ้ว

ขนาดกระเป๋าเดินทางที่เหมาะมากๆ สำหรับทริปสั้นๆ เช่น ไปงานแต่งงาน งานเลี้ยง หรือการเดินทางไปติดต่อธุรกิจในระยะเวลาสั้นๆ สามารถใส่เสื้อผ้าสำหรับ 1-3 วันได้แบบพอดีๆ และสำหรับหลายๆ สายการบินก็อนุญาตให้ผู้โดยสารใช้กระเป๋าขนาด 16 นิ้วเป็นกระเป๋า Carry-on ช่วยเพิ่มความคล่องตัว และไม่ต้องไปมัวรอกระเป๋าเมื่อถึงสนามบินอีกด้วย

             กระเป๋าเดินทาง 24 – 26 นิ้ว

ขนาดกระเป๋าเดินทางขนาดกลาง สามารถจุเสื้อผ้าและสัมภาระสำหรับทริปไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ และยังเหลือที่ว่างพอให้ใส่ของฝากได้เล็กน้อย ใช้เป็นกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องได้สบายๆ เหมาะสำหรับทริปท่องเที่ยวสั้นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นกระเป๋าเดินทางไซส์มาตรฐานที่ควรมีติดบ้านเอาไว้ เผื่อเจอโปรฯ ทริปไฟลุก ปุบปับเมื่อไหร่ก็พร้อมลากกระเป๋าไปทันที

             กระเป๋าเดินทาง 29 – 32 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่ที่สุด ใช้โหลดใต้ท้องเครื่องอย่างเดียวเท่านั้น เหมาะสำหรับการเดินทางที่ต้องไปอยู่ระยะยาวกว่าหนึ่งสัปดาห์ขึ้นไป ไม่ว่าจะไปเที่ยว ไปเรียน หรือย้ายไปทำงาน ก็พกพาสัมภาระไปได้แบบจุใจ โดยเฉพาะการเดินทางไปประเทศที่มีอากาศหนาว ต้องพกเสื้อโค้ทหรือเสื้อคลุมหนาๆ ก็สามารถใส่ได้สบายๆ เป็นขนาดกระเป๋าเดินทางที่โดนใจ สายช้อป สายแฟชั่น หรือสายเดินทางต่างประเทศ เพราะเก็บของได้จุแบบสุดๆ นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่เดินทางเป็นครอบครัว โดยเฉพาะครอบครัวที่ลูกยังเล็กเพราะมักต้องมีสัมภาระติดตัวเยอะ

ทั้งนี้ ขนาดกระเป๋าเดินทางที่เลือก อาจเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ของแต่ละคน และสภาพภูมิอากาศของจุดมุ่งหมาย เช่น แม้ว่าจะเป็นทริปสั้นๆ แต่หากเป็นที่ที่มีอากาศหนาวก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้กระเป๋าใบใหญ่ เพราะต้องใช้เก็บเสื้อโค้ทหรือแจ็คเก็ตที่มีความหนา หรือหากเป็นการเดินทางไปพักกับเพื่อนหรือหอพักที่ซักเสื้อผ้าได้ ก็อาจไม่มีความจำเป็นที่ต้องพกเสื้อผ้าไปให้ครบจำนวนวันที่เดินทาง เป็นต้น

ถ้าโดนบังคับโหลดเพราะน้ำหนัก หรือขนาดเกิน ทำอย่างไร ?

ฝันร้ายของนักเดินทางทุกคน คือการต้องมาแก้ปัญหาเรื่องสัมภาระขึ้นเครื่องในระหว่างการเดินทาง โดยเฉพาะเมื่อเจอปัญหากระเป๋าโดนบังคับโหลดเพราะมีน้ำหนักหรือขนาดเกิน เพราะไม่ได้ชั่งและวัดขนาดกระเป๋าเดินทางก่อนมาที่สนามบิน แต่หากตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวแล้วก็สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • ใช้น้ำหนักกระเป๋าโหลดให้เป็นประโยชน์ ในกรณีที่ยังพอมีน้ำหนักเหลือในกระเป๋าโหลด ให้ลองทำการย้ายของจากกระเป๋า Carry-on ไปในกระเป๋าโหลดแทน เพื่อช่วยลดน้ำหนักของกระเป๋าขึ้นเครื่องให้น้อยลง 
  • ใช้บริการส่งกระเป๋ากลับบ้าน ในกรณีที่ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องใหญ่เกินไปจนไม่สามารถนำขึ้นเครื่องได้ ในบางครั้งการต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อโหลดสัมภาระ อาจมากพอๆ กับค่าตั๋วเดินทางเลยทีเดียว ดังนั้นการตัดสินใจส่งสัมภาระกลับบ้านในสถานการณ์คับขันจึงกลายทางเลือกที่ดีที่สุด โดยสามารถเลือกใช้บริการขนส่งสัมภาระที่สนามบิน เช่น บริการของ AIRPORTELs มืออาชีพด้านการรับส่งสิ่งของและสัมภาระจากสนามบิน ส่งตรงถึงจุดหมายภายในวันเดียวกัน มีจุดบริการทั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง และยังมีจุดให้บริการตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น เซ็นทรัลเวิร์ด มาบุญครอง และ เทอร์มินอล 21 สามารถรับส่งสัมภาระจากสนามบินได้แบบง่ายๆ ในราคาแบบสบายกระเป๋า

อย่าให้ทริปเดินทางต้องเริ่มต้นด้วยปัญหากระเป๋าน้ำหนักเกินจนต้องจ่ายเงินเพิ่ม หรือขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องใหญ่จนต้องโดนบังคับโหลด เพียงทำการชั่งและวัดขนาดกระเป๋าเดินทางก่อนเริ่มทริป ก็จะช่วยทำให้การเช็คอินกระเป๋าเป็นไปอย่างราบรื่นตลอดทริปเดินทาง แต่หากต้องการให้การเดินทางครั้งต่อไปสมูธแบบไร้กังวล อย่าลืมเรียกใช้บริการขนส่งสัมภาระจาก AIRPORTELs เพื่อนคู่ใจนักเดินทาง ให้คุณเก็บเวลาไปกังวลเรื่องการหามุมถ่ายรูป และปล่อยให้เรื่องกระเป๋าเป็นหน้าที่ของเรา

เทคนิคจัดกระเป๋าเดินทาง ด้วยกระเป๋า 20″ ใบจิ๋ว

 

เทคนิคจัดกระเป๋าเดินทาง ด้วยกระเป๋า 20″ ใบจิ๋ว

การจัดกระเป๋าเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งเมื่อต้องออกเดินทาง ซึ่งอาจมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องการเตรียมไป โดย กระเป๋า20 นิ้ว จะเป็นขนาดกระเป๋าที่มีความกะทัดรัด สามารถใช้เดินทางในระยะเวลาสั้น ๆ ได้สะดวก ซึ่งหากโดยสารด้วยเครื่องบินก็ไม่ต้องซื้อน้ำหนักเพิ่มให้เปลืองเงินอีกด้วย สำหรับใครที่กำลังมองหา รีวิวการจัดกระเป๋า วันนี้เรามีเทคนิคดี ๆ มาบอก ไปดูกันว่าจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง

 

1. จัดของเป็นหมวดหมู่แล้วแยกใส่กระเป๋าใบเล็ก

การแยกของให้เป็นหมวดหมู่นอกจากจะสะดวกต่อการหยิบใช้งานแล้ว ยังช่วยให้การจัดกระเป๋าเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นด้วย โดยสิ่งต่าง ๆ ที่ควรแยกอย่างเช่น อุปกรณ์อาบน้ำ เครื่องสำอาง ยารักษาโรคประจำตัวหรือยาที่ควรใช้ระหว่างการเดินทางและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งแต่ละส่วนควรจัดลำดับความสำคัญในการใช้งาน โดยสิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้ก่อนถึงที่พัก หรือต้องใช้แบบเร่งด่วน เช่น ยาหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พวกสายชาร์จ ก็ควรเก็บไว้ในที่หยิบใช้งานสะดวก 

 

