How to ใช้ Google Maps แบบ Offline ไม่ต้องง้อเน็ต

ปกติเราจะใช้ Google Maps กันแบบออนไลน์ ทั้ง IOS และ Android  มาเป็นตัวช่วยในการเดินทาง แต่เดี๋ยวนี้สามารถดูได้แล้วแบบออฟไลน์ ซึ่ง Google Map Offline ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยการเดินทาง ที่ให้ความสะดวก และมีประโยชน์อย่างมาก ในเวลาที่เราเดินทางไปสถานที่ที่ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตและเราไม่ชำนาญทาง แต่จะนำแผนที่มาใช้อย่างไรนั้น สามารถมาดูพร้อมกันได้ในบทความนี้

Google Maps แบบ Offline คืออะไร

Google Maps แบบ Offline คืออะไร

Google Maps แบบ Offline คือ การดาวน์โหลดแผนที่การเดินทางล่วงหน้า โดยการดาวน์โหลดแผนที่จุดมุ่งหมายปลายทางที่ต้องการไป ในการดาวน์โหลดจะสามารถโหลดแผนที่ได้มากกว่า 1 สถานที่ และสามารถบันทึกแผนที่ไว้ดูภายหลังได้ ในแง่ของการใช้งานแบบออฟไลน์ก็สะดวกกว่ามาก เพราะการใช้งานแผนที่แบบออฟไลน์ จะสามารถใช้งานได้แม้ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต 

ส่วนการดาวน์โหลดแผนที่และการใช้งาน ก็สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ทั้งระบบ Google Map Offline ios และระบบ Google Map Offline Android ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่า การใช้งานแบบออฟไลน์จะต่างจากการใช้งาน Google Maps แบบออนไลน์อย่างสิ้นเชิง โดยการใช้งานแบบออนไลน์ จะต้องอาศัยสัญญาณอินเทอร์เน็ตเท่านั้น หากไม่มีอินเทอร์เน็ตหรือสัญญาณขัดคล่อง ก็จะไม่สามารถใช้งานได้

ประโยชน์ของ Google Maps Offline

ประโยชน์ของ Google Maps Offline

ในบางครั้ง เส้นทางการเดินทางของเราอาจจะไม่สามารถเชื่อมอินเทอร์เน็ตได้ เช่น ในกรณีที่เราหลงทางไปในที่ที่ไม่มีสัญญาณ หลงอยู่ท่ามกลางผู้คนแออัด หรือหลงไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ดังนั้น การดาวน์โหลดและบันทึก Maps Offline Google ไว้ล่วงหน้า จึงจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการเดินทาง ซึ่งการใช้งาน จะใช้งานได้เหมือน Google Maps แบบออนไลน์ ใช้งานได้ง่าย แม้ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต การใช้งานก็สามารถ เลือกจากแผนที่ที่เราทำการบันทึกไว้ล่วงหน้า หรือการค้นหาแผนที่แบบออฟไลน์ ก็สามารถทำได้เช่นกัน เรียกได้ว่าการใช้งานแบบออฟไลน์ ถือเป็นเครื่องมือนำทางที่ดีและมีประโยชน์มากทีเดียว

วิธีดาวน์โหลด Google Maps Offline

วิธีดาวน์โหลด Google Maps Offline

วิธีดาวน์โหลด  Google Maps Offline ง่ายกว่าที่คิด ในการดาวน์โหลด สามารถเลือกดาวน์โหลดแผนที่เพื่อใช้งานออฟไลน์ กับเลือกดาวน์โหลดแผนที่ของตัวเราเอง และสามารถแยกวิธีดาวน์โหลดตามระบบ Android และ IOS ได้ดังนี้

ระบบ  Android

วิธีดาวน์โหลด Google Maps Offline 

  1. เปิดแอป  Google Maps บนโทรศัพท์มือถือ
  2. ตรวจสอบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตว่าเชื่อมต่ออยู่หรือไม่
  3. ลงชื่อเข้าใช้งาน Google Maps
  4. ค้นหาสถานที่ที่ต้องการไป เช่น จังหวัดภูเก็ต หรือเลือกสถานที่อย่างเฉพาะเจาะจง เช่น แหลมพรหมเทพ
  5. แตะชื่อ หรือสถานที่ จากนั้นเลือกคำว่า เพิ่มเติม หรือจุดสามจุดมุมขวาบน
  6. เมื่อเลือกเสร็จแล้ว จะมีกรอบสี่เหลี่ยมสีฟ้าขึ้นมา ซึ่งเราสามารถเลือกปรับเปลี่ยนความกว้างของแผนที่ได้ หรือจะปักหมุดสถานที่ที่เราต้องการไปแบบเฉพาะเจาะจงได้
  7. เมื่อได้จุดหมายแล้ว ก็สามารถดาวน์โหลดแผนที่ออฟไลน์ได้เลย

วิธีดาวน์โหลด แผนที่ของเราเอง

  1. เปิดแอป Google Maps บนโทรศัพท์มือถือ
  2. ตรวจสอบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตว่าเชื่อมต่ออยู่หรือไม่
  3. ลงชื่อเข้าใช้งาน Google Maps
  4. เลือกโปรไฟล์ด้านมุมขวาบน 
  5. เลือกคำว่าแผนที่ออฟไลน์ และกดคำว่าเลือกแผนที่ของคุณเอง
  6. เมื่อเลือกเสร็จแล้ว จะมีกรอบสี่เหลี่ยมสีฟ้าขึ้นมา ซึ่งเราสามารถเลือกปรับเปลี่ยนความกว้างของแผนที่ได้ 
  7. เมื่อได้จุดหมายแล้ว ก็สามารถดาวน์โหลดแผนที่ออฟไลน์ได้เลย

ระบบ  IOS

วิธีดาวน์โหลด Google Maps Offline 

  1. เปิดแอป Google Maps บนโทรศัพท์มือถือ
  2. ตรวจสอบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่หรือไม่
  3. ตรวจสอบว่าไม่ได้อยู่ในโหมดไม่ระบุตัวตน จากนั้นลงชื่อเข้าใช้ Google Maps
  4. ค้นหาสถานที่ที่ต้องการไป เช่น จังหวัดภูเก็ต หรือเลือกสถานที่อย่างเฉพาะเจาะจง เช่น แหลมพรหมเทพ
  5. แตะชื่อหรือสถานที่ จากนั้นเลือกคำว่า เพิ่มเติม หรือจุดสามจุดมุมขวาบน
  6. เมื่อเลือกเสร็จแล้ว จะมีกรอบสี่เหลี่ยมสีฟ้าขึ้นมา ซึ่งเราสามารถเลือกปรับเปลี่ยนความกว้างของแผนที่ได้ หรือจะปักหมุดสถานที่ที่เราต้องการไปแบบเฉพาะเจาะจงได้
  7. เมื่อได้จุดหมายแล้ว ก็สามารถดาวน์โหลดแผนที่ออฟไลน์ได้เลย

วิธีดาวน์โหลด แผนที่ของเราเอง

  1. เปิดแอป Google Maps บนโทรศัพท์มือถือ
  2. ตรวจสอบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตว่าเชื่อมต่ออยู่หรือไม่
  3. ตรวจสอบว่าไม่ได้อยู่ในโหมดไม่ระบุตัวตน จากนั้นลงชื่อเข้าใช้ Google Maps
  4. เลือก โปรไฟล์ด้านมุมขวาบน 
  5. เลือกคำว่า แผนที่ออฟไลน์ และกดคำว่า เลือกแผนที่ของคุณเอง
  6. เมื่อเลือกเสร็จแล้ว จะมีกรอบสี่เหลี่ยมสีฟ้าขึ้นมา ซึ่งเราสามารถเลือกปรับเปลี่ยนความกว้างของแผนที่ได้ 
  7. เมื่อได้จุดหมายแล้ว ก็สามารถดาวน์โหลดแผนที่ออฟไลน์ได้เลย
การบันทึก Google Maps Offline ใน SD สำหรับ Android

การบันทึก Google Maps Offline ใน SD สำหรับ Android

สำหรับ Android จะต่างจาก IOS ตรงที่ต้องโหลดแผนที่มาเก็บไว้ในการ์ด SD การดาวน์โหลดจะใช้ได้กับระบบ Android 6.0 ขึ้นไป โดยการบันทึกข้อมูล จะเป็นการบันทึกและการจัดเก็บข้อมูลแบบพกพา โดยจะมีวิธีการบันทึกลงการ์ด SD ได้ดังนี้

  1. ใส่การ์ด SD ลงในโทรศัพท์มือถือ
  2. ตรวจสอบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตว่าเชื่อมต่ออยู่หรือไม่
  3. ลงชื่อเข้าใช้งาน Google Maps
  4. เลือก โปรไฟล์ด้านมุมขวาบน จากนั้นเลือกคำว่า แผนที่ออฟไลน์
  5. สังเกตมุมขวาบน จะมีรูปฟันเฟือง หรือการตั้งค่า กดเลือกได้เลย
  6. เมื่อเข้ามาหน้าตั้งค่าแล้วให้เลือกหัวข้อ ค่ากำหนดพื้นที่เก็บข้อมูล
  7. เลือกคำว่าอุปกรณ์ > เปลี่ยนการตั้งค่าจากอุปกรณ์ เป็นการ์ด SD
  8. เสร็จแล้ว ก็กดบันทึกการตั้งค่า
  9. จากนั้นเลือกแผนที่ที่ต้องการดาวน์โหลด และแผนที่จะถูกบันทึกลงในการ์ด SD

การเก็บข้อมูลในการ์ด SD ของ Android จะช่วยเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในโทรศัพท์ให้มีพื้นที่เพิ่มมากขึ้นด้วย

วิธีใช้ Google Maps Offline

วิธีใช้ Google Maps Offline

เมื่อเราทำการดาวน์โหลด Google Maps Offline ลงในมือถือไว้เรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็มาดูวิธีใช้งานกัน

  1. เปิดแอป Google Maps ในโทรศัพท์ระบบ Android หรือ ios
  2. เลือก โปรไฟล์ด้านมุมขวาบน
  3. กดเลือกคำว่า แผนที่ออฟไลน์
  4. กดเลือก สถานที่ที่บันทึกไว้ เช่น จังหวัดภูเก็ต หรือสถานที่ที่เฉพาะเจาะจง เช่น แหลมพรหมเทพ
  5. กดใช้งานสถานที่บันทึกไว้ และเริ่มเดินทาง

ในส่วนของการใช้งาน Google Maps Offline จะคล้ายกับการใช้งาน Google Maps Online แต่จะมีข้อจำกัดในการใช้งาน คือ ในการดาวน์โหลด Google Maps Offline จะต้องโหลดกับสัญญาณอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ข้อจำกัดการใช้งาน เรื่องของพื้นที่ จะสามารถใช้งานได้ในเฉพาะพื้นที่ที่เราบันทึกไว้เท่านั้น เช่น บันทึกพื้นที่ในจังหวัดภูเก็ต ก็จะสามารถใช้งานได้เฉพาะในพื้นที่ภูเก็ตเท่านั้น ข้อจำกัดของข้อมูลการจราจรที่จะไม่มีการอัปเดตอย่างเรียลไทม์ ข้อมูลการเดินทางที่มีเฉพาะการเดินทางโดยรถยนต์ รวมถึงการคำนวณระยะเวลาในการเดินทาง ที่ไม่ใช่การคำนวณเวลาการเดินทางจากการจราจรในปัจจุบัน

Google Maps Offline เหมาะกับใคร

การใช้งาน Google Maps Offline เหมาะกับผู้ที่อาศัยหรือเดินทางไปในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณแต่ไม่ชำนาญทาง หรือผู้มีอายุ ที่ไม่มีทักษะในการใช้ Google Maps ออนไลน์ เพื่อให้การเดินทางของเราสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงใช้งานได้ต่อเนื่องแม้ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต เราก็สามารถโหลด Google Maps Offline ไว้และกำหนดเส้นทางและปลายทางไว้เพื่อใช้งานได้

สรุป

Google Maps แบบ Offline คือ การใช้งานแผนที่การเดินทางแบบออฟไลน์ โดยการดาวน์โหลดแผนที่และจุดหมายที่ต้องการไปไว้ล่วงหน้า แม้ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตก็ยังสามารถใช้งานได้ ซึ่งจะต่างจาก Google Maps ออนไลน์ ที่จะต้องใช้งานกับสัญญาณอินเทอร์เน็ตเท่านั้น และใน Google Maps Offline ก็มีประโยชน์อย่างมากในการใช้งาน สำหรับผู้คนที่ไม่ชำนาญเส้น เพราะในบางครั้งที่เราเดินทาง ก็อาจจะเดินไปทางยังที่ที่ไม่มีสัญญาณ หรืออยู่ท่ามกลางผู้คนแออัด ทำให้สัญญาณขาดหาย จนไม่สามารถใช้งานแผนที่ได้ รวมถึงผู้สูงอายุ ที่ไม่มีทักษะการใช้งาน Google Maps ออนไลน์ ก็จะเป็นตัวช่วยในการเดินทางให้สะดวกขึ้นได้ 

ดังนั้น การดาวน์โหลดแผนที่ล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งที่ดี ที่นอกจากจะทำให้การเดินทางราบรื่นแล้ว ก็ยังเดินทางไปยังจุดหมายที่เราตั้งใจไว้ได้อย่างแน่นอน

23 จุดเช็คอิน แลนด์มาร์คในกรุงเทพ ที่นักสร้างคอนเทนต์ห้ามพลาด

กรุงเทพมหานครมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่มากมายที่สามารถตอบโจทย์กับทุกไลฟ์สไตล์ ทุกเพศ และทุกวัยได้ อีกทั้งยังมีจุดท่องเที่ยวสุดโดดเด่นที่ห้ามพลาดอีกด้วย โดยบทความนี้ได้รวบรวมแลนด์มาร์คในกรุงเทพที่ต้องไปให้ได้ พร้อมทั้งบอกพิกัดสถานที่เพื่อให้เดินทางได้อย่างสะดวกสบาย จะมีสถานที่ไหนบ้าง มาดูกันเลย

1. วัดพระแก้ว

วัดพระแก้ว มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่สวยงาม โดยเฉพาะภายในพระอุโบสถและระเบียงรอบวัดจะมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่งดงามมาก นอกจากนี้ยังมีจุดถ่ายรูปสวย ๆ อีกมากมาย ทั้งพระศรีรัตนเจดีย์ นครวัดจำลอง ฯลฯ ให้ได้มาเก็บภาพความสวยงามและความประทับใจกัน เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คในกรุงเทพที่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างต้องมาเยี่ยมชม โดยวัดเปิดให้ชาวไทยเข้าชมฟรี และชาวต่างชาติซื้อบัตรเข้าชม 500 บาท

  • ที่ตั้ง: ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10200
  • พิกัด: วัดพระแก้ว
  • การเดินทาง:
    • โดยรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีสะพานตากสิน ต่อด้วยขึ้นเรือด่วนเจ้าพระยา ขึ้นที่ท่าเรือท่าช้าง (N9) 
    • โดยเรือ ขึ้นที่ท่าเรือท่าเตียน (N8)
    • โดยรถประจำทาง สาย 1, 3, 9, 15, 25, 30, 32, 33, 43, 44, 47, 53, 59, 64, 80, 82, 91, 203, 503, 508, 512
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 08:00 – 15:30 น.

2. วัดอรุณราชวราราม

วัดอรุณเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คในกรุงเทพที่นักท่องเที่ยวนิยมมาไหว้พระ และเยี่ยมชมความสวยงามของพระปรางค์สีขาว สูง 82 เมตร ใครที่มายังวัดอรุณ เป็นต้องยืนโพสถ่ายรูปแบบเก๋ ๆ หน้าพระปรางค์ที่ประดับประดาไปด้วยกระเบื้องสีสันต่างๆ 

โดยที่วัดก็มีสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมฝาผนังอันเก่าแก่ที่สวยงาม นอกจากนี้วิวในยามค่ำคืนยังสวยสะดุดตา ด้วยภาพของพระปรางค์องค์ใหญ่ติดริมแม่น้ำ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างก็พากันชื่นชมในความงามของวัดอรุณแห่งนี้เป็นอย่างมาก โดยชาวไทยสามารถเข้าชมฟรี ส่วนชาวต่างชาติเสียค่าเข้าชม 50 บาท

  • ที่ตั้ง: 158 ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10600
  • พิกัด: วัดอรุณราชวราราม
  • การเดินทาง: รถไฟฟ้า BTS ลงสถานีสะพานตากสิน จากนั้นขึ้นเรือด่วนเจ้าพระยา ขึ้นที่ท่าวัดอรุณ
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 08:00 – 18:00 น
วัดสุทัศน์

3. วัดสุทัศน์

ถ้าพูดถึงวัดที่เป็นแลนด์มาร์คในกรุงเทพ แน่นอนว่าจะต้องมีชื่อของวัดสุทัศนเทพวรารามอยู่ด้วยแน่นอน เพราะจุดเด่นของวัดนี้ก็คือเสาชิงช้าสูงสีแดงที่ตั้งอยู่หน้าวัดนั่นเอง นอกจากนั้นสถาปัตยกรรมของวัดยังสะท้อนให้เห็นศิลปะสมัยต้นรัตนโกสินทร์อีกด้วย ใครที่สนใจทำบุญก็สามารถมากันแต่เช้าได้ พร้อมกับเก็บภาพความสวยงามของเสาชิงช้าที่หน้าวัดสุทัศน์นี้ได้เลย

  • ที่ตั้ง: 146 ถนนบำรุงเมือง วัดราชบพิธ พระนคร จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10200
  • พิกัด: วัดสุทัศน์
  • การเดินทาง: รถไฟฟ้า MRT ลงสถานีสามยอด ทางออกที่ 3
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 08:30 – 21:00 น. หยุดวันหยุดนักขัตฤกษ์
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

4. วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

มาดูอีกหนึ่งวัดที่มีชื่อเสียงเป็นแลนด์มาร์คในกรุงเทพอย่างวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ โดยวัดนี้มีความเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยอยุธยา และยังคงอนุรักษ์รูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยนั้นไว้อย่างดี โดยจุดเด่นของวัดนี้คือ พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล ที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมรัตนโกสินทร์และล้านนา และพระพุทธรูปปางสมาธิที่มีความสูง 69 เมตร จึงทำให้มองเห็นได้แต่ไกลลิบ ไม่ว่าจะมาวัดนี้ในช่วงกลางวันให้เห็นแสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับพระพุทธรูปหรือมาช่วงเย็นที่มีแสงรำไร ก็สามารถได้ภาพถ่ายที่สวยงามทั้งหมด นับว่าวัดปากน้ำ ภาษีเจริญเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินที่ให้ทั้งความสงบและความสวยงามเหมาะแก่การมาเยือนอย่างยิ่ง

  • ที่ตั้ง: 300 ซอยรัชมงคลประสาธน์ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10160
  • พิกัด: วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
  • การเดินทาง: รถไฟฟ้า BTS สถานีตลาดพลู
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 08:00 – 18:00 น.
เอเชียทีค

5. เอเชียทีค

ใครอยากเที่ยวแบบชิลๆ ลองมาที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ ฟรอนต์กันได้เลย เพราะที่นี่นับว่าเป็นแลนด์มาร์คในกรุงเทพที่ครบครันทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเดินชิล ชิม ชอป และถ่ายรูปสวย ๆ กับชิงช้าสวรรค์อันเป็นจุดเด่นของที่นี่ รายล้อมไปด้วยการตกแต่งสไตล์เมืองท่า เป็นสถานที่ที่สามารถมาเที่ยวกันได้ทั้งช่วงเวลากลางวันและกลางคืน โดยให้เสน่ห์ที่แตกต่างกัน 

นอกจากนี้ในช่วงนี้ยังมีงานแสดง Disney 100 Village ที่ให้แฟนดิสนีย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้มาพบปะคาแรคเตอร์ดิสนีย์ที่ชื่นชอบกันอีกด้วย โดยงานเริ่มตั้งแต่ 24 มีนาคม – 31 กรกฎาคม 2566 นี้

  • ที่ตั้ง: 2194 ถนนเจริญกรุง แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10120
  • พิกัด: เอเชียทีค
  • การเดินทาง: ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีสะพานตากสิน จากนั้นขึ้นเรือโดยสารของเอเชียทีคโดยตรง
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 11:00 – 00:00 น.
มหานคร สกายวอล์ค

6. มหานคร สกายวอล์ค

ที่มหานคร สกายวอล์ค เป็นแลนด์มาร์คในกรุงเทพสำหรับคนที่ต้องการความท้าทายและความเร้าใจด้วยการยืนชมวิวบนพื้นกระจกลอยฟ้าที่ความสูง 310 เมตร พร้อมทั้งมีลิฟต์ที่เร็วที่สุดในภูมิภาคนี้ สามารถชมวิวเมืองหลวงอันสวยงามในเวลากลางวันและกลางคืนได้ 360 องศาเลยทีเดียว ใครที่อยากได้ความตื่นเต้นพร้อมเก็บภาพบรรยากาศเมืองกรุงเทพสวย ๆ ก็สามารถซื้อบัตรเยี่ยมชมที่นี่ได้เลย

  • ที่ตั้ง: 114 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แขวงสีลม เขตบางรัก จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10500
  • พิกัด: มหานคร สกายวอล์ค
  • การเดินทาง: ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีช่องนนทรี
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 10:00 – 22:00 น.
ท่ามหาราช

7. ท่ามหาราช

มาต่อกันที่จุดเช็คอินในกรุงเทพสุดชิคอย่างท่ามหาราช ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่ปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ แต่ยังคงให้กลิ่นอายของเมืองเก่าดั้งเดิมของไทย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ครบครัน ไม่ว่าจะกิน ชอปปิง เดินชมวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยาหรือถ่ายรูปตามมุมสวยๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น มาตอนกลางวันก็ได้บรรยากาศแบบหนึ่ง มาตอนกลางคืนก็จะได้บรรยากาศอีกแบบ อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับสถานที่สำคัญอีกมากมาย ทำให้ที่นี่เป็นศูนย์รวมของคนหลากหลายรูปแบบเลยทีเดียว

  • ที่ตั้ง: 1/11 ตรอกมหาธาตุ ถนนมหาราช แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10200
  • พิกัด: ท่ามหาราช
  • การเดินทาง: นั่งเรือด่วนเจ้าพระยาลงท่าช้าง (N9) หรือนั่งรถโดยสารประจำทาง ลงหน้าท่ามหาราช สาย 32, 53, 124, 203, 201, ปอ.32, ปอ.524
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 10:00 – 21:00 น.

8. สวนรถไฟ

ถ้าอยากสัมผัสบรรยากาศพื้นที่สีเขียวแบบสบาย ๆ ขอแนะนำให้มาที่สวนรถไฟ ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คในกรุงเทพที่เป็นศูนย์กลางให้คนทั่วไปได้พักผ่อนและออกกำลังกายกัน ด้วยพื้นที่กว่า 375 ไร่ มีกิจกรรมให้ทำมากมายได้ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทั้งปั่นจักรยาน เข้าชมอุทยานผีเสื้อและแมลง เมืองจราจรจำลองสำหรับเด็กๆ เป็นต้น ใครที่ชอบบรรยากาศร่มรื่นหรือหาพื้นที่สำหรับปิกนิก ก็แวะมาที่สวนรถไฟได้เลย

  • ที่ตั้ง: ถนนกำแพงเพชร 3 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10900
  • พิกัด: สวนรถไฟ
  • การเดินทาง: รถไฟฟ้า BTS สถานีหมอชิต หรือรถไฟฟ้า MRT สถานีสวนจตุจักร
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 05:00 – 21:00 น.
สวนลุมพินี

9. สวนลุมพินี

สวนลุมพินี เป็นอีกหนึ่งสวนสาธารณะแลนด์มาร์คในกรุงเทพที่เปิดให้คนทั่วไปได้พักผ่อนและทำกิจกรรมกันได้ทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็น ด้วยพื้นที่ที่กว้างขวาง สามารถมาปิกนิก ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ หรือถ่ายรูปสวย ๆ โดยมีพื้นหลังเป็นสวนกว้างสีเขียวก็ทำได้ ตอบโจทย์ทุกกิจกรรมท่ามกลางธรรมชาติสีเขียว เหมาะสำหรับการพักผ่อนอย่างยิ่ง

  • ที่ตั้ง: แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10330
  • พิกัด: สวนลุมพินี 
  • การเดินทาง: ขิ้นรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีศาลาแดง หรือขึ้น MRT ลงสถานีสีลม
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 04:30 – 22:00 น.

