รวมสถานที่ทำพาสปอร์ตในกรุงเทพฯ อัปเดต 2565 เตรียมตัวบิน!!

 

ได้เวลาโบยบินอีกครั้ง อยู่กรุงเทพฯ นานคงเริ่มคิดถึงที่เที่ยวสวย ๆ กันแล้ว ตอนนี้หลายคนวางแผนจัดทริปฉลองโควิดขาลง สำหรับใครที่กำลังเล็งเป้าหมายไป เที่ยวต่างประเทศ สิ่งแรกที่ต้องพร้อม ไม่มีไม่ได้ นี่เลย พาสปอร์ต ใครที่เคยทำพาสปอร์ตไว้ รีบหยิบมาเช็คด่วน ๆ ต้องต่อหรือยัง ส่วนใครที่ยังไม่เคยทำ เตรียมตัวได้แล้ว ถึงเวลาบินจะได้ไม่ฉุกละหุก

ว่าแต่ คนกรุงเทพฯ ต้องไปทำพาสปอร์ตที่ไหน ใกล้บ้านเรามีที่ทำบ้างหรือยัง เรามาอัพเดท สถานที่ทำพาสปอร์ต ในกรุงเทพฯกันที่เลย

 

บริการทำพาสปอร์ตที่เปิดทุกวันไม่เว้นเสาร์-อาทิตย์ (เริ่ม 1 ตุลาคม 2565)

  • สำนักงานหนังสือเดินทางปทุมวัน MBK Center ชั้น 5โซน A  

เปิด 10.00 – 18.00 น. โทร 02-126-7612

  • สำนักงานหนังสือเดินทางบางใหญ่ Central Westgate ชั้น G โซนสีเขียว                          

เปิด 10.00 – 18.00 น.

สองแห่งนี้ เปิดให้จองคิวออนไลน์ล่วงหน้าที่ MBK รับวันละ 1,500 คิว ส่วน Central Westgate รับวันละ 800 คิว เปิดบริการทุกวันยกเว้นวันหยุดราชการและวันเสาร์-อาทิตย์ที่เป็น Long Weekend เหมาะกับผู้ที่ต้องทำงานในวันธรรมดาและไม่มีเวลา 

 

บริการทำพาสปอร์ตที่เปิดวันจันทร์ – วันศุกร์

  • กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ ถ.แจ้งวัฒนะ                              

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทร 02-203-5000 กด 1 

  • สำนักงานหนังสือเดินทาง ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถนนแจ้งวัฒนะ ชั้น 7 อาคาร B ฝั่งตะวันออก          

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทร 02-143-7680

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว บางนา – ศรีนครินทร์ ที่ศูนย์การค้าธัญญาพาร์ค ชั้น 1 โซน C       

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทรศัพท์ 02-136-3800, 02-136-3802, 093-010-5246

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว สายใต้ใหม่ – ตลิ่งชัน อยู่ที่อาคาร SC Plaza สายใต้ใหม่ ถนนบรมราชชนนี 

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทรศัพท์ 02-422-3431

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว มีนบุรี ที่ Big C สุวินทวงศ์ 

เปิด 8.30 – 16.30 น.  โทรศัพท์ 02-024-8362-64

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว สถานีรถไฟฟ้า MRT คลองเตย ถนนพระราม 4         

เปิด 8.30 – 16.30 น.  โทรศัพท์ 02-024-889, 093-010-5247

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ธัญบุรี ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ชั้น 3     

 เปิด 10.00 – 18.00 น. โทรศัพท์ 02-150-9002

 
 

รวมทั้งหมด 9 แห่งสำหรับ สถานที่ทำพาสปอร์ต ในกรุงเทพฯ เลือกสถานที่ใกล้บ้าน หรือที่สะดวกกันได้ตามนี้ สามารถโทรถามรายละเอียดกันอีกครั้งตามเบอร์ที่ให้ไว้หรือโทร Call Center กงสุล 02-572-8442

สำหรับใครที่จำเป็นต้องทำพาสปอร์ตแบบด่วนพิเศษ สามารถทำได้ทุกแห่ง แต่เขาเปิดให้ทำพาสปอร์ตด่วนถึง 11.00 น.เท่านั้น การจะทำพาสปอร์ตให้รวดเร็ว ทางกรมการกงสุลได้เปิดให้มีระบบจองคิวออนไลน์ล่วงหน้าที่ เว็บไซต์ www.qpassport.in.th  

 

ขั้นตอนการลงทะเบียน

  1. เข้าไปที่หน้าลงทะเบียนสมัครสมาชิก
  2. กรอกข้อมูลส่วนบุคคลให้ครบ จะได้รับลิงก์ยืนยันทางอีเมล์
  3. เข้าอีเมล์ไปกดลิงค์ยืนยัน
  4. กลับเข้าเว็บไซต์อีกครั้ง กรอกอีเมล์และใส่รหัสยืนยันตัวตน
  5. เริ่มใช้งานได้ เลือกจองคิวสถานที่ที่สะดวกที่สุด
 
 

ถ้าไม่ได้จองคิวในเว็บไซต์ จะ Walk-in เข้าไปเลยได้ไหม

สามารถ Walk-in ไปรับบัตรคิวที่สำนักงานแต่ละแห่งได้ตามปกติ สำหรับสำนักงานบริการที่ MBK และ Central Westgate จะมีเครื่อง Kiosk ติดตั้งไว้ทำพาสปอร์ตอัตโนมัติด้วย เรามาดูกันว่า Kiosk นี้ทำอะไรได้บ้าง

 

ทำพาสปอร์ตด้วยเครื่องอัตโนมัติ (KIOSK)

วันที่ไปทำพาสปอร์ตอย่าลืมเตรียมบัตรประชาชนตัวจริงให้พร้อม และถ้าเป็นการต่ออายุ ก็ต้องนำพาสปอร์ตเล่มเดิมไปด้วย มีบางคนทำไว้นานแล้วไม่ได้ใช้เลยหาไม่เจอ แบบนี้ต้องมีใบแจ้งความไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ ยังมีเอกสารอื่นที่ต้องใช้สำหรับบางกรณี คือ

  • ถ้าเปลี่ยนชื่อ ต้องนำหลักฐานการเปลี่ยนแปลงชื่อ นามสกุล
  • สำหรับผู้ที่อายุไม่ถึง 20 ปี จะต้องมีบัตรประชาชนของคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครอง และถ้าอายุไม่ถึง 15 ปี ต้องนำสูติบัตรตัวจริงไปด้วย

ที่สำคัญ คือทำพาสปอร์ตแบบคีออสเลือกรูปไม่ได้แต่ถ่ายได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ใครไม่พอใจก็ถ่ายใหม่ได้เรื่อยๆ ถ่ายเสร็จก็โอนเงินผ่าน QR CODE ได้เลย สะดวกรวดเร็ว