2.จัดแบบม้วนดีกว่าแบบพับ

การม้วนเสื้อผ้าชิ้นบาง ๆ ทำให้ประหยัดพื้นที่มากกว่าการพับ อย่างเช่น เสื้อยืด หรือชุดนอน ซึ่งควรจัดเป็นชุด ๆ ไว้ เพื่อสะดวกต่อการใช้งาน โดยพับเสื้อหรือกางเกงให้ส่วนแขนหรือส่วนที่ยื่นออกไปมารวมอยู่ตรงกลางให้เป็นทรงกระบอก จากนั้นก็ม้วนจากด้านบนลงมาด้านล่าง เพื่อไล่อากาศระหว่างทางออกไป และหากตรงปลายมีปลายเปิดก็พับทบกลับมาห่อเสื้อผ้าชิ้นนั้น ๆ เพื่อเป็นการช่วยไม่ให้ม้วนผ้าคลายออกไปมากขึ้น

 

3. ให้ถุงสุญญากาศเป็นตัวช่วย 

สำหรับผ้าชิ้นหนา เช่น เสื้อกันหนาว หรือผ้าเช็ดตัว ที่มักจะกินเนื้อที่ทั้งการม้วนและการพับ จึงต้องมีตัวช่วยอย่างถุงสุญญากาศที่จะช่วยให้ประหยัดเนื้อที่ได้ 70-80 % โดยมีทั้งถุงที่ต้องใช้เครื่องดูดอากาศออกและถุงที่ใช้วิธีการม้วนอย่างเดียว ใครสะดวกใช้งานแบบไหนก็ลองไปเลือกซื้อกันได้ โดยนอกจากจะใช้ถุงสุญญากาศเพื่อใส่เสื้อผ้าชิ้นหนาแล้วก็สามารถใช้ใส่เสื้อผ้าชิ้นบาง ๆ หลาย ๆ ชิ้น เข้าด้วยกันเพื่อประหยัดพื้นที่อีกด้วย

 

4.แยกชุดชั้นในไว้ในถุงเฉพาะ 

เมื่อเรา ไปเที่ยวกัน อาจเกิดเหตุไม่คาดคิดมากมาย ซึ่งบางทีอาจต้องเปิดกระเป๋าระหว่างทาง และถ้าเปิดมาเห็นชุดชั้นในกระจายอยู่เต็มกระเป๋าคงเป็นภาพที่ไม่ค่อยน่ามองเท่าไหร่นัก การจัดเก็บชุดชั้นในแยกไว้ในกระเป๋าเฉพาะจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยจัดเสื้อชั้นในเรียงซ้อนกันและเสริมตรงที่ว่างด้วยกางเกงชั้นใน เพื่อใช้พื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยไม่ให้เสื้อชั้นในเสียทรงด้วย ถ้าหากกระเป๋ามีที่ว่างเหลือ ก็อาจจะใส่ถุงเท้าพับแล้วเข้าไปด้วย 

 

5.ใช้ของขนาดพกพา

ในการเดินทางหลายคนมักจะพกพาเครื่องประทินผิวต่าง ๆ อย่างเช่น ครีมอาบน้ำ แชมพู และโลชั่น ที่ใช้ประจำอยู่ไปด้วย ซึ่งจะนำขวดใหญ่แบบที่ใช้อยู่ที่บ้านใส่ไปใน กระเป๋า20 นิ้ว ด้วยก็คงไม่สะดวก การหาซื้อขวดแบ่งขนาดเล็กไปจึงเหมาะสมมากกว่า หรือถ้ามีขนาดพกพาขายก็สามารถซื้อไปใช้ได้อย่างสะดวก แต่สำหรับใครที่ไม่อยากซื้อหลายรอบ ซื้อขวดแบ่งมาใช้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะหากใช้หมดก็นำกลับมาเติมและใช้ซ้ำได้ง่ายกว่าอีกด้วย

 

6.วางสิ่งของที่มีน้ำหนักไว้ด้านล่าง

เทคนิคจัดกระเป๋า ที่ดีนอกจากจะคำนึงถึงการทำสิ่งของให้มีขนาดเล็กแล้ว การจัดวางโดยคำนึงถึงน้ำหนักสิ่งของก็จะช่วยให้ง่ายต่อการเดินทางมากขึ้น โดยควรวางสิ่งของที่มีน้ำหนักไว้ด้านล่างใกล้ฐานล้อ เพราะจะได้ช่วยถ่วงน้ำหนักเวลาลากไปกับพื้น และของที่ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกกดทับก็ต้องวางไว้ด้านบน หากใครพกพาสิ่งของที่เป็นแก้วซึ่งจะแตกได้ง่ายก็ใช้เสื้อผ้าพันไว้หลายทบ เพื่อรองรับการกระแทกและช่วยให้ประหยัดพื้นที่มากขึ้น

 

7.ใส่ถุงเท้าไว้ในรองเท้า

หากการเดินทางที่ต้องนำรองเท้าไปเปลี่ยนด้วย ควรหาพื้นที่ ๆ จะไม่ถูกกดทับมาก เพราะอาจทำให้รองเท้าเสียทรงได้ โดยต้องหาถุงมาใส่รองเท้าเพื่อแยกจากของชิ้นอื่น ๆ ป้องกันความสกปรก โดยอาจจะใช้หมวกอาบน้ำมาคลุมรองเท้ารอบหนึ่งเพื่อช่วยกักเก็บเศษฝุ่นที่ติดอยู่ หลังจากนั้นก็เอาไปใส่ถุงรองเท้าได้ และควรใส่ถุงเท้าไว้ในรองเท้า เพราะนอกจากประหยัดพื้นที่แล้ว ยังช่วยรักษาทรงรองเท้าได้ด้วย

 

8.พกถุงสำหรับใส่เสื้อผ้าใช้แล้ว

เมื่อเราเดินทางคงไม่สะดวกที่จะซักผ้าทุกวัน การเตรียมถุงสำหรับใส่เสื้อผ้าใช้แล้วจังเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะถ้าไม่แยกกันก็อาจทำให้ชุดที่ยังไม่ได้ใส่เปื้อนไปด้วย การเลือกใช้ถุงสำหรับใส่ผ้าใช้แล้วควรใช้ถุงที่ระบายอากาศได้ดี แต่ถ้าเดินทางช่วงสั้น ๆ และไม่กังวลเรื่องกลิ่นอับมากนัก ก็อาจจะใช้เป็นถุงพลาสติกธรรมดาก็ได้ 

 

9.จัดเสื้อผ้าเป็นชุดตามวัน 

สำหรับใครที่มีพื้นที่เหลือพอที่จะสามารถจัดชุดตามวันได้ก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะจะได้ไม่เสียเวลาในการเลือกตอนใส่อีกรอบ และช่วยให้เกิดความเป็นระเบียบสบายตาด้วย โดยอาจจะใช้วิธีม้วนเป็นชุดเสื้อกางเกงของแต่ละวันหรือใส่ถุงสุญญากาศไว้ก็ได้ แล้วแต่ความสะดวก หากมีที่เหลือพอก็อาจจะจัดทั้ง เสื้อผ้าชุดนอก ชุดชั้นใน และถุงเท้าของแต่ละวันไว้ด้วยกันเลยก็ได้ 

 

10.เรียงของให้เต็มพื้นที่ 

การจัดเรียงของในกระเป๋านอกจากการคำนึงถึงการใช้พื้นที่ให้มีประสิทธิภาพแล้ว ก็ต้องไม่ลืมเรื่องการจัดของให้เต็มพื้นที่ด้วย เพราะหากมีที่เหลือ ก็จะทำให้ของภายในกระเป๋าที่เราจัดไว้กระจัดกระจาย ไม่เป็นระเบียบ สร้างความปวดหัวและเสียเวลาต้องจัดอีกรอบเป็นแน่ เราก็อาจเติมกระเป๋าให้เต็มด้วยการใช้หมอน ผ้าห่ม หรือผ้าขนหนูผืนเล็กๆ มาช่วย 

 

สำหรับ เทคนิคจัดกระเป๋า หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน และถ้าใครอ่าน รีวิวการจัดกระเป๋า และเตรียมกระเป๋าพร้อมแล้วก็เตรียมตัวออก ไปเที่ยวกัน ได้เลย 

 

ที่มาข้อมูล:

รู้ยัง! เที่ยวญี่ปุ่นปี 2565 ไม่ต้องมีวีซ่าแล้ว

หลังจากห่างหายจากการล็อกดาวน์ช่วงโควิด-19 ไปหลายปี เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงอยากจะออกเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศกันใจจะขาดอยู่แล้ว ซึ่งหนึ่งในหมุดหมายปลายทางยอดนิยมที่ใคร ๆ ก็อยากไปคงหนีไม่พ้นประเทศญี่ปุ่น เพราะเดินทางไปง่าย ใช้เวลาไม่นาน แถมค่าใช้จ่ายตลอดทริปไม่ได้สูงแบบการไปเที่ยวยุโรป และยิ่งตอนนี้ญี่ปุ่นกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเทียวแล้ว เป็นข่าวดีสำหรับคนไทยเพราะเขาเปิดให้ท่องเที่ยวแบบไม่ต้องมีวีซ่าแล้ว วันนี้ airportels จะมาชวนคุณไป เที่ยวญี่ปุ่น กัน

 

ท่องเที่ยวฉบับไม่มีวีซ่า อัปเดต โปรโมชั่น ราคาตั๋ว

แน่นอนว่าการระบาดของโควิด-19 ทำให้การท่องเที่ยวญี่ปุ่นหยุดชะงักจนถึงขั้นปิดประเทศและระงับวีซ่านักท่องเที่ยว แต่ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป ญี่ปุ่นมีนโยบายเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบไม่มีการกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวทุกคนสามารถเข้าประเทศได้แบบ ฟรีวีซ่า และสามารถจองที่พัก ตั๋วเครื่องบิน จองตั๋วสถานที่ท่องเที่ยวและบริการอื่น ๆ ได้ด้วยตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านผ่านเอเจนซี่หรือบริษัททัวร์ และสามารถท่องเที่ยวอยู่ในญี่ปุ่นได้ไม่เกิน 15 วันเงื่อนไขของการไป เที่ยวญี่ปุ่น แบบ ฟรีวีซ่า 2565 คือจะต้องได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 3 เข็ม โดยต้องเป็นวัคซีนที่ทางการญี่ปุ่นรับรอง ได้แก่ Pfizer 3 เข็ม หรือ Moderna 3 เข็ม หรือ Novavax 3 เข็ม ส่วนใครที่ฉีด AstraZeneca หรือ Covaxin เป็น 2 เข็มแรก เข็มที่ 3 ต้องเป็น Pfizer หรือ Moderna หรือ Novavax ถ้าหากได้รับวัคซีนไม่ครบ 3 เข็ม จะต้องตรวจ RT-PCR ในเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนเดินทางมาถึงญี่ปุ่น เมื่อเช็กตัวเองว่าฉีดวัคซีนครบแล้วก็ถึงเวลาแพ็กกระเป๋าและจองตั๋วเครื่องบินกันได้เลย วันนี้เรามี โปรโมชั่น ตั๋วเครื่องบินมาแนะนำ

  • เริ่มที่สายการบิน Airasia จัดโปรในราคาสมาชิก Airasia เริ่มต้นที่ 1,580 บาท สำหรับเที่ยวบินต่างประเทศหนึ่งเที่ยวบิน แน่นอนว่ามีไปลงถึงที่ญี่ปุ่น เรียกได้ว่าสะดวกสบายและคุ้มค่ามาก
  • สายการบินเวียดเจ็ต บินตรงจากกรุงเทพฯ ไปลงฟูโกโอกะเริ่มต้นที่ 3,999 บาท 
  • ส่วนสายการบินไทยก็มี โปรโมชั่น ราคาพิเศษพร้อมกับฟรีน้ำหนักสัมภาระ 30 กิโลกรัม แถมยังสามารถผ่อนชำระ 0% นาน 3 เดือน 
  • สายการบิน Peach Aviation เปิดเส้นทางใหม่เริ่มต้นวันที่ 8 ธันวาคม 2565 ระหว่าง กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ โอซาก้า (คันไซ) ในราคาเริ่มต้นที่ 3,190 บาท 
  • สายการบิน ZIPAIR ในเครือเดียวกับ Japan Airlines ก็เปิดราคาเที่ยวบินเดินทางก่อนวันที่ 3 มีนาคม 2566 ในราคาตั๋วต่อเที่ยวเริ่มต้นที่ 4,950 บาท
 

เมืองน่าท่องเที่ยว ในปีนี้ พร้อมที่ถ่ายภาพมุมฮิต

ญี่ปุ่นมีเมืองสวย ๆ น่าไปเที่ยวมากมายหลายเมือง แต่ละเมืองก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว วันนี้เราก็มี 3 เมืองที่ห้ามพลาดเมื่อคุณไปเยือนญี่ปุ่น

1. โตเกียว

ไปถึงญี่ปุ่นทั้งที ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปเยือนเมืองโตเกียวให้ได้ สถานที่ยอดฮิตที่ต้องไปถ่ายรูปเช็กอินให้ได้เลยก็คือ วัดเซ็นโซจิ เป็นวัดเก่าแก่ในโตเกียว และยังมีโคมไฟสีแดงขนาดยักษ์เป็นมุมถ่ายรูปสุดฮิตที่ใครไปก็จะต้องแชะภาพสวย ๆ กลับมา นอกจากนั้นแล้วที่โตเกียวยังมีย่านการค้าฮิป ๆ อีกมากมาย เช่น ฮาราจูกุ ชินจูกุ ชิบูย่า ฯลฯ

2. ยามานาชิ

ที่นี่เป็นอีกหนึ่ง เมืองน่าท่องเที่ยว อยู่ไม่ไกลจากโตเกียว นักท่องเที่ยวมาที่นี่เพื่อมาชมความงามของภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งถือว่าเป็นแลนด์มาร์กที่ถ่ายรูปมุมฮิตอีกแห่งหนึ่ง นอกจากนั้นแล้วยังมีทะเลสาบคาวากุจิโกะ ทะเลสาบยามานากาโกะ ทะเลสาบไซโกะ ทะเลสาบโชจิโกะ และทะเลสาบโมโตซุโกะที่สวยงามไม่แพ้กัน

3. โอซาก้า

โอซาก้าถือเป็นอีกหนึ่ง เมืองน่าท่องเที่ยว ที่นี่มีจุดถ่ายรูปยอดฮิตอย่างป้ายไฟกูลิโกะริมแม่น้ำโดทงโบริที่ใครไปก็ต้องได้ถ่ายรูปกลับมาทุกคน นอกจากนั้นแล้วยังมีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และปราสาทโอซาก้า ที่เป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่นรอให้ไปเช็กอินกัน

 

คาเฟ่ที่ต้องไปเช็กอิน

1. BLUE BOTTLE COFFEE

คาเฟ่โลโก้รูปขวดฟ้าชื่อดังที่ใครไปญี่ปุ่นก็ต้องไปเช็กอิน ที่นี่มีมุมสวย ๆ ไว้ให้ถ่ายรูปเพียบ แถมเมนูเครื่องดื่มยังรสชาติอร่อยกลมกล่อมด้วย

(Image credit: https://www.archdaily.com/975342/blue-bottle-coffee-shibuya-cafe-keiji-ashizawa-design)

2. About Life Coffee Brewers

คาเฟ่เล็ก ๆ ในย่านชิบูย่า เป็นคาเฟ่ริมทางที่ไม่มีที่นั่ง แต่จุดเด่นของที่นี่คือตั้งอยู่มุมตึกซึ่งฮิปมาก ๆ เหมาะกับการมาถ่ายรูปชิค ๆ ส่วนเมนูเครื่องดื่มก็มีหลากหลายชนิด รสชาติดีมาก ๆ 

(Image credit: https://ploybites.wordpress.com/2017/05/08/tokyo-cafe-about-life-coffee-brewers-shibuya-tokyo/)

3. DUMBO Doughnuts and Coffee

ที่นี่มีจุดเด่นตรงที่โดนัทขนาดบิ๊กเบิ้ม รสชาติเยี่ยม แป้งเหนียวนุ่มกัดแล้วละลายในปาก กินคู่กับเครื่องดื่มรสกลมกล่อมของทางร้านยิ่งเข้ากันมาก ๆ เลย 