10. สวนเบญจกิติและสวนป่าเบญจกิติ

สวนเบญจกิติได้เปิดพื้นที่แลนด์มาร์คในกรุงเทพใหม่อย่างสวนป่าเบญจกิติขึ้น เพื่อรองรับทุกกิจกรรมและทุกช่วงเวลาทั้งยามเช้าหรือยามเย็น สำหรับคนเมืองทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นปั่นจักรยาน พื้นที่เล่นกีฬา พื้นที่ศิลปะ และพื้นที่ทางวัฒนธรรม นอกจากนั้นยังเป็นต้นแบบของสวนสาธารณะเชิงนิเวศเพื่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพรรณไม้ต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็มีแต่ความร่มรื่นแน่นอน

  • ที่ตั้ง: ถนนรัชดา แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
  • พิกัด: สวนเบญจกิติและสวนป่าเบญจกิติ
  • การเดินทาง: ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีอโศก หรือ MRT ลงสถานีสุขุมวิท
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 05:00 – 21:00 น.
สะพานเขียว

11. สะพานเขียว

สะพานเขียวที่เชื่อมต่อระหว่างสวนเบญจกิติและสวนลุมพินีนั้น กลายเป็นหนึ่งในจุดเช็คอินในกรุงเทพและจุดถ่ายรูปยอดนิยมในกลุ่มวัยรุ่นอย่างมาก เพราะว่าเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้สึกราวกับว่าอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะในช่วงตอนเย็นที่แสงแดดสาดส่องลงที่สะพานเขียวนั้น เมื่อถ่ายรูปแล้วจะทำให้ได้บรรยากาศของภาพที่ดูอบอุ่นชวนให้นึกถึงญี่ปุ่นสุด ๆ

  • ที่ตั้ง: ถนนสารสิน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
  • พิกัด: สะพานเขียว
  • การเดินทาง: ขิ้นรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีศาลาแดง หรือขึ้น MRT ลงสถานีสีลม
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 06:00 – 21:00 น.
หอศิลปะวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

12. หอศิลปะวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

เหล่าคนที่ชื่นชอบในงานศิลปะจะต้องรู้จักแลนด์มาร์คในกรุงเทพอย่างหอศิลปะวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครอย่างแน่นอน เพราะเป็นสถานที่จัดนิทรรศการศิลปะต่างๆ และเป็นศูนย์รวมของคนรักงานศิลปะ ให้ได้มาแสดงออกกัน จึงกลายเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ช่วงบ่ายจะเป็นที่นิยมสำหรับวัยรุ่น ซึ่งมักจะมาถ่ายรูปตามมุมศิลปะสวย ๆ และเป็นจุดเช็คอินยอดนิยมนั่นเอง

นอกจากนี้หากใครไปเดินเล่นที่ MBK Center ซึ่งสามารถเดินเข้าทางเชื่อมBTS สนามกีฬาแห่งชาติ สามารถนำสัมภาระไปฝากฟรี 2 ชั่วโมง  เดินเที่ยวดูงานศิลป์ ช้อปปิ้งเพลินๆเดินตัวปลิวกับ AIRPORTELs

ที่ตั้ง: 939 ถนนพระราม 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10330

MOCA Museum

13. MOCA Museum

MOCA Museum เป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินในกรุงเทพที่เหล่าคนรักในงานศิลป์ต่างก็มาเพื่อชมงานศิลปะจากศิลปินชั้นครู และหามุมถ่ายรูปสวยๆ อยู่บ่อยๆ จนทำให้เป็นที่โด่งดังในโลกโซเชียลถึงความสวยงามของสถานที่ในสไตล์มินิมอล 

โดยเฉพาะมุมบันไดสีขาวที่ดูโล่งและกว้างใหญ่แต่ก็ดูสวยในเวลาเดียวกัน หากใครกำลังมองหาโลเคชันถ่ายรูปแบบมินิมอลอยู่ ต้องลองไปในวันธรรมดาที่มีคนน้อย บอกเลยว่าที่นี่ถือว่าตอบโจทย์และได้รูปสวยดั่งใจแน่นอน

  • ที่ตั้ง: 499 ถนนกำแพงเพชร 6 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
  • พิกัด: MOCA Museum 
  • การเดินทาง: รถโดยสารประจำทาง สาย 29, 69,134, 187, 191, 504, 510, 555 ลงป้ายสถานีปรมณู 1
  • เปิด-ปิด: วันอังคาร – วันอาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) เวลา 10:00 – 18:00 น.

14. Terminal 21

ศูนย์การค้า Terminal 21 ก็เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คในกรุงเทพที่ครบครันและตอบโจทย์ทุกไลฟสไตล์ ด้วยแนวคิดการชอปปิงแบบ Market Street ราวกับยกย่านการค้าชื่อดังของโลกมารวมไว้ที่นี่ที่เดียว ไม่ว่าจะสายชิล สายกิน หรือสายชอป ก็สามารถเพลิดเพลินไปกับที่นี่ได้แน่นอน ตั้งแต่ห้างเปิดยันห้างปิด 

นอกจากนี้ที่ Terminal 21 ยังมีที่รับฝากสัมภาระของ Airportels อีกด้วย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวให้เดินชอปปิงต่อได้อย่างสบายใจ 

  • ที่ตั้ง: 88 ซอยสุขุมวิท 19 แขวงคลองเตยเหนือ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
  • พิกัด: Terminal 21
  • การเดินทาง: ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีอโศก หรือขึ้น MRT ลงสถานีสุขุมวิท
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 10:00 – 22:00 น.

15. Siam Scape

แลนด์มาร์คในกรุงเทพแห่งใหม่ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์  “LIFELONG LEARNING” การเรียนรู้ที่ต่อยอดอย่างไม่มีสิ้นสุด จึงเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยสถาบันการศึกษา พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่เปิดตั้งแต่สายจนถึงดึก ทั้งร้านอาหาร สินค้าต่างๆ คลินิกเสริมความงาม และสเปซสำหรับนัดพบ อีกทั้งยังมี 

Installation Art อย่าง “ILLUSCAPE” ที่แปลกตาไม่ซ้ำใคร เป็นจุดที่เหมาะแก่การถ่ายรูปเช็คอินสุดเท่อย่างยิ่ง

  • ที่ตั้ง: 215 ถนนพญาไท แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10330
  • พิกัด: Siam Scape
  • การเดินทาง: ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีสยาม หรือลงสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 10:00 – 22:00 น.

16. อาคารไปรษณีย์กลาง

หนึ่งในแลนด์มาร์คในกรุงเทพที่เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ประกอบกับอาคารที่ออกแบบมาอย่างสวยงามและโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Brutalist ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในประเทศแถบตะวันตกเลยทีเดียว 

ทำให้ที่นี่จึงเป็นจุดถ่ายรูปเช็คอินยอดนิยม โดยเฉพาะลานกว้างหน้าอาคารไปรษณีย์กลางที่มักจะมีผู้คนแวะเวียนมาถ่ายรูปอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นตอนในยามกลางวันหรือยามที่พระอาทิตย์ลับฟ้าแล้ว

  • ที่ตั้ง: 1160 อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10500
  • พิกัด: อาคารไปรษณีย์กลาง
  • การเดินทาง: ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีสะพานตากสิน หรือ MRT ลงสถานีหัวลำโพง
  • เปิด-ปิด: วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 09:30 – 17:30 น.
Iconsiam

17. ICONSIAM

ICONSAM แลนด์มาร์คในกรุงเทพสุดอลังการที่นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติต่างก็อยากมาเยี่ยมชม โดยในศูนย์การค้านี้ครบครันทุกความบันเทิง ตอบโจทย์ในทุกไลฟ์สไตล์ และยังประดับไปด้วยศิลปะไทยในรูปแบบหรูหราอย่างลงตัว จุดถ่ายรูปสวยๆ มีให้เลือกมากมาย ทั้งน้ำพุ น้ำตก ลานชมวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฯลฯ โดยเฉพาะในตอนกลางคืนจะมีการเล่นแสงสี ทำให้ยิ่งสวยมากขึ้น จะถ่ายมุมไหนก็ได้รูปสวยๆ กลับไปอย่างแน่นอน

  • ที่ตั้ง: 299 ซอยเจริญนคร 5 แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10600
  • พิกัด: ICONSIAM
  • การเดินทาง: ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีสะพานกรุงธน ออกประตูทางออก 3 ต่อด้วยรถไฟฟ้าสายสีทอง
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 10:00 – 22:00 น.

18. บ้านบางเขน

ใครเป็นสายถ่ายรูปฮิปๆ แนะนำอีกหนึ่งจุดเช็คอินในกรุงเทพอย่าง บ้านบางเขน เพราะที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวในอดีต ตกแต่งด้วยธีมวันวานยุค 90 และยังสะสมของโบราณหาดูได้ยากอีกมากมาย ทำให้เต็มไปด้วยมุมถ่ายรูปสุดชิคสไตล์โบราณ รวมทั้งยังมีอาหารพื้นเมืองให้ทานอีกอีกด้วย เหมาะสำหรับการเดินเล่นถ่ายรูปชิล ๆ อย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางวัน

  • ที่ตั้ง: 17 ถนนพหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10220
  • พิกัด: บ้านบางเขน
  • การเดินทาง: ขึ้นรถโดยสารประจำทาง สาย 26, 34, 39, 59, 107, 114, 129, 185, 503, 512, 522, 543
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 09:00 – 02:00 น.
ช่างชุ่ย

19. ช่างชุ่ย

สายอาร์ตพลาดไม่ได้เลยกับแลนด์มาร์คในกรุงเทพชื่อดังอย่าง ช่างชุ่ย ที่เนรมิตพื้นที่ว่างเปล่าให้เป็นอาณาจักรแห่งความสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นคาเฟ บูธขายของ สินค้า ต่างก็ดูแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร และยังมีจุดถ่ายรูปยอดฮิตอย่าง “นาโอ” ร้านอาหารที่อยู่ในเครื่องบินลำใหญ่ใจกลางช่างชุ่ย ที่ใครเห็นเป็นสะดุดตาแน่นอน ไม่ว่าจะเดินทางมาเที่ยวตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน ก็สามารถเก็บภาพบรรยากาศของช่างชุ่ยที่สวยงามไม่แพ้กันเลย

  • ที่ตั้ง: 462 ถนนสิรินธร แขวงบางพลัด เขตบางพลัด จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10700
  • พิกัด: ช่างชุ่ย
  • การเดินทาง: โดยรถโดยสารประจำทาง สาย 515, 539
  • เปิด-ปิด: โซน Creative​ Park ​เปิดทุกวัน เวลา 11:00 – 23:00 น. และโซน Plane Night Market เปิดวันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 16:00 – 23:00 น.

20. ตลาดน้อย

อีกหนึ่งจุดแลนด์มาร์คในกรุงเทพที่อยากแนะนำ คือ ตลาดน้อย ตั้งอยู่ที่ซอยเจริญกรุง 22 ซึ่งเป็นย่านเก่าของชาวจีน ทำให้มีการผสมผสานวัฒนธรรมไทย – จีน จึงเห็นภาพบ้านเรือน ร้านอาหาร คาเฟสไตล์จีนเก่าอยู่มากมาย อีกทั้งมีสตรีตอาร์ตที่บอกเล่าชีวิตของคนในชุมชนนี้ ให้นักท่องเที่ยวสายถ่ายรูปได้เก็บภาพกันอย่างจุใจ ตั้งแต่เช้ายันเย็น 

  • ที่ตั้ง: ถนนเจริญกรุง แขวงสุริยวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10500
  • พิกัด: ตลาดน้อย
  • การเดินทาง: โดยรถโดยสารประจำทาง สาย 1, 35, 36, 75, 93
  • เปิด-ปิด: –
เยาวราช

21. เยาวราช

เยาวราช แลนด์มาร์คในกรุงเทพสุดฮิตที่จะเห็นคนเช็คอินในโซเชียลมีเดียอยู่บ่อยครั้ง เพราะเป็นย่านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ด้วยป้ายไฟสีแดงจากร้านทองที่เนืองแน่น ยิ่งในช่วงกลางคืนที่เต็มไปด้วยแสงสีและสตรีตฟู้ด ถือเป็นดินแดนในฝันของนักท่องเที่ยวสายถ่ายรูปและสายกิน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเป็นจุดเช็คอินยอดนิยมในโซเชียลมีเดียอยู่เสมอ

  • ที่ตั้ง: ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10100
  • พิกัด: เยาวราช
  • การเดินทาง: ขึ้นรถไฟฟ้า MRT ลงสถานี
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
สถานีรถไฟหัวลำโพง

22. สถานีรถไฟหัวลำโพง

สถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คในกรุงเทพที่ควรไปเยือนให้ได้สักครั้ง เพราะเป็นสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่สมัยปลายรัชกาลที่ 5 โดยตัวอาคารก่อสร้างเป็นโดมสไตล์อิตาเลียนผสมผสานกับศิลปะเรอเนซองส์ ทำให้มีความโดดเด่นราวกับสถาปัตยกรรมในยุโรป เพียงหาเวลาเหมาะ ๆ มาเดินชิล นั่งเล่น หรือถ่ายรูปสวย ๆ ทั้งในและนอกสถานีก็ได้ทั้งหมด

  • ที่ตั้ง: ถนนรองเมือง แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10330
  • พิกัด: สถานีรถไฟหัวลำโพง
  • การเดินทาง: ขึ้นรถไฟฟ้า MRT ลงสถานีหัวลำโพง
  • เปิด-ปิด:

23. ท่าช้าง

มาถึงจุดเช็คอินในกรุงเทพที่สุดท้ายที่อยากแนะนำ คือ ท่าช้าง ซึ่งในย่านนี้ได้มีการปรับภูมิทัศน์ใหม่ ทำให้มีสีสันมากขึ้น แถมโปร่งโล่ง ดูสะอาดตาอีกด้วย โดยไฮไลต์ของที่นี่ คือ ตึกแถวแห่งท่าช้างสไตล์นีโอคลาสสิก ที่ได้รับการฟื้นฟูจนสวยงามและมีสีเหลืองสดใสเหมาะแก่การถ่ายรูปชิคๆ ยิ่งในช่วงเย็นที่มีแสงพระอาทิตย์ตกดินคู่กับตึกแถวสีเหลือง จะยิ่งทำให้ถ่ายรูปออกมาได้สีสวยมากทีเดียว

  • ที่ตั้ง: ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
  • พิกัด: ท่าช้าง
  • การเดินทาง: นั่งเรือด่วนเจ้าพระยา ขึ้นที่ท่าเรือท่าช้าง
  • เปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 05:00 – 18:00 น.

แลนด์มาร์คในกรุงเทพต่างก็มีความโดดเด่นแตกต่างกันไป ลองออกไปเที่ยวแล้วค้นหาตัวเองดูว่าชอบสถานที่แบบไหน แล้วอย่าลืมถ่ายภาพสวยๆ เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยมาเที่ยวที่นี่แล้ว

วิธีส่งสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบินทำอย่างไร ราคาเท่าไหร่

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงมีสัตว์เลี้ยงคู่ใจเลี้ยงอยู่ที่บ้าน คอยให้ความรัก ความอบอุ่น และช่วยแก้เหงาให้ได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับนักเดินทางตัวยงแล้วล่ะก็ การจะไปเที่ยว ทำธุระไกลๆ หรือเดินทางไกลไปไหนก็แล้วแต่นั้น คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วน้องหมาหรือน้องแมวล่ะ จะพาพวกเขาเดินทางไปด้วยกันได้อย่างไร? 

บทความนี้จะมาช่วยไขทุกข้อสงสัยของคนรักสัตว์ ที่กำลังอยากเดินทางไกล แต่ไม่อยากฝากสัตว์เลี้ยงไว้ให้ใครดูแลหรือกำลังย้ายที่อยู่ และมีความต้องการที่จะพาเจ้าสี่ขาขึ้นเครื่องบินไปด้วย มาดูกันว่าวิธีส่งสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบินนั้นทำอย่างไร และมีค่าใช้จ่ายเท่าใดกัน

เริ่มต้นด้วยการตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง

เริ่มต้นด้วยการตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง

บอกเลยว่าทุกสายการบินจะมีข้อกำหนดไว้เลยว่า เจ้าของสัตว์เลี้ยงจะต้องพาสัตว์เลี้ยงไปตรวจสุขภาพก่อน โดยไม่ควรเกิน 10 วันก่อนการเดินทาง ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยงด้วยว่าพวกเขาไม่ได้กำลังเจ็บป่วย หรือมีปัญหาทางสุขภาพที่เมื่อสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องแล้ว ย่อมมีปัจจัยด้านความเครียดและความร้อนที่อาจจะไปกระตุ้นอาการเหล่านั้นให้แย่ลงไปอีกด้วย ซึ่งสายการบินจะไม่รับผิดชอบหากสัตว์เลี้ยงเสียชีวิต 

ดังนั้น เจ้าของจึงต้องดูแลสัตว์เลี้ยงให้มีสุขภาพแข็งแรง สัตว์เลี้ยงที่จะขึ้นเครื่องต้องไม่ได้กำลังตั้งครรภ์หรือบาดเจ็บ ควรพาพวกเขาไปตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง พูดคุยกับสัตวแพทย์ถึงความพร้อมของร่างกายสัตว์เลี้ยงของเราสำหรับการขึ้นเครื่อง ฉีดวัคซีนให้ครบ โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และนำสมุดรับรองสุขภาพไปเป็นหลักฐานในการพาสัตว์เลี้ยงเดินทางขึ้นเครื่องไปกับคุณได้

ตรวจสอบเงื่อนไขการขนส่งสัตว์เลี้ยงทางเครื่องบิน

ตรวจสอบเงื่อนไขการขนส่งสัตว์เลี้ยงทางเครื่องบิน

ก่อนนำสัตว์เลี้ยงเดินทางด้วยเครื่องบิน อย่าลืมตรวจสอบเงื่อนไขการขนส่งสัตว์เลี้ยงทางเครื่องบินให้อย่างละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากแต่ละสายการบินอาจมีข้อปฏิบัติ ข้อบังคับ หรือกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่แตกต่างกันไป 

รวมถึงต้องตรวจสอบเงื่อนไขการตรวจคนเข้าเมืองสำหรับสัตว์เลี้ยงที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ/ภูมิภาคด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยาก และข้อผิดพลาดในการพาสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องในภายหลัง

อีกสิ่งสำคัญที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงจะต้องตรวจสอบก็คือ ประเภทของสัตว์เลี้ยง ควรรู้ก่อนว่าสายพันธ์ุสัตว์เลี้ยงของเรานั้นอยู่ในบัญชีรายชื่อสายพันธุ์ต้องห้ามหรือไม่ เพราะถ้าสัตว์เลี้ยงของคุณตกเป็นสัตว์ต้องห้าม ก็ไม่สามารถพาพวกเขาไปด้วยได้ 

สัตว์ส่วนมากที่ไม่สามารถขนส่งผ่านเครื่องบินได้จะเป็นสัตว์จำพวกที่มีพิษ สัตว์ดุร้าย สัตวที่มีจมูกสั้น เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องศึกษาให้รอบคอบเพื่อการเดินทางที่ราบรื่น หรือในกรณีที่ไม่สามารถพาขึ้นเครื่องไปได้ จะได้หาแผนสำรองอื่นเตรียมไว้ทันท่วงที

รวมถึงเรื่องอายุของสัตว์เลี้ยงก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โปรดตรวจสอบอายุของสัตว์เลี้ยงที่สามารถนำขึ้นเครื่องได้กับแต่ละสายการบิน

นอกจากนี้ ในส่วนของต่างประเทศก็ต้องตรวจสอบข้อกำหนดของประเทศนั้นๆ เรื่องสายพันธุ์สุนัขและแมวสายการบิน ซึ่งจะมีแจ้งไว้อยู่แล้วว่าสายพันธุ์ไหนบ้างที่ไม่สามารถพาขึ้นเครื่องได้ 

กรงของสัตว์เลี้ยง

กรงของสัตว์เลี้ยง

กรงหรือบรรจุภัณฑ์สำหรับพาสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องไม่ใช่ว่าจะเป็นกรงขนาดใด ลักษณะใดก็ได้ หรือเห็นว่าเป็น กรงที่เคยพาสัตว์เลี้ยงเดินทางไปพบสัตวแพทย์เลยคิดว่าคงใช้ได้เหมือนกัน ความจริงแล้วจะใช้กรงที่มีอยู่แล้วก็ได้ แต่ต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่าเป็นกรงที่มีมาตรฐาน และจะต้องเป็นไปตามกฎระเบียบของสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ ซึ่งลักษณะของกรงที่เหมาะสมก็มีดังนี้

  • วัสดุพลาสติกแข็งตามข้อบังคับของ IATA
  • กรงแข็งแรง มีน็อตยึดแน่นหนา
  • กรงแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของสัตว์เลี้ยงได้
  • ประตูกรงแน่นหนา มีเพียงประตูเดียวสำหรับการเข้า-ออก
  • มีช่องระบายอากาศ สามารถมองเห็นได้ว่าเป็นกรงสัตว์
  • มีความกว้างและความยาวเพียงพอ ให้สัตว์กลับตัว พลิกตัว และยืนได้สะดวก หลังไม่ชนกรง
  • ต้องจัดเตรียมขวดน้ำแบบหยดสำหรับสัตว์เลี้ยง

สายการบินที่ขนส่งสัตว์เลี้ยงได้

สายการบินที่ขนส่งสัตว์เลี้ยงได้

ก่อนจะทำการจัดส่งสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบินนั้น เจ้าของจะต้องทำการบ้านโดยศึกษาข้อมูลของสายการบินต่างๆ เสียก่อนว่า สายการบินไหนบ้างที่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเดินทางไปกับเครื่องบินได้ และอาจมีรายละเอียดปลีกย่อยไปอีก อย่างการให้บริการเพียงบางจังหวัดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม อย่าลืมโทรสอบถามรายละเอียดกับสายการบินของจังหวัดนั้น ๆ ก่อนทุกครั้ง

สายการบินไทย (Thai Airways) 

สายการบินไทย (Thai Airways) มีบริการการนำสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่อง แบบ Check Baggage (AVIH) สัตว์เลี้ยงจะต้องมีขนาดตามระเบียบของ IATA’s Live Animals Regulations (LAR) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในเรื่องการขนส่งสัตว์ที่มีชีวิตผ่านสายการบินต่างๆ 

ทางการบินไทยนั้น จะนำสัตว์เลี้ยงของเราไปโหลดไว้ยังห้องบรรทุกสัมภาระพิเศษใต้ท้องเครื่อง ที่ได้มีการออกแบบให้มีระบบควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมกับสัตว์เลี้ยงอีกด้วย

สำหรับเที่ยวบินที่ทางสายการบินไทยไม่รับสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องแบบ Check Baggage (AVIH) มีดังต่อไปนี้

  • เที่ยวบินไปโอ๊กแลนด์ เดนปาซาร์ ดูไบ ฮ่องกง และ ลอนดอน
  • เที่ยวบิน ไป / กลับจากออสเตรเลีย (บริสเบน เมลเบิร์น เพิร์ท ซิดนีย์)
  • เที่ยวบินที่ให้บริการด้วยเครื่องบินแบบแอร์บัส A320

ส่วนเรื่องของสายพันธุ์สุนัขที่การบินไทยขอสงวนสิทธิ์ในการให้บริการขนส่งสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่อง ก็มีทั้งหมด 25 สายพันธุ์ด้วยกัน 

REF

  1. อเมริกันบูลด็อก / บูลลี่ (American Bulldog / Bully)
  2. อเมริกันสแตฟฟอร์ดเชียร์เทอร์เรียร์ (American Staffordshire Terrier)
  3. อเมริกันพิทบูลเทอร์เรียร์ (American Pit Bull Terrier)
  4. บอสตันเทอร์เรียร์ (Boston Terrier)
  5. บ็อกเซอร์ ( Boxer)
  6. บราสเซิลส์กริฟเฟิน (Brussels Griffon)
  7. บูลด็อก (Bulldog)
  8. ไชนีสปั๊ก (Chinese Pug)
  9. เชาเชา (Chow Chow)
  10. ดัชปั๊ก (Dutch Pug)
  11. อิงลิชบูลด็อก (English Bulldog)
  12. อิงลิชทอยสแปเนียล (English Toy Spaniel)
  13. เฟรนช์บูลด็อก (French Bulldog)
  14. ลาซาแอปโซ ( Lhasa Apso)
  15. เจแปนนีสบ็อกเซอร์ (Japanese Boxer)
  16. เจแปนนีสปั๊ก (Japanese Pug)
  17. เจแปนนีสชิน (Japanese Spaniel (Chin)
  18. มาสทิฟฟ์ (ทุกสายพันธุ์) Mastiff (All Breeds)
  19. ปักกิ่ง (Pekinese)
  20. พิทบูล (Pit Bull)
  21. ปั๊ก (Pug)
  22. ชาเป่ย (Shar Pei)
  23. ชิสุ (Shih Tzu)
  24. สแตฟเฟอร์ดไชร์บูลเทอร์เรียร์ (Staffordshire Bull Terrier)
  25. ทิเบตันสแปเนียล (Tibetan Spaniel)

ค่าใช้จ่าย

สำหรับการบินไทยแล้วการขนส่งสุนัขขึ้นเครื่องบินมีราคา 0 บาทเท่านั้น! เป็นสิทธิพิเศษสำหรับผู้โดยสารที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นหรือทางการได้ยิน และจำเป็นจะต้องมีสุนัขนำทางหรือสุนัขที่ให้ความช่วยเหลืออยู่ข้างกาย 

โดยทางผู้โดยสารจะต้องติดต่อสำนักงานขายการบินไทยประจำท้องถิ่นของท่านอย่างน้อย 48 ชั่วโมง ในส่วนของบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้ต้องมีสุนัขนำทาง มีการเสียค่าใช้จ่ายตามอัตราของการขนส่งทางอากาศ ซึ่งสามารถติดต่อสำนักงานการบินไทยสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายได้