 

ต่อไปเรามาเช็คค่าธรรมเนียมการทำพาสปอร์ตกันว่า แต่ละแบบมีค่าใช้จ่ายเท่าไร

ค่าธรรมเนียมทำพาสปอร์ตแบบธรรมดา

ประเภท 5 ปี ค่าธรรมเนียม 1,000 บาท และประเภท 10 ปี 1,500 บาท

ค่าธรรมเนียมทำพาสปอร์ตแบบด่วนพิเศษ 

ประเภท 5 ปี ค่าธรรมเนียม 3,000 บาท และประเภท 10 ปี 3,500 บาท

ทั้งสองแบบมีค่าจัดส่ง EMS 40 บาท 

ความจริงแล้ว การทำพาสปอร์ตแบบธรรมดาใช้เวลาไม่นาน พื้นที่จัดส่งในต่างจังหวัดจะได้รับเล่มภายในไม่เกิน 1 สัปดาห์ ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ แค่ 3 วันก็ได้รับแล้ว ยกเว้นว่าที่อยู่ไม่สมบูรณ์ หรือไม่มีผู้รับ และไปรษณีย์ตีกลับ ก็อาจจะต้องเสียเวลาไปรับเอง หรือติดต่อชำระค่าจัดส่งเพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งใหม่อีกครั้ง หากวางแผน ท่องเที่ยว ล่วงหน้าเป็นอย่างดีแล้ว อย่างไรก็ทัน ไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมแพงทำด่วนพิเศษ ยกเว้นว่าต้องเดินทางกะทันหันจริง ๆ 

 

ต้องการไปรับพาสปอร์ตเองต้องไปที่ไหน

สามารถเดินทางไปรับได้ที่กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ เปิดให้รับได้เฉพาะช่วงเวลา 14.30 – 16.30 น. โดยนำใบรับฉบับจริง พร้อมบัตรประชาชนไปแสดง ถ้าให้คนอื่นไปรับแทน เพิ่มเอกสารอีก 2 อย่างคือ ใบรับที่ระบุการมอบอำนาจ และบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ

ครบจบเรื่องการทำพาสปอร์ตไปแล้ว ใครที่มีประเทศในใจและกำลังวางแผนเดินทางอยู่ ขอให้ทุกอย่างราบรื่นและสนุกกับการ ท่องเที่ยว ครั้งใหม่แบบสุด ๆ ไปเลย

 
 

ที่มาข้อมูล:

เดินทางบ่อยต้องอ่าน! สิ่งของที่ควรห่อก่อนเดินทาง

ใครที่เดินทางบ่อย ๆ อาจจะเคยมีประสบการณ์ที่เลวร้ายแบบไม่อยากให้เจออีกเลยไม่ว่าจะเป็นการเดินทางทริปไหนก็ตาม นั่นก็คือ ความเสียหายของสัมภาระหรือกระเป๋าที่ใช้แพ็กสัมภาระในการเดินทางนั่นเอง ซึ่งใครที่เดินทางบ่อยอาจจะทราบอยู่แล้วว่า สิ่งไหนที่มีโอกาสหรือเสี่ยงที่จะเสียหาย แต่สำหรับนักเดินทางมือใหม่ วันนี้เราจะพาคุณมาเปิดคัมภีร์สำหรับนักเดินทางว่าในกระเป๋าสัมภาระของคุณมีสิ่งไหนที่เป็น สิ่งของที่ควรห่อ เป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการแตก หัก บุบ หรือเกิดความเสียหาย เพื่อให้การเดินทางของคุณนั้นราบรื่นและสนุกได้อย่างเต็มที่

1. กระเป๋าเดินทาง

สิ่งของที่ควรห่อ อย่างแรกเลยนั่นคือกระเป๋าสำหรับใส่สัมภาระนั่นเอง คุณลองนึกภาพกระเป๋าใบสวยที่คุณเลือกมากับมือ หมายมั่นปั้นฝันไว้ว่าจะใช้ให้ถึง 5 ปี 10 ปี แล้วเกิดเป็นรอยขีดข่วน หรือมีรอยบุบจากการกระแทกจนหมดสภาพ คุณจะทำใจรับได้ไหมกับเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าคุณทำใจไม่ได้ที่จะให้กระเป๋าของคุณเป็นรอย เสียหาย แตก บุบ แนะนำว่าให้ห่อก่อนการเดินทางดีที่สุด

สิ่งของที่ควรห่อ,อาหารกลิ่นฉุน

2. อาหารหรือของที่มีกลิ่นฉุน

คุณคงไม่อยากเปิดกระเป๋าออกมาแล้วพบว่าของที่อยู่ในกระเป๋ามีกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากของที่ตัวคุณเองเป็นคนใส่เข้าไป โดยที่ลืมนึกไปว่ามันมีกลิ่นที่ฉุนและรุนแรง ถ้าเป็นน้ำหอมคงไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นปลาเค็มหรืออาหารทะเลที่จะทำให้มีกลิ่นติดที่เสื้อผ้าแบบสลัดสะบัดอย่างไรก็ไม่มีทางหลุดออกไปได้ขึ้นมา รับรองว่าทริปนั้นคุณคงหมดความมั่นใจและหมดสนุกไปอย่างแน่นอน

สิ่งของที่ควรห่อ,ไดร์เป่าผม

3. ของที่อาจแตกได้ระหว่างเดินทาง

ของที่อาจจะแตกหรือมีรอย เช่น อุปกรณ์ในการออกกำลังกาย อุปกรณ์กีฬา หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จะช่วยอำนวยความสะดวกอย่าง ไดร์เป่าผม เครื่องหนีบผม ที่ถือเป็น สิ่งของที่ควรห่อ ที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป ถ้าคุณไม่อยากให้เครื่องไม้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ของคุณเสียหายระหว่างเดินทางล่ะก็ ห่อกันไว้ดีกว่า ถ้าไม่อยากเสียเงินซื้อใหม่

สิ่งของที่ควรห่อ,เครื่องสำอาง

4. เครื่องสำอาง

สิ่งที่สาว ๆ ทุกคนหวงแหนที่สุดนั่นก็คือเครื่องสำอาง เครื่องสำอางเป็น สิ่งของที่ควรห่อ อีกประเภทหนึ่ง เชื่อว่าคุณสาว ๆ ทุกคนคงเคยเจอเปิดกระเป๋าใส่เครื่องสำอางออกมาแล้วพบว่า แป้งในตลับแตก บลัชออนแตกหลุดออกมา หรือแม้แต่ตลับอายแชโดว์สีโปรดของคุณก็มีสิทธิ์โดนกระแทกได้ ดังนั้นควรห่อป้องกันไว้แต่ต้นจะดีกว่า หากแตกเสียหายไปแล้ว คุณอาจจะต้องเสียเงินซื้อเครื่องสำอางใหม่โดยใช่เหตุก็เป็นได้