4. Colombin Harajuku Salon

ร้านคาเฟ่สไตล์ยุโรป ขนมและเครื่องดื่มของที่ร้านจะเป็นสไตล์ฝรั่งเศส โดยมีจุดเด่นตรงที่น้ำผึ้งเลี้ยงเอง เป็นแบบออร์แกนิก รสชาติหอมหวานละมุนแบบลงตัว

(Image credit: https://omotesando.or.jp/shop/60/)

5. Onibus Coffee

คาเฟ่สไตล์มินิมอลตั้งอยู่ริมสนามเด็กเล่นและรางรถไฟ มีเพียงช่องหน้าต่างเปิดออกมาสำหรับสั่งและรับออเดอร์ เหมาะกับการมาถ่ายรูปเช็กอินแบบชิค ๆ

(Image credit: https://ploybites.wordpress.com/2017/05/08/tokyo-cafe-about-life-coffee-brewers-shibuya-tokyo/)

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลการท่องเที่ยวญี่ปุ่นปี 2022 แบบรวบรัดที่เรานำมาฝาก ช่วงปลายปีนี้ถ้าเพื่อน ๆ ยังไม่มีแพลนไปเที่ยวที่ไหน ญี่ปุ่นเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ยิ่งเขาเปิด ฟรีวีซ่า ทั้งทีแบบนี้ ไม่รีบจองตั๋วไม่ได้แล้ว

 

ที่มาข้อมูล

บริการฟรีภายในสนามบิน ใครสายเดินทางห้ามพลาด

สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองเงียบเหงาไปพักใหญ่เพราะโควิด-19 ทำพิษ แต่หลังจากที่สถานการณ์คลี่คลาย ทำให้สุวรรณภูมิและดอนเมืองเริ่มกลับมามีสีสันอีกครั้ง ร้านค้าต่าง ๆ เตรียมจัด โปรสนามบิน รอนักเดินทางไว้แล้ว ระหว่างรอขึ้นเครื่องรับรองว่าไม่เหงาอย่างแน่นอน เราไปส่องโปรกันไว้ก่อนดีกว่า เวลาไปสนามบินจริง ๆ จะได้ไม่พลาด

 
 

PT MAX CARD 

สมาชิกบัตร PT MAX CARD ไม่ผิดหวัง เพราะบัตรนี้จัดโปรปัง ๆ ร่วมกับร้านค้าภายในสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง ระหว่างรอขึ้นเครื่องสามารถนั่งจิบกาแฟผ่อนคลาย ช่วงนี้มีมาหลายรายการ อาทิ 

  • รายการ Super Deal ที่กาแฟพันธุ์ไทย
  • Duo Deal ใน Coffee World 
  • มีโปรให้จอง Miracle Lounge กับ Coral Executive Lounge ฟรีผ่านแอป AOT Airports 
  • ใช้บริการ AOT Limousine ได้ส่วนลด 15% 

แนะนำบัตรนี้กันหน่อย PT MAX CARD เป็นบัตรสะสมคะแนนสำหรับลูกค้าที่เติมน้ำมันจากปั๊ม PT แล้วนำไปแลกของรางวัลได้หลากสไตล์ บวกกับใช้สิทธิพิเศษที่ร้านค้า ซึ่งนอกจากในสนามบินแล้ว ยังมีร้านค้าพันธมิตรอื่น ๆ อีกมากมายหลายแห่ง ถ้าใครยังไม่มีบัตรนี้ สมัครผ่านแอป AOT Airports ไม่เสียค่าธรรมเนียม เผื่อไว้ใช้สิทธิ์เวลาเดินทาง ท่องเที่ยว 

ไปต่อที่บัตรเครดิตบ้าง มีมาจัดโปรที่สนามบินหลายธนาคารเหมือนกัน ไปรอขึ้นเครื่องอย่าลืมสำรวจกระเป๋าเงินว่ามีบัตรใบไหนพอจะใช้ได้ระหว่างเดินเล่น

 
 

บัตรเครดิต UOB จัดโปรโมชั่น UOB FLY WITH ME

เป็นโปรโมชั่นสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต UOB เดินเข้าแมคโดนัลด์รับเบอร์เกอร์พร้อมกับพายแสนอร่อยได้เลย ที่สาขาสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง (แมคสุวรรณภูมิอยู่บริเวณ Concourse D และ F ส่วนที่ดอนเมืองอยู่ชั้น 3) โปรนี้ยาวถึงมกราคม 2566

 
 

บัตรเครดิต Citibank ให้กินฟรี ๆ แบบอิ่มจุก ๆ

Citibank มีโปรกินฟรีที่สนามบินอีกแล้ว เมื่อ 2-3 ปีก่อนก็เคยมีมาแล้ว แต่สำหรับคราวนี้ Citibank ร่วมกับ Subway และ Coffee World สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองเฉพาะเที่ยวบินขาออกไปต่างประเทศ สามารถใช้ได้ทั้งบัตรเครดิต Citibank และบัตรกดเงินสด Ready Credit มาดูกันว่าจะได้อะไรบ้าง

  • Subway 

ฟรีชนิดที่เรียกว่าจุกกันเลยทีเดียว เพราะได้ Subway Classic พร้อมน้ำดื่ม มูลค่า 224 บาท

  • Coffee World

รับฟรีเครื่องดื่มเย็น หรือเครื่องดื่มปั่น ชื่นใจสุด ๆ ไปเลย 

ทั้ง Subway และ Coffee World สนามบินสุวรรณภูมิอยู่บริเวณ Concourse B และ Concourse F ส่วนที่ดอนเมืองอยู่บริเวณเที่ยวบินขาออกระหว่างประเทศ สำหรับโปรโมชั่นรายการนี้จัดถึงสิ้นปี 2565

 
 

โปรสนามบิน ของค่ายมือถือก็มีพร้อม ดังนี้ 

ฟ้าเปิดคราวนี้ AIS จัดโปรที่สนามบินให้อิ่มสบายท้องก่อนออก เดินทาง หรือจะเลือกนั่งพักผ่อนที่ห้องรับรองพิเศษก็ได้ สำหรับลูกค้าเซเรเนดทั้ง 3 ประเภท แพลทินัม โกลด์ และ เอมเมอรัลด์ สามารถเลือกรับสิทธิพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น

  • ส่วนลด Miracle Lounge 
  • โปรร่วมกับร้านค้าในสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง มีทั้งของว่างฟรีพร้อมเครื่องดื่มเย็น ๆ จาก Burger King, Bonchon, KohHopBar และ Imm Rice & Noodle 1 เลขหมายใช้ได้ 1 สิทธิ์ต่อ 1 เดือน สิ้นสุด ธ.ค. 65

ส่วนอีกร้านที่ไม่แวะไม่ได้เมื่อไปสนามบิน ก็เห็นจะเป็นที่นี่เลย King Power ไปดูโปรของเขากัน

 
 
  • King Power ครบรอบ 33 ปี Delights and Surprises 2022
  • พลาดไม่ได้สำหรับ Favorite Brand Fest ลดราคาสูงสุด 40% พร้อมของแจกมากมาย ถึงแค่สิ้นเดือนตุลาคม 2022
  • ช้อปออนไลน์แล้วไปรับของที่สนามบินก็มีจัดโปรมากมายหลายรายการ เช่น ได้คูปอง บัตรกำนัล และส่วนลด แต่ก่อนอื่นต้องดาวน์โหลดแอป King Power หรือแอด LINE Official @kingpower ก่อน โปรนี้หมดเขตตุลาคม 2022 เช่นกัน 
  • Click & Collect เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมของพี่คิง จัดถึงสิ้นปีนี้เลย
  • มีโปรแกรมผ่อน 0% กับธนาคารที่ร่วมรายการ อาทิ SCB Citibank K-Bank ฯลฯ ซื้อสินค้า 10,000 บาทขึ้นไป เลือกผ่อน 6 เดือน หรือซื้อสินค้า 15,000 บาท เลือกผ่อน 10 เดือน แบบนี้คงได้สอยสินค้าแบรนด์เนมกันเพลินแน่ ๆ 

ไปดูโปรบริการแท็กซี่รับส่งสนามบินกันบ้าง ดีกว่าขับรถไปแล้วต้องลุ้นหาที่จอดเอง

 
 