สายการบินนกแอร์ (Nok Air) 

ถ้าอยากจะพาสัตว์เลี้ยงขนส่งขึ้นเครื่องบินกับทางสายการบินนกแอร์ก็สามารถทำได้ โดยทางนกแอร์มีบริการขนส่งสินค้าและสัตว์เลี้ยงผ่านทางนกแอร์คาร์โก้ ซึ่งปฎิบัติการภายใต้ระเบียบมาตราฐานและข้อกำหนดของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association – IATA) และยังได้รับอนุญาตจากสำนักการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (Civil Aviation Authority of Thailand – CAAT) ซึ่งหลักเกณฑ์ในการขนส่งสินค้าและสัตว์เลี้ยงของสายการบินนกแอร์ ก็มีดังนี้

  • น้ำหนักจะต้องไม่เกิน 20-25 กิโลกรัม
  • ไม่เป็นสินค้าผิดกฏหมาย (อาวุธปืน, ยาเสพติด, ยุทธภัณฑ์)
  • ไม่เป็นวัตถุอันตราย
  • ไม่ตรงตามมาตรการรักษาความปลอดภัยหรือเป็นอันตรายต่อการขนส่งทางอากาศ
  • การประกาศห้ามรับสินค้าที่เกินสมรรถนะของอากาศยาน
  • สัตว์มีชีวิตต้องไม่เป็นสัตว์ที่มีพิษ สุนัขที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวดุร้าย หรือสุนัขบางสายพันธ์ุ

ซึ่งสายพันธุ์สุนัขที่ไม่สามารถขนส่งผ่านสายการบินนกแอร์ ก็ประกอบไปด้วยสุนัขทั้งหมด 19 สายพันธุ์ ดังต่อไปนี้

  1. ปั๊ก ( Pug Breeds )
  2. เฟรนช์บูลด็อก ( French Bulldog )
  3. อิงลิชบูลด็อก ( English Bulldog )
  4. อเมริกันบูลด็อก / บูลลี่ ( American Bulldog / Bully )
  5. บรัสเซิลส์เทอร์เรียร์ ( Brussels Terrier )
  6. อิงลิชทอยสแปเนียล ( English Toy Spaniel )
  7. เจแปนนีสสแปเนียล ( Japanese Spaniel )
  8. ปักกิ่ง ( Pekingese )
  9. ทิเบตันสแปเนียล ( Tibetan Spaniel )
  10. ชาเป่ย ( Shar Pei )
  11. ลาซาแอปโซ ( Lhasa Apso )
  12. บอสตันเทอร์เรียร์ ( Boston Terrier )
  13. บ็อกเซอร์  ( Boxer Breeds )
  14. ด็อจเดบอร์โดซ์ ( Dogue de Bordeaux )
  15. เชาเชา ( Chow Chow )
  16. มาสทิฟฟ์บรีด ( Mastiff Breeds )
  17. อเมริกันพิทบูลเทอร์เรียร์ ( American Pit Bull Terrier )
  18. พิทบูล ( Pit Bull )
  19. สแตฟเฟอร์ดไชร์บูลเทอร์เรียร์ ( Staffordshire Bull Terrier)

นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ทางนกแอร์ก็ยังมีกฎเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ของสัตว์เลี้ยง นั่นก็คือ

  • กรงสัตว์เลี้ยงเป็นวัสดุพลาสติกแข็งตามข้อบังคับของ IATA
  • มีเพียงประตูเดียวสำหรับให้สัตว์เลี้ยงเข้า / ออก และสามารถป้องกันสัตว์เลี้ยงไม่ให้หลุดออกมาหรือป้องกันกรงเล็บของสัตว์เลี้ยงได้
  • ขันสกูรรอบด้านให้ครบ
  • มีช่องระบายอากาศที่เปิดออกได้มากกว่าหนึ่งด้าน มองเห็นได้ง่ายว่าเป็นกรงสัตว์ และมีวัสดุดูดซับความชื้นคลุมด้านล่างหรือพื้นของกรง
  • มีพื้นที่เพียงพอให้สัตว์เลี้ยงกลับตัวไปมาได้
  • หากส่งสุนัข แมว หรือ กระต่าย ต้องจัดเตรียมขวดน้ำแบบหยด และทำการยึดกับกรงให้แน่นหนา
  • หากกรงชำรุด ทางสายการบินไม่รับขนส่งเด็ดขาด โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่สายการบิน

นกแอร์ให้บริการขนส่งสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องเฉพาะบนเครื่องบิน Boeing 737-800 เส้นทางภายในประเทศเท่านั้น รวมถึงบางครั้งอาจไม่มีที่ว่างให้บริการในบางเที่ยวบิน เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด และก็อย่าลืมพาเจ้าสี่ขาไปถึงยังนกแอร์คาร์โก้ก่อนเวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงด้วย

ค่าใช้จ่าย

อัตราค่าบริการสำหรับบริการขนส่งสัตว์เลี้ยงเริ่มต้นที่ 440 บาท สามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราค่าบริการขนส่งสัตว์เลี้ยงของสายการบินนกแอร์ได้ ที่นี่

สายการบินบางกอกแอร์เวยส์ (Bangkok Airways) 

สายการบินบางกอกแอร์เวยส์ (Bangkok Airways) มีบริการขนส่งสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบิน โดยจะมีทางเจ้าหน้าที่พาสัตว์เลี้ยงของเราไปโหลดไว้ที่ห้องบรรทุกสัมภาระ ที่มีการควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมและปลอดภัยกับพวกเขา ส่วนรายละเอียดกฎเกณฑ์ของสายการบินในการขนส่งสัตว์เลี้ยงประกอบไปด้วย

  • รับเพียงสุนัขและแมวเท่านั้น
  • ต้องแจ้งกับทางสายการบินผ่านทาง Call Center หรือสำนักงานออกบัตรโดยสาร ก่อนออกเดินทาง 24 ชั่วโมง
  • ในการเดินทางต่างประเทศเจ้าของจะต้องจัดเตรียมเอกสารต่างๆ ให้ครบถ้วน (ใบอนุญาตนำเข้าสัตว์ ใบอนุญาตการส่งออกสัตว์ ใบอนุญาตขนถ่ายสัตว์ ใบรับรองสุขภาพจากสัตวแพทย์ เอกสารรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า หนังสือเดินทางสัตว์เลี้ยง)
  • กรงสัตว์เลี้ยงต้องมีมาตรฐาน แข็งแรงตามข้อกำหนดของกรง
  • ต้องถอดปลอกคอ เสื้อกั๊ก สายรัด เสื้อผ้า และอุปกรณ์ติดตาม GPS 
  • เส้นทางในประเทศจะให้บริการเฉพาะเส้นทางเข้า-ออก เชียงใหม่ ภูเก็ต และสมุย และเส้นทางที่เดินทางโดยเครื่องบินประเภท AT72 โดยสุนัขหรือแมวต้องมีอายุอย่างน้อย 8 สัปดาห์
  • เส้นทางต่างประเทศสามารถให้บริการรับขนส่งสัตว์เลี้ยงได้ทุกเส้นทาง ยกเว้นเส้นทางมัลดีฟส์มีบริการรับขนส่งเฉพาะแมวเท่านั้น

ทางสายการบินยังมีข้อห้ามในการนำสุนัขบางสายพันธุ์ขึ้นเครื่องด้วย (ข้อกำหนดนี้รวมถึงสุนัขที่มีการผสมข้ามสายพันธุ์กับสายพันธุ์ต้องห้าม) ดังนี้

  1. อเมริกันบูลด็อก / บูลลี่ (American Bulldog/ Bully)
  2. อเมริกันสแตฟฟอร์ดเชียร์เทอร์เรียร์ (American Staffordshire Terrier)
  3. อเมริกันพิทบูลเทอร์เรียร์ (American Pit Bull Terrier)
  4. บอสตัน เทอร์เรียร์(Boston Terrier)
  5. บ็อกเซอร์ (Boxer)
  6. บราสเซิลส์กริฟเฟิน (Brussels Griffon)
  7. บูลด็อก (Bulldog)
  8. ไชนีสปั๊ก (Chinese Pug)
  9. เชา เชา (Chow Chow)
  10. ดัชปั๊ก (Dutch Pug)
  11. อิงลิชบูลด็อก (English Bulldog)
  12. อิงลิชทอยสแปเนียล (English Toy Spaniel)
  13. เฟรนช์บูลด็อก (French Bulldog)
  14. ลาซาแอปโซ (Lhasa Apso)
  15. เจแปนนีสบ็อกเซอร์ (Japanese Boxer)
  16. เจแปนนีสปั๊ก (Japanese Pug)
  17. เจแปนนีสชิน Japanese Spaniel (Chin)
  18. มาสทิฟฟ์ (ทุกสายพันธุ์) Mastiff (All Breeds)
  19. ปักกิ่ง (Pekinese)
  20. พิทบูล (Pit Bull)
  21. ปั๊ก (Pug)
  22. ชาเป่ย (Shar Pei)
  23. ชิสุ (Shih Tzu)
  24. สแตฟเฟอร์ดไชร์บูลเทอร์เรียร์ (Staffordshire Bull Terrier)
  25. ทิเบตันสแปเนียล (Tibetan Spaniel)

ค่าใช้จ่าย

ค่าใช้จ่ายในการส่งสุนัข-ส่งแมวขึ้นเครื่องบิน ราคาเป็นไปตามค่าธรรมเนียมตามน้ำหนักสัมภาระเกินกำหนด (Excess Baggage) ซึ่งคิดจากน้ำหนักสัตว์เลี้ยงรวมกับน้ำหนักกรง เส้นทางในประเทศจะคิดอัตรากิโลกรัมละ 180 บาทต่อเที่ยวบิน และสำหรับเส้นทางต่างประเทศจะคิดตามอัตราของแต่ละเส้นทางโดยแบ่งตามโซน

ข้อควรระวังในการนำส่งสัตว์เลี้ยงทางเครื่องบิน

ข้อควรระวังในการนำส่งสัตว์เลี้ยงทางเครื่องบิน

ในการนำสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่อง นอกจากเงื่อนไขหรือข้อกำหนดของแต่ละสายการบินที่ควรรู้ไว้แล้ว คุณควรศึกษาข้อห้ามและข้อควรระวังเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้มีแต่ความปลอดภัยกับชีวิตของสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก

  • ควรงดให้อาหารกับสัตว์เลี้ยงก่อนการเดินทาง เพื่อให้กระเพาะอาหารของสัตว์เลี้ยงว่าง ป้องกันสัตว์เลี้ยงขับถ่ายขณะอยู่บนเครื่อง
  • ถ้าช่วงนั้นมีสภาพอากาศที่ร้อน ควรเลือกเดินทางในเวลาเช้าตรู่หรือในเวลาดึก แต่ถ้าช่วงนั้นมีสภาพอากาศที่หนาว ควรเลือกเดินทางในเวลากลางวัน
  • ควรเลือกจองตั๋วเป็นสายการบินประเภทบินตรงและบินในช่วงกลางสัปดาห์ที่มีผู้โดยสารน้อย หลีกเลี่ยงการเดินทางในวันศุกร์ วันเสาร์ วันอาทิตย์ หรือวันหยุดยาว
  • กรณีที่สายการบินไม่สามารถป้องกันการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่กระทบตัวสัตว์ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 45 องศาฟาเรนต์ไฮต์ เป็นเวลามากกว่า 45 นาที ระหว่างการขนถ่ายจากตัวเครื่องไปยังตัวอาคารผู้โดยสารได้ ห้ามสายการบินนั้นๆ รับสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องเด็ดขาด ยกเว้นว่าจะมีใบรับรองจากสัตวแพทย์ที่ระบุว่าสัตว์เลี้ยงของคุณสามารถทนต่อสภาพอุณหภูมิที่ต่ำ 45 องศาฟาเรนต์ไฮต์ (แต่ไม่เกิน 85 องศาฟาเรนต์ไฮต์) เป็นเวลามากกว่า 45 นาทีได้

จะเห็นได้ว่าการนำสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบินนั้นมีกฎเกณฑ์และข้อกำหนดที่แตกต่างกันไปในแต่ละสายการบิน ดังนั้น เจ้าของสัตว์เลี้ยงจึงต้องมีการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนเดินทางทุกครั้ง เพื่อป้องกันการผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง เมื่อหมดห่วงเรื่องสัตว์เลี้ยงแล้ว ใครที่เดินทางคนเดียว แต่สัมภาระเยอะสามารถใช้บริการของ Airportels ที่มีบริการส่งกระเป๋าจากสนามบิน-ถึงที่พัก ตัดความกังวลเรื่องไม่มีรถส่วนตัวขนย้ายได้เลย

วิธีอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และอัปเกรดห้องพัก ให้สะดวกสะบายเกินราคาจ่ายจริง

ทุกวันนี้การเดินทางไปยังจุดหมายมีตัวเลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น รถโดยสาร รถไฟ หรือแม้แต่การเดินทางด้วยเครื่องบิน ที่ทำให้การเดินทางสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงในเรื่องของการจองที่พักจุดหมายปลายทางก็มีตัวเลือกมากมายเช่นกัน  แต่จะดีกว่าไหม? ถ้าเราสามารถอัปเกรดการเดินทางของเราให้สะดวกมากยิ่งขึ้น เช่น การอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน รวมถึงการอัปเกรดห้องพักที่จะทำให้การพักผ่อนเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย บทความนี้ ขอแนะนพการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และห้องพัก เพื่อให้คุ้มค่ากับราคาที่จ่าย

การอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และห้องพัก คืออะไร 

การอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และการอัปเกรดห้องพัก คือ การเพิ่มสิทธิประโยชน์จากเดิมให้มากขึ้น เช่น เรื่องของการอำนวยความสะดวกต่างๆ หรือแม้แต่การให้บริการ ทำให้การเดินทาง และเข้าพักในแต่ละทริป สะดวก สบายมากยิ่งขึ้น และการอัปเกรดก็สามารถทำได้หลากหลายวิธีเช่นกัน

ทำไมจึงต้องอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และห้องพัก

ทำไมจึงต้องอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และห้องพัก

ในทุกการเดินทางและการเข้าพัก หากมีโอกา หรือมีความต้องการการอัปเกรด ไม่ว่าจะเป็นการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน หรือแม้แต่การอัปเกรดห้องพักก็ควรทำอย่างไม่ลังเล เพราะการอัปเกรดมีข้อดีมากมาย ที่นอกจาก เพิ่มความสะดวก สบาย ในราคาที่คุ้มค่า แต่ก็ยังเพิ่มสิทธิประโยชน์ในด้านอื่น เช่น

  • สิทธิพิเศษในการเช็กอิน
  • น้ำหนักกระเป๋าที่เพิ่มมากขึ้น
  • ที่นั่งสะดวกสบาย เหมาะกับทุกการเดินทางไม่ว่าจะใกล้ หรือไกล
  • บริการห้องรับรอง หรือเลานจ์ภายในสนามบิน

รวมไปถึงการอัปเกรดห้องพักด้วย เช่น

  • บริการของว่างรอต้อนรับ
  • ขยายเวลาเช็กอิน และเช็กเอาท์
  • ฟรีบริการในเรื่องของอาหาร
  • การใช้บริการอย่างมินิบาร์ หรือเลานจ์ เป็นต้น

เพิ่มประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบอัปเกรดในราคาประหยัด

เพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยวให้คุ้มค่าด้วยสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้น โดยการอัปเกรดตั๋วเครื่องบินและการอัปเกรดห้องพัก ที่จะทำให้การเที่ยวมีความสุขมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้ช่วยให้ได้รับประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ดี จากการรับการอำนวยความสะดวกในเรื่องของบริการ ทำให้ทุกการเดินทาง หรือการไปพักผ่อนไม่มีสะดุด และเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย

เพิ่มประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบอัปเกรดในราคาประหยัด

วิธีการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน

เพื่อให้การเดินทางไปยังจุดหมายด้วยความสะดวก สบายมากยิ่งขึ้น การอัปเกรดตั๋วเครื่องบินจึงเป็นที่นิยม ซึ่งสำหรับคนที่อยากจะอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน แต่ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นทำอย่างไรดี หรือทำวิธีนี้จะได้รับการอัปเกรดที่ถูกต้องหรือไม่  วันนี้ AIRPORTELs จึงมีวิธีการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน ที่สามารถทำตามได้ ดังนี้

ติดต่อกับสายการบินโดยตรง

การติดต่อกับสายการบินโดยที่เดินทางโดยตรง เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็ว เพราะนอกจากทำให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนสำหรับการซื้อ หรือการอัปเกรดตั๋วเครื่องบินแล้ว ในบางครั้งสายการบินอาจมีโปรโมชั่น หรือข้อเสนอพิเศษสำหรับอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน เช่น การแลกไมล์สะสม เพื่ออัปเกรดตั๋วเครื่องบิน หรือการใช้เงินสดและไมล์สะสม เพื่อทำการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน ทำให้ได้ในตั๋วเครื่องบินอัปเกรดในราคาที่คุ้มค่า

ใช้เครื่องมือออนไลน์

การจองตั๋วออนไลน์ ถือเป็นอีกวิธีในการจองที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เพราะให้ทั้งความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลา และอยู่ที่ไหนก็จองได้ อีกทั้งยังมีตัวเลือก และการเปรียบเทียบราคาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่น หรือข้อเสนอพิเศษสำหรับการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน นอกจากนี้ การจองออนไลน์สามารถทำได้จากเว็บไซต์สำหรับการจองตั๋ว หรือการเข้าร่วมโปรแกรมสมาชิกของสายการบิน และอีกวิธี คือ การจองผ่านแอปพลิเคชันสำหรับการจองตั๋วเครื่องบิน

ยกตัวอย่าง เช่น Traveloka แอปพลิเคชันการจองตั๋ว ที่มีตัวเลือกหลากหลายในทุกการเดินทางทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ อีกทั้งยังมีเครื่องมือตัวช่วยที่หลากหลาย เช่น การจองการค้นหาเส้นทางบิน การเลือกเที่ยวบิน และฟีเจอร์อย่าง Flight Upgrade ซึ่งเป็นตัวช่วยเพิ่มสิทธิพิเศษอย่างการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และยังมีวิธีการใช้งานที่ง่าย ตามวิธีต่อไปนี้

  1. ค้นหาเส้นทางบินที่ต้องการ ค้นหาเส้นทางการบินได้ง่ายดาย เพียงเลือกจากจุดหมายปลายทางที่เราต้องการ วันเวลาเดินทาง มีให้เลือกทั้งสายการบินในประเทศ และระหว่างประเทศ ทั้งยังมีการเดินทางให้เลือกไม่ว่าจะเป็น ขาเดียว/ไป-กลับ หรือแม้แต่การเดินทางไปยังหลายเมือง
  2. กดเลือกเที่ยวบินที่ต้องการ การเลือกเที่ยวบินที่ต้องการ ก็ทำได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่กดเลือก ก็จะมีข้อมูลเบื้องต้นของเที่ยวบิน ไม่ว่าจะเป็นเวลาการเดินทาง น้ำหนักสัมภาระ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่สรุปมาให้อย่างง่ายดาย
  3. กดแบนเนอร์ไฟล์ทอัปเกรด ไฟล์ทอัปเกรด สามารถใช้กับสายการบินที่ร่วมรายการเท่านั้น เช่น Thai Lion Air (ไทยไลอ้อนแอร์), Thai Vietjet Air (ไทยเวียตเจ็ทแอร์) รวมไปถึงบางสายการบินนอกประเทศ ไฟล์ทอัปเกรดสามารถช่วยยืดหยุ่นเรื่องของการเดินทาง เพราะเราสามารถเลือกเวลาการเดินทางเองได้ตามต้องการ หรือแม้แต่การเปลี่ยนเที่ยวบินที่สามารถเลื่อนได้ตลอดเวลา แต่ระยะเวลาการเปลี่ยนเที่ยวบิน ต้องเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น
  4. เลือกคลาสที่ต้องการอัปเกรด ในการเดินทางที่ไม่ว่าใกล้หรือไกล การเลือกที่นั่งเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น ฟีเจอร์นี้จึงมีให้เลือกอัปเกรดที่นั่งของตั๋วเครื่องบิน ถึง 3 แบบ ได้แก่ Eco, Deluxe และ SkyBoss ที่สามารถเลือกได้ทั้งขาไป และขากลับ โดยสามารถเลือก และเปรียบเทียบได้ตามต้องการ และในแต่ละครั้งที่เลือกอัปเกรดตั๋วเครื่องบินก็จะได้รับสิทธิประโยชน์แตกต่างกันออกไป

ใช้บริการบุคคลที่สาม หรือเอเจนซี่

สำหรับคนที่ไม่มีเวลาในการค้นหา หรือเปรียบเทียบราคาเที่ยวบินแต่ละสายการบิน สามารถใช้บริการจากบริษัทจองตั๋วที่มีความเชี่ยวชาญได้เช่นกัน ข้อดี คือ สะดวก รวดเร็ว เพราะรวมสายการบินมาไว้ในที่เดียว ทำให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบ และช่วยค้นหาโปรโมชั่น หรือข้อเสนอพิเศษสำหรับการอัปเกรดตั๋วเครื่องบินได้ แต่ก็มีข้อเสีย เพราะทุกครั้งในการจองอาจมีค่าธรรมเนียมในการบริการ

ใช้แต้มสะสม

บางครั้งสายการบินอาจมีโปรโมชั่น หรือข้อเสนอพิเศษสำหรับอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน คือ การใช้แต้มสะสมการเดินทางจากสายการบินเดิม หรือที่เรียกกันว่า ไมล์สะสม ให้กับคนที่เดินทางเป็นประจำ โดยสามารถนำแต้มสะสมเหล่านี้มาใช้ในการอัปเกรดตั๋วเครื่องบินได้ และการใช้แต้มสะสมของแต่ละสายการบินก็จะมีจุดเด่น หรือการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป

อย่างไรก็ตาม การอัปเกรดตั๋วเครื่องบินอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ไม่ว่าการเดินทางในประเทศ ระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ละสายการบินเองก็ตาม ดังนั้น คุณควรตรวจสอบข้อกำหนด และเงื่อนไข ก่อนตัดสินใจอัปเกรดตั๋วเครื่องบินของคุณ

วิธีการอัปเกรดห้องพัก

วิธีการอัปเกรดห้องพัก

การอัปเกรดห้องพัก นอกจากจะช่วยเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก หรือบรรยากาศภายในห้องแล้ว ยังรวมไปถึงการเปลี่ยนวิวทิวทัศน์เดิมๆ ให้ดูสวยงาม อย่างเช่น วิวภูเขา ทะเล หรือสวน ที่จะทำให้การพักผ่อนมีความสุข และผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การอัปเกรดห้องพักมักได้ใช้บริการต่าง ๆ จากที่พักมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บริการอาหารเช้า บริการดินเนอร์ หรือแม้แต่บริการนวดผ่อนคลาย เป็นต้น จึงทำให้คนส่วนใหญ่มักเลือกบริการอัปเกรดห้องพัก ซึ่งการขออัปเกรดห้องพัก มีวิธีดังนี้

ติดต่อโรงแรมโดยตรง

ในกรณีที่อยากขออัปเกรดห้องพัก วิธีที่ง่ายและได้ข้อมูลที่ครบถ้วน คือ การติดต่อโรงแรมที่จะเข้าพัก เพื่อขออัปเกรดห้องพักได้โดยตรง การติดต่อสามารถทำได้ทั้งทางเบอร์โทรศัพท์ หรือ Reception ซึ่งบางครั้งโรงแรมอาจมีโปรโมชั่น หรือข้อเสนอพิเศษสำหรับการอัปเกรดห้องพักให้คุณได้เลือกอีกด้วย

ใช้เครื่องมือออนไลน์ 

นอกจากการจองตั๋วเครื่องบินออนไลน์แล้ว การค้นหาที่พักออนไลน์ และการจองที่พักออนไลน์ก็มีให้บริการเช่นกัน เช่น การใช้เว็บไซต์การจองโรงแรม หรือแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับโรงแรม เช่น AGODA เว็บไซต์ และแอปจองห้องพักที่สามารถระบุปลายทาง วันเดินทาง และยังมีตัวเลือกการจองเพิ่มเติม เช่น การค้นหาตามราคา จำนวนดาวของที่พัก หรือประเภทของที่พัก รวมไปถึงข้อเสนอพิเศษอย่าง เช่น อัปเกรดห้องพัก และโปรโมชั่นที่น่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม การอัปเกรดห้องพักอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ดังนั้น คุณควรตรวจสอบข้อกำหนด และเงื่อนไขก่อนที่จะตัดสินใจอัปเกรดห้องพักของคุณ

แอร์พอเทลล์บริการรับฝากและขนส่งสัมภาระที่สนามบิน

บริการรับและส่งกระเป๋าและสัมภาระ

แอร์พอเทลล์ให้บริการฝากกระเป๋าที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง เริ่มต้นที่ 100 บาท/ใบ/วัน เพื่อให้คุณทำธุระหรือท่องเที่ยวได้อย่างอิสระ เรามีห้องเก็บกระเป๋าและระบบกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง และให้บริการส่งกระเป๋า ราคาเริ่มต้นที่ 299บาท/ใบ ปลายทางทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด มีพื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทย

สาขาของแอร์พอเทลล์ที่สนามบิน

สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้นบี,โซนแอร์พอร์ตลิงก์ (บริเวณใกล้กับซุปเปอร์ริช)

สนามบินดอนเมือง อาคารผู้โดยสารหลังที่ 2, ชั้น 1, ประตู 9 

สรุป

ในการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และการอัปเกรดห้องพัก นอกจากทำให้การเดินทาง และการเข้าพักสะดวก สบายแล้ว ก็ยังมีสิทธิประโยชน์อีกมากจากการอัปเกรด และในการเดินทางไปยังที่ต่างๆ เวลาคุณลงจากเครื่อง แล้วอยากไปนั่งชิลต่อที่คาเฟ่ หรือไปเที่ยวรอบๆ โดยไม่อยากแวะเข้าที่พักหรือโรงแรมก่อน คุณสามารถใช้บริการจาก Airportels ที่ให้บริการรับฝากของที่สนามบิน หรือส่งสัมภาระจากสนามบินไปยังโรงแรมของคุณได้ เพื่อช่วยประหยัดเวลา และค่าเดินทาง อีกทั้งยังสามารถเรียกใช้บริการได้ 24 ชั่วโมงอีกด้วย

31 ร้านเด็ด ที่ห้ามพลาด ของกิน ม.เกษตร (บางเขน) อัปเดต 2023

ปัจจุบันมีร้านอาหารมากมายให้ได้เลือกทานตามความชอบ ไม่ว่าจะเป็นเมนูปิ้งย่าง ชาบู เครื่องดื่ม และอื่นๆ ซึ่งความต้องการที่ทุกคนมีเหมือนกันเมื่อรับประทานอาหาร คือ ความอร่อย แต่บางครั้งอาจไม่รู้ว่าต้องเข้าร้านอาหารแบบไหนดี หรือมีร้านอาหารไหนบ้างที่รสชาติอร่อย ดังนั้น บทความนี้จะพาผู้ที่ชื่นชอบการกิน ไปรู้จักกับ 31 ร้านเด็ด ของกิน ม. เกษตร ที่อร่อยจนต้องบอกต่อ เอาใจนักศึกษา และคนทั่วไปที่มีใจรักในการกิน จัดเต็ม อิ่มเพลิน จะมีร้านไหนบ้างไปดูกันเลย

ปิ้งย่าง ชาบู ร้านอาหารของคาวสุดฮิต

ปิ้งย่าง ชาบู ร้านอาหารของคาวสุดฮิต

ที่ ม.เกษตรมีร้านอาหารสไตล์ปิ้งย่าง ชาบู และของคาวมากมายหลายเชื้อชาติที่รอให้ทุกคนได้แวะมาชิม มาพร้อมกับความอร่อยที่ลงตัว ราคาประหยัด เหมาะสำหรับนักศึกษา และทุกๆ คน ดังนี้

1. Sam Steak and More

Sam Steak and More  เป็นร้านอาหารประเภทสเต็ก สัญชาติฝรั่งเศส เนื่องจากประเทศฝรั่งเศสเป็นต้นกำเนิดของอาหารชนิดนี้ เรื่องราวจัดเต็มแบบนี้ จึงทำให้ Sam Steak and More เป็นร้านเด็ดของกิน ม.เกษตรที่น่าสนใจ

จุดเด่นของร้าน คือ สเต็กที่มีความอร่อย ราคาประหยัด ให้ปริมาณเยอะสุดคุ้ม มีเมนูให้เลือกมากมาย หากใครอยากรับประทานอาหารอร่อยๆ พร้อมกับเครื่องดื่มที่เย็นชื่นใจ หรือของทานเล่น บอกได้เลยว่าร้านเด็ด ม.เกษตรแห่งนี้ตอบโจทย์คุณอย่างแน่นอน

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยที่ควรลอง คือ เมนูสเต็ก ซึ่งเมนูสเต็กเป็นเมนูหลักยอดฮิต ที่มาพร้อมซอสสุดพิเศษของทางร้าน เมื่อรับประทานไปพร้อมกับสเต็กแล้ว ทำให้ได้รสชาติอร่อยมากขึ้นไปอีก

  • สเต็กไก่พริกไทยดำ (ราคาเริ่มต้น 79 บาท) เป็นเมนูที่มาพร้อมกับความหอมของเครื่องเทศ และพริกไทยดำ คลุกเคล้าเข้ากับเนื้อสเต็กไก่ร้อนๆ ชิ้นใหญ่จุใจ
  • สเต็กไก่สไปซี่ (ราคาเริ่มต้น 79 บาท) มาพร้อมรสชาติความอร่อยลงตัวของไก่ย่างชุ่มช่ำ ชวนน่ารับประทาน บวกกับซอสรสชาติเผ็ดซี๊ด ที่ทุกคนต้องลอง

ร้าน Sam Steak and More ยังมีเมนูยอดฮิตอื่นๆ ที่อร่อยไม่แพ้สเต็ก ได้แก่

  • มันบดอบชีส (ราคาเริ่มต้น 29 บาท) เนื้อมันบดเนียนละเอียด ผสมกับความหอมของชีส กินเป็นเครื่องเคียงกับเมนูอื่นๆ เพิ่มความอร่อยในราคาประหยัด
  • ผักโขมอบชีส (ราคาเริ่มต้นไม่เกิน 100 บาท) เมนูผักโขมสารพัดประโยชน์  ที่เสิร์ฟพร้อมกับชีสยืดฟินๆ นุ่มละมุน ถือเป็นเมนูที่ไม่ควรพลาด
  • ซีซาร์สลัด (ราคาเริ่มต้น 65 บาท) เมนูยอดฮิตสำหรับคนที่รักสุขภาพ หากใครที่ไม่อยากอ้วน หรืออยากมีสุขภาพดี เลือกทานเมนูนี้ได้เลย 

ร้าน Sam Steak and More ไม่ได้มีแค่เพียงสาขาเดียวในย่าน ม. เกษตร (บางเขน) เท่านั้น แต่ยังมีอยู่หลายสาขาด้วยกัน หากใครอยู่ในบริเวณสาขาที่ใกล้เคียง ก็แวะไปลองชิมรสชาติความอร่อยกันได้เลย

  • ที่อยู่ : ถนนงามวงศ์วาน ลาดยาว กรุงเทพมหานคร 10900 (ปากซอยงามวงศ์วาน 60) 
Gorilla Grill

2. Gorilla Grill

Gorilla Grill ร้านอาหารประเภทสเต็ก ร้านเด็ดของกิน ม.เกษตรที่น่าลอง จุดเด่นของร้านแห่งนี้ คือ ความอร่อยพร้อมกับเมนูที่หลากหลายให้ได้เลือกรับประทาน ไม่ว่าจะเป็นเมนูสเต็ก และของทานเล่น ซึ่งสเต็กของร้านเด็ดแห่งนี้มีวัตถุดิบมาจาก ไก่ หมู เนื้อวัว ปลา เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกรับประทานอาหารได้ตามใจชอบ 

เมนูยอดฮิตแสนอร่อย ได้แก่

  • อกไก่สมุนไพร (ราคาเริ่มต้น 35 บาท ต่อ 1 ชิ้น) มาพร้อมรสชาติความอร่อยจากไก่ย่างหมักพริกไทยดำ และสมุนไพรไทย ทำให้มีกลิ่นหอมน่าทาน
  • ซี่โครงหมูบาร์บีคิว (ราคาเริ่มต้น 145 บาท) ซี่โครงสไตล์หมูหัน 4 ชิ้น มีการตุ๋นจนนุ่ม ทำให้มีรสชาติอร่อย เคี้ยวง่าย และมีกลิ่นหอมจากการทาซอสบาร์บีคิวลงบนซี่โครงหมู 
  • หนังไก่ทอดปรุงรสฮอตแอนด์สไปซี่ (ราคาเริ่มต้น 65 บาท) เป็นเมนูหนังไก่ทอดกรุบกรอบแสนอร่อย คลุกเคล้าด้วยผงปรุงรสที่มีความเผ็ดปนหวาน
  • มาม่าชีสหม้อไฟ (ราคาเริ่มต้น 169-249) มาม่าชีสเข้มข้น ปรุงด้วยวัตถุดิบ และส่วนผสมที่หลากหลาย ทำให้มีรสชาติจัดจ้าน 

นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆให้ได้ลิ้มลอง หากใครมีความชื่นชอบเมนูที่หลากหลายสไตล์ เช่น ปิ้ง ย่าง ก็ไม่ควรพลาดที่จะแวะมา Gorilla Grill ที่เป็นร้านเด็ด ม.เกษตร แห่งนี้

  • ที่อยู่ :  2137/9  ซอยงามวงศ์วาน 64 ลาดยาว กรุงเทพมหานคร  10900 (อยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเกษตร (ซ.งามวงศ์วาน 64)
  • เบอร์โทร : 093-0088083
  • พิกัด : Gorilla Grill
  • เวลาเปิด-ปิด :  เปิดทุกวัน เวลา 11:00-22:00 น.

3. ชาบูอินดี้ ม.เกษตร

ชาบูอินดี้ ม.เกษตร ร้านอาหารประเภทสุกี้ ชาบู และอาหารทะเล และยังเป็นร้านของกินม.เกษตรที่มีราคาประหยัดสุดคุ้ม จุดเด่นของร้าน คือ การตกแต่งร้านที่เน้นสไตล์ธรรมชาติ แลมีการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู ปลาหมึก กุ้ง เบคอน หรือหอยแมลงภู่ พร้อมมีน้ำจิ้ม 2 แบบให้เลือก คือ น้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด และน้ำจิ้มแบบสุกี้ สูตรพิเศษจากทางร้าน

เมนูของร้านมีให้เลือกถึง 39 เมนู ได้แก่ ชาบูบุพเฟ่ต์จากเนื้อหมู สันคอหมูสไลด์ เนื้อวัว อาหารทะเล ผักสดที่หลากหลาย และวัตถุดิบอื่นๆ สามารถตักได้เรื่อยๆ จนอิ่มเพลินใจ และยังมีเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ช่วยให้รู้สึกสดชื่น พร้อมกับไอศกรีมแสนอร่อยอีกด้วย โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 259 บาท ต่อคน และนั่งทานได้แบบไม่จำกัดเวลา

  • ที่อยู่ : 89 Home Village ฝั่งตรงข้าม ม.เกษตร ซ.งามวงศ์วาน 52 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร   

กรุงเทพมหานคร  10900

4. ร้านพี่กร ม.เกษตร บางเขน

ร้านพี่กร ม.เกษตร บางเขน เป็นร้านอาหารประเภทผัดกะเพรา และอาหารจานเดียว จุดเด่นของร้าน คือ เป็นร้านของกิน ม.เกษตรที่ให้ปริมาณเยอะ อร่อยแบบคุ้มจุใจ วัตถุดิบมีคุณภาพ และมีเมนูผัดกะเพราที่อร่อยๆ ให้เลือก เช่น กะเพราไก่ กะเพราหมู กะเพราปลาหมึก ฯลฯ แถมราคายังเป็นมิตรกับนักศึกษา และคนทั่วไปอีกด้วย

เมนูยอดฮิตที่ควรลอง ได้แก่

  • ข้าวกะเพราไก่ทอด เป็นเมนูที่ใครหลายคนชอบ เนื่องจากเมนูนี้มีรสชาติเผ็ดพอดี มีกลิ่นหอมของใบกะเพราสดบวกกับเนื้อไก่นุ่มๆ เมื่อได้รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ แล้ว บอกเลยว่าอร่อยเข้ากันสุดๆ
  • ข้าวกะเพราหมูกรอบ เป็นเมนูยอดฮิตที่นักศึกษา และคนทั่วไปชอบเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความกรอบอร่อยของเนื้อหมู และมีรสชาติที่กลมกล่อม
  • ข้าวหมูทอดผัดพริกเกลือ เป็นเมนูที่มีรสชาติอร่อยแบบหวานนำ พร้อมกับมีกลิ่นหอมของใบมะกรูดชวนน่ารับประทาน
  • ข้าวกะเพราปลาหมึก เป็นเมนูที่มีความอร่อยมากเลยทีเดียว เนื่องจากมีความนุ่มอร่อยจากปลาหมึก ที่ผัดเข้ากันกับเครื่องปรุง พร้อมกลิ่นหอมของใบกะเพรา

หากใครที่ชื่นชอบเมนูอร่อยเผ็ดๆ แบบไทย หรืออยากอิ่มอร่อยแบบคุ้มค่า ก็ไม่ควรพลาดในการมาเช็กอิน แวะรับประทานอาหารที่ร้านพี่กร ม.เกษตร บางเขน เพราะเป็นร้านเด็ด ม.เกษตรที่รอเสิร์ฟความอร่อยให้กับทุกๆ คน

  • ที่อยู่ : 8/49, ซอยงามวงศ์วาน 54 แยก 5 ลาดยาว จตุจักร กรุงเทพมหานคร 
  • เบอร์โทร : 091-2217088
  • พิกัด : ร้านพี่กร ม.เกษตร บางเขน 
  • เวลาเปิด-ปิด :  วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09:00-18:00 น.
Hotto Bun

5. Hotto Bun

Hotto Bun เป็นร้านอาหารประเภทกึ่งคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นร่วมสมัย ถือเป็นร้านเด็ด ม.เกษตรที่ถูกใจนักศึกษา และใครหลายๆ คน จุดเด่นของร้าน คือ มีเมนูอร่อยๆ สไตล์ญี่ปุ่นที่หลากหลายให้ได้เลือกทาน มีการเลือกสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ สะอาด และภายในร้านมีบรรยากาศที่ปลอดโปร่ง ดูร่มรื่น สบายตา

เมนูยอดฮิตแสนอร่อย ได้แก่

  • เบอร์เกอร์สไตล์ญี่ปุ่น (ราคาเริ่มต้นไม่เกิน 100 บาท) เป็นเบอร์เกอร์ที่มีความอร่อยไม่เหมือนใคร เพราะทำจากแป้งบันที่เป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน ไม่มีการใส่ผงฟู
  • บันไก่กรอบ (ราคาเริ่มต้น 65 บาท) เป็นเมนูไก่กรอบที่เต็มไปด้วยเนื้ออกไก่ และมีความนุ่มจากแป้งบันที่ห่ออกไก่ มีรสชาติความอร่อยที่ลงตัวแบบกรอบนอกนุ่มใน บวกกับซอสสูตรเข้มข้นของทางร้าน
  • บันหมูตุ๋น (ราคาเริ่มต้น 65 บาท) เป็นเมนูที่มีความนุ่มอร่อยจากหมูตุ๋น มีรสชาติที่หวาน มัน เข้ม เคี้ยวง่าย น่ารับประทาน
  • ซาลาเปาชีสยืด (มีราคาเริ่มต้น 39 บาท) เป็นซาลาเปาที่มีความนุ่มละมุน และมีชีสยืดยาวแบบร้อนๆ บอกได้คำเดียวว่าอร่อย
  • สลัดปูนิ่ม (ราคาเริ่มต้น 100 บาทขึ้นไป) เป็นเมนูยอดฮิตที่มีความอร่อยสไตล์คนที่รักสุขภาพ ใช้ผักสลัดที่สะอาด ปลอดภัย มาพร้อมมีความกรอบอร่อยของปูนิ่ม กับน้ำซอสรสชาติเปรี้ยวหวาน
  • ไก่ทอดดังโงะซอสเผ็ด (ราคาเริ่มต้น 100 บาทขึ้นไป) เป็นเมนูที่มีความอร่อยแบบกรอบนอกนุ่มในจากแป้งบัน เมื่อรับประทานควบคู่กับซอสสูตรเฉพาะของทางร้านแล้ว บอกได้เลยว่าลงตัวสุดๆ

นอกจากนี้ Hotto Bun  ยังมีเมนูของทานเล่นเครื่องดื่ม ของหวาน และมีอยู่อีกหลายสาขา หากใครที่อยู่ใกล้บริเวณสาขานั้นๆ ก็สามารถแวะรับประทานอาหารความอร่อยแบบสไตล์ญี่ปุ่นได้เลย

  • ที่อยู่ : 50 ซอย สุวรรณวาวกสิกิจ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
  • เบอร์โทร : 096-7171608, 086-3270271 
  • พิกัด : Hotto Bun ม.เกษตร
  • เวลาเปิด-ปิด :เปิดทุกวัน เวลา 09:00 -20:00 น.

6. Bar B.Q. Terrace

Bar B.Q. Terrace เป็นร้านอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์หมูกระทะสัญชาติไทย ถือเป็นร้านเด็ด ม.เกษตรที่มีราคาประหยัดสุดคุ้ม และไม่ควรพลาดที่จะมาแวะรับประทาน จุดเด่นของร้านแห่งนี้ คือ มีวัตถุดิบหลากหลายให้เลือกตักได้ตามความพอใจ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ลูกชิ้น ไส้กรอก อาหารทะเล หอยแมลงภู่ กุ้ง พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ดให้เลือกถึง 2 แบบ ได้แก่ น้ำจิ้มรสหวานนิดๆ ทั่วไป และน้ำจิ้มซีฟู้ด อีกทั้งมีเมนูยำ ของทอด ขนมจีน ของหวาน ไอติม เครื่องดื่มที่ช่วยดับกระหายความร้อน รวมถึงบรรยากาศร้านที่ดูสวย สะอาด ไม่แออัด อากาศถ่ายเทได้สะดวก 

เมนูยอดฮิตที่แสนอร่อย ได้แก่

  • บุฟเฟ่ต์หมูกระทะ (ราคาเริ่มต้น 239 บาท) ลูกค้าสามารถเลือกน้ำจิ้มรสเด็ดได้ถึง 2 แบบ และเลือกตักวัตถุดิบตามใจชอบ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มใดๆ
  • ของหวาน เช่น น้ำแข็งใส สาคู ลอดช่อง ไอติม ขนมโตเกียว และผลไม้ 
  • เครื่องดื่ม น้ำอัดลม ให้ได้ดื่มเพื่อดับกระหาย 
  • ยำ ส้มตำแซ่บๆ รับประทานควบคู่กับบุฟเฟต์

หากใครรักการกินหมูกระทะมากๆ ควรแวะมาที่ร้าน Bar B.Q. Terrace สักครั้ง เพราะเป็นร้านบุฟเฟต์หมูกระทะราคาประหยัดสุดคุ้ม มีของว่าง และอาหารทานเล่นอื่นๆ ให้ได้รับประทานมากมาย ถ้าคุณมาทานกับกลุ่มเพื่อน หรือครอบครัว รับรองว่าคุ้ม อิ่ม อร่อยจนต้องบอกต่อ 

  • ที่อยู่ : ซอย พหลโยธิน 41 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร (ร้านอยู่ในซอยพหลโยธิน 41 เข้าในซอยเพียง 20 เมตร) 
  • เบอร์โทร : 082-855-6644 
  • พิกัด : Bar B.Q. Terrace
  • เวลาเปิด-ปิด :  เปิดทุกวัน เวลา 16:00-23:00 น.
Shinkanzen Sushi

7. Shinkanzen Sushi

Shinkanzen Sushi เป็นร้านอาหารประเภทซูชิ แซลมอน ถือเป็นอีกหนึ่งร้านเด็ด ม.เกษตรสไตล์ญี่ปุ่นที่มีรสชาติอร่อย จุดเด่นของร้าน Shinkanzen Sushi คือ มีราคาประหยัดถูกใจใครหลายๆ คน เพียงแค่คุณมีเงิน 11 บาท ก็เริ่มรับประทานอาหารที่ร้านนี้ได้ทันที แถมยังมีเมนูให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นซูชิปูอัด ราเมน ซูชิโรล ยำแซลมอนซีฟู้ด สลัดแซลมอน เป็นต้น

เมนูยอดฮิตที่แสนอร่อย ได้แก่

  • ซูชิแบบคำ (ราคาเริ่มต้นคำละ 11 บาท) เป็นเมนูที่ประหยัดมากๆ สามารถเลือกจำนวนชิ้นได้ตามใจชอบ เช่น ซูชิไข่กุ้ง ซูชิเต้าหู้ทอด ซูชิสลัดทูน่า ซูชิมายองเนสปูอัด ซูชิแมงกะพรุนปรุงรส ซูชิปูอัด ซูชิไข่หวาน  ซูชิยำสาหร่าย ซูชิครีมหอยเชลล์ปรุงรส และซูชิสลัดไข่หวาน
  • ซาชิมิแซลมอน (ราคาเริ่มต้น 99 บาท) แซลมอนชิ้นโต 6 ชิ้น รสชาติอร่อย กลมกล่อม มาพร้อมขิงดองและซอสโชยุ เหมาะกับคนที่ชอบทานซาซิมิในราคาที่ไม่แพงมากจนเกินไป
  • ซาชิมิปูอัด (ราคาเริ่มต้น 55 บาท) เมนูอร่อยกำลังดี และมีราคาประหยัด
  • แซลมอนสไปซี่โรล (ราคาเริ่มต้น 149 บาท) เมนูยอดฮิตของทางร้าน มาพร้อมรสชาติอร่อยแบบแซ่บคำโต อิ่มจุใจ

นอกจากนี้ Shinkanzen Sushi มีอยู่ถึง 30 สาขา หากใครอยู่ใกล้สาขาไหน อย่าลืมไปลิ้มลองรสชาติความอร่อยสไตล์ญี่ปุ่น รับรองว่าคุณจะต้องรู้สึกติดใจ อร่อยจนต้องบอกต่อ

  • ที่อยู่ : 85 ถนน งามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
  • เบอร์โทร : 097-1314634
  • พิกัด : Shinkanzen Sushi
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 10:00-22:00 น.

8. MaxBeef Yakiniku

MAXBeef Yakiniku ร้านอาหาร ของกินม.เกษตรประเภทชาบู และปิ้งย่าง จุดเด่นของร้าน คือ เป็นร้านสไตล์ชาบู ปิ้งย่างที่มีวัตถุดิบหลากหลาย และมีคุณภาพระดับพรีเมียม เช่น เนื้อหมู สันคอหมู เนื้อวัว เนื้อสะโพกนอกไทยวากิว ไส้กรอก ผักต่างๆ เป็นต้น อีกทั้งยังมีน้ำจิ้มรสเด็ด และน้ำซุปจากทางร้านที่อร่อยถูกใจ

เมนูยอดฮิตของทางร้านเป็นประเภทของเนื้อ ลูกค้าสามารถเลือกตามความชอบ โดยทางร้านจะบริการเนื้อเป็นแพ็ก ทำให้ราคาจะขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำหนักของเนื้อ ได้แก่

  • เนื้อสะโพกนอกไทยวากิว (170 กรัม ราคา 119 บาท )
  • ซี่โครงวากิว (130 กรัม ราคา 286 บาท)
  • เนื้อหมู (100 กรัม มีราคา 100 บาท)
  • ริบอาย (250 กรัม มีราคา 238 บาท)
  • สันสะโพก( 180 กรัม มีราคา 126 บาท

นอกจากนี้ ทางร้านยังมีบริการเนื้อให้เลือกแบบบุฟเฟต์ ซึ่งเน้นเนื้อโคขุนเป็นหลัก โดยมีราคาอยู่ที่ 369 บาท/ 699 บาท/ และ 1,299 บาท และยังมีขนมหวานให้ได้รับประทาน หากใครอยากมาสัมผัสรสชาติความอร่อย ก็อย่าพลาดที่จะมาร้าน MaxBeef Yakiniku เพราะถือเป็นร้านเด็ด ม.เกษตรที่ควรลอง

  • ที่อยู่ : 50 ถนนงามวงษ์วาน, KU Avenue มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร  
  • เบอร์โทร : 088-2492322
  • พิกัด : MaxBeef Yakiniku
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 10:00-21:00 น.