สิ่งของที่ควรห่อ,ที่หนีบผม

5. ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นของเหลว

 ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นของเหลวนี้ หมายความรวมถึงของใช้ทุกชนิดที่อาจจะเกิดการรั่วไหลออกมาจากหลอดหรือขวดที่บรรจุ เช่น โลชั่น ครีมบำรุง แชมพู ครีมนวด เป็นต้น จนทำให้เสื้อผ้าของคุณเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ต้องมานั่งคอยแก้ปัญหา หรือต้องซักชุดใหม่ ถ้าไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ก็ห่อหรือแพ็กให้เรียบร้อยจะดีที่สุด

            สิ่งเหล่านี้เป็นเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สำคัญ หากคุณพลาดลืมห่อ อาจทำให้คุณหมดสนุกหรือต้องมานั่งเซ็งที่และมาคอยหาวิธีจัดการหรือแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอีก จนทำให้คุณหมดสนุกไปตลอดการเดินทางนั้นก็เป็นได้

วางแผน ท่องเที่ยวกรุงเทพ อย่างไรดีให้คุ้ม!

กรุงเทพฯ เป็นศูนย์รวมความหลากหลายของวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับการจับจองพื้นที่เพื่ออยู่อาศัยของคนที่มีเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไปตั้งแต่อดีต จนเกิดเป็นชุมชนที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวของแต่ละพื้นที่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างมากทั้งคนไทยและต่างชาติ ยิ่งเป็นพื้นที่ ๆ สามารถเดินทางได้สะดวก มีสถาปัตยกรรมและอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ ก็ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจและมีผู้ต้องการไปเที่ยวมากขึ้น มาดูกันว่าจะมีวิธีใดบ้างที่จะช่วยให้การ “ท่องเที่ยวกรุงเทพ” สนุกและคุ้มค่าได้ตลอดการเดินทาง

วางแผนการท่องเที่ยว

การวางแผนเป็นสิ่งสำคัญในการทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง เนื่องจากจะทำให้เราสามารถคาดการณ์และเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ ในเรื่องการท่องเที่ยวก็เช่นกัน หากไม่มีแผนก็จะส่งผลให้ต้องใช้เวลาในการคิดและประมวลผลมากขึ้น ทำให้เสียเวลาเที่ยวไปโดยไม่รู้ตัวและบางทีอาจทำให้การเดินทางของเราหมดสนุกไปด้วย

ท่องเที่ยวกรุงเทพ

ดูเรื่องการเดินทาง

แต่ละสถานที่ก็มีการคมนาคมหลากหลายรูปแบบให้ประชาชนเลือกใช้และเข้าถึงได้สะดวกแตกต่างกัน เช่น ทางรถยนต์ รถไฟฟ้า รวมถึงเรือด้วย เราก็ควรดูว่าสถานที่ ท่องเที่ยวกรุงเทพ ที่ต้องการไปสามารถเดินทางได้แบบใดบ้าง และเลือกรูปแบบการเดินทางตามความต้องการ โดยเราขอแนะนำว่าหากไม่ต้องการเสียเวลากับการเดินทางมากเกินไปควรเลือก รถไฟฟ้าหรือเรือ เพราะมีเวลาที่ค่อนข้างแน่นอนและไม่ต้องเผชิญกับการจราจรบนท้องถนนที่คาดการณ์ได้ยาก

ท่องเที่ยวกรุงเทพ

เลือกที่พักใกล้สถานที่ที่ต้องการไป/เดินทางได้สะดวก

การเลือกที่พักใกล้จุดหมายปลายทางช่วยให้ประหยัดเวลาในเรื่องการเดินทางได้อย่างมาก ซึ่งบางทีก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงขึ้น แต่เมื่อเทียบกับการที่ต้องเดินทางด้วยความเร่งรีบแล้ววิธีนี้คุ้มกว่าแน่นอน และต้องคำนึงถึงการเดินทางไปยังสถานที่อื่น ๆ ที่ต้องการด้วย โดยส่วนใหญ่การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าก็จะเป็นการคมนาคมที่สะดวกที่สุดในปัจจุบัน เพราะเชื่อมต่อกันได้หลากหลายเส้นทาง และครอบคลุมที่ ท่องเที่ยวกรุงเทพ ไว้เกือบทั้งหมดแล้ว

ท่องเที่ยวกรุงเทพ

ดูเวลาทำการของสถานที่เที่ยวที่ต้องการไป

บางสถานที่มีกำหนดเวลาทำการระบุไว้ เราก็ต้องวางแผน เผื่อเวลาไปเที่ยวและใช้เวลาให้คุ้มค่าไม่ใช่ว่าพอเดินทางไปถึงก็พบว่าใกล้ปิดทำการแล้ว ซึ่งจะทำให้ไม่มีความสุขในการเที่ยวชมสิ่งต่าง ๆ  แน่นอนดังนั้นการวางแผนจึงมีความสำคัญตลอดการเดินทางท่องเที่ยว  

ที่เที่ยวในกรุงเทพฯ มีมากมาย ซึ่งไม่สามารถเที่ยวครบได้ภายในทริปเดียว หากเราตัดสินใจเลือกกลุ่มความสนใจได้ว่าต้องการเที่ยแผนที่วที่ไหนเป็นพิเศษก็จะช่วยให้ประหยัดเวลา วางแผนการเดินทางได้ง่าย และเป็นการท่องเที่ยวที่คุ้มค่ามากขึ้นแน่นอน  

สายเดินทางต้องอ่าน! วิธีดูแลรักษากระเป๋าระหว่างเดินทางไม่ให้พัง

วิธีดูแลกระเป๋าเดินทาง

ใครที่เดินทางบ่อย ๆ ชีพจรลงเท้าประจำ การมีกระเป๋าเดินทางคู่ใจสักใบนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ เพราะมันจะช่วยแบ่งเบาสัมภาระต่าง ๆ ของคุณในการเดินทางได้ดีทีเดียว แต่ก็อย่างที่เห็นกันในทุกทริปการเดินทางมันไม่ได้ราบรื่นไปเสียหมด ยิ่งถ้าเป็นเครื่องบินด้วยแล้วโอกาสที่กระเป๋าของคุณจะโดนกระแทก โดนโยนจนทำให้เกิดความเสียหายหรือสิ่งของต่าง ๆ ภายในกระเป๋าหลุดร่วงออกมามีสูงมาก ดังนั้นการ วิธีดูแลกระเป๋าเดินทาง เพื่อไม่ให้พังระหว่างทางรวมถึงไม่ให้สิ่งของข้างในร่วงหล่นออกมาจึงต้องมีวิธีดังนี้