  • AIRASIA RIDE จัดโปรโมชั่นส่วนลดเรียกแท็กซี่ผ่านแอป airasia Super App
  • โปรแรก Airport Ride บริการจองแท็กซี่ล่วงหน้าได้ส่วนลด 50 บาท ใครที่จะ เดินทาง ไปสนามบินสุวรรณภูมิหรือดอนเมือง เรียกผ่านแอปพลิเคชัน สะดวกมาก 
  • โปรที่ 2 City Ride เรียกรถเพื่อเดินทางไปเที่ยวไหนก็ได้ทั่วเมือง ได้ส่วนลด 30 บาท 

เขาจัดโปรกันจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2565 รับเทศกาลท่องเที่ยวที่กำลังกลับมา รีบสมัครเป็นสมาชิก AIRASIA พร้อมดาวน์โหลด airasia Super App เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่นักเดินทางไม่ควรพลาด นอกจาก AIRASIA RIDE จองรถแท็กซี่แล้ว ยังมีแพลตฟอร์มจองเที่ยวบิน จองโรงแรมได้ด้วย หรือจะสั่งอาหารก็ยังได้ สมาชิกที่ทำรายการจองบริการต่าง ๆ จะได้รับคะแนนสะสมทุกรายการ เก็บคะแนนไว้ใช้แทนเงินสด คุ้มสุด ๆ 

 
 

ท่องเที่ยว อย่างไรให้ตัวปลิว ไร้สัมภาระ

จบเรื่องโปรไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ว่านักเดินทางที่สัมภาระเยอะ จะเที่ยวอย่างไรให้สนุกเต็มที่ สำหรับผู้ที่เดินทางท่องเที่ยว กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต ขอแนะนำ AIRPORTELs ผู้ดูแลสัมภาระที่ไว้ใจได้ ตามเราไปดูบริการของที่นี่กัน

บริการฝากกระเป๋า – สามารถฝากค้างคืนได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นของมีค่า สัมภาระหนัก ฝากไว้กับผู้ดูแลมือโปรแบบไม่ต้องห่วง เพราะเขามีการรับประกันความเสียหายและมีระบบรักษาความปลอดภัยในการดูแลกระเป๋าให้กับผู้มาใช้บริการ ช่วยให้การเดินทางทุกทริปคล่องตัวขึ้น สามารถใช้บริการได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง 03.00 น. โดยนักท่องเที่ยวสามารถฝากกระเป๋าเดินทางไว้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่ชั้น 2 ประตู 4

บริการส่งกระเป๋า – นอกจากรับฝากกระเป๋าแล้ว ยังมีบริการส่งกระเป๋าเดินทางพร้อมสัมภาระทุกอย่างให้ด้วย นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการส่งกระเป๋าไปที่สนามบิน หรือจะให้ส่งไปโรงแรมก็ได้ 

โปรโมชั่นในสนามบินก็เตรียมส่องไว้แล้ว ส่วนสัมภาระก็หมดกังวลเพราะมีผู้ดูแลให้ จะรออะไร รีบวางแผนแล้วออกเดินทางกันแบบตัวปลิวได้เลย

 
 

อ่านเพิ่มเติม

ที่มาข้อมูล

รีวิว เข้าเกาหลียังไงให้ผ่านตม.แน่นอน!!

กระแสปักหมุดเที่ยวตามรอยซีรีส์ดังจุดไฟให้ธุรกิจท่องเที่ยว ประเทศเกาหลีบูมต่อเนื่องนานหลายปี มีสถานที่ท่องเที่ยวดังมากมายที่สาวกซีรีส์เกาหลีโดยเแพาะสาว ๆ ฝันอยากไปสักครั้งถ่ายรูปปัง ๆ ลงอวดในโซเชียล แต่ระยะหลังชาวไทยจำนวนมากไปเที่ยวแล้วไม่กลับประเทศ หลบหนีเป็นแรงงานผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่เกาหลีจึงเข้มงวดกับคนไทยกลัวไม่ได้ไปเที่ยวจริง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวฝ่าด่าน ตม.เกาหลียากยิ่งขึ้น

 
 

เข้าใจ กฎใหม่ และเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด

หลายปีที่ผ่านมาคนไทยจำนวนมากหลบหนีวีซ่าเข้าเมืองเพื่อลักลอบทำงานแบบผิดกฎหมายในเกาหลี หรือที่เรียกกันว่าผีน้อย สร้างความเดือดร้อนให้กับนักท่องเที่ยวตัวจริงที่ถูกด่านตรวจคนเข้าเมืองจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจาก ตม.เกาหลี เพิ่มมาตรการที่เข้มงวดกับคนไทยยิ่งขึ้น กลายเป็นว่าถ้าใครไม่เตรียมพร้อมให้อาจถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศทั้งที่วางแผนไปเที่ยวอย่างสบายใจ กลับเสียทั้งเงิน เสียเวลา หลายเสียงโอดครวญว่าประเทศเกาหลีเข้ายากเข้าเย็น แค่ทำตามกฎระเบียบอย่างชัดเจนไม่พออาจยังมีความเสี่ยงถูกปฏิเสธเข้าประเทศ จะทำอย่างไรให้ผ่านไฟเขียว ตม.เกาหลีได้ไปท่องเที่ยวสมกับความตั้งใจ เรารวมเคล็ดลับดี ๆ มาให้แล้ว ติดตามอ่านกันเลย

 
 

ไปเที่ยวเกาหลี เตรียมตัวอย่างไรให้ผ่านด่าน ตม. แน่นอน

เมื่อเรารู้กิติศัพท์ความโหดและสาเหตุที่ไม่ผ่าน ตม.เกาหลีมาบ้างแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเตรียมความพร้อมให้ดีและอุดช่องโหว่ที่เป็นปัญหาไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเจอด่านตรวจอย่างโหดแค่ไหนก็จะผ่านไปได้ฉลุย 

1.เตรียมเอกสาร สำคัญให้ครบถ้วน

วิธีการผ่านด่าน ตม.เกาหลีต้องเตรียมเอกสารให้ครบ ถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไปเที่ยวจริงๆ ทำให้ผ่านด่านตรวจได้ไม่ยาก เอกสารที่ลืมไม่ได้ มีดังนี้

  • ห้ามลืมพาสปอร์ตเด็ดขาด พาสปอร์ตไม่ใช่แค่หนังสือเดินทาง แต่เป็นตัวแทนของบัตรประชาชนเพื่อระบุตัวตน ถ้ารูปหน้าบนพาสสปอร์ตไม่ตรงกับหน้าปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ไม่ค่อยแน่ใจก็อาจเข้าประเทศไม่ได้หรือซักถามวุ่นวาย ไม่ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปง่าย ๆ ไม่อยากมีปัญหาติดขัดควรพกพาสปอร์ตเล่มเก่าติดไปด้วย ในกรณีที่เพิ่งเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกอาจถูกสงสัยได้ง่าย ควรเตรียมเอกสารที่ช่วยยืนยันตัวตนให้ได้มากที่สุด เช่น ใบรับรองการทำงาน ใบรับรองการเป็นนักศึกษา เป็นต้น
  • เอกสารจองตั๋วเครื่องบินทั้งขาไปและขากลับ เพื่อให้เจ้าหน้าที่รู้ว่าเดินทางมาไฟล์ไหนและจะบินกลับวันไหน ใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่ามาเที่ยวตามตารางในทริปเป็นวิธียืนยันว่ามีแผนบินกลับประเทศแน่นอน 
  • ใบจองโรงแรมที่พัก ทำตารางการท่องเที่ยวพร้อมแนบใบจองที่พักมาให้ครบในรูปของอีเมลตอบรับ หรือแคปหน้าจอจากหน้าเว็บไซต์จองที่พักก็ได้ ข้อมูลระบุวันที่เข้าพักและวันที่เช็คเอาท์เพื่อให้ตรวจสอบว่ามาเที่ยวกี่วัน ตรงกับเที่ยวบินกลับหรือไม่ หากสามารถขอเอกสารยืนยันการเข้าพักจากโรงแรมมาด้วย จะเป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบและตามตัวในกรณีที่เกิดปัญหา ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือและมีส่วนช่วยให้ผ่าน ตม. เกาหลีง่ายขึ้น
  • เอกสารรับรองการทำงานหรือเป็นนักศึกษาเป็นภาษาอังกฤษ เตรียมเอกสารเช่น ใบรับรองการทำงาน ใบรับรองเงินเดือน ใบลางานที่ระบุวันลาตรงกับแผนการเดินทาง นามบัตรหรือบัตรพนักงาน ถ้าเป็นนักศึกษาควรใช้ใบรับรองการเป็นนักเรียนนักศึกษา หรือพกบัตรนักศึกษาติดตัวไปด้วย 
  • เตรียมแลกเงินไปให้เพียงพอ การไปเที่ยวต่างประเทศย่อมมีเรื่องค่าใช้จ่าย เตรียมแลกเงินสกุลนั้นไปให้เพียงพอตลอดทริป ควรมีเงินสำรองไว้หากใช้จ่ายเผื่อช้อปปิ้งของถูกใจ เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน หรือมีบัตรที่สามารถใช้จ่ายในต่างประเทศได้ หรือมีเงินไทยรองรับในบัญชีเพื่อใช้บัตรเดบิตแลกเงินสกุลอื่นแบบออนไลน์ การมีหลักฐานทางการเงินที่ดีจะให้ความมั่นใจกับเจ้าหน้าที่ว่าไม่ได้ไปตัวเปล่าเพื่อวางแผนเป็นผีน้อยทำงานผิดกฎหมายในเกาหลี
 