9. Salmon King Sushi Bar

Salmon King Sushi Bar เป็นร้านอาหารประเภทแซลมอน และซูชิ สไตล์ญี่ปุ่น จุดเด่นของร้านเด็ด ม.เกษตรแห่งนี้ คือ มีเมนูให้เลือกมากมาย วัตถุดิบคุณภาพดี แซลมอนเนื้อแน่นราคาประหยัด และไม่แพงจนเกินไป เริ่มต้นเพียงแค่ 12 บาท เหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษาสุดๆ

เมนูยอดฮิตของร้านอาหารแห่งนี้ได้แก่

  • ซูชิแบบคำ (ราคาเริ่มต้น 12 บาท) เป็นเมนูที่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าเป็นอย่างมาก สามารถเลือกจำนวนชิ้นได้ตามความพอใจ เช่น ซูชิไข่หวาน ซูชิไข่กุ้ง ซูชิปลาแซลมอน เป็นต้น
  • แซลมอนโรล อโวคาโดครีมชีส (ราคาเริ่มต้น 140 บาท ) เป็นเมนูที่มีความอร่อยจากแตงกวา อะโวคาโด แซลมอน ไข่ปลา ไข่หวาน พร้อมเพิ่มความอร่อยด้วยครีมซอส
  • แซลมอนคิงสไปซี่สลัด (ราคาเริ่มต้น 180 บาท ) เมนูสลัดแซลมอนแบบหั่นเต๋า บวกกับอะโวคาโด มะม่วงสุกอมเปรี้ยว ราดด้วยน้ำยำทำให้มีรสชาติเปรี้ยวหวาน น่ารับประทาน
  • แซลมอนโรลซอสสไปซี่ (ราคาเริ่มต้น 120 บาท) ข้างในโรลมีแตงกวา ไข่หวาน และแซลมอนห่ออยู่ด้านนอก 5 ชิ้นใหญ่ พร้อมเพิ่มความอร่อยด้วยซอสสไปซี่

หากใครชื่นชอบเมนูอร่อยๆ สไตล์ญี่ปุ่น ไม่ควรพลาดมาลิ้มลองแซลมอน และซูชิที่ร้าน Salmon King Sushi Bar ซึ่งเป็นร้านเด็ด ม.เกษตรอีกหนึ่งแห่งที่น่าสนใจ

  • ที่อยู่ : อาคารจอดรถงามวงศ์วาน 1 มหาลัยเกษตรศาสตร์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 10900
  • เบอร์โทร : 083-2508715
  • พิกัด : Salmon King Sushi Bar 
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 10:00-20:00 น.
ย่างเนย

10. ย่างเนย

ย่างเนยเป็นร้านอาหารของกิน ม.เกษตรประเภทชาบู บุฟเฟต์ จุดเด่นของร้าน คือ มีความอร่อย ราคาไม่แพงมาก ประหยัดเงินในกระเป๋า มีวัตถุดิบให้เลือกตามใจชอบ เช่น เบคอน เนื้อโคขุน อาหารทะเล เนื้อหมูสไลด์ ผักสด และมีน้ำจิ้มรสเด็ดให้เลือกถึง 4 รส พร้อมกับเครื่องดื่มเย็นๆ บรรยากาศภายในร้านมีความเย็นสบาย ลูกค้าสามารถเติมวัตถุดิบได้ตลอดจนอิ่ม หากรับประทานเหลือทางร้านก็ไม่มีการปรับอีกด้วย

เมนูยอดฮิตของร้านจะเป็นการที่ลูกค้าเลือกประทานอาหารในชุดบุฟเฟต์ ราคาเริ่มต้นเพียง 199 บาท ซึ่งวัตถุดิบที่ลูกค้าเลือกได้ คือ

  • เนื้อหมูสไลด์ หมูสามชั้น หมูเด้ง เนื้อโคขุน เนื้อของทางร้านที่มีความนุ่ม และมีความอร่อย
  • เครื่องใน เพิ่มความอิ่มในบุฟเฟต์
  • ปลาหมึก กุ้ง ปูอัด อาหารทะเลของทางร้านสำหรับคนที่ชอบรับประทาน
  • เบคอน ไส้กรอก เต้าหู้ เพิ่มความหลากหลายให้กับบุพเฟต์
  • กะหล่ำปลี แครอท คะน้า ผักบุ้ง เห็ดเข็มทอง ผักสดที่ขาดไม่ได้ในการทานบุฟเฟต์
  • ไข่ไก่ เสริมความอร่อยในน้ำซุป
  • เนย เพิ่มความหอมอร่อย

นอกจากนี้ทางร้านยังมีของหวาน ไอศครีม ยำบะหมี่ เฟรนช์ฟรายส์ ให้ลูกค้ารับประทานเพื่อดับความเผ็ดร้อนอีกด้วย ทำให้ร้านย่างเนยเป็นร้านเด็ด ม.เกษตรที่น่ามาลิ้มลอง

  • ที่อยู่ : 1979/2 ตลาดมดแดง ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
  • เบอร์โทร : 089-3542566
  • พิกัด : ย่างเนย ม.เกษตรบางเขน
  • เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 15:00-23:30 น.
โอยั๊วะ Homemade

11. โอยั๊วะ Homemade

โอยั๊วะเป็นร้านอาหารประเภทข้าวแกงแบบไทยๆ ที่น่าสนใจ และเป็นร้านเด็ดม.เกษตร ที่น่าทานสุดๆ จุดเด่นของร้าน โอยั๊วะ Homemade คือ มีเมนูอร่อยให้ได้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเมนูต้มยำ ลาบ ข้าวแกง ข้าวผัด ข้าวต้ม น้ำพริก และมีเมนูเครื่องดื่ม ของหวานให้เลือกอีกด้วย เรียกได้ว่าอิ่มอร่อย ครบครัน ในที่เดียว อีกทั้งบรรยากาศภายในร้านก็เย็นสบาย ปลอดโปร่ง มีความสวยงามสไตล์ย้อนยุค

เมนูยอดฮิตที่แสนอร่อย ได้แก่

  • แกงเลียงกุ้งสด (ราคาเริ่มต้น 159 บาท) เมนูที่มีความหอมอร่อยจากเครื่องสมุนไพรไทย บวกกับกุ้งชิ้นโตๆ เต็มคำ และความเข้มข้นของน้ำแกง รับประกันความอร่อยแบบเผ็ดนัวไม่ควรพลาด
  • น้ำพริกแจ๋วโอยั๊วะ (ราคาเริ่มต้น 159 บาท ) เป็นน้ำพริกสูตรเฉพาะจากทางร้าน เสิร์ฟพร้อมไข่ต้ม ผักสด และผักลวกปลอดสารพิษ ดีต่อสุขภาพสุดๆ
  • ข้าวราดกะเพราหมูคั่วแห้งไข่ข้น (ราคาเริ่มต้น 129 บาท ) เมนูที่มีความอร่อยจากเนื้อหมูคั่ว บวกกับมีความหอมจากใบกะเพรา และไข่ข้นวางอยู่ข้างบนข้าวสวยร้อนๆ
  • เมี่ยงคำ (ราคาเริ่มต้น 159 บาท) เมนูความอร่อยจากเครื่องสมุนไทย ถั่วลิสง กุ้งแห้ง หมี่ขาว มีรสชาติเปรี้ยว เผ็ด หวาน มัน เมื่อรับประทานควบคู่กับใบชะพลูแล้วยิ่งดีต่อร่างกาย เพราะช่วยขับลม
  • ไข่พะโล้คุณยาย (ราคาเริ่มต้น 129 บาท) เมนูหอมหวานอร่อยจากเครื่องปรุงเข้มข้น และเนื้อหมูนุ่มๆ พร้อมกับไข่ต้มลูกโตเต็มคำ

เห็นเมนูกันไปแล้วคงเรียกได้ว่า โอยั๊วะ Homemade เป็นร้านเด็ดม.เกษตรที่มีความอร่อยไม่เหมือนใคร และทุกคนควรแวะมาลองกันสักครั้ง

  • ที่อยู่ : 47/1 ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 
  • เบอร์โทร : 083-9425888
  • พิกัด : โอยั๊วะ Homemade 
  • เวลาเปิด-ปิด : วันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 08:30-23:00 น.

12. ข้าวมันไก่เจ้อ้วน

ข้าวมันไก่เจ้อ้วน เป็นร้านอาหารประเภทจานเดียว และอาหารตามสั่ง จุดเด่นของร้านข้าวมันไก่เจ้อ้วน คือ มีเมนูให้เลือกรับประทานหลากหลาย ราคาประหยัด ข้าวมีความหอมมัน เนื้อไก่มีความสดใหม่ เนื้อแน่น และนุ่ม น้ำซุปของทางร้านก็อร่อย กลมกล่อม น้ำจิ้มมีรสชาติดี รวมทั้งเป็นร้านที่ได้รับความนิยมจากนักศึกษาม.เกษตร ถูกใจใครหลายๆคน  และที่สำคัญทางร้านเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ถ้ารู้สึกหิวตอนไหน ก็สามารถแวะไปได้ตลอด

เมนูยอดฮิตที่แสนอร่อยของทางร้าน ได้แก่

  • ข้าวมันไก่ธรรมดา (ราคาเริ่มต้น 35-50 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยแบบไม่ธรรมดา เนื่องจากเนื้อไก่มีความนุ่ม บวกกับข้าวหอมมันพอดี จึงทำให้มีรสชาติที่ลงตัว อร่อยเกินคุ้ม
  • ข้าวมันไก่ทอด (มีราคาเริ่มต้น 35-50 บาท) เป็นเมนูมีความอร่อยจากเนื้อไก่แน่นๆ กรอบนอกนุ่มใน ยิ่งราดน้ำจิ้มลงไป ยิ่งทำให้รู้สึกกรอบอร่อย

ข้าวมันไก่เจ้อ้วนเป็นอีกหนึ่งร้านเด็ด ม.เกษตรที่ทุกคนควรมารับประทาน เนื่องจากให้ปริมาณคุ้มราคา อร่อย มีคุณภาพดี จึงเป็นร้านถูกใจสำหรับนักศึกษานั่นเอง

  • ที่อยู่ : ซอย พหลโยธิน 32/1 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
  • เบอร์โทร : 089-7712145, 094-9595956 
  • พิกัด : ข้ามมันไก่ เจ้อ้วน
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง

13. Kuma Shabu

Kuma Shabu เป็นร้านอาหารประเภทสุกี้ ชาบู และบุฟเฟต์ จุดเด่นของร้าน คือ ความอร่อย ราคาไม่แพง มีวัตถุดิบให้เลือกรับประทานได้ตามใจชอบ มีน้ำซุปรสชาติอร่อยให้เลือกถึง 2 แบบ คือ ซุปน้ำดำ และซุปน้ำใส อีกทั้งยังมีน้ำจิ้มรสชาติกำลังดี เป็นร้านที่นิยมสำหรับใครหลายๆ คน เรียกได้ว่าเป็นร้านชาบูของกิน ม.เกษตรที่ไม่ควรพลาด

เมนูยอดฮิตของทางร้านเป็นชุดบุฟเฟต์ชาบูในราคา 199 บาท และ 299 บาท โดยสามารถเลือกวัตถุดิบได้ ดังนี้

  • หมูสามชั้น เป็นเนื้อหมูที่มีความอร่อยแบบติดมัน
  • เนื้อหมูสไลด์ เป็นเนื้อหมูแผ่นบาง แต่มีความอร่อยนุ่มละมุนลิ้น
  • สันคอหมู เป็นชิ้นเนื้อที่ช่วยเพิ่มความอร่อยให้กับบุฟเฟต์ 
  • หมูเด้ง เป็นเนื้อหมูที่มีความนุ่ม เด้ง เคี้ยวง่าย
  • ตับหมู เครื่องในหมูสำหรับคนที่ชอบทาน
  • ไก่นุ่ม เนื้อไก่เน้นๆ เต็มคุณภาพ
  • ปลาหมึก กุ้ง วัตถุดิบอาหารทะเลที่มีความอร่อย และขาดไม่ได้ในชุดบุฟเฟต์ชาบู 
  • วุ้นเส้น อร่อยแบบนุ่มๆ เคี้ยวง่าย เมื่อราดกับน้ำจิ้มรสเด็ดของทางร้านก็ยิ่งอร่อย
  • ลูกชิ้นปลา ไส้กรอก วัตถุดิบที่ช่วยเพิ่มความอิ่มอร่อย
  • ผักต่างๆ เช่น แครอท ผักบุ้ง คะน้า กะหล่ำปลี เห็ด ช่วยเพิ่มความอร่อย และสีสันของบุฟเฟต์ให้น่าทาน

นอกจากนี้ ทางร้าน Kuma Shabu ยังมีเมนูของทานเล่น เช่น ไอศกรีม ทาโกะยากิ ที่มาช่วยให้รู้สึกสดชื่นอีกด้วย ถือเป็นร้านเด็ด ม.เกษตรที่สายบุฟเฟต์ชาบูต้องลอง

  • ที่อยู่  :  2137/10-11 64 ซอยงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
  • เบอร์โทร : 065-6038066
  • พิกัด : Kuma Shabu 
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 11:30-22:00 น.
FitB - Fuel in the Blank

14. FitB – Fuel in the Blank

FitB – Fuel in the Blank เป็นร้านอาหารประเภทคาเฟ่ เบเกอรี ขนมหวาน จุดเด่นของร้าน คือ การใช้วัตถุดิบคุณภาพในการทำเครื่องดื่ม และเบเกอรี จึงทำให้เมนูต่างๆ ของทางร้านมีรสชาติที่อร่อย ชวนน่ารับประทาน ถูกใจนักศึกษา และใครอีกหลายคน รวมถึงบรรยากาศของร้านที่เงียบสงบ ร่มรื่น ภายในร้านมีการดีไซน์ตกแต่งอย่างสวยงามสไตล์ธรรมชาติ 

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยของทางร้าน ได้แก่

  • Caramel Macchiato – คาราเมล มัคคิอาโต (ราคาเริ่มต้น 115 บาท) เครื่องดื่มกาแฟรสชาติอร่อยเข้มข้น มีส่วนผสมของนมสด น้ำเชื่อมวานิลลา ซอสคาราเมล และเอสเปรสโซ่ เมื่อผสมเข้ากันแล้วทำให้มีรสชาติกลมกล่อมกำลังดี ไม่หวานจนเกินไป แถมยังมีกลิ่นหอมจากคาราเมล
  • Strawberry Smoothies – สตรอเบอร์รี่ สมูทตี้ (ราคาเริ่มต้น 95 บาท) เครื่องดื่มผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยว หวาน จากเนื้อสตรอเบอร์รี่ ปั่นเย็นแบบฉ่ำๆ ด้านบนตกแต่งด้วยลูกสตรอเบอร์รี่สีแดงสด
  • Cappuccino – คาปูชิโน่ (ราคาเริ่มต้น 75 บาท) เครื่องดื่มกาแฟรสชาติอร่อยหวานมัน เข้มข้น มีกลิ่นหอมกรุ่น บวกกับฟองนมสีขาวอุ่นๆ ถือเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตถูกใจใครหลายๆ คน
  • Mocha – มอคค่า (ราคาเริ่มต้น 85 บาท) เครื่องดื่มกลิ่นหอมช็อกโกแลต รสชาติกลมกล่อม หวานละมุนจากส่วนผสมของนมสด และช็อกโกแลต
  • Latte – ลาเต้ (ราคาเริ่มต้น 80 บาท) เครื่องดื่มที่มีความขมเพียงเล็กน้อยจากกาแฟ แต่มีความอร่อยแบบหวานมัน กลมกล่อม และเข้มข้น มีฟองนมด้านบนชวนให้น่าดื่ม

FitB – Fuel in the Blank เป็นร้านเด็ด ม.เกษตร ที่มีเครื่องดื่ม และเบเกอรีสุดอร่อยไม่เหมือนใคร ใครที่เป็นสายคาเฟ่ต้องไม่พลาดแวะมาลิ้มลอง

  • ที่อยู่ : 8, 88 ถนน งามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
  • เบอร์โทร : 02-9413341, 086-6565169 
  • พิกัด : FitB – Fuel in the Blank
  • เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 10:00-20:00 น.

15. Kumaden Sushi

Kumaden  Sushi เป็นร้านอาหารประเภทซูชิ แซลมอน จุดเด่นของร้าน Kumaden Shshi คือ มีวัตถุดิบระดับคุณภาพดีเยี่ยม มีเมนูหลากหลายให้เลือก ราคาประหยัด อิ่มเกินคุ้ม สมราคา อีกทั้งยังมีบรรยากาศภายในร้านที่สะอาด โล่งสบาย จึงเป็นอีกหนึ่งร้านเด็ด ม.เกษตรที่ถูกใจนักศึกษา

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยของทางร้าน ได้แก่

  • ซูชิแบบคำ (ราคาเริ่มต้น 12 บาท) เมนูที่มีราคาประหยัด และอิ่มเกินคุ้ม เช่น ซูชิไข่กุ้ง ซูชิปูอัด ซูชิแมงกะพรุน ซูชิหอยเซลล์ 
  • แซลมอนซาชิมิ (ราคาเริ่มต้น 99 บาท) เมนูที่มีความนุ่ม หวาน อร่อยของแซลมอน เมื่อรับประทานกับซอสโซยุก็ยิ่งทำให้อร่อยมากขึ้น
  • ข้าวหน้าแซลมอนอิคุระ (ราคาเริ่มต้น 159) เป็นเมนูที่มีความอร่อย กลมกล่อม
  • ข้าวหน้าแซลมอนไข่กุ้ง  (ราคาเริ่มต้น 139 บาท) เมนูที่มีความอร่อย หวาน นุ่มลิ้น
  • โรลแซลมอนครีมชีส (ราคาเริ่มต้น 159 บาท) มีความอร่อยของเกล็ดเทมปุระ บวกกับรสชาติของชีส ที่ละมุนเข้ากันดีมากๆ

ร้าน Kumaden Sushi เป็นร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่เหมาะกับคนที่รักการทานซูชิ เพราะมาตรฐานของทางร้านมีความสดใหม่ และสะอาด หากใครที่อยากลองซูชิอร่อยๆ ก็อย่าลืมแวะมาที่ Kumaden Sushi กัน เป็นอีกหนึ่งร้านเด็ด ม.เกษตรที่ไม่ควรพลาด

  • ที่อยู่  : 89 ซอยงามวงศ์วาน 52 แยก 1 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
  • เบอร์โทร : 096-7375249
  • พิกัด : Kumaden  Sushi
  • เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 11:30-21:30 น.
Nori Sushi Bar

16. Nori Sushi Bar

Nori Sushi Bar เป็นร้านอาหารประเภทซูชิ แซลมอนสไตล์ญี่ปุ่น จุดเด่นของร้านอยู่ที่วัตุดิบคุณภาพดี มีความสดอร่อยราคาประหยัด และมีเมนูให้เลือกหลากหลาย อร่อยถูกใจใครหลายคน ส่วนบรรยากาศภายในร้านมีความสวยงามสไตล์ญี่ปุ่น ถือเป็นร้านเด็ด ม.เกษตรที่ต้องไปลอง

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยของทางร้าน ได้แก่

  • สลัดหนังปลาแซลมอน (ราคาเริ่มต้น 200-300 บาท ) เมนูอร่อยจากหนังปลาคลุกน้ำมันงา ตัวหนังปลาอร่อยกำลังดี น้ำสลัดมีรสชาติเปรี้ยวหวาน ยิ่งทานได้ทานกับแซลมอน บวกกับผักสด และราดด้วยน้ำสลัด ยิ่งอร่อยเข้ากันสุดๆ
  • ข้าวผัดแซลมอน (ราคาเริ่มต้น 130 บาท) เมนูข้าวญี่ปุ่นผัดกับแซลมอน ทำให้มีรสชาติอร่อยแบบกลมกล่อม มีความหอมไปด้วยเครื่องปรุง ชวนน่ารับประทาน
  • ข้าวหน้าไก่ย่างซีอิ๊ว (มีราคาเริ่มต้น 130 บาท ) เป็นเมนูที่มีความอร่อยด้วยข้าวญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยความหอมจากงาคั่ว และเนื้อไก่ย่างสุกเกรียม พร้อมอร่อยขึ้นด้วยการราดซอสเทริยากิ

Nori Sushi Bar เป็นร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่มีความอร่อย ทุกคนควรแวะมาทานสักครั้ง รับรองว่าต้องติดใจ

  • ที่อยู่ : 50, ซอยสุวรรณวาจกกสิกิจ ลาดยาว จตุจักร กรุงเทพมหานคร
  • เบอร์โทร : 085-0616633
  • พิกัด : Nori Sushi Bar
  • เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 10:00-22:00 น.

17. Yuujou Ramen Kaset

Yuujou Ramen Kaset เป็นร้านอาหารประเภทราเมนสไตล์ญี่ปุ่น จุดเด่นของร้าน คือ มีวัตถุดิบคุณภาพดี มีเมนูที่หลากหลายให้เลือกรับประทาน จนคุณอาจเลือกไม่ถูก แถมยังมีราคาที่ย่อมเยาว์ อีกทั้งน้ำซุปของทางร้านมีรสชาติกำลังดี รับรองได้ว่าอิ่มอร่อยเกินคุ้ม

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยของทางร้าน ได้แก่

  • ราเมนปลาแซลมอน (ราคาเริ่มต้น 100 บาท) มีความอร่อยด้วยเนื้อปลาแซลมอน และเส้นราเมนนุ่มๆ  ราดด้วยน้ำซอสเข้าไป ทำให้มีความอร่อยกลมกล่อม
  • ราเมนหมูเกาหลี (ราคาเริ่มต้น 72 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยด้วยเนื้อหมูบวกกับเส้นราเมนนุ่มๆ มีกลิ่นหอมจากงา และผักทำให้มีรสชาติ และสีสันน่ารับประทาน
  • ราเมนหมูตุ๋น (ราคาเริ่มต้น 85บาท) รสชาติหวานมัน หอมอร่อยจากหมูตุ๋น และเส้นนุ่มๆ ของราเมน
  • เทริยากิรสเมน (ราคาเริ่มต้น 82 บาท ) เป็นเมนูที่มีความอร่อยด้วยเส้นราเมนนุ่มๆ บวกกับผักแครอท กะหล่ำปลี ราดด้วยน้ำซอส เพิ่มความอร่อยได้อย่างลงตัว
  • ราเมนแกงกะหรี่กุ้งเทมปุระ (ราคาเริ่มต้น 99 บาท) มาพร้อมความอร่อยของกุ้งทอดกรอบคำโต บวกกับน้ำซุปจากเครื่องปรุงรสเน้นๆ อร่อยจนติดใจ

หากใครอยากมารับประทานอาหารสไตล์ญี่ปุ่นน่ารักๆ และราคาประหยัดเงินในกระเป๋า ก็แวะมาที่ร้าน Youujou Ramen Kaset ยกให้เป็นอีกหนึ่งร้านเด็ด ม.เกษตรที่พร้อมมอบความอร่อยให้คุณ

  • ที่อยู่ : 177 ถนน งามวงศ์วาน (ปากซอยงามวงศ์วาน 58), ลาดยาว, จตุจักร 10900
  • เบอร์โทร : 095-2922565
  • พิกัด : Youujou Ramen Kaset 
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 11:00-20:00 น.
ชาบู ชาบู นางใน

18. ชาบู ชาบู นางใน

ชาบู ชาบู นางใน เป็นร้านอาหารประเภทบุฟเฟต์ชาบู จุดเด่นของร้าน คือ มีความอร่อย น่ารับประทาน มีวัตถุดิบหลากหลายให้เลือก พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด และน้ำซุป 3 รส ได้แก่ ซุปน้ำดำ น้ำใส และน้ำข้น แถมราคาสบายกระเป๋า ทานได้จนรู้สึกอิ่มแบบไม่จำกัดเวลา

เมนูยอดฮิตของทางร้านเป็นชุดบุฟเฟต์ชาบูในราคาเริ่มต้น 299 บาท โดยสามารถเลือกวัตถุดิบในทานได้ ดังนี้

  • ชีส เพิ่มความอร่อยฟิน แบบยืดๆ ให้กับชาบู
  • หมูสามชั้นสไลด์ เนื้อบางๆ ที่มีความนุ่ม เคี้ยวเพลิน
  • สันคอหมู ชิ้นเนื้อแน่นๆ อร่อย น่ารับประทาน
  • หมูเด้ง เนื้อหมูที่มีความนุ่ม เด้ง ทานง่าย อร่อยมากๆ เมื่อทานกับน้ำจิ้ม
  • เนื้อลาย เป็นเนื้อที่มีความอร่อย ยิ่งได้ทานกับน้ำจิ้มของทางร้านก็ยิ่งอร่อย
  • เบคอน เนื้อมีความนุ่ม อร่อยติดมัน 
  • กุ้งสด กุ้งคำโตๆ อร่อยเน้นๆ เป็นวัตถุดิบที่ต้องมีในชุดบุฟเฟต์
  • วุ้นเส้น มีความเหนียว นุ่ม
  • เต้าหู้ เพิ่มรสชาติความอร่อย และความกลมกล่อมให้กับน้ำซุป
  • ลูกชิ้น เพิ่มความอิ่มอร่อย
  • ไข่ไก่ ช่วยเพิ่มความอร่อยให้กับน้ำซุปมากยิ่งขึ้น
  • ผักสด ช่วยเพิ่มสีสันความอร่อย ให้กับบุฟเฟต์

ร้านชาบู ชาบู นางใน เป็นอีกหนึ่งร้านของกิน ม.เกษตร ที่มีความอร่อยแตกต่างจากที่อื่น และควรแวะมาลิ้มลองความอร่อยที่อาจทำให้คุณติดใจสักครั้ง

  • ที่อยู่ : ถนน วิภาวดี-รังสิต กรุงเทพมหานคร (เข้าจากซอยวิภาวดี 42 ประมาณ 300 เมตร ร้านอยู่ขวามือ)
  • เบอร์โทร : 096-1921328, 094-8595155 
  • พิกัด : ชาบู ชาบู นางใน 
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 10:00-22:00 น.