วิธีดูแลกระเป๋าเดินทาง

1. ล็อกกระเป๋าเดินทางด้วยรหัสแน่นหนา

กระเป๋าเดินทางยุคใหม่จะมีรหัสที่ใช้ในการล็อกกระเป๋าก็สามารถใส่รหัสที่ว่าแล้วล็อกกระเป๋าได้เลย แต่ถ้าหากของใครไม่มีง่ายนิดเดียวแค่ซื้อกุญแจแบบรหัสล็อกมาคล้องเอาไว้อีกชั้นจะช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งของข้างในร่วงหล่นลงมารวมถึงคนที่จะขโมยของในกระเป๋า แต่สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมเลยคือรหัสของกระเป๋าตนเอง

2. รัดกระเป๋าให้แน่นกว่าเดิม

สำหรับคนที่ไม่มั่นใจว่ากระเป๋าเดินทางของตนเองแน่นหนามากพอหรือยัง วิธีดูแลกระเป๋าเดินทาง ที่น่าสนใจอีกแบบคือ รัดกระเป๋าเดินทางให้แน่นหนา โดยอาจใช้ถุงคลุมแล้วรัดไว้อีกทีหรือการใช้เชือกรัดกระเป๋าอีกรอบก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน โดยการรัดกระเป๋าจะทำให้ความแน่นหนาเพิ่มมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการร่วงหล่นแล้วแตกกระจายได้พอสมควร

วิธีดูแลกระเป๋าเดินทาง

3. ฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อบบี้หรือสถานที่รับฝาก

สำหรับใครที่แม้จะเช็คอินออกจากโรงแรมแล้วแต่ยังต้องการเที่ยวโดยไม่อยากแบกของไปด้วย สามารถนำกระเป๋าเดินทางฝากไว้กับล็อบบี้โรงแรมหรือฝากไว้ตามสถานที่ฝากในสนามบิน แล้วค่อยเดินทางไปนั่นไปนี่ แต่อย่าลืมมาเอากระเป๋าเดินทางกลับไปด้วย แค่นี้ก็ช่วยให้กระเป๋าคุณไม่ต้องตะลอนไปตลอดทั้งวันแบบง่าย ๆ

4. ส่งกระเป๋าไปก่อน

สำหรับใครที่ไม่มั่นใจว่าการแบกกระเป๋าไปเองอาจทำให้เกิดความเสียหายง่ายกว่าเพราะต้องเจอกับผู้คนและการจัดเก็บสัมภาระจำนวนมาก แนะนำว่าให้ส่งกระเป๋าเดินทางไปก่อนล่วงหน้าก็ได้ แต่วิธีนี้มักใช้กับคนที่ต้องไปอยู่นาน ๆ มีเสื้อผ้าของใช้เยอะกว่าการไปเที่ยวทั่ว ๆ ไป

นอกจาก 4 วิธีนี้ยังมีวิธีดูแลกระเป๋าเดินทาง อีกหลากหลายที่จะช่วยทำให้คุณสามารถใช้กระเป๋าใบโปรดได้อีกนาน เช่น ติดสติ๊กเกอร์ระวังแตก, ไม่ใส่ของจนล้นเกินไป เป็นต้น ซึ่งหากรู้ว่าควรดูแลกระเป๋าใบโปรดของคุณอย่างไรจะทำให้ทุกทริปเดินทางมีความสุข ลากกระเป๋าไปที่ไหนก็ลุยได้ตลอดเวลา

จุดสอบถาม INFO/Tourist info, battery charging, ฝากของในกรุงโซล

สำหรับใครที่เที่ยวอยู่ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ หรือวางแผนว่าจะไปเที่ยว แล้วต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับ จุดบริการนักท่องเที่ยวในโซล จุดบริการชาร์จไฟสำรอง และจุดฝากของ วันนี้เราได้รวบรวมมาให้แล้ว จะมีจุดไหนที่อยู่ใกล้ตำแหน่งที่คุณต้องการบ้าง มีข้อมูลที่ควรรู้ ดังนี้

1. จุดบริการนักท่องเที่ยว (Tourist Information Center)        

จุดบริการนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ เป็นหนึ่งในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศ ซึ่งที่เกาหลีก็มีจุดเด่นด้านนี้เช่นกัน โดยที่สนามบินอินชอน (Incheon International Airport) จะเป็นศูนย์หลักที่ให้คำปรึกษาด้านการท่องเที่ยว เพราะมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากมาใช้บริการที่สนามบินนี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ที่สามารถสื่อสารเป็นภาษาเกาหลี จีน ญี่ปุ่นและอังกฤษไว้คอยให้บริการ ซึ่งจะช่วยเหลือเกี่ยวกับข้อมูลการท่องเที่ยว บริการจองบัตรที่พัก ร้านอาหาร การเดินทาง ต่าง ๆ รวมถึงโปรแกรมท่องเที่ยวรอบกรุงโซลด้วย และยังมี จุดบริการนักท่องเที่ยวในโซล ในบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกมากมาย เช่น สนามบินคิมโพ (Gimpo International Airport) ย่านคังนัม (Gangnam) ควังฮวามุน (Gwanghwa mun) นัมแดมุน (Namdaemun) ทงแดมุน (Dongdaemun) เมียงดง (Myeongdong) ศูนย์วัฒนธรรมนานาชาติโซล (Seoul Global Cultural Center) สะพานซัมอิล (Samilgyo) อิเทวอน (Itaewon) ชัมชิล (Jamsil) และ หน้ามหาวิทยาลัยฮงอิก (Hongik) เป็นต้น

Hongdae Tourist Information centre,จุดบริการนักท่องเที่ยวในโซล

2. จุดชาร์จแบตเตอรี่สาธารณะ (Battery charging)

ปัจจุบันนี้สมาร์ทโฟนเป็นสิ่งสำคัญที่หลายคนต้องมีติดตัวตลอดเวลา เพราะฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย ยิ่งเวลาไปเที่ยวหรือเดินทางด้วยแล้ว เราสามารถดูข้อมูลได้อย่างง่ายดายผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นี้ หากเวลาที่ต้องการใช้งานแต่แบตเตอรี่กลับหมดจนเปิดไม่ติด ก็จะเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดเป็นอย่างมาก แต่ในกรุงโซลมีจุดให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่มากมาย หากมีเหตุแบตเตอรี่หมดหรือเหลือน้อย ก็สามารถเข้าไปขอใช้บริการได้ แต่การพกแบตเตอรี่สำรองไปด้วยจะดีที่สุด เพื่อให้ความสนุกไม่ต้องมาสะดุดเพราะแบตมือถือหมด

power bank and a charger,จุดบริการนักท่องเที่ยวในโซล

3. จุดฝากกระเป๋า (Luggage storage)