 

2.วิธีเตรียมตัวและตอบคำถาม ที่คุณควรรู้

นอกเหนือจากบรรดาเอกสารสำคัญที่ลืมไม่ได้แล้ว ยังมีเรื่องการสุ่มถามจาก ตม. เกาหลี เนื่องจากความเข้มงวดของ กฎใหม่ทำให้เจ้าหน้าที่ตั้งข้อสงสัยมากขึ้นและเพ่งเล็งนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นพิเศษ ควรเตรียมคำตอบดี ๆ ไว้ล่วงหน้าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้มากที่สุด ดังนี้

  • กรณีที่เปิดเล่มพาสปอร์ตมาใหม่ ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศมาก่อน หรือเพิ่งต่อพาสปอร์ตมาหมาด ๆ ต้องเตรียมตอบคำถามว่าทำไมถึงเดินทางไปเกาหลี มีแผนทำอะไร จะพักที่ไหน ไปที่ไหนบ้าง ควรท่องโปรแกรมทัวร์ให้คล่องแคล่ว อย่างน้อยที่สุดควรตอบได้ว่าจะเดินทางไปเมืองไหน จุดสำคัญบริเวณที่เที่ยวและที่พัก หรือทำแผนเที่ยวอย่างละเอียดพิมพ์ออกมาแล้วพกติดตัวไว้เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าเป็นทริปท่องเที่ยวจริง ไม่มีเหตุผลอื่นแอบแฝง
  • ระยะเวลาเดินทางนานผิดปกติ สำหรับคนที่มาเกาหลีโดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยว สามารถอยู่ได้นานถึง 90 วัน หากไม่มีเอกสารใบรับรองอาชีพเพราะทำธุรกิจค้าขายส่วนตัว เป็นเกษตรกร หรือทำงานอิสระ พูดได้ว่าไม่มีเอกสารระบุตัวตนเพิ่มเติม อาจถูกสงสัยว่าเข้าประเทศโดยมีเหตุผลอื่นแอบแฝง ยิ่งต้องเขียนแผนการเดินทางที่ชัดเจนและรัดกุม จะไปเที่ยวที่ไหน พักที่ไหน และทำอะไรบ้าง ระหว่างที่อยู่ในเกาหลีจะสามารถตามหาตัวได้ที่ไหน หากไม่มีข้อมูลหรือหลักฐานชัดเจน อาจเสี่ยงติด ตม.เกาหลี และถูกส่งตัวกลับเพราะเข้าข่ายต้องสงสัยว่าเข้าประเทศมาเพื่อลักลอบทำงานผิดกฎหมาย
  • ปัญหาเรื่องภาษาสื่อสารกันไม่เข้าใจ หากไม่ชำนาญภาษาอังกฤษ ไม่รู้ภาษาเกาหลี การไปเที่ยวเองอาจทุลักทุเลเกิดปัญหาได้ตลอดเวลา ในกรณีที่ติดขัดเรื่องเอกสาร กรอกข้อมูลผิด พอสื่อสารพูดคุยได้รู้เรื่องแต่ไม่สามารถอธิบายรายละเอียดกับเจ้าหน้าที่ ตม. ให้เข้าใจได้อาจเกิดความยุ่งยากมากขึ้น แนะนำให้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตากับกรุ๊ปทัวร์ที่มีคุณภาพจะช่วยลดปัญหากับ ตม. ได้ในระดับหนึ่ง
  • แต่งกายให้เหมาะสม การแต่งกายให้สุภาพและมีพฤติกรรมเรียบร้อยแสดงให้เห็นความน่าเชื่อถือ เลือกชุดเสื้อผ้าเหมาะสมกับสภาพอากาศในช่วงที่เดินทาง แสดงให้เห็นว่าเตรียมตัวมาพร้อมสำหรับการท่องเที่ยวใน ประเทศเกาหลีบวกกับความน่าเชื่อถือของเอกสาร หากเกิดปัญหาต้องตั้งสติให้ดีและตอบคำถามอย่างมั่นใจ ไม่มีพิรุธตอบอึกอักหรือหลบสายตา เตรียมตัวมาดีอย่างนี้ผ่านด่านฉลุยไม่ต้องกังวลว่าจะสอบตก คุณได้ไปต่อแน่นอน
 
 

เนื่องจากการตรวจสอบที่เข้มข้นทางประเทศเกาหลี แม้แต่กระเป๋าเดินทางก็ต้องเลือกอย่างพิถีพิถัน กระเป๋าใบใหญ่ไปหรือหลายใบเกินไปอาจเป็นเป้าสายตาสะดุดทำให้เจ้าหน้าที่ ตม.เกาหลีสงสัยได้เช่นกัน กรณีที่เราอยากไปเที่ยวแบบสบาย ๆ จัดเตรียมกระเป๋าเดินให้พอเหมาะดีที่สุด ไม่ต้องการแบกกระเป๋าหนัก ๆ ออกจากบ้าน สามารถใช้บริการขนส่งกระเป๋าจากบ้านไปสนามบินหรือต้องการฝากสัมภาระอย่างปลอดภัย จองผ่านเว็บไซต์สะดวกตลอด 24 ชั่วโมง ติดต่อได้ที่ https://th.airportels.asia/

 

ที่มาข้อมูล : 

เที่ยวสิงค์โปร 2565 ถ่ายรูปสวยๆที่ไหนดี จุดเช็คอินล่าสุด

สิงค์โปรเป็นจุดหมายปลายทางที่คนไทยนิยมเดินทางไป เที่ยวต่างประเทศ เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวสวยงามมากมาย ตะลุยแหล่งชิมแหล่งช้อป เที่ยวสนุกสไตล์ตอบโจทย์ครบถ้วนทุกความพึงพอใจ แม้จะเป็นประเทศบนเกาะเล็กๆ แต่อุดมด้วยธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมที่หลอมรวมกับความทันสมัยได้อย่างลงตัว ถ้าถามนักท่องเที่ยวมือใหม่ถึงประสบการณ์เที่ยวสิงคโปร์ เชื่อว่าหลายคนไม่ทราบว่ามีจุดเช็คอินทีเด็ดแอบซ่อนไว้มากมายอย่างเหลือเชื่อ หากมีโอกาสไปเยือนสักครั้งคุณจะพบมุมมองใหม่ๆ แตกต่างจากที่เคยคิด

 
https://www.tiktok.com/@airportels/video/7153520979732401435?is_copy_url=1&is_from_webapp=v1
 