19. ข้าวผัดปูเมืองทอง 

ข้าวผัดปูเมืองทอง เป็นร้านอาหารประเภทข้าวผัด หมูย่าง อาหารจานเดียว จุดเด่นของร้าน คือ มีสูตรความอร่อยเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร มีเมนูที่อร่อยๆ ให้เลือกจากทางร้านมากมายในราคาประหยัดเกินคุ้ม บรรยากาศภายในร้านโล่ง สบาย และสะอาดตา 

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยของทางร้าน ได้แก่

  • ข้าวผัดปู (ราคาเริ่มต้น 55-75 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยจากเนื้อปูแน่นๆ เนื้อปูมีความสดใหม่
  • กระเพาะปลาน้ำแดง (ราคาเริ่มต้น 45-75 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยด้วยน้ำแดงหนืดสูตรของทางร้าน มีรสชาติหวานกำลังดี กลมกล่อมอย่างลงตัว
  • กุ้งอบวุ้นเส้น (ราคาเริ่มต้น 130 บาท ) เป็นเมนูที่มีความหอม อร่อย เส้นนุ่มอบร้อนๆ ทานง่าย  
  • สุกี้แห้ง (มีราคาเริ่มต้น 55-75 บาท ) เป็นเมนูที่มีความอร่อยจากเส้นนุ่มๆ บวกกับน้ำจิ้มสุกี้ที่มีรสชาติอร่อย เข้มข้น ทานแล้วต้องติดใจ
  • หมูสะเต๊ะ 10 ไม้ (มีราคาเริ่มต้น 55 บาท ) เมนูเนื้อหมูหมักด้วยเครื่องปรุงรสสูตรของทางร้าน ปิ้งจนเหลืองสุก ทำให้มีกลิ่นหอม รสชาติหวานมัน อร่อยน่ารับประทาน

ร้านข้าวผัดปูเมืองทอง เป็นอีกหนึ่งร้านเด็ด ม.เกษตรที่มีสูตรความอร่อยแบบราคาประหยัด อิ่มเกินคุ้ม และเป็นร้านที่ได้รับความนิยมของใครหลายๆคน เเพราะมีความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

  • ที่อยู่ : 369 ถนนสุคนธสวัสดิ์ แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร 10230
  • เบอร์โทร : 082-9720880 
  • พิกัด : ข้าวผัดปูเมืองทอง
  • เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 11:30-22:00 น. 

20. T&N Steak P’โหน่ง

T&N Steak P’โหน่ง เป็นร้านอาหารประเภทสเต็ก จุดเด่นของร้าน คือ มีเมนูหลากหลายให้ได้เลือกรับประทานจนคุณรู้สึกอิ่ม ราคาไม่แพง อีกทั้งวัตถุดิบทางร้านสด สะอาด คุณภาพดี ถูกใจนักศึกษาและใครอีกหลายๆคน

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยของทางร้าน ได้แก่

  • มันบด (ราคาเริ่มต้น 50 บาท) มันบดละเอียด เนื้อเนียนนุ่ม เพิ่มความอร่อยมากยิ่งขึ้นด้วยการราดน้ำเกรวี่ลงไป
  • สเต็กหมู (ราคาเริ่มต้น 100 บาท) เป็นเมนูสเต็กหมูเนื้อนุ่ม และมีความหอมอร่อยสุกกำลังพอดี 
  • สเต็กไก่ (ราคาเริ่มต้น 100 บาท) เป็นเมนูที่มีรสชาติอร่อย กลมกล่อม ด้วยเนื้อไก่หมักนุ่ม 
  • สเต็กไก่แซนด์คิง (ราคาเริ่มต้น 140 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยจากสเต็กไก่ย่างหอมๆ บวกกับชีส และเบคอนที่ช่วยเพิ่มความอร่อยแบบควบคู่กัน
  • ไก่บาร์บีคิว (ราคาเริ่มต้น 100บาท ) อิ่มอร่อยด้วยสะโพกไก่ชิ้นโต เนื้อไก่มีความนุ่มละมุน สุกกำลังดี อร่อยชุ่มฉ่ำไปด้วยซอสบาร์บีคิว
  • มิกซ์กริล (ราคาเริ่มต้น 135 บาท) สเต็กไก่ทอดแบบกรอบนอกนุ่มใน บวกกับไส้กรอก แฮม ราดด้วยน้ำซอสเข้มข้นอร่อยเข้ากัน
  • ผักโขมอบชีส (มีราคาเริ่มต้น 100 บาท) เมนูชีสยืดฟินๆ เนื้อชีสนุ่ม บวกกับครีมซอสที่หวานละมุน และกลิ่นหอมจากเนย

T&N Steak P’โหน่ง เป็นร้านอาหารที่มีอร่อย เกินคุ้ม และมีเมนูของทานเล่นฟรีให้กับลูกค้า จึงไม่แปลกที่เป็นร้านยอดฮิตถูกใจนักศึกษา และคนทั่วไป

  • ที่อยู่ : 19/36, ซอยงามวงศ์วาน 62 แขวงลาดยาว กรุงเทพมหานคร 10900
  • เบอร์โทร : 02-5797500 
  • พิกัด : T&N Steak P’โหน่ง
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน (ยกเว้นวันอังคาร) เวลา 11:30-21:30 น.

21. Seoul zaab

Seoul Zaab เป็นร้านอาหารเกาหลี จุดเด่นของร้าน คือ มีความอร่อยสไตล์เกาหลีแบบโฮมเมด วัตถุดิบของทางร้านสดใหม่ สะอาด มีเมนูที่หลากหลายให้เลือก อร่อยถูกปาก แถมยังประหยัดคุ้มค่า

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยของทางร้าน ได้แก่ 

  • ซุปกิมจิ (ราคาเริ่มต้น 89-99 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยด้วยน้ำซุปเข้มข้น มีรสชาติ เผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็มแบบครบเครื่อง
  • ข้าวหน้าหมูสามชั้นโคชูจัง (ราคาเริ่มต้น 89-99 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยจากเนื้อหมูนุ่มละมุน รสชาติของเมนูมีความหวาน เผ็ด เค็ม
  • มาม่าเกาหลีหม้อไฟ (ราคาเริ่มต้น 199 บาท) เมนูที่มีความอร่อยด้วยรสชาติของน้ำซุปที่ เผ็ด เข้มข้น เส้นมาม่าในหม้อไฟมีความนุ่ม บวกกับสีสันของผักที่น่ารับประทาน อร่อยจนต้องติดใจ
  • ต๊อกโบกิ (ราคาเริ่มต้น 89-99 )เมนูที่มีรสชาติเผ็ดนิด หวานหน่อย เนื้อแป้งมีความเหนียวนุ่ม 
  • ข้าวยำเกาหลี (ราคาเริ่มต้น 89-99 บาท) มาพร้อมความอร่อยด้วยเครื่องปรุงรส และวัตถุดิบแน่นๆ  ไม่ว่าจะเป็นความหอมจากน้ำมันงา รสชาติที่เข้มข้นจากโคชูจัง เต็มอิ่มด้วยเนื้อหมู ผักต่างๆ และไข่ไก่ เมื่อคลุกเคล้าเข้ากัน ทำให้มีสีสัน และรสชาติกำลังดี

หากใครที่ชอบรับประทานอาหารสไตล์เกาหลี อย่าลืมแวะมาที่ร้าน Seoul Zaap ที่ถือเป็นอีกหนึ่งร้านเด็ด ม.เกษตร ที่รอเสิร์ฟความอร่อยให้กับทุกคน

  • ที่อยู่ : ถนนงามวงศ์วาน กรุงเทพมหานคร (ข้างร้านตัดผม tommy hair ถนนงามวงศ์วาน หน้า ม.เกษตรศาสตร์)
  • เบอร์โทร : 098-1054922 
  • พิกัด : Seoul Zaab
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 11:00-22:00 น.

22. Daily Steak

Daily Steak เป็นร้านอาหารประเภทสเต็กสัญชาติไทย และเป็นร้านเด็ด ม.เกษตรที่ไม่ควรพลาด จุดเด่นของร้านอยู่ที่ราคาประหยัดสุดคุ้ม มีวัตถุดิบคุณภาพดี และมีเมนูให้เลือกตามใจชอบ อร่อยถูกใจใครหลายๆคน 

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยของทางร้าน ได้แก่

  • สเต็กหมู (ราคาเริ่มต้น 59 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยด้วยเนื้อหมูนุ่ม ชุ่มฉ่ำ หอมน่ารับประทาน
  • สเต็กไก่สอดไส้แฮมชีส (ราคาเริ่มต้น 99 บาท) อิ่มอร่อยด้วยเนื้อไก่นุ่มแน่นๆ บวกกับชีส และแฮม พร้อมราดน้ำซอสเพิ่มความอร่อย 
  • สปาเก็ตตี้ซอสเห็ดเบคอน (ราคาเริ่มต้น 99 บาท) เส้นสปาเก็ตตี้นุ่มๆ บวกกับความหอมของเบคอน เมื่อราดด้วยซอสเห็ดแล้ว ยิ่งทำให้มีรสชาติที่อร่อยกลมกล่อม
  • มิกซ์กริล (ราคาเริ่มต้น 89บาท) เนื้อหมูชิ้นหนานุ่ม และมีความอร่อยจากไก่ชุบเกล็ดขนมปังทอดที่กรอบนอก นุ่มใน อร่อยฟินๆ

Daily Steak เป็นร้านอาหารที่เหมาะสำหรับคนรักการทานสเต็ก ถือเป็นร้านอาหารของกิน ม.เกษตรที่มีความอร่อยเฉพาะตัว และควรแวะมาชิมสักครั้ง

  • ที่อยู่ : ซอยผาสุข กรุงเทพมหานคร (ปากซอยงามวงศ์วาน 62 ตรงข้าม ม.เกษตร) 
  • เบอร์โทร : 02-5797927
  • พิกัด : Daily Steak
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 11:00-22:00 น.
Daily Steak

คาเฟ่ และร้านขนมของหวานสุดฮอต

ในย่าน ม.เกษตรมีร้านกาแฟของหวานมากมายที่ชวนน่ารับประทาน แต่จะมีร้านไหนกันบ้าง ไปดูกันเลย

23. Too Fast Too Sleep

Too fast Too sleep เป็นร้านคาเฟ่ขนมหวานประเภทเครื่องดื่ม เบเกอรีที่มีจุดเด่น คือ มีวัตถุดิบคุณภาพดี รสชาติอร่อยกลมกล่อม และเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าคุณจะอยากแวะมาในช่วงไหน ก็สามารถแวะมาที่ร้านได้ตลอด อีกทั้งเมนูทางร้านมีราคาประหยัด ทุกเมนูราคา 80 บาท บรรยากาศในร้านโล่ง สบาย มีหลายโซนให้เลือกนั่ง เหมาะสำหรับนั่งทำงาน นั่งพักผ่อน หรืออ่านหนังสือในยามว่างได้เป็นเวลานาน แบบไม่จำกัดเวลา และมีฟรี Wifi ทำให้เป็นร้านเด็ด ม.เกษตรที่ไม่ควรพลาด

เมนูยอดฮิตของทางร้านที่ควรลอง ได้แก่

  • อเมริกาโน่ (ราคาเริ่มต้น 80 บาท ) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีรสชาติอร่อย เข้มข้น กลมกล่อม มีกลิ่นหอมละมุนจากกาแฟ
  • ลาเต้ (ราคาเริ่มต้น 80 บาท ) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีรสชาติหวานละมุนกำลังดี บวกกับฟองนมด้านบนลาเต้ที่ชวนดื่ม
  • เอสเพรสโซ่ (ราคาเริ่มต้น 80 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมกาแฟ รสชาติเข้มข้นมาก ขมนิดหน่อย แต่อร่อยกลมกล่อม
  • นมสดช็อกโกแลตชิพ (ราคาเริ่มต้น 80 บาท ) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีรสหวาน หอม กลมกล่อมด้วยกลิ่นช็อกโกแลต ทานแล้วรู้สึกสดชื่น
  • กระเจี๊ยบรูทเบียร์ (ราคาเริ่มต้น 80 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีรสชาติอร่อยแบบเปรี้ยวนิด หวานหน่อย 
  • เสาวรสปั่น (ราคาเริ่มต้น 80 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีรสชาติอร่อย เปรี้ยวอมหวาน ดีต่อสุขภาพ
  • ช็อกโกแลตบราวนี่ (ราคาเริ่มต้น 80 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยด้วยเนื้อช็อกโกแลตนุ่มหนึบ รสชาติหวานกำลังดี 
  • เครปเค้ก (ราคาเริ่มต้น 80 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยด้วยแยมสตรอว์เบอร์รี เนื้อเค้กมีความนุ่ม ละมุนลิ้น หวานอร่อย
  • ที่อยู่ : KU VILLE โซนอาคารหอพักนิสิตและบุคลากร ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน
  • เบอร์โทร : 097-1589000
  • พิกัด : Too fast Too sleep
  • เวลาเปิด- ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง

24. Box & Brew Café and Board Games

Box & Brew Café and Board Games เป็นร้านคาเฟ่ ประเภทเครื่องดื่ม ขนมหวาน และเกมส์ จุดเด่นของร้าน คือ มีเมนูเครื่องดื่มขนมให้เลือกมากมาย ราคาประหยัด อีกทั้งเป็นร้านคาเฟ่สมัยใหม่ที่มีเกมส์ให้ลูกค้าได้เลือกเล่นหลายแนวเพื่อความเพลิดเพลิน พร้อมกับสั่งเมนูอร่อยๆ ของทางร้านทานไปด้วย เรียกได้ว่าเป็นร้านเด็ด ม.เกษตร ที่มาแล้วจะได้รับทั้งความอิ่ม และความสนุกแน่นอน

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยของทางร้าน ได้แก่

  • ชานมสตรอว์เบอร์รี (ราคาเริ่มต้น 40 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีความอร่อยจากสตรอเบอร์รี บวกกับนมสดที่มีความหวานละมุน ทำให้รสชาติของเมนูนี้ออกเปรี้ยวหวาน และเย็นชื่นใจ
  • ชานมแคนตาลูป (ราคาเริ่มต้น 40 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีความอร่อยจากส่วนผสมของนมที่มีรสหวาน ละมุน และมีความหอมจากแคนตาลูป 
  • ชานมเผือก (ราคาเริ่มต้น 40) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีความหอม หวานอร่อย
  • ชานม (ราคาเริ่มต้น 40 บาท ) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่หวานนำ แต่รสชาติอร่อยละมุน
  • ชากล้วย (ราคาเริ่มต้น 40 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีความอร่อยด้วยกลิ่นหอมจากกล้วย บวกกับนมสด ทำให้มีรสชาติหวาน กลมกล่อม

Box & Brew Café and Board Games เป็นร้านเด็ด ม.เกษตร ที่ไม่ควรพลาดสำหรับคนที่ชอบอะไรแปลกใหม่ บวกกับมีเครื่องดื่มที่รสชาติ อร่อย เย็นชื่นใจ หากใครที่ชอบเล่นเกมส์ก็ชวนเพื่อนไปที่ร้านแห่งนี้กันได้เลย

  • ที่อยู่ : 1/29 ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน) ฝั่งพหลโยธิน ซอยพหลโยธิน 40 ถนนพหลโยธิน แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
  • เบอร์โทร : 081-1731590
  • พิกัด : Box & Brew Café and Board Games
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 11:00 -22:00 น.
Nanana Cafe

25. Nanana Cafe

Nanana Cafe เป็นร้านคาเฟ่ประเภทเครื่องดื่ม และอาหาร จุดเด่นของร้าน คือ มีทั้งเครื่องดื่ม และอาหารที่อร่อย น่ารับประทาน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากทางร้าน แถมยังราคาประหยัดสุดๆ บรรยากาศภายในร้านตกแต่งอย่างสวยงามชวนน่าเข้า มีความโล่ง สบาย สไตล์ชาวนา  

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยของทางร้าน ได้แก่

  • กาแฟไรซ์เบอร์รี (ราคาเริ่มต้น 55 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมระหว่างกาแฟกับส่วนผสมของข้าวไรซ์เบอร์รีเข้าด้วยกัน ทำให้มีรสชาติอร่อย กลมกล่อม มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
  • กาแฟร้อนข้าวสังข์หยด (ราคาเริ่มต้น 35 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ มีรสชาติความอร่อยด้วยเนื้อข้าวที่ผสมเข้าไปกับกาแฟ ทำให้มีกลิ่นหอม อร่อย กลมกล่อม
  • น้ำมะนาวอัญชัน (ราคาเริ่มต้น 30 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีรสชาติเปรี้ยวหวาน ให้ความรู้สึกสดชื่น เย็นชื่นใจ
  • ใบเตยฝาง (ราคาเริ่มต้น 30 บาท) เป็นเครื่องดื่มที่มีความหอมจากใบเตย รสชาติไม่หวานมาก 
  • นมสดคาราเมล (ราคาเริ่มต้น 45 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีความหอมจากคาราเมล มีรสชาติหวาน ละมุนกำลังดี 
  • ไข่กระทะ (ราคาเริ่มต้น 59 บาท) เป็นเมนูที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีเครื่องแน่นๆ รสชาติอร่อยกลมกล่อม
  • ข้าวไก่กรอบ (ราคาเริ่มต้น 59 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยด้วยเนื้อไก่กรอบนอกนุ่มใน เมื่อราดด้วยน้ำซอสก็ยิ่งอร่อย

Nanana cafe เป็นร้านเด็ด ม.เกษตรที่มีรสชาติความอร่อยที่คุ้มค่า และสไตล์การตกแต่งร้านที่ดูชิลล์ สบายตา จึงเป็นร้านที่ทุกคนไม่ควรพลาด

  • ที่อยู่ : 50 สำนักงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว กรมการข้าวเกษตรกลางบางเขน ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
  • เบอร์โทร : 063-6536291
  • พิกัด : Nanana Cafe 
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08:00-17:00 น.

26. TREAT Cafe & Hangout

Treat Cafe & Hangout เป็นร้านคาเฟ่ประเภทเครื่องดื่ม เบเกอรี จุดเด่นของร้าน คือ มีการตกแต่งด้วยสไตล์วินเทจ มีกลิ่นอายความอินดี้ มีมุมถ่ายรูปสวยๆ ให้กับลูกค้า บรรยากาศภายในร้านดูสะอาดตา น่าเข้า อาหารรสชาติอร่อย และเครื่องดื่มรสชาติกลมกล่อม

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยของทางร้าน ได้แก่

  • มอคค่า (ราคาเริ่มต้น 80-95 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมแบบช็อกโกแลต รสชาติหวานมัน กลมกล่อม
  • ลาเต้ (ราคาเริ่มต้น 80-95 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีความอร่อยหวานละมุน รสชาติเข้ม กลมกล่อม 
  • น้ำแตงโมโซดา (ราคาเริ่มต้น 70-95 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีความซ่าจากโซดา และมีความหวานจากแตงโม ทำให้อร่อยลงตัว ช่วยเพิ่มความสดชื่น
  • เค้กมะพร้าว (ราคาเริ่มต้น 80-100 บาท) เป็นเค้กที่มีความอร่อยด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อน รสชาติหอม หวานละมุน 
  • บลูเบอร์รีชีสพาย (ราคาเริ่มต้น 90 บาท) เป็นเมนูเบเกอรีที่มีความอร่อยด้วยเนื้อเค้กนุ่มละมุน รสชาติเปรี้ยวอมหวาน
  • ซอฟต์ช็อกโกแลต (ราคาเริ่มต้น 85 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยจากครีมช็อกโกแลต มีรสหวานหวานละมุน นุ่มลิ้น
  • สปาเก็ตตี้กุ้งพริกขี้หนู (ราคาเริ่มต้น 120 บาท) เป็นเมนูที่มีรสอร่อยด้วยเส้นสปาเก็ตตี้นุ่มๆ เต็มไปด้วยกุ้งคำโตๆ
  • ที่อยู่ :  563 ถนน พหลโยธิน แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
  • เบอร์โทร : 085-5515333, 093-2649292 
  • พิกัด : Treat Cafe & Hangout
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 11:00-23:00 น.
Cafe To All (Cafe 2 All)

27. Cafe To All (Cafe 2 All)

Cafe To All (Cafe 2 All) เป็นร้านคาเฟ่ประเภทเครื่องดื่ม และเบเกอรี จุดเด่นของร้าน คือ มีเมนูเครื่องดื่ม และเบเกอรีให้เลือกหลากหลาย ราคาไม่แพงเกินไป อีกทั้งกาแฟของทางร้านมีรสชาติกำลังดี เหมาะสำหรับคนที่ชอบดื่มเครื่องดื่มกาแฟ และชอบทานเบเกอรีเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้ Cafe To All (Cafe 2 All) เป็นร้านเด็ด ม.เกษตร ที่คุณไม่ควรพลาดแวะมาลิ้มลอง

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยของทางร้าน ได้แก่

  • มัทฉะ ลาเต้ (ราคาเริ่มต้น 45-60 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมชาเขียวกับมันนม รสชาติอร่อย กลมกล่อม หวานละมุนกำลังดี 
  • เลมอนที (ราคาเริ่มต้น 45-60 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมมะนาว รสชาติเปรี้ยวหวาน ให้ความรู้สึกสดชื่น
  • คาปูชิโน่ (ราคาเริ่มต้น 45- 60 บาท ) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมละมุนจากกาแฟ รสชาติหวานมันเล็กน้อย อร่อยเข้มข้น กลมกล่อม มีฟองนมชวนน่าดื่ม
  • เอสเพรสโซ่ (ราคาเริ่มต้น 45-60 บาท) เป็นเมนูที่มีกลิ่นหอมจากกาแฟ รสชาติอร่อยแบบเข้มข้นเต็มๆด้วยกาแฟ หนักแน่น และกลมกล่อม 
  • อเมริกาโน่ (ราคาเริ่มต้น 45- 60บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมกาแฟ รสชาติอร่อยกลมกล่อม 
  • มะม่วงผสมเสาวรสโซดา (ราคาเริ่มต้น 45-60 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมจากมะม่วงอกร่อง รสชาติหวานอมเปรี้ยวตัดกันระหว่างมะม่วง กับเสาวรสได้อย่างลงตัว บวกกับความซ่าของโซดาที่ทำให้รู้สึกสดชื่น
  • เค้กบราวนี่ (ราคาเริ่มต้น 35-60 บาท) เป็นเมนูเบเกอรีที่มีความอร่อยจากช็อกโกแลตเข้มข้น เนื้อเค้กนุ่มอร่อย หนึบหนับ 
  • เค้กบลูเบอร์รี (ราคาเริ่มต้น 35-60 บาท) เป็นเมนูเบเกอรีที่มีความอร่อยจากส่วนผสมของบลูเบอร์รี เนื้อเค้กนุ่มละมุน รสชาติเปรี้ยวหวาน
  • เค้กส้ม (ราคาเริ่มต้น 35-60 บาท) เป็นเมนูเบเกอรีที่มีความอร่อย และมีกลิ่นหอมเนื้อส้ม เนื้อเค้กนุ่ม แถมยังมีวิตามินซี ดีต่อร่างกาย
  • บลูเบอร์รีชีสพาย (ราคาเริ่มต้น 35-60 บาท ) เป็นเมนูเบเกอรีที่มีความอร่อยจากบลูเบอร์รี รสชาติมีความอร่อยเปรี้ยวหวานกำลังดี มีความหอมของชีสพาย 
  • โอริโอ้พาย (ราคาเริ่มต้น 35-60 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยจากโอริโอ้ รสชาติหวานละมุน หอมด้วยครีมชีส เคี้ยวง่าย อร่อยแบบกรุบกรับ
  • ที่อยู่  : 83 ถนนเสนานิคม 1 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
  • เบอร์โทร :  085-551 5333 
  • พิกัด : Cafe To All ( Cafe 2 All)
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 10:30-20:00 น.