ปัญหาที่หลายคนต้องเจอเวลาไปเที่ยวคือการต้องแบกกระเป๋าหรือสัมภาระไปด้วย ซึ่งเราสามารถแก้ปัญหานี้ได้โดยการฝากกระเป๋านั่นเอง โดยส่วนใหญ่จะพบเห็นได้ตามสถานีรถไฟใต้ดินและในสนามบิน เช่น ในสถานีรถไฟโซล (Seoul station) จะมีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน โดยแบบฟรีจะตั้งอยู่ที่ ห้าง Lotte Outlets ชั้น 1 และ 3 และห้าง Lotte Mart ที่บริเวณซุปเปอร์มาเก็ต ส่วนตู้แบบเสียเงิน จะอยู่บริเวณสถานีรถไฟโซล ซึ่งตู้แบบฟรีจะไม่ได้เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนตู้แบบเสียเงิน สามารถฝากได้ครั้งหนึ่งนาน 24 ชั่วโมง ถ้าเกินกว่านั้นจะถูกปรับเงินได้ ดังนั้นต้องคำนวณเวลาให้ดี เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น

self service storage,จุดบริการนักท่องเที่ยวในโซล

การวางแผนที่ดีนำไปสู่การท่องเที่ยวอย่างมีคุณภาพ แต่บางทีก็อาจเจอสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ จึงต้องมีสติอยู่เสมอ หากพบเจอปัญหาระหว่างการท่องเที่ยว จุดบริการนักท่องเที่ยวก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่จะช่วยให้ปัญหาต่าง ๆ ผ่านพ้นไปได้

5 สิ่งที่ใส่แล้วมีแต่เอาต์เมื่อไปปารีส

ปารีสเป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งสิ่งที่เป็นจุดเด่นของเมืองนี้นอกจากสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งหลายให้มาเยือนแล้ว เรื่องแฟชั่นก็เป็นจุดเด่นไม่แพ้กัน หลายคนจึงกังวลเมื่อมีแผนต้องไปเที่ยวที่นี่ ซึ่งหากคุณเป็นคนที่ไม่ได้ชอบแต่งตัวให้โดดเด่น สะดุดตาแล้ว เรามีคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการทำตัวให้เนียน เป็น Parisian ที่ดีมาบอก มีอะไรที่เป็น ชุดที่ไม่ควรใส่ในปารีส บ้างนั้นมาหาคำตอบกันได้เลย

1. ชุดที่โชว์สรีระมากเกินไป

Fashionable Sexy blond girl

ชุดที่โชว์สรีระหรืออาจจะพูดให้เข้าใจง่ายคือ ชุดที่แต่งแล้วดูเซ็กซี่ เพราะโดยปกติแล้วคนปารีสมักจะแต่งตัวในลักษณะที่ปกปิดมิดชิดมากกว่าการแต่งตัวที่เปิดเผยมากไป เช่น เสื้อเกาะอก กระโปรงสั้น หรือชุดที่เปิดให้เห็นส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากเกินไป หากคนปารีสเห็นแล้วจะดูออกได้ทันทีว่าคุณไม่ใช่คนที่นี่แน่ ๆ

2. ชุดออกกำลังกาย

Fitness sport girl,ชุดที่ไม่ควรใส่ในปารีส

ในบ้านเราหรือประเทศอื่น ๆ อาจจะเป็นเรื่องปกติที่จะใส่กางเกงเลกกิ้งหรือกางเกงโยคะ เสื้อฮู้ด เดินตามท้องถนนแต่ที่ปารีสจะถือว่าไม่เหมาะสม ชุดแบบนี้เหมาะกับอยู่ในยิมเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นการเดินออกมาข้างนอกระยะทางไม่ไกลก็ควรหากางเกงหรือชุดที่เหมาะสมใส่ทับก่อนออกมาเดินข้างนอก

3. รองเท้าส้นสูง รองเท้าวิ่ง

red high heel shoes,ชุดที่ไม่ควรใส่ในปารีส

พื้นทางเดินในเมืองปารีสถูกปูด้วยก้อนหินเล็ก ๆ มากมาย ถ้าใส่ส้นสูงไปเดินต้องเจ็บเท้าเป็นแน่ คนปารีสจึงนิยมใส่รองเท้าบู๊ทแบบหุ้มข้อ รองเท้าหุ้มส้น หรือสนีกเกอร์กันมากกว่า หรือหากเป็นรองเท้าแตะก็จะเป็นชนิดที่ไม่ได้ผลิตจากพลาสติกหรือยาง เพื่อให้ดูมีระดับมากขึ้น และสำหรับผู้ชายสามารถใช้รองเท้าหุ้มส้นทางการหรือรองเท้าบู๊ทแบบหนังก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่แนวที่เป็นรองเท้ากีฬามากเกินไป

4. หมวกบาเรท์

French beret,ชุดที่ไม่ควรใส่ในปารีส

หลายคนคงจะเคยเห็นหมวกทรงกลมไม่มีปีกที่ทำจากผ้าสักหลาด ที่เรียกว่าหมวกบาเรท์ หมวกชนิดนี้มีต้นกำเนิดในประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลานานแล้ว โดยเริ่มแรกเป็นเครื่องแต่งกายสำหรับผู้ชายเท่านั้น ต่อมา โกโก ชาแนล นักออกแบบเสื้อผ้าชื่อดังของฝรั่งเศสได้ทำให้หมวกชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น จนเป็นที่นิยมมาถึงปัจจุบัน ซึ่งการใส่หมวกชนิดนี้ให้ดูเป็นชาวปารีสก็มีกฎอยู่ว่า อย่าใส่สีแดงฉูดฉาดหรืออย่าใส่เมื่อออยู่ในกลุ่มคน เพราะถ้าทำแบบที่กล่าวไปแล้วจะดูโดดเด่นและคนปารีสอาจมองเป็นเรื่องตลกได้

5. ไม่ใส่เครื่องประดับมากเกินไป

Diamond Bib Necklace,ชุดที่ไม่ควรใส่ในปารีส

นอกจากเครื่องแต่งกายพวกเสื้อผ้าแล้ว เครื่องประดับ การแต่งผม หรือแม้แต่การทำเล็บก็สามารถบอกได้ว่าคุณไม่ใช่คนปารีส เพราะคนที่นี่จะใส่เครื่องประดับชนิดที่สามารถใส่ได้ทุกวัน ไม่ใช่ใส่ไปโชว์ให้ใครเห็นหรือทำเล็บก็จะไม่ทาเป็นลวดลายต่าง ๆ หรือสีฉูดฉาด ให้นึกไว้เสมอว่าการแต่งตัวของคนที่นี่เน้นแบบเรียบหรู ดูดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป ก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราดูเนียนไปคนที่นี่ได้ดีที่สุด