จุดเช็คอิน น่าสนใจที่เลือกมาแนะนำ 9 แห่ง มีดังนี้

1. Library @ Orchard 

ไปสิงคโปร์ไปเที่ยมชมห้องสมุดกัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าห้องสมุดกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่ชิลมาก ด้วยไอเดียการจัดผังห้องสมุดอย่างเก๋ไก๋ มีมุมนั่งอ่านกระจายไปทั่ว บรรยากาศเงียบสงบมองออกไปชมวิวสวนสาธารณะ เปิดให้ชาวสิงคโปร์เข้าไปใช้บริการฟรี ทุกรายการที่ค้นหา ยืม หรือคืนหนังสือเป็นระบบดิจิตอลทั้งหมด ห้องสมุดแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 สถานที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง บริเวณชั้น 3 และ ชั้น 4 ในห้างสรรพสินค้า Orchard Gateway Shopping ซึ่งปกติเป็นย่านช้อปปิ้งชื่อดัง หลังจากปิดปรับปรุงช่วงปี พ.ศ. 2550 แล้วกลับมาเปิดใหม่ได้อัปเกรดเป็นห้องสมุดแนวบูติคสุดล้ำแตกต่างจากห้องสมุดธรรมดา กลายเป็นไวรอลที่นักท่องเที่ยวปักหมุดไว้ต้องไม่พลาดมาเยือนพร้อมถ่ายรูปสวยๆ กลับไป พื้นที่ข้างในไม่ใหญ่มากแต่ข้างในมีมุมสวยๆ หลายมุม อยากถ่ายรูปก็สามารถทำได้ หากไม่อยากถ่ายรูปที่ติดคนเยอะ ควรแวะเข้าไปช่วงเช้าที่ยังไม่ค่อยมีคน 

เวลาทำการ : เปิดทุกวัน 11.00–21.00 น.
การเดินทาง : ลงสถานี MRT Somerset เดินมาที่ Orchard Gateway ชั้น 3

 
 

2. Potato Head Singapore

ร้านอาหารและรูฟท็อปบาร์บรรยากาศสบายๆ ชื่อ Potato Head เป็นอาคารเก่าแก่ตั้งอยู่ในย่านไชน่าทาวน์ของสิงคโปร์ ลักษณะเป็นตึกสีครีมขอบแดง 3 ชั้น ชั้นล่างสุดเป็นร้านเบอร์เกอร์ ถัดไปอีกชั้นก็เป็นที่นั่งเหมือนกัน และรูฟท็อปค็อกเทลบาร์บนดาดฟ้าที่ควรจองที่นั่งล่วงหน้าในวันหยุดสุดสัปดาห์ การตกแต่งร้านสไตล์คลาสสิกย้อนยุคแต่งโคมไฟระย้าให้แสงนวลอบอุ่นและกระเบื้องพื้นลายตารางหมากรุก พนักงานเป็นกันเองและบริการทันสมัยสแกน QR code บนโต๊ะดูเมนูออนไลน์สั่งค็อกเทลสไตล์ทรอปิคอลที่มีส่วนผสมของน้ำผลไม้รสเปรี้ยวอย่างมะนาว สับปะรด และเสาวรส  เนื่องจากตัวอาการตั้งเด่นอยู่กลางสามแยกบนถนน Keong Saik จึงถือเป็นแลนด์มาร์ค สถานที่ถ่ายรูปที่ไม่ว่าใครมาเที่ยวเป็นต้องถ่ายเก็บช็อตตึกนี้ลงโซเชียลกันแทบทุกคน 

เวลาทำการ : วันจันทร์ถึงพฤหัสบดีเปิด 17.00-24.00 น. วันศุกร์ถึงอาทิตย์เปิด 16.00-24.00 น.
การเดินทาง : ลงที่สถานี China Town ประตู C เดินประมาณ 10 นาทีถึง

 
 

3.Buddha Tooth Relic Temple

วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว หรือเรียกว่าวัดเขี้ยวแก้ว เป็นวัดสำคัญของชาวสิงคโปร์อยู่ใกล้ย่านไชน่าทาวน์ เป็นสถานที่ประดิษฐานของพระทันตธาตุ หรือฟันของพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ ใครไปเที่ยวชมวัดต้องแต่งกายเรียบร้อย หลีกเลี่ยงสายเดี่ยว เสื้อแขนกุด กางเกงขาสั้น แต่ทางวัดแจกผ้าถุงให้ยืมฟรีเพื่อนักท่องเที่ยวไปแล้วก็ไม่อยากให้เสียเที่ยว ลักษณะอาคารสถาปัตยกรรมเป็นวัดพุทธของจีนในสมัยราชวงศ์ถังผสมผสานกับศิลปะมันดาลา สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2550 ด้วยเงินทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ตัวอาคารมีทั้งหมด 9 ชั้น ชั้น 1 เป็นที่ประดิษฐานของพระประทานพร ชั้น 2 และ 3 เป็นส่วนพิพิธภัณฑ์จัดแสดงพระพุทธรูปและสิ่งล้ำค่าต่างๆ ห้องสมุด และร้านขายของฝากของที่ระลึก บริเวณชั้น 4 เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในสถูปใหญ่ และระฆังยักษ์ ชาวพุทธบางคนมานั่งสมาธิ สวดมนต์ บ้างก็เดินเวียนเทียนรอบๆ ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล คนไทยสายบุญไปเที่ยวสิงคโปร์ต้องไปกราบขอพรกันให้ได้ ชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้ามีสวนหย่อมเล็กๆ ให้พักผ่อนหลังจากเดินเที่ยวชมทั้งอาคารใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

เวลาทำการ : ทุกวันเวลา 9:00 – 18:00 น.
การเดินทาง : สถานี Chinatown ทางออก A

 
 

4. Fort Canning Park Tree Tunnel

จุดถ่ายรูปยอดฮิตอีกแห่งของเหล่าฮิปสเตอร์ บริเวณอุโมงค์ต้นไม้สีเขียวใจกลางเมืองที่สวนสาธารณะฟอร์ทแคนนิง (Fort Canning Park) ซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของสิงคโปร์ การเดินทางไปสวนสาธารณะไม่ไกลจากตึก Park Mall ที่สถานีรถไฟฟ้า Dhoby Ghaut MRT Station โดยจุดเช็คอินนี้มีนักท่องเที่ยวมาเช็คอินถ่ายรูปกันเต็มไปหมด ถือเป็นแหล่งถ่ายรูปพรีเวดดิ้งที่ได้รับความนิยมด้วย คนถ่ายรูปต้องอยู่ด้านล่างแล้วถ่ายมุมเสยขึ้นไปเพื่อเก็บภาพอุโมงค์และต้นไม้ด้านบน หรือจะถ่ายบันไดวนจากด้านบนลงมาด้านล่างก็ได้มุมแปลกตาอีกแบบ แนะนำให้ไปตอนเช้าไม่ค่อยมีคนจึงจะลองหามุมถ่ายสวยได้หลายแบบโดยไม่มีคนอื่นมายืนให้เกะกะ บริเวณใกล้เคียงมีอุทยานและพิพิธภัณฑ์ชื่อดังของสิงคโปร์ ถ้าได้ไปแล้วอย่าให้เสียเที่ยว แวะไปถ่ายรูปอุโมงค์ต้นไม้สักแป๊บก็แล้วกัน

อุโมงค์ต้นไม้ Fort Canning Park
การเดินทาง : MRT มาลงสถานี Dhoby Ghaut ออก Exit B

 
 

5. Garden by the bay

สวนพฤกษศาสตร์ใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ เป็นโครงการสร้างสร้างปอดใจกลางเมืองโดยการถมดินบนทะเลริมอ่าวมารีน่าเป็นพื้นดินปลูกต้นไม้นานาชนิด แบ่งเป็นโซนเรือนต้นไม้ และโซนป่าและน้ำตกจำลอง มีทางเดินลอยฟ้ามองออกไปเห็นทัศนียภาพของสวนแนวตั้งและวิวอ่าวรอบๆ โซนสวนแนวตั้งเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ทำเป็นรูปต้นไม้ยักษณ์เรียกว่า Supertrees จำนวน 18 ต้น มีความสูงหลากหลายตั้งแต่ 25-50 เมตร เพื่อใช้ปลูกพืชเมืองร้อนเป็นไม้ดอกไม้ประดับและเฟิร์นให้ความร่มรื่นเขียวขจีในตอนกลางวัน ด้านบนติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อให้พลังงานหลอดไฟส่องสว่างหลากสีสันในตอนกลางคืน ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ออกแบบเป็นพิเศษให้ความสดชื่นเย็นฉ่ำสมกับเป็นปอดใจกลางเมืองที่เปิดให้เข้าชมฟรีตลอดวัน และมีการแสดงแสดง สี เสียง ทุกค่ำคืนเป็นเวลา 1 ชั่วโมงด้วย