28. Vistacafé

Vistacafé เป็นร้านคาเฟ่ ขนมหวาน ประเภทเครื่องดื่ม เบเกอรี จุดเด่นของร้าน Vistacafé คือ มีการใช้วัตถุดิบคุณภาพดี สดใหม่ สะอาด มีเมนูที่หลากหลายให้เลือกรับประทาน เครื่องดื่มมีรสชาติอร่อย อีกทั้งเบเกอรีของทางร้านก็ปราศจากไขมัน เป็นร้านคาเฟ่เพื่อสุขภาพ บรรยากาศภายในร้านตกแต่งสวยงามสไตล์น่ารักๆ 

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยของทางร้าน ได้แก่

  • ช็อกโกแลตเย็น (ราคาเริ่มต้น 90 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีความอร่อยด้วยส่วนผสมของช็อกโกแลตเข้มข้น บวกกับนมสดหวานมัน ทำให้มีรสชาติที่อร่อยเข้ากัน
  • ปังเย็นชาไทย (ราคาเริ่มต้น 80บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมชาไทย รสชาติหวานมันอร่อย เข้มข้นกำลังดี
  • ปังเย็นนมชมพู (ราคาเริ่มต้น 70 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีความอร่อยแบบหวานนม กลิ่นหอมละมุน บวกกับความอร่อยของขนมปังออร์แกนิก
  • ลาเต้เย็น (ราคาเริ่มต้น 90 บาท ) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีความอร่อยด้วยกาแฟที่เข้มกำลังดี บวกกับรสชาตินมที่กลมกล่อม ทำให้มีรสชาติที่หอมละมุนเต็มๆ
  • เค้กแครอท (ราคาเริ่มต้น 90 บาท) เป็นเมนูเบเกอรีที่มีความอร่อยแบบนุ่ม ละมุนจากเนื้อแครอท รสชาติของเค้กมีรสเปรี้ยวหวาน ดีต่อสุขภาพ
  • คริสปี้ม็อคค่าพิสตารีโอ (ราคาเริ่มต้น 110 บาท) เป็นเมนูเบเกอรีที่มีความอร่อยด้วยกาแฟผสมกับพิสตารีโอ ทำให้มีรสชาติที่หอมหวานด้วยมอคค่า และเนื้อเค้กนุ่ม น่าทานสุดๆ

Vistacafé เป็นร้านคาเฟ่ ของกิน ม.เกษตรที่มีความอร่อย คุ้มค่าเกินราคา และเหมาะกับคนรักสุขภาพ ทำให้เป็นร้านที่ถูกใจใครหลายๆ คน 

  • ที่อยู่ : 39 ซอยหมู่บ้านปิ่นเกล้า แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร 
  • เบอร์โทร : 093-8140097, 095-8509273 
  • พิกัด : Vistacafé
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08:00-19:30 น.
Dressage Horse Cafe Bangkok

29. Dressage Horse Cafe Bangkok

Dressage Horse Cafe Bangkok เป็นร้านคาเฟ่ประเภทเครื่องดื่มและอาหาร จุดเด่นของร้าน คือ มีเมนูสไตล์อิตาเลียนหลากหลายให้เลือกตามใจชอบ แต่ละเมนูมีรสชาติอร่อย และน่ารับประทาน บรรยากาศภายในร้านดูอบอุ่น มีความสวยงามเฉพาะตัว เหมาะสำหรับนั่งพักผ่อนชิลล์ๆ 

เมนูยอดฮิตแสนอร่อยของทางร้านที่เป็นเครื่องดื่ม ได้แก่

  • Dressage Cappuccino (ราคาเริ่มต้น 85 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีความอร่อยเข้มข้นจากกาแฟ บวกกับฟองนมที่มีความนุ่มละมุน จึงทำให้เมนูนี้มีรสชาติที่หอมอร่อย กลมกล่อม
  • Strawberry Italian Soda (ราคาเริ่มต้น 85 บาท) เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีความซ่าสดชื่นจากโซดา บวกกับรสชาติหวานอมเปรี้ยวด้วยสตรอว์เบอร์รี ทำให้มีรสชาติที่อร่อยแบบเปรี้ยว หวาน ซ่า และสดชื่นในแก้วเดียว

อีกทั้งยังมีเมนูยอดฮิตที่แสนอร่อยของทางร้านที่ขาดไม่ได้ คือ เมนูพิซซ่าสไตล์อิตาเลี่ยนที่มีให้เลือกถึง 14 หน้า สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า และเฟรนช์ฟรายส์

  • Pizza Prosciutto Cotto e Funghi (ราคาเริ่มต้น 340 บาท) เป็นเมนูพิซซ่าแฮมเห็ดที่มีความอร่อยเข้มข้นจากซอสมะเขือเทศ เนื้อแป้งพิซซ่ามีความยืดยาวด้วยชีสมอสซาเรล่าที่น่ารับประทาน
  • Pizza Garlic Sausage (ราคาเริ่มต้น 350 บาท) เป็นเมนูพิซซ่าไส้กรอกกระเทียม มีความอร่อยด้วยกลิ่นหอมจากเครื่องเทศ ไม่ว่าจะเป็นกระเทียม และตัวเนื้อแป้งพิซซ่ามีความยืดนุ่มอร่อย น่ารับประทาน จากส่วนผสมของมอสซาเรลล่าชีสบวกกับไส้กรอกแน่นๆ ที่ทำให้เมนูพิซซ่ามีความอร่อยลงตัว ยิ่งราดด้วยซอสมะเขือเทศบนแผ่นพิซซ่า ก็ยิ่งแต่มีความอร่อยฟินๆ
  • Spaghetti Carbonara (ราคาเริ่มต้น 199 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยจากเส้นสปาเก็ตตี้นุ่มๆ บวกกับเนื้อเบคอนเต็มคำ และชีสหอมๆ จึงทำให้เมนูนี้ชวนน่ารับประทาน
  • เฟรนช์ฟรายส์ (ราคาเริ่มต้น 99 บาท) เป็นเมนูที่มีความอร่อยจากเนื้อมันฝรั่งทอด กรอบนอกนุ่มใน เคี้ยวเพลิน ยิ่งราดด้วยซอสมะเขือเทศ หรือซอสมายองเนสก็ยิ่งช่วยเพิ่มความอร่อยเป็นหลายเท่า
  • ที่อยู่ : 100/633 หมู่บ้านนักกีฬา ซอย 12 ถนนกรุงเทพกรีฑา แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10250
  • เบอร์โทร : 062-3944624
  • พิกัด : Dressage Horse Cafe Bangkok
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08:00-20:00 น.

ปิดท้ายด้วยตลาดนัดของกิน สุดฮิต

ในย่าน ม.เกษตรยังมีตลาดนัดสุดฮิตอีก 2 แห่ง ที่ให้คุณได้เลือกชอปปิงสินค้าต่างๆ ได้ตามใจชอบ ได้แก่

30. ตลาดนัดเจเจกรีน 2

ตลาดนัดเจเจกรีน 2 เป็นตลาดนัดที่รวบรวมสินค้าเบ็ดเตล็ดหลากหลายชนิดที่รอให้ได้มาแวะชม แวะเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ เสื้อผ้าแฟชั่น หรือเครื่องประดับ เป็นต้น 

จุดเด่นของตลาดเจเจกรีน 2 เป็นตลาดนัดที่มีพื้นที่กว้าง สามารถรองรับผู้คนจำนวนมากให้ได้มาเดินชม ซื้อสินค้า หรือพักผ่อนหย่อนใจ เรียกได้ว่ามีสินค้าที่ให้ชอปปิงแบบครบ จบ สะดวก ในที่เดียว เพราะมีร้านขายสินค้าต่างๆ เช่น ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นที่ทันสมัย ร้านรองเท้า ร้านแว่นตา ร้านน้ำหอม ร้านต้นไม้ ร้านเสริมสวย และอื่นๆ

อีกทั้งมีร้านอาหารมากกว่า 100 ร้าน ให้ได้มาลิ้มลอง นอกจากนี้ร้านอาหารในตลาดนัดเจเจกรีน 2 ยังได้รับความนิยม เพราะสินค้า อาหารราคาไม่แพง วัตถุดิบสะอาด และบริการดี ร้านอาหารที่ไม่ควรพลาด มีดังนี้

  • ร้าน บะหมี่ ปะ หล่ะ ? เป็นร้านที่ขายบะหมี่หมูแดง บะหมี่หมูกรอบ บะหมี่เกี๊ยว บะหมี่ไก่ตุ๋น 
  • ร้าน ชอบเนื้อโคขุน เป็นร้านที่ขายเนื้อโคขุนปิ้งร้อนๆ 
  • ร้าน ผู้พันหมึก เป็นร้านที่ขายปลาหมึกปิ้ง พร้อมกับรสชาติน้ำจิ้มที่อร่อยเผ็ดๆ แซ่บๆ 
  • ราดหน้า เจ้าเก่า สามย่าน เป็นร้านที่ขายราดหน้าอร่อยๆ 

หากใครที่ยังไม่เคยแวะมาตลาดนัดเจเจกรีน 2 ก็อย่าลืมแวะมากันนะ 

  • ที่อยู่ : 61 16 ถนนประชาชื่น แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210
  • เบอร์โทร : 092-2161555
  • พิกัด : ตลาดนัดเจเจกรีน 2
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวันพฤหัสบดี ถึงวันอาทิตย์ เวลา 18:00-24:00 น.
ตลาดนัดจ๊อดแฟร์

31. ตลาดนัดจ๊อดแฟร์

ตลาดนัดจ๊อดแฟร์ เป็นตลาดนัดอีกแห่งที่มีสินค้าเบ็ดเตล็ดมากมายให้ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติได้มาชอปปิง เช่น ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น ร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ ร้านต้นไม้ ร้านผักผลไม้ ร้านกระเป๋า ร้านเครื่องประดับ ร้านขนมหวาน เป็นต้น 

จุดเด่นของตลาดนัดจ๊อดแฟร์ คือ มีพื้นที่กว้างใหญ่ให้ลูกค้าได้มาเดินชอปปิงกันอย่างสบายๆ มีโซนถ่ายรูปที่สวยงามจากปราสาทจ๊อดแฟร์ แดนเนรมิต มีพื้นที่สำหรับจัดงานอีเวนต์ และมีร้านค้าต่างๆ ถึง 700 ร้านด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวบอาหารหลากหลายประเภทให้ได้ลองทาน ซึ่งร้านอาหารที่รอเสิร์ฟความอร่อย และไม่ควรพลาดไปลิ้มลอง ได้แก่ 

  • ร้าน Oppa เกาหลี เป็นร้านอาหารเกาหลี ที่มีเมนูความอร่อยสไตล์เกาหลี แบบรสชาติเผ็ดอร่อย เช่น เมนูกิมจิ ต็อกโบกี และอื่นๆ
  • ร้าน ปัง 3 แมว เป็นร้านขนมปังเนยสดอร่อยๆ ที่ต้องทานคู่กับไอศกรีม 1 สคูป
  • ร้าน อา เฟง ลี่ เป็นร้านอาหารที่มีเมนูกุยช่ายสติ๊ก หน้าตาน่ารับประทาน และรสชาติอร่อย 
  • ร้าน Mango Me เป็นร้านที่มีเมนูน้ำปั่นผลไม้จากมะม่วง ไอศกรีมมะม่วง ข้าวเหนียวมะม่วง ซึ่งเป็นร้านที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับประทานมะม่วง
  • ร้าน Farm Fresh เป็นร้านน้ำปั่นผลไม้บุฟเฟต์ที่สามารถตักผลไม้ได้ไม่อั้น 
  • ที่อยู่ : ถ. พระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310
  • เบอร์โทร : 092-7135599
  • พิกัด : ตลาดนัดจ๊อดแฟร์
  • เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 16:00-24:00 น.

สรุป

ย่าน ม.เกษตร บางเขน มีของอร่อย ๆ ร้านเด็ด ร้านดังให้ได้ชิมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านของกินม.เกษตร ที่อร่อยๆ มากมาย หากคุณลงจากเครื่องที่ดอนเมือง และอยากไปแวะหาร้านทานข้าว หรืออยากไปคาเฟ่เพื่อนั่งพักผ่อนชิลล์ๆ แถว ม.เกษตร โดยไม่อยากแวะเข้าที่พักหรือโรงแรมเพื่อเก็บสัมภาระ สามารถใช้บริการของ AIRPORTELs ที่ช่วยอำนวยความสะดวกด้วยการส่งสัมภาระจากสนามบินไปยังที่โรงแรมได้เลย อีกทั้งคุณจะได้ไม่พลาดในการแวะรับประทานอาหาร 1 ใน 31 ร้านอร่อยที่ห้ามพลาด อร่อยจนต้องบอกต่อ ย่านม.เกษตร (บางเขน) นั่นเอง

17 ร้านเด็ดบรรทัดทอง กินหวาน ทานคาว มัดรวมที่นี่ไว้แล้ว

สำหรับสายกินแล้ว ถนนบรรทัดทองเป็นย่านที่มีร้านอาหารเด็ดเยอะมากย่านหนึ่ง อีกทั้งยังมีผู้คนพากันรีวิวจนแน่นโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นของคาว หรือของหวาน มาที่นี่รับรองว่าตอบโจทย์ เพราะเดินทางง่ายไม่ไกลจากสยามมากนัก 

MBK บริการรับฝากและขนส่งกระเป๋า

ความน่าสนใจ และอีกจุดขายที่ทำให้ถนนบรรทัดทองกลายเป็นแลนด์มาร์คของใครหลายคนคือ ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต หากคุณชอปปิงจนของล้นมือ และต้องการหาสถานที่ฝากของ MBK ก็มี Airportels ให้ไป

ใช้บริการฝากของกันได้ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพราะที่นี่นั้นรับฝากของฟรี 2 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว หรือเหมาทั้งวัน 100บาท/ใบ เท่านั้น เดินกินจนอิ่มค่อยมารับสัมภาระกับ Airportels

อี้จาสุกี้หม่าล่า

1. อี้จาสุกี้หม่าล่า

ถูกใจคนชอบกินอะไรแซ่บๆ กับร้านหม่าล่าสายพาน ที่เริ่มต้นเพียงไม้ละ 5 บาท เท่านั้น จุดเด่นของร้านนี้คือเป็นหม่าล่าต้นตำรับจากเสฉวน เผ็ดชาที่ถูกต้อง อร่อยกลมกล่อมด้วยน้ำซุปหลากหลายสูตรให้คุณเลือกทานกันได้ตามความชอบ มีหมดทั้งน้ำซุปหม่าล่าเผ็ดชา, น้ำซุปกระดูกหมู, น้ำซุปมะเขือเทศ หรือจะเป็นน้ำซุปเห็ดหอมที่จะได้กลิ่นอ่อนๆ ของเห็ดหลากหลายชนิด

เหตุผลที่ทำให้ร้านอี้จาสุกี้หม่าล่าติดอันดับร้านเด็ดประจำย่านบรรทัดทอง เพราะที่นี่มีเมนูที่ไม่ควรพลาด และทำให้หลายคนที่ชื่นชอบหม่าล่าต้องกลับมาใช้ซ้ำกันอีกอย่างต่อเนื่อง อย่างตัวน้ำซุปกระดูกหมูที่มีรสชาติหวานมัน กลมกล่อมรู้สึกถึงความเป็นครีมมี่นุ่มละมุนลิ้น น้ำซุปหม่าล่าเผ็ดชา ที่สมชื่อรสชาติน้ำซุป เพราะเพียงแค่ได้ซดเข้าปากไปเป็นเพียงน้อยก็ทำให้รู้สึกชาลิ้น และยังให้รสชาติเผ็ดที่ค่อนไปทางเค็มด้วยเล็กน้อย และที่พลาดไม่ได้คือ ฟองเต้าหู้ทอด ที่ราคาน่ารัก รสชาติดี เคี้ยวกรุบกรอบ

ร้านเจ๊โอว

2. ร้านเจ๊โอว

ตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดก็มีคนมารอต่อคิวกันจนแน่นกับร้านเจ๊โอว ที่จะเรียกว่าอร่อยระดับสากลก็คงไม่ผิด เพราะได้รับเลือกเป็นหนึ่งในร้านมิชลินไกด์ ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าความอร่อยที่จะได้รับจากร้านนี้คุ้มค่ากับการรอคอยแน่นอน ยิ่งถ้าคุณเป็นคนนอนดึก และอยากหาอะไรตอนกลางดึกอย่างข้าวต้ม หรือมาม่า ต้องร้านนี้เท่านั้น 

เมนูขึ้นชื่อที่ไปถึงต้องสั่งให้ได้สำหรับร้านเจ๊โอวคือ มาม่าโอ้โหววว แค่ชื่อก็อร่อยจนต้องร้องตะโกน เผ็ด หวาน มัน เค็ม กลมกล่อมทุกรสชาติเป็นเมนูที่คนบอกต่อมากที่สุด โดยสามารถเลือกได้ว่าจะเลือกทานแบบหมูสับล้วน หรือแบบมีทะเลผสม ราคาเข้าถึงได้ ไม่แพงเริ่มต้นเพียง 250 บาทเท่านั้น แต่ข้อควรรู้ในการทาเมนูนี้คือ จะขายหลัง 5 ทุ่มเท่านั้น ควรไปถึงร้านเพื่อเตรียมตัวสั่งกันตั้งแต่ 4 ทุ่ม 

ร้านเจ๊เกียง

3. ร้านเจ๊เกียง

ถ้าคุณชอบร้านอาหารสไตล์จีน ตักใส่จานมาแบบไม่เกรงใจใคร ในราคาย่อมเยา คุณจะต้องหลงรักในร้านของเจ๊เกียงแน่นอน เพราะที่นี่มีสไตล์การตกแต่งร้านที่ชัดเจน ภายในร้านตกแต่งสไตล์จีนแบบจัดเต็ม และเมนูขึ้นชื่อมากมายให้คนที่อยากสั่งอาหารจานเดียว แต่ก็กินได้อิ่มแบบไม่ต้องเบิ้ล

เมนูที่ไม่ว่าใครมา ก็ต้องขอลองกันสักครั้ง ได้แก่ เป็ดพะโล้ที่จัดเป็ดทั้งตัวมาเสิร์ฟให้กับคุณ เนื้อสัมผัสของเป็ดนุ่มละมุนลิ้น ถึงเครื่องแกงพะโล้จะไม่ได้โดดเด่นมาก แต่ก็ทำแต้มกับเนื้อเป็ดได้เป็นอย่างดี จานนี้เพียงราคา 200 บาท หรือจะเป็นกุ้ยช่ายข้าวผัดหมูกรอบที่ได้เยอะจนล้นจาน รสชาติเค็มนำตามด้วยเนื้อหมูกรอบๆ ยิ่งได้ทานกับข้าวสวยร้อนๆ นี่เป็นเหมือนสวรรค์ของคนรักหมูกรอบก็ไม่ผิด 

เสน่ห์ ลาบก้อย

4. เสน่ห์ ลาบก้อย

เสน่ห์อาหารอีสานที่พร้อมจะมัดใจทุกคนไปกับเมนูสุดคลาสสิกที่กินเท่าไหร่ก็ไม่มีเบื่อกับร้าน เสน่ห์ ลาบก้อย ใครที่เดินเตร็ดเตร่ไปมา อยากทานของแซ่บอาหารรสนัว ต้องลองโดนมนต์เสน่ห์ ลาบก้อยกันสักครั้ง ที่นี่อาจจะไม่ได้มีการตกแต่งเวอร์วัง เหมือนร้านอาหารทั่วไป แต่รสชาติอาหารใครมาก็ต้องยกนิ้วให้ 

เมนูต้องสั่ง มาแล้วต้องลองคือ คอหมูย่าง ที่หากได้ลองเอาเข้าปากความฉ่ำของคอหมูย่างที่กระตุ้นต่อมน้ำลายได้เป็นอย่างดี ยิ่งเคี้ยว ยิ่งนุ่ม ทานจานแรกหมด แทบจะอดสั่งจานสองต่อไม่ได้ และอีกเมนูที่พลาดแล้วจะต้องเสียใจคือ เสือร้องไห้ ความนุ่มพอดี ไม่เหนียว ไม่แห้ง ทุกครั้งที่ได้เคี้ยวเสือร้องไห้ไว้ในปาก คุณแทบจะร้องไห้ตาม เพราะกลิ่นหอม และรสชาติที่อบอวลในปากเข้าที่เข้าทางถูกปรุงมาได้แบบไร้ที่ติ ทำให้นี่เป็นอีกร้านเด็ดบรรทัดทองไปโดยปริยาย 

สมบูรณ์โภชนา

5. สมบูรณ์โภชนา

ใครที่กำลังท้องร้อง และอยากรับประทานปูผัดผงกะหรี่ ร้านอาหารอย่าง สมบูรณ์โภชนา จะต้องเด้งเข้ามาเป็นไอเดียแรกๆ แน่นอน เพราะที่นี่เป็นต้นตำรับปูผัดผงกะหรี่ก็คงจะไม่ผิด ด้วยอายุร้านที่อยู่มาอย่างยาวนานตั้งแต่ พ.ศ. 2512 และแนวทางในการนำเสนอเมนูอาหารที่มีการผสมผสานระหว่างไทย และจีน ทำให้ที่นี่เป็นร้านที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน พร้อมกับเมนูที่หลากหลาย อร่อยกลมกล่อมรสชาติเยี่ยม โดยเฉพาะปูผัดผงกะหรี่ที่ใครมาเยียนที่นี่ก็ต้องสั่งกันทุกครั้งไป 

ตุ้งแฉ่เตาถ่าน

6. ตุ้งแฉ่เตาถ่าน

หนึ่งในร้านอาหารที่เก่าแก่ และกำลังมีอายุเหยียบปีที่ 60 ของย่านบรรทัดทองคือร้านตุ้งแฉ่เตาถ่าน ที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของร้านสไตล์วินเทจไว้ได้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ร้านเปิดขายไว้ได้จนกลายเป็นจุดขาย สีภายนอกของร้านเป็นสีเขียว สไตล์การตกแต่งแนวจีนโบราณ ทำให้รู้สึกขลัง และเหมือนโดนต้องมนตร์ชวนให้ต้องเข้าไปลองรับประทานอาหารกันสักมื้อจากที่นี่ 

เมนูยอดฮิตที่ได้รับกระแสอย่างล้นหลาม ต้องเป็น เหลาะหนี ที่จุดขายของเมนูนี้คือรสชาติ และกลิ่นหอมของเตาถ่านที่ช่วยสร้างบรรยากาศในการรับประทานได้แบบหลายเท่าตัว และที่สำคัญที่นี่ จะไม่ใส่ผงชูรส ทำให้มั่นใจได้ว่าทานเยอะเท่าไหร่ ก็ปลอดภัยต่อสุขภาพ อร่อยจริงด้วยวิธีการ และการปรุงอาหารแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ 

ร้านคุณนายทะเลดอง บุฟเฟ่ต์พรีเมียม (สาขาบรรทัดทอง)

7. ร้านคุณนายทะเลดอง บุฟเฟ่ต์พรีเมียม (สาขาบรรทัดทอง)

คนรักอาหารทะเล หรือเมนูทะเลดองถูกใจ แชร์คอนเทนต์ร้านนี้จนกลายเป็นกระแสไวรัลในโลกอินเทอร์เน็ตอย่างล้นหลาม เนื่องจากที่นี่มีจุดขายชัดเจนคือ อาหารทะเลดองที่รวบรวมไว้ทุกอย่างในราคาที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ด้วยความชอบในการรับประทานอาหารดองของเจ้าของร้าน และอยากเปิดร้านอาหารทะเลดองเป็นของตัวเอง ทำให้มีเครือข่ายกับชาวประมงโดยตรง มั่นใจเรื่องความสดใหม่ ไม่ใช้สารเคมีได้เลย 

เมนูยั่วใจที่ใครก็ห้ามใจไม่อยู่คือ กุ้งมังกร ที่มีพร้อมเสิร์ฟทั้งแบบซาชิมิสดหวาน และแบบเบิร์นไฟ ที่แค่เห็นขนาดไซซ์ ก็แอบรู้สึกคุ้มตั้งแต่ยังไม่ได้ทาน หรือจะเป็นอาหารทะเลอื่นๆ ก็มีให้ทานเช่นเดียวกันแบบไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้ง ปลาหมึก, แซลมอน, ปูไข่นึ่ง, กั้งดอง หรือปูทะเลดองก็มีที่ร้านคุณนายทะเลดอง บุฟเฟ่ต์พรีเมียม (สาขาบรรทัดทอง)

ดง หมู กรอบ 

8. ดง หมู กรอบ 

ไม่มีใครปฏิเสธความกรุบกรอบ หอม อร่อยกลมกล่อมของหมูกรอบไปได้ แค่พูดชื่อก็ทำให้หลายคนได้กลิ่นหอม และกลืนน้ำลายกันแบบรัว ๆ แต่ถ้าจะถามว่าหมูกรอบในย่านบรรทัดทองที่ไม่ควรพลาดคือเจ้าไหน ก็ต้องขอตอบดง หมู กรอบ ถึงภายนอกร้านจะไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ด้านเมนูที่พร้อมให้บริการรับรองได้ว่าถูกใจคนรักหมูกรอบร้อยเปอร์เซ็นต์ 

เมนูของทางร้านครอบคลุมทุกเมนูหมูกรอบ ไม่ว่าจะเป็น กะเพราหมูกรอบ, ข้าวผัดหมูกรอบ, ยำหมูกรอบ หรือหมูกรอบคั่วพริกเกลือ ที่แต่ละเมนูนำเสนอความฉ่ำ กลิ่นหอมชวนรับประทานได้ไร้ที่ติ ยิ่งด้านความหนานุ่มของหมูกรอบก็ทำออกมาได้โดนใจประชากรคนรักหมูกรอบได้แบบสุด ๆ 

Fishmonger

9. Fishmonger

ร้านเด็ดย่านบรรทัดทองที่เพิ่งได้รับรางวัล LINE MAN Wongnai Users choice 2023 และรางวัลสุดยอดร้านอาหารของคนไทยเพื่อคนไทยตลอด 10 ปีไป นั้นคือร้าน Fishmonger ที่มีเมนูเลื่องชื่ออย่าง ฟิชแอนด์ชิป ที่ไม่ว่าใครได้ชิม ต่างก็ต้องยกนิ้ว และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย และให้เป็นเมนูในดวงใจประจำร้านนี้ไปตามๆ กัน 

ทางร้านมีเมนูไม่ได้เยอะมาก แต่ก็ครอบคลุมความต้องการเมนูคนรักปลาได้ดี เพราะที่นี่มีเมนูปลาพร้อมเสิร์ฟมากมายทั้ง เบอร์เกอร์ปลา, ฟิชแอนด์ชิปส์ รวมถึงสลัดปลาย่าง พร้อมกับ Snacks อื่น ๆ ให้เลือกรับประทานกันอีกมากมาย

โจ๊กสามย่าน

10. โจ๊กสามย่าน

อร่อยจริง การันตีด้วยอายุที่อยู่มายาวนานมากกว่า 70 ปี และยอดขายมากกว่าพันชามกับร้านโจ๊กสามย่าน จุดขายของทางร้านที่มัดใจทุกคนที่ได้ทานครั้งแรก และจะต้องกลับมาเป็นลูกค้าประจำคือ การนำหมูไปต้มกับโจ๊ก ทำให้เนื้อสัมผัสที่ได้นั้นมีความนุ่มเด้ง และฉ่ำสะใจทุกคนที่ได้ลองชิม 

ด้านตัวโจ๊กของทางร้านไม่เหลวเกิน และมีกลิ่นหอมของข้าว สะอาด เนื้อหมูที่ให้มาก็ใหญ่ แค่เมนูเดียวก็การันตีว่าอิ่มแน่ ใครชอบเครื่องในยิ่งแล้วใหญ่ เพราะที่นี่มีเทคนิคพิเศษในการเสิร์ฟเครื่องในที่ไม่มีกลิ่นคาว อร่อยเนื้อแน่นอิ่มชัวร์ต้องโจ๊กสามย่าน

แหลกไม่แหลก

11. แหลกไม่แหลก

อยากทานอะไรนัว ๆ เมนูตำ ขอแนะนำอีกหนึ่งร้านขึ้นชื่อแถวบรรทัดทองอย่าง แหลกไม่แหลก มีครบให้คุณได้อิ่มจุใจไปกับเมนูตำที่หลากหลาย ทั้งตำไทย, ตำปูไข่ดอง, ตำลาว และตำอีกมากมายที่รอพร้อมเสิร์ฟ ที่สำคัญเลยก็คือราคาที่ไม่แพงเลย เพราะช่วงราคาของร้านแหลกไม่แหลกอยู่ราว ๆ 80-250 บาทเท่านั้นเอง ด้านความสะดวกสบายในการเดินทาง ก็หายห่วง เพราะคุณสามารถที่จะจอดรถฟรี 1 ชั่วโมง โล่งใจนั่งนานได้ไม่ต้องจ่ายค่าจอดรถเพิ่ม 

มิ้งโภชนา สะเต๊ะซีอิ๊วดำ 

12. มิ้งโภชนา สะเต๊ะซีอิ๊วดำ 

มิ้งโภชนา สะเต๊ะซีอิ๊วดำไม่ใช่ร้านสะเต๊ะธรรมดา เพราะที่นี่เปิดให้บริการมาแล้วมากกว่า 55 ปี และเนื้อหมูที่ทางร้านใช้ทำหมูสะเต๊ะก็เป็นถึงเนื้อที่ผ่านการคัดเลือกจาก “เบทาโกร” ซึ่งให้ความสำคัญกับทุกกระบวนการเลี้ยงดู ให้คุณหายห่วงเรื่องของเนื้อหมูที่ไม่ได้คุณภาพ หรือมีสารเคมีเจือปน อีกจุดเด่นที่ต้องพูดถึงคือน้ำจิ้มที่ทางร้านคิดค้นสูตรขึ้นมาเอง ทำให้ได้รสชาติหวาน เค็ม กลมกล่อมแบบกำลังดี อยากลองเนื้อสะเต๊ะอร่อย ปลอดภัย ราคาดีที่เริ่มต้นเพียงไม้ละ 10 บาท มิ้งโภชนา สะเต๊ะซีอิ๊วดำที่นี่ที่เดียว พลาดไม่ได้ 

เต้าฮวยเจ๊หน่อย

13. เต้าฮวยเจ๊หน่อย

เกินครึ่งทางกันไปแล้วสำหรับรายชื่อร้านเด็ดบรรทัดทอง สำหรับร้านนี้เป็นร้านของหวานชื่อดังที่มีอายุอยู่ในย่านแห่งนี้มามากกว่า 20 ปี ภายในร้านมีของหวานมากมาย ตั้งแต่เฉาก๊วย, เต้าฮวย, บัวลอยใส่ไส้ครบทั้งแบบร้อน และแบบเย็น ให้คุณได้เลือกแบบเต็มที่ ข้อแนะนำสำหรับมือใหม่ที่อยากลองประเดิมกับร้านนี้ แนะนำว่าถ้าไปเป็นกลุ่ม รวบรวมเมนูแล้วส่งให้ทางร้านทีเดียว เพราะคิวร้านนี้แน่นตลอด ไม่มีแผ่ว 

เล็กใหญ่ นมสด

14. เล็กใหญ่ นมสด

ต่อเนื่องกับหมวดของหวานที่ไม่ได้มีดีแค่ของหวาน และเครื่องดื่มภายในร้านเพียงเท่านั้น เพราะที่ร้านเล็กใหญ่ นมสดแห่งนี้มีวงดนตรีสดที่จะทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงระหว่างรับประทานของหวานกันด้วย ด้านเมนูของที่นี่ก็มีดีไม่แพ้กัน เพราะทุกเมนูของที่นี่จะพาคุณย้อนวันวานไปในสมัยเรียน ด้วยเมนูเครื่องดื่มชงปั่น, ขนมปังปิ้ง หรือปังเย็นหน้านิ่ม ยิ่งอากาศร้อนๆ แบบนี้ ได้เติมน้ำตาล และของหวานเย็น ๆ เข้าร่างกาย รับรองว่าฟินแน่นอน 

ถ้วยถังไอติม

15. ถ้วยถังไอติม

ถ้าพูดถึงของหวานสุดคลาสสิกเป็นไปไม่ได้ที่จะขาดของหวานขึ้นชื่ออย่าง ไอติมถัง ใครที่คิดว่าหาทานยาก อยากแนะนำให้ลองไปที่ร้านถ้วยถังไอติม ที่มีเมนูประยุกต์ และสร้างสรรค์มากมาย ทั้งเกาลัด, ถั่วตัด, น้ำเต้าหู้งาดำ, นมชมพูถั่วแดง, ไมโลโรงเรียน หรือชานมไต้หวันก็มีหมดในที่เดียว สไตล์การตกแต่งร้านเองก็น่ารักแบบคาเฟ่ให้คุณได้หามุมถ่ายรูปเช็กอินกันได้อีกด้วย

ร้านน้ำเต้าหู้เจ๊วรรณ

16. ร้านน้ำเต้าหู้เจ๊วรรณ 

ร้านน้ำเต้าหู้ที่เคยเป็นกระแสทั่วโลกออนไลน์ เพราะมีนักร้องขวัญใจคนทั่วทั้งโลกอย่างลิซ่าได้แวะไปชิม ทำให้ผู้คนสนใจ และแห่ไปลองชิมตามกัน นอกจากรสชาติจะดีเยี่ยมแล้ว เครื่องใส่ให้แบบจัดหนักล้นถ้วยกันเลยทีเดียว ราคาประหยัด ได้อิ่มจนเกินคุ้ม ใครคอของหวานต้องตามไปตำด่วน เมนูขึ้นชื่อที่ทุกคนลงความเห็นว่าดีจริงต้องลองได้แก่ เฉาก๊วยนมสดภูเขาไฟ, บัวลอยน้ำขิง และเฉาก๊วยนมสดที่เนื้อเฉาก๋วยเด้งดึ้ง เคี้ยวมันปากสุด ๆ 

Black Sesame House by SWC

17. Black Sesame House by SWC  

ปิดท้ายไปกับร้านของหวานเลื่องชื่อของเด็กสยามคือ Black Sesame House by SWC ที่ของดีของเด็ดจากทางร้านคือ บัวลอยงาดำลาวา ที่เรียกลาวาก็สมชื่อ เพราะงาดำข้างในแน่นจนไหลเยิ้มออกมาทันทีที่ได้เคี้ยว ที่สำคัญมีพร้อมเสิร์ฟให้กับทุกคน ไม่ว่าคุณจะชอบแบบร้อน หรือรักแบบเย็น ที่ Black Sesame House by SWC ตอบโจทย์สำหรับคอบัวลอย

สรุป

ใครเป็นนักชิม หรือสายกินจะพลาดย่านบรรทัดทองนี้ไม่ได้ เพราะที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ของคาวเท่านั้น จากเนื้อหาข้างต้นที่รวบรวม 17 ร้านเด็ดบรรทัดทอง จะเห็นได้ว่ามีหมดครบทุกหมวดหมู่ ไม่ว่าจะของคาว หรือของหวาน เดินชิมแวะทานได้ตั้งแต่หัววันยันเที่ยงคืน ใครอยากจัดทริปเที่ยวกิน ไม่ต้องไปไกล แวะไปที่ย่านบรรทัดทองที่เดียวอิ่มจนจุก

เตรียมตัวก่อน รู้ก่อน รู้ขั้นตอนในการเข้าพักโรงแรม

รู้หรือไม่ว่าหนึ่งในปัญหาสำคัญของมือใหม่หัดเที่ยว มักจะเกิดขึ้นระหว่างการเช็คอินโรงแรม เพราะในภาพจำหลายคนอาจจะคิดว่า แค่ จอง จ่าย จบ ก็เดินไปรับกุญแจเข้าห้องพักกันได้แล้ว แต่จริง ๆ แล้ว การเข้าพักกับโรงแรมเองก็ต้องใช้ ขั้นตอน และเอกสาร พร้อมทั้งกติกาสากลประกอบด้วย ซึ่งวันนี้ AIRPORTELs จะพาไปดูวิธีการจองโรงแรมไปจนถึงการเช็คอินเช็คเอาท์ ว่ามีอะไรบ้างที่ผู้อ่านต้องระวัง !

ขั้นตอนการเข้าพักโรงแรม
booking

การจองห้องพัก

จริง ๆ การจองห้องพักนั้น ถูกออกแบบมาให้เป็นขั้นตอนที่ง่ายและสะดวกที่สุดอยู่แล้วในการหาที่พัก เพราะถ้าขั้นตอนการจองลำบาก ก็ยากที่จะทำให้ลูกค้าเลือกเข้ามาใช้บริการกับโรงแรมต่าง ๆ ซึ่งโรงแรมส่วนมากนั้นจะขอแค่ชื่อ ช่องทางการติดต่อ และมัดจำเท่านั้น หรือถ้าเราจองผ่านนายหน้าที่เชื่อถือได้บางเจ้าอาจจะไม่จำเป็นต้องวางเงินมัดจำด้วย ซึ่งการจองโรงแรมนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบได้แก่

การจองด้วยตัวเอง หรือการจองโดยตรง

หรือพูดง่าย ๆ คือการติดต่อขอจองห้องพักกับโรงแรมโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อผ่านโทรศัพท์ เมลล์ โซเชียลมีเดีย หรือวอร์คอินเซอรเวย์ (Walk-in Survey) ซึ่งส่วนมากนั้นจะเหมาะกับการจองห้องจำนวนมาก ที่ต้องการสำรวจสิ่งอำนวยความสะดวกของโรงแรมก่อน รวมไปถึงต้องการต่อรองราคาด้วยตัวเอง เนื่องจากตัวเองมีกำลังในการต่อรอง หรือไม่เช่นนั้นผู้เข้าพักอาจจะเลือกจองแบบนี้เพราะต้องการรีเควสพิเศษบางอย่างจากโรงแรม แต่หากเราเป็นนักท่องเที่ยวธรรมดาที่ไม่ได้มีความต้องการพิเศษอะไร การจองแบบนี้มีโอกาสจะได้ราคาห้องที่สูงกว่าการจองผ่านนายหน้า จึงแนะนำให้ทำการเทียบราคาให้ดีก่อนตัดสินใจจอง

การจองผ่านนายหน้า

การจองโรงแรมผ่านนายหน้าอาจจะฟังเหมือนเราจะต้องเสียเงินเพิ่ม แต่จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องกลับกัน โดยเฉพาะกับบริษัทขนาดใหญ่ หรือนายหน้าออนไลน์ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีกำลังในการต่อรองมาก ทำให้ได้ห้องพักที่มีราคาถูกกว่า ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าห้องพักที่สั่งจองผ่านนายหน้าอย่าง Traveloka Booking หรือ Agoda นั้นมีราคาถูกกว่า นอกจากนั้นยังอาจจะมีบริการเสริมอื่น ๆ อย่าง ส่วนลดตามโอกาส หรือการจองแบบไร้มัดจำ แต่สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งในการจองที่พักผ่านนายหน้าคือ การตกหล่นของข้อมูล หรือการโดนหลอกจากนายหน้าที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ฉะนั้นใครที่จองผ่านนายหน้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แนะนำให้มีการโทรไปสอบถามโรงแรมทั้งก่อนจอง และหลังจอง เพื่อความครบถ้วนของข้อมูล

ข้อแนะนำและข้อควรระวังในการการจองห้องพัก

  • เทียบราคาการจองแบบโดยตรง และผ่านนายหน้าก่อนเสมอ
  • ตรวจสอบก่อนเสมอว่าโรงแรมยังให้บริการอยู่หรือไม่ เพราะบางครั้งโรงแรมที่ปิดไปแล้ว อาจจะยังเปิดการจองออนไลน์ผ่านนายหน้าเอาไว้อยู่
  • จองแบบยกเลิกได้เสมอ หรือทำประกันท่องเที่ยวเอาไว้หากจำเป็น เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
  • หลังจองตรวจสอบเสมอว่าโรงแรมได้รับการจองของเราหรือยัง
  • การจองแบบจองแล้วเข้าพักเลยอาจจะเกิดความผิดพลาดหรือตกหล่นได้ เลือกที่พักที่มั่นใจได้ว่ามีพนักงานให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
  • พิมพ์ใบยืนยันการจองหรือจดหมายยืนยัน และหลักฐานการจ่ายเงินไว้เก็บไว้ในกรณีที่มีปัญหา และนำไปในวันเช็กอินด้วย
ขั้นตอนการพักเข้าโรงแรม

การเช็กอิน ขั้นตอนในการเข้าพักโรงแรม

การเช็กอิน คือขั้นตอนในการยืนยันตนเพื่อเข้าพักกับโรงแรม โดยมีจุดประสงค์ในการยืนยันตัวผู้เข้าพัก และเก็บไว้เป็นหลักฐาน ทั้งเพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าพัก แขกท่านอื่นในโรงแรม และเพื่อแจ้งข้อมูลใด ๆ ที่ผู้เข้าพักควรทราบนั่นเอง โดยในขั้นตอนนี้เองก็เป็นช่วงที่เหมาะที่สุดสำหรับการแจ้งความต้องการใด ๆ หรือสอบถามบริการที่ต้องการกับทางโรงแรมโดยตรง

ขั้นตอนการเช็กอินโรงแรมเป็นอย่างไรบ้าง ?

  1. ผู้เข้าพักจะต้องแจ้งเรื่องการจองห้องพักกับพนักงานภายในโรงแรม โดยมีการแสดงหลักฐานการจอง เช่น ใบจองห้องพัก หรือรหัสการจองที่ได้รับจากเว็บไซต์รับจอง
  2. ผู้เข้าพักจะต้องยืนยันตัวตนเพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาเป็นผู้ที่จองห้องพักจริงๆ โดยการยืนยันตัวตนมักจะใช้บัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทางเป็นเอกสารประจำตัว
  3. ผู้เข้าพักจะต้องกรอกรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้โรงแรมมีข้อมูลเพียงพอในการให้บริการ รายละเอียดที่ต้องกรอกก็อาจจะมี ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล และอื่นๆ
  4. พนักงานจะแนะนำโรงแรมและกฎระเบียบต่าง ๆ เช่น ตารางเวลาเปิด-ปิดของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในโรงแรมการละเว้นเสียงดังในช่วงเวลาไหนถึงเวลาไหน เป็นต้น
  5. พนักงานจะมอบกุญแจหรือคีย์การ์ดให้ลูกค้า เพื่อใช้ในการเปิดประตูห้องพัก และจะพาลูกค้าไปยังห้องพักโดยส่วนใหญ่จะมีการแนะนำและแสดงแหล่งจ่ายไฟฟ้า สัญญาณอินเตอร์เน็ต โทรทัศน์ และอุปกรณ์อื่นๆ ในห้องพัก ไปด้วยในขั้นตอนนี้

เอกสารใดบ้างที่ใช้ยืนยันตนในโรงแรมได้

  • หนังสือเดินทาง
  • บัตรประจำตัวประชาชน
  • ใบขับขี่

เรื่องอะไรบ้างที่ควรแจ้งตอนเช็คอิน

  • ห้องสูบบุหรี่ / ไม่มีบุหรี่
  • ขออัพเกรดห้อง
  • ขอชั้นสูง / ชั้นเตี้ย
  • ขอไม่รับ มินิบาร์ หรือ ไม่รับแอลกอฮอล์ในมินิบาร์
  • จองดินเนอร์
  • Late Check-out / Early Check-in

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเช็คอินโรงแรม

  • การเก็บข้อมูลผู้เข้าพักของโรงแรมตามระเบียบจริง ๆ นั้นต้องทำการเก็บทุกคน ฉะนั้นทุกคนในทริปต้องเตรียมหลักฐานยืนยันตัวเองเอาไว้ แม้ว่าในทางปฏิบัติโรงแรมอาจจะไม่ได้ขอทั้งหมด
  • การเช็คอินโรงแรมส่วนมากจะมีเวลามาตรฐาน อยู่ที่ช่วงบ่ายโมงเป็นต้นไป เพื่อเป็นการเตรียมห้องให้เรียบร้อย แต่บางโรงแรมก็ถูกออกแบบให้เช็กอิน และเช็กเอาท์ได้ ตลอด 24 ชั่วโมง
  • หากไปถึงโรงแรมก่อนเวลาเช็คอิน หลายโรงแรมจะอนุญาตให้ใช้ Facility บางส่วนก่อนเพื่อให้แขกได้ฆ่าเวลา สามารถสอบถามโรงแรมได้ว่ามีบริการใดไหมที่เราสามารถเข้าไปใช้ได้ก่อน
  • บางโรงแรมสามารถขอ Early Check-in ได้ ฉะนั้นอย่าลืมสอบถามและแจ้งความประสงค์เพื่อทำให้แผนเที่ยวของเราคล่องตัวที่สุด
  • โรงแรมส่วนมากจะมีการเก็บค่ามัดจำผู้เข้าพัก เพื่อประกันความเสียหายระหว่างเข้าพัก ซึ่งหากไม่มีปัญหาผู้เข้าพักจะได้คืนเมื่อทำการเช็กเอาท์

Early Check-in คืออะไร ต้องทำเรื่องอย่างไร ?

การขอ Early Check-in คือการแจ้งโรงแรมเอาไว้ว่าเราต้องการเข้าไปพักก่อนเวลาทั่วไป ซึ่งอาจจะเกิดจากแผนเที่ยว เที่ยวบิน หรือสาเหตุอื่น ๆ ซึ่งแล้วแต่โรงแรมจะอนุมัติ หรือสามารถทำตาคำร้องได้หรือไม่ โดยการทำเรื่อง Early Check-in นั้นก็ไม่ยาก เพียงแค่สอบถามหรือบอกโรงแรมโดยตรงได้เลย ทว่าเราแนะนำว่าควรให้เวลาโรงแรมเตรียมการอย่างน้อย 4-8 ชั่วโมง

Check out

วิธีการเช็กเอาท์โรงแรม

การเช็คเอาท์โรงแรมเป็นขั้นตอนสิ้นสุดการพักผ่อนในโรงแรม ที่จะทำในวันสุดท้ายของการพัก โดยในวันนั้นหลังจากที่เราตื่นนอนและเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถนำกุญแจห้องไปยื่นที่เคาน์เตอร์รีเซปชั่นได้เลย แน่นอนว่าหลังจากยื่นกุญแจไปแล้ว เราก็จะกลับเข้าไปในห้องของเราไม่ได้แล้วเช่นกัน โดยส่วนมากโรงแรมจะมีเวลาเช็คเอาท์สากลอยู่ในช่วง 10-11 โมงเพื่อเตรียมห้องให้ทันลูกค้าที่จะเข้ามาพัก แต่ในบางกรณีที่โรงแรมไม่ได้มีแขกเยอะหรือมีคนรอใช้ห้อง ก็สามารถทำเรื่องของอนุโลมเช็กเอาท์เลทได้

ขั้นตอนการเช็กเอาท์โรงแรมเป็นอย่างไรบ้าง ?

  1. แจ้งรีเซปชั่นและส่งมอบกุญแจห้องคืน
  2. พนักงานจะเข้าตรวจสอบห้องว่ามีความเสียหายใดไหม และ มินิบาร์อยู่ครบรึเปล่า
  3. หลังจากการตรวจสอบเมื่อไม่มีปัญหา โรงแรมคืนค่ามัดจำห้อง และคิดเงินบริการ Pre-Paid ที่เราใช้ไปในโรงแรม
  4. เป็นอันเสร็จสิ้นการเช็คเอาท์

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเช็คเอาท์โรงแรม

  • เวลาการเช็กเอาท์สากลอยู่ที่ช่วง 10-11 โมง
  • เลทเช็กเอาท์จำเป็นต้องแจ้งก่อน ส่วนมากจะได้ต่อเวลาไม่เกินบ่าย 2 โมง
  • หากแจ้งออกเกินเวลามาก ๆ โรงแรมอาจจะคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
  • โรงแรมจะเก็บของที่เราลืมเอาไว้ในห้องให้และติดต่อกลับไว้ภายหลัง แต่ก็ควรตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนออกจากห้อง
  • บางโรงแรม Minibar ใช้ระบบ Sensor ฉะนั้นซื้อของมาใส่คืนก็อาจจะเสียเงินเหมือนกัน

Late Check-out คืออะไร ต้องทำเรื่องอย่างไร ?

การขอ Late Check-out คือการแจ้งโรงแรมเอาไว้ว่าเราต้องการพักต่ออีกเล็กน้อย อาจจะเพราะมีธุระที่ยังไม่เสร็จ หรืออยากใช้บริการบางอย่างของโรงแรมต่ออีกนิด การ Late Check-out ถือว่าเป็น Optional Service ที่โรงแรมไม่จำเป็นต้องมอบให้ผู้เข้าพักก็ได้ ฉะนั้นอย่าคาดหวังว่าทุกโรงแรมจะใจดีเหมือนกัน

สิ่งที่ควรทำเมื่อเข้าพัก

สิ่งที่ควรทำเมื่อเข้าพักโรงแรม

ต่อไปนี้ก็เป็นข้อแนะนำประกอบกับขั้นตอนอื่นๆ ถึงสิ่งทั่วไปที่ควรทำเมื่อเข้าพักโรงแรม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างการพักอาศัย และเพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายและทรัพย์สิน ดังนี้

  • เมื่อเข้าพักโรงแรมควรปฏิบัติตามกฎของโรงแรมอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เสียค่าปรับหากมีการละเมิดกฎของที่พัก 
  • ควรชาร์จแบตโทรศัพท์ให้เต็มอยู่เสมอ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ฉุกเฉินที่จะต้องติดต่อให้คนมาช่วย 
  • ควรตรวจสอบความแน่นหนาของประตูให้ดี เพื่อป้องกันการเข้าได้ง่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต 
  • ห้ามตรวจสอบปลั๊กไฟในห้องเพื่อป้องกันปัญหาความขัดข้องไฟฟ้า
พักโรงแรม

สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเข้าพักโรงแรม

เมื่อเข้าพักโรงแรม นอกจากจะมีขั้นตอนการเข้าพักโรงแรมที่ควรทำแล้วยังมีสิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและเพื่อความปลอดภัยทั้งร่างกายและทรัพย์สินเช่นกัน ดังนี้

  • ไม่ควรทำเสียงดังโวยวาย ควรลดเสียงดังๆ ที่อาจจะรบกวนคนอื่นในโรงแรม เช่น เล่นเพลงดังหรือพูดคุยดังเกินไป
  • ไม่ควรวางของมีค่าไว้นอกห้องหรือนอกกระเป๋า ควรนำของมีค่า เช่น ทองคำ อัญมณี หรือเงินสด ไว้ในตู้เซฟที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ และควรปิดกระเป๋าให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันการขโมย
  • ไม่ควรหยิบของในห้องกลับไป ไม่ควรหยิบของที่ไม่ได้เป็นของตนเอง เพราะอาจจะเข้าข่ายการลักลอบนำของออกนอกโรงแรมและอาจได้รับบทลงโทษได้
  • ไม่ควรลักลอบนำสัตว์เข้าห้อง ควรปฏิบัติตามกฎของโรงแรม ซึ่งบางโรงแรมอาจจะไม่อนุญาตให้เข้าพักพร้อมสัตว์ เพื่อป้องกันไม่ให้เสียค่าปรับในภายหลัง
  • ไม่เปิดเผยเลขห้องให้กับคนอื่นหรือผ่านโซเชียลมีเดีย เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาความปลอดภัย
  • ต้องตรวจสอบค่าใช้จ่ายของห้องพักกับโรงแรมให้เรียบร้อยก่อนเซ็นที่ใบเสร็จ และหากมีข้อสงสัยใดๆ ให้สอบถามพนักงานโรงแรมเพิ่มเติม
  • ห้ามเปิดประตูห้องให้กับคนแปลกหน้า เพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สินและความปลอดภัยของร่างกายของผู้พักอาศัยในห้องโรงแรม
  • รักษาความสะอาดและรักษาความเรียบร้อยของห้องพัก ไม่ควรสร้างความเสียหายหรือทิ้งขยะในห้องพักจนทำให้เกิดความสกปรก
  • อย่าเปิดที่จอดรถหรือรับบริการจากผู้ไม่รู้จักที่อาจเป็นอันตราย
  • อย่าเก