การเลี่ยง ชุดที่ไม่ควรใส่ในปารีส นอกจากจะไม่เป็นจุดสังเกตของคนทั่วไปแล้ว ยังลดความเสี่ยงของอันตรายจากมิจฉาชีพที่จะเข้ามาใกล้เราอีกด้วย เพราะคนพวกนี้จะพุ่งเป้าหมายมาที่นักท่องเที่ยวก่อน เพราะระวังตัวน้อยกว่าคนในพื้นที่ รู้แบบนี้แล้วใครมีแผนไปเที่ยวปารีสครั้งหน้า ก็สามารถนำคำแนะนำข้างต้นไปใช้และระมัดระวังตัวตลอดการเดินทาง แล้วการเที่ยวของคุณก็จะเป็นทริปที่สนุกและปลอดภัยแน่นอน

List รวมของห้ามนำเข้าประเทศแถบยุโรปหรือ AUS

การไปเที่ยวแต่ละครั้งย่อมมีค่าใช้จ่ายตามมา ยิ่งเป็นประเทศที่ห่างไกลจากบ้านเรามากเท่าไรค่าใช้จ่ายก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ดังนั้นคงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายหากเรานำสิ่งของที่ต้องการใส่กระเป๋าแล้วกลับต้องถูกโยนทิ้งไป ซึ่งบางทีมูลค่าอาจจะไม่ได้มากมาย แต่ก็ทำให้เสียเวลาได้เหมือนกัน ดังนั้นการศึกษากฎระเบียบของประเทศที่เราจะไปจึงเป็นการดีที่สุด วันนี้เราจึงขอนำเสนอ 4 ประเภท ของห้ามนำเข้าแถบยุโรป มีข้อควรระวังอย่างไรบ้างไปดูกัน

1. ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นม

food products,ของห้ามนำเข้าแถบยุโรป

เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคที่อาจมากับผลิตภัณฑ์จากสัตว์และนม ทำให้ต้องมีข้อห้ามนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้เข้ามาในสหภาพยุโรป โดยมีข้อยกเว้นสำหรับนมผงของทารก หรืออาหารพิเศษที่ใช้ทางการแพทย์ นมผงของทารกสามารถพกพาได้ไม่เกิน 2 กิโลกรัม ผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ เช่น อาหารทะเลทั้งแห้งและสด(ที่ตายแล้ว) ได้รับอนุญาตให้นำเข้าได้ไม่เกิน 20 กิโลกรัม ส่วนผลิตภัณฑ์จากสัตว์อื่น ๆ เช่น น้ำผึ้ง หอยแมลงภู่ และหอยนางรมสด อนุญาตให้ไม่เกิน 2 กิโลกรัม

2. พืชผักต่าง ๆ ที่เน่าเสียได้

Vegetable,ของห้ามนำเข้าแถบยุโรป

บางคนต้องไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานานและอาจจะคิดถึงอาหารรสชาติแบบไทย จึงนำพืชที่เป็นส่วนประกอบที่ให้กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ไปด้วย เช่น กระเทียม ขิง ข่า ตะไคร้ แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็น ของห้ามนำเข้าแถบยุโรป ด้วยเช่นกัน เพราะอาจเป็นการแพร่กระจายของเชื้อโรคในพืชได้เหมือนกับกรณีของผลิตภัณฑ์จากสัตว์ โดยวัตถุดิบต่าง ๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่หาซื้อได้ตามร้านที่ขายของชาวเอเชีย แต่ก็มีราคาแพงกว่าในบ้านเรา หากใครที่ต้องนำไปจริง ๆ ก็จัดการบรรจุให้ดีอย่าให้มีกลิ่นรบกวน พอไปถึงก็แจ้งเจ้าหน้าที่ ซึ่งจากคนที่มีประสบการณ์ส่วนใหญ่ก็กล่าวกันว่าผ่านมาได้ไม่มีปัญหาอะไร

3. สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

Luxury store appearance,ของห้ามนำเข้าแถบยุโรป

เป็นที่ทราบกันดีว่าการใช้ของละเมิดลิขสิทธิ์ส่งผลต่อเศรษฐกิจและคุณค่าทางจิตใจของเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบได้อย่างมากมาย และเป็นการสนับสนุนผู้กระทำผิดอีกด้วย หากมีการตรวจพบว่าเราครอบครองของละเมิดลิขสิทธิ์ถึงแม้จะเป็นการใช้เองก็ตาม ก็อาจจะต้องถูกลงโทษตามกฎของประเทศนั้น ๆ ด้วย

4. วัสดุที่อาจก่อให้เกิดระเบิด สารไวไฟ และอาวุธทุกชนิด

Gun and bullet,ของห้ามนำเข้าแถบยุโรป

เป็นหลักปฏิบัติทั่วไปของประเทศต่าง ๆ ที่ห้ามนำสิ่งของเหล่านี้เข้ามาในประเทศ เกือบทุกสายการบินก็มีกฎนี้เช่นกัน เพระเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายได้อย่างมาก ซึ่งเชื่อว่าในคนปกติทั่วไปก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพกสิ่งเหล่านี้ไปใช้กันอยู่แล้ว

เพื่อให้การไปเที่ยวของเราเป็นไปอย่างราบรื่น จึงควรใส่ใจกฎของแต่ละประเทศให้เข้าใจเพื่อที่เราจะไม่ต้องทิ้งอะไรไประหว่างทาง ซึ่งบางทีเรานำสิ่ง ของห้ามนำเข้าแถบยุโรป อย่างเช่น ผลิตภัณฑ์จากสัตว์และพืชเข้ามา เพื่อความสบายใจก็แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเรามีของสิ่งนี้ เพื่อจะได้ถูกกฎหมายและไม่เกิดปัญหาระหว่างการตรวจคนเข้าเมือง