อย่าลืมลงมาดูโชว์แสง สี เสียง ที่ Garden Rhapsody นักท่องเที่ยวเค้ามาจองที่นั่งและนอนรอดูกัน วันมี 2 รอบ ระหว่าง 19:45 น. และ 20:45 น. ห้ามพลาดนะ
การเดินทาง : ให้นั่ง MRT มาลงสถานี Bayfront ทางออก B 

 
 

6. Capsule Pod Boutique Hostel

ที่พักแบบแคปซูลเป็น พิกัดถ่ายรูป2565ที่หลายคนอยากไปชมดูสักครั้งว่าบรรยากาศเป็นอย่างไร เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็กเกอร์ที่ต้องการเพียงห้องพักส่วนตัวเล็กๆ ใกล้แห่งช้อปปิ้งย่านถนน Haji Lane และถนน Arab Street มีห้องนอนพร้อมบุฟเฟต์อาหารเช้าทุกวันมีให้เลือกเป็นเซ็ท ลูกค้าใช้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย Wi-Fi ฟรี ส่วนห้องน้ำเป็นห้องรวมมีครบทั้งห้องอาบน้ำ สุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้าในห้องเดียว พร้อมผ้าเช็ดตัวและเครื่องใช้ในห้องน้ำให้ฟรี ในห้องพื้นที่กะทัดรัด เตียงและผ้านวม พร้อมช่องเก็บของ ช่องเสียบปลั๊กไฟ ไฟอ่านหนังสือ และราวแขวนผ้า ถ้าเป็นห้องแบบบิสซิเนสพ็อดจะมีบริการแล็ปท็อปให้ใช้งานฟรี พร้อมเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้าแห้ง สำหรับซักรีดแบบบริการตัวเอง ราคาค่าห้องถือว่าไม่แพงมาก ใครอยากสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ลองพักโรงแรมแนวแคปซูลที่นี่สักคืนก็ไม่เสียหายอะไร

การเดินทาง : สถานี Chinatown

 
 

7. Capita Spring

พูดถึง จุดเช็คอินถ่ายรูปชมวิวโด่งดังที่สุดในสิงคโปร์ คงหนีไม่พ้นเมอร์ไลออน รูปปั้นกึ่งสิงโตกึ่งปลา ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสิงคโปร์บริเวณ Merlion Park ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ซึ่งเราเคยผ่านตากันมาแล้ว แต่นักท่องเที่ยวมือใหม่อาจไม่ทราบว่าใกล้ๆ กันมีจุดชมวิวน่าสนใจอีกแห่ง คือสวนลอยฟ้า (Sky Garden) อยู่ชั้น 51 ของตึก  Capita Spring ซึ่งเป็นอาคารที่ตั้งออฟฟิศ ที่พักอาศัย และร้านอาหารของบริษัท CapitaLand Development สำหรับสวนลอยฟ้าเป็นโซนที่เปิดให้คนนอกเดินขึ้นไปชมวิวและถ่ายรูปได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย เปิดเฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ภายในเวลาทำการของออฟฟิศ โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลาคือ รอบเช้า 8:30 – 10:30 น. และรอบบ่าย 14:30 – 18:00 น. เมื่อขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกสูงแล้วมองออกไปจะเห็นท้องฟ้าสวยและวิวทะเลของอ่าวมารีน่าทั้งหมด ถือเป็นจุดชมวิวดีที่สุดแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ นอกจากวิวบนสวนลอยฟ้าชั้น 51 แล้ว  ยังมีโซน Green Oasis ระหว่างชั้น 17-20 ที่จัดแต่งเป็นสวนภายในตึกให้เดินเล่นรอบๆ จัดมุมนั่งชิลๆ ชมเมืองได้ 360 องศาเช่นกัน

เวลาเปิดปิด : Green Oasis วันจันทร์-ศุกร์ – ชั้น Level 17 : 7:30–22.30 น. / ชั้น Levels 18–20 : 7:30–18.00 น.
เวลาเปิดปิด : Sky Garden วันจันทร์-ศุกร์ – ชั้น Level 51 : 7:30–22.30 น.
การเดินทาง : อยู่ใกล้สถานี MRT Raffles Place เดิน 5 นาที

 
 

8.Marina One

จุดถ่ายรูปที่ไม่ควรพลาดในทริปเที่ยวสิงคโปร์คือสวนในตึกซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูสย่าน Marina Bay มีดีไซน์สถาปัตยกรรมล้ำเลิศมาก มองจากด้านนอกเห็นเป็นอาคารสี่เหลี่ยมขนานกับถนน แต่ออกแบบใจกลางอาคารเป็นสวนแนวดิ่งสร้างพื้นสีเขียวที่ร่มรื่น ทางเดินในสวนและแนวกันสาดเป็นเส้นคดโค้งรูปทรงอิสระ ไฮไลท์เป็นน้ำตกจำลองสูงถึง 13 เมตร ถ่ายรูปสวยๆ ได้หลายมุม ถือเป็นต้นแบบของงานภูมิสถาปัตยกรรมที่ผสานกับสถาปัตยกรรมอย่างกลมกลืน สร้างปอดใจกลางเมืองที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในย่านธุรกิจของสิงคโปร์ได้อย่างเหลือเชื่อ

เวลาทำการ : เปิดทุกวัน 24 ชม.
การเดินทาง :
ลงสถานี MRT Marina One เดิน 5 นาที

 
 

9. Ministry of Communications & Information

อาคารยอดฮิตที่ใครผ่านก็ต้องขอถ่ายรูปสักหน่อย แต่ใครจะไปคิดว่าที่นี่ คืออดีตอาคารกองบัญชาการตำรวจแห่ง สิงค์โปร แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นอาคารกระทรวงวัฒนธรรมชุมชนและเยาวชนเป็นที่เรียบร้อย ความโดดเด่นของตึกก็อยู่ที่สีสันของหน้าต่าง ที่ไล่สีทำให้ดูน่ารัก จำนวน 927 บานไล่โทนไปมาเป็นสีรุ้ง ตัวอาคารมีทั้งหมด 6 ชั้น ในทุกๆชั้นจะมีหน้าต่างเรียงรายในขนาดและรูปทรงเท่าๆกันจำนวน 927 บานด้วยกัน และทำเป็นโซนสีสันที่ตัดกันเป็นสีรุ้งซึ่งทำให้ตึกนี้กลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งหนึ่งในย่านคลาร์กคีย์(Clarke quay)ไปเลย หน้าต่างที่เป็นสีรุ้งสวยงาม ที่มีมากถึง 927 หน้าต่างเลยค่ะ

การเดินทาง : นั่งMRT มาลงสถานี Clarke Quay ออก Exit B

 
 

สิงค์โปรเป็นประเทศที่ใกล้บ้านเรา เดินทางง่าย  ใครอยากไปเที่ยวควรเช็คแพ็คเกจโปรแกรมทัวร์กันให้ดี มีแลนด์มาร์กที่น่าสนใจอีกมาก อย่างที่รู้กันว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีความหลากหลาย จุดปักหมุดโดดเด่นที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันตลอด เช่น มัสยิดสุลต่านสีทองที่สวยงามและมีอายุเกือบ 200 ปี ตั้งอยู่ในย่าน Bugis เป็นชุมชนของหลายเชื้อชาติ ทั้งมุสลิม อินเดีย และมลายู ถัดจากมัสยินสุลต่านเดินไปตาม Arab street เข้าสู่ย่าน Haji lane ซึ่งเป็นแหล่งรวมสตรีทอาร์ตและ Grafity ที่เหมาะกับการถ่ายรูปสุดคิ้วท์อวดในโซเชียล อ่านมาถึงตรงนี้คงมองเห็นภาพแล้วสิงคโปร์เป็นจุดหมายปลายทาง เที่ยวต่างประเทศที่ไปเยือนครั้งเดียวไม่เคยพอจริงๆ 

 

ที่มาข้อมูล :