รวบแอปฯที่ใช้ชีวิตยามป่วยเมื่อไปต่างประเทศ

อาการเจ็บป่วยล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนาอยากจะให้เกิดขึ้น ยิ่งเป็นช่วงที่ไปเที่ยวแล้ว ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาต้องทำให้ความสนุกลดลงเป็นแน่ หากใครไปเที่ยวโดยเฉพาะในต่างประเทศที่เป็นพื้นที่ไม่คุ้นเคย หรือไม่สะดวกเหมือนอยู่ในบ้านเรา การเตรียมยาสามัญประจำบ้าน เช่น ยาแก้ปวด แก้แพ้ แก้เมารถ ยาดม หรือติดตั้ง แอปช่วยชีวิต ไว้ในโทรศัพท์มือถือ ก็เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้เราผ่านสภาวะความเจ็บป่วยแบบเบื้องต้นไปได้ โดยมีแอปพลิเคชันที่น่าสนใจ ดังนี้

online medical consultation,แอปช่วยชีวิต

1. DoctorMe

เป็นแอปที่รวมความรู้เกี่ยวกับโรค และอาการต่าง ๆ รวมถึงวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้ยาทั้งแผนปัจจุบันและยาสมุนไพร โดยใช้งานได้ง่าย มีการแบ่งอาการบาดเจ็บเป็นส่วนต่าง ๆ หรือใส่อาการที่เกิดขึ้นในช่องค้นหาก็จะมีวิธีแก้ไขขึ้นมาให้อ่านได้อย่างสะดวก ในแอปยังมีฟังก์ชันสมุดบันทึกสุขภาพไว้ให้คนที่รักสุขภาพได้บันทึกติดตามสภาพร่างกายได้ทั้งครอบครัว

checking information,แอปช่วยชีวิต

2. YaAndYou

แอปที่รวบรวมชนิดและรายละเอียดของยา เพื่อให้มีการใช้ยาได้อย่างเหมาะสม โดยเป็นเนื้อหาในลักษณะทั่วไปไม่ได้เจาะจงสำหรับโรคใดเป็นการเฉพาะ หากผู้ป่วยที่มีโรคเฉพาะควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์หรือเภสัชกร แต่เป็นแอปที่ดีที่ทำให้เราสามารถหารายละเอียดของยาแต่ละชนิดได้อย่างง่ายดาย ยิ่งเป็นในต่างประเทศที่อาจจะสื่อสารกันลำบากน่าจะช่วยได้มากเลยทีเดียว

Frustrated sad female crying,แอปช่วยชีวิต

3. RDU รู้เรื่องยา

เป็นอีกแอปที่รวบรวมข้อมูลยาและความรู้ต่าง ๆ ด้านสุขภาพที่เราอาจพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องสำอางนาโน ความผิดปกติทางจิต การสัก ยาหอม และอีกหลายหลายเรื่องที่จะเพิ่มเติมความรู้ให้กับเรา และยังรวบรวมข้อมูลของโรงพยาบาลและร้านยาในประเทศไทยไว้อย่างหลากหลาย และมีฟังก์ชันมากมายเพื่อให้การใช้ยาเป็นไปอย่างเหมาะสม ทั้งการหาชื่อและขนาดการใช้ยา การอ่าน QR code ที่อยู่บนฉลากยา รวมถึงบันทึกรายละเอียดการใช้ยา และวิดีโอสาระน่ารู้ที่จะให้คุณได้ทำความเข้าใจกับเรื่องสุขภาพได้อย่างง่ายดาย

pill medicine science,แอปช่วยชีวิต

4. HonestDocs คุณหมอมือถือ

แอปช่วยชีวิต นี้มีฟีเจอร์สำคัญ ๆ สำหรับคนรักสุขภาพ โดยมีฟังก์ชันให้ใช้งานมากมายทั้ง การค้นหาอาการของโรคและยา สอบถามปัญหาสุขภาพ โดยจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาตอบแบบเบื้องต้น บันทึกประวัติและผลการตรวจสุขภาพ และมีโปรโมชันเด็ด ราคาโดนใจมากมาย เช่น ในด้านทันตกรรม กายภาพบำบัด และความงาม เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีบทความสาระทางสุขภาพให้ได้หาความรู้แบบง่าย ๆ อีกด้วย

แอปช่วยชีวิต เป็นเครื่องมือที่ควรติดตั้งไว้ในเครื่องสมาร์ทโฟนตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะตอนที่ไปเที่ยวต่างประเทศเท่านั้น เพราะในแต่ละแอปมีสาระน่ารู้มากมาย หากศึกษาก็จะได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น เผื่อมีวันใดที่ต้องการใช้แอปเหล่านี้ จะสามารถใช้งานได้คล่องเพราะความคุ้นเคยกับอินเทอร์เฟซต่าง ๆ ในแอป

โรคที่ควรระวังเมื่อไปต่างประเทศ

สมัยนี้ใคร ๆ ก็เลือกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ เนื่องจากการเดินทางที่แสนจะสะดวกมากขึ้น ตั๋วเครื่องบินราคาถูกลง หยุดยาว หยุดสั้นก็ไปเที่ยวได้ ไม่แปลกเลยที่ใคร ๆ ต่างก็ซื้อตั๋วเดินทางไปท่องเที่ยวที่ต่างระเทศ แต่นอกจากเงิน วันหยุด แล้วที่ต้องเตรียมให้พร้อมอีกสิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ ไม่ควรพลาดคือ การเตรียมพร้อมสุขภาพร่างกาย เพื่อป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากการป่วย เนื่องจากในต่างประเทศเราอาจเสี่ยงเกินโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งวันนี้เรามี 5 โรคที่ควรระวังที่ต่างประเทศ มาแชร์ให้ทราบ เพื่อจะได้เตรีมพร้อมก่อนออกเดินทาง

Seriously ill patients,โรคที่ควรระวังที่ต่างประเทศ

1. อีโบล่า

หากเป็นโรคนี้รู้ไหมว่าความเสี่ยงเสียชีวิตสูงถึง 90% เป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นในโซนแอฟริกา ซึ่งสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสที่มาจากการสัมผัสผิวหรือพวกสารคัดหลั่งที่มากจากสัตว์ อาการจะคล้ายกับการเป็นหวัด คือ เจ็บคอ มีไข้ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ แล้วค่อย ๆ รุนแรงขึ้น ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ เลี่ยงการสัมผัสสิ่งที่อาจเป็นสาเหตุทำให้ติดเชื้อ ล้างมือด้วยสบู่และเตรียมร่างกายให้แข็งแรง

women patient,โรคที่ควรระวังที่ต่างประเทศ

2. ไข้เหลือง

เป็นอีกโรคที่ต้องระวังเมื่อต้องเดินทางไปท่องเที่ยวโซนแอฟริกาสาเหตุการเกิดมาจากยุง ซึ่งลักษณะจะคล้ายกับไข้เลือดออกบ้านเรา แต่มีความรุนแรงมากกว่า อาการของโรคนี้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะและหากมีความรุนแรงมาก 50% แล้วเสี่ยงเสียชีวิต ปัจจุบันไข้เหลืองยังไม่สามารถรักษาได้แต่มีวัคซีนป้องกัน

cough and sore throat in winter,โรคที่ควรระวังที่ต่างประเทศ

3. วัณโรค

มีทั่วไปในหลาย ๆ ประเทศ แต่หากมีอาการรุนแรงก็เสี่ยงเสียชีวิตได้เช่นกัน อาการจะค่อยชัดขึ้น 1-10 วัน อาการจะมีไข้ ไอ จาม เกิดจากเชื้อไมโครแบคทีเรียมทูเบอร์คูโลซิสที่ลอยอยู่ตามอากาศ ติดเชื้อง่าย  เป็นโรคที่สามารถรักษาได้และสามารถป้องกันง่าย ๆ ด้วยการทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ไปอยู่กับผู้ป่วยโรคนี้

Infected Mosquito,โรคที่ควรระวังที่ต่างประเทศ

4. โรคมาเลเลีย

เป็นโรคที่ควรระวังที่ต่างประเทศ เกิดจากยุงตัวผู้ โดยเฉพาะคนที่รักการเดินทางแบบผจญภัย ชอบการเดินป่า ต้องระมัดระวัง หากป่วยจะมีอาการหนาวสั่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีไข้สูง 

Stomach ache problem

5. อุจจาระร่วง

เป็นโรคยอดฮิตที่ต้องระวังและสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เนื่องจากอาหารการกินของแต่ละประเทศจะมีวัฒนธรรมการกินที่ต่างกัน ร่างกายของใครที่มีภูมิคุ้มกันต่ำก็เสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้ได้ ซึ่งวิธีป้องกันที่ง่ายที่สุดคือรับประทานอาหารที่สุกและสะอาด หากรู้ว่าแพ้สิ่งไหนควรหลีกเลี่ยง

การเตรียมพร้อมร่างกายก่อนออกเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยป้องกันคุณห่างไกลจากโรคระบาดเหล่านี้ ซึ่ง 5 โรคที่ควรระวังที่ต่างประเทศ ที่เราบอกมา บางโรคยังไม่มียารักษาก็ควรเตรียมพร้อม เช่น การฉีดวัคซีน ไม่ไปอยู่ในภาวะเสี่ยงและที่สำคัญหลังจากไปเที่ยวต่างประเทศกลับมาแล้ว ควรตรวจสุขภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายเรายังแข็งแรงอยู่

5 อันดับกล้องที่เหมาะแก่การพกพาไปเที่ยว

ในยุคที่คนชอบเที่ยวพลาดไปไม่ได้เลยคือการถ่ายรูป เช็คอินแล้วแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้รู้ เพราะแต่ละทริปเป็นทริปที่เราประทับใจและอยู่ในความทรงจำ การมีกล้องดี ๆ สักตัว พกพาง่าย ถ่ายรูปสวย เอาไว้เก็บภาพ แล้วแชร์ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งของนักท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด ทำให้ตลาดก้องถ่ายรูปผลิตกล้องดี ๆ ขนาดน่าพกพาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า ซึ่งวันนี้เราจะมารีวิว 5 กล้องสำหรับเที่ยว ที่คุณควรมี

FUJIFILM X-T30,กล้องสำหรับเที่ยว

1. Fuji XT30

เป็น กล้องสำหรับเที่ยว ที่มีขนาดน่ารัก น่าพกพอ เป็นล้องแบบ Mirrorless ถ่ายวีดีโอได้ 4K เหมาะสำหรับสายเที่ยวที่ชอบรีวิว และ Vlog มาพร้อมระบบออโต้โฟกัส เหมาะมากสำหรับนักเดินทาง และไม่ชอบการปรับอะไรมาก จุดเด่นคือสามารถปรับ ISO ต่ำสุดที่ 160 และสูงสุดที่ 12800 ถ่ายภาพต่อเนื่องไป 8 ภาพต่อวินาที ต่อบลูทูธ และ wifi ได้

Panasonic DC-GF10,กล้องสำหรับเที่ยว

2. Panasonic Lumix GF10

รุ่นนี้สำหรับสายเที่ยวที่ชอบเซลฟี่ น้ำหนักเบาและค่อนข้างตอบโจทย์  กล้องรวมเลนส์แล้วน้ำหนักยังเบา ประมาณ 337 กรัม สามารถถ่ายวีดีโอได้ 4K เชื่อมต่อ WiFi ได้ มีจอแสดงผล 3 นิ้ว จุดเด่นตรงการถ่ายภาพแบบ Portrait  ที่โฟกัสสิ่งที่ต้องการถ่ายหรือตัวแบบได้ค่อนข้างชัดและอีกส่วนหนึ่งคือโหมดถ่ายภาพ selfie ที่มีโหมดหน้าเนียน เรียกว่าถูกใจคนที่ชอบถ่ายรูปมาก ๆ

Olympus OM-D E-M10 Mark III,กล้องสำหรับเที่ยว

3. Olympus OM-D E-M10 Mark III

ไต่ระดับมาอีกนิดสำหรับสายลุยและชอบภาพที่คมชัด รุ่นนี้จุดเด่นที่ Micro Four Thirds มีจุดโฟกัสทั้งหมด 21 จุด ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล หน้าจอ LCD มีปุ่มแบบสัมผัส เล่นง่าย น้ำหนัก 410 กรัม กล้องดีไซส์สวยงาม

fujifilm x-a5,กล้องสำหรับเที่ยว

4. Fujifilm XA5

ใครชอบความเล็กกะทัดรัด แนะนำตัวนี้ ดีไซส์สวย มาพร้อมฟังก์ชั่นที่น่าสนใจ APS-C เซ็นเซอร์ไม่ใหญ่มาก สามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้สวยไม่แพ้รุ่นอื่น ๆ ปรับโหมดต่าง ๆ ได้ไม่แพ้กล้อง DSLR มีช่องเสียบไมค์ สำหรับใครที่ชอบถ่ายวีดีโอ หรือรีวิว ถ่ายเซลฟี่ง่าย  สีสวยชัดเจน

Fujifilm X-T100

5. Fujifilm X-T100

รุ่นนี้จาก Fuji ตอบโจทย์รูปแบบการถ่ายภาพของคนยุคนี้ มาพร้อมฟังก์ชั่น ไม่ว่าจะเป็นการปรับโหมดให้เหมือนการถ่ายภาพกล้องฟิล์ม ทั้งสี และการโฟกัสภาพ มี Pop-up Flash มาพร้อมช่องมองภาพที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับช่างภาพได้ แบตอึด สามารถถ่ายได้ 430 ภาพกรณีที่แบตเต็ม บอดีสวย พกพาง่าย

สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวนั้น เรียกว่าหากเราได้เก็บภาพ ทุกช็อต ทุกที่ที่ไป เมื่อนำภาพกลับมาดูเราก็จะนึกถึงเรื่องราวความประทบใจนั้น ๆ จึงจำเป็นมากสำหรับการมี กล้องสำหรับเที่ยว ดี ๆเอาไว้สักตัว ซึ่งกล้องที่เราแนะนำไปนั้นเป็นรุ่นที่พอเหมาะ น้ำหนักเบา ราคาไม่แรง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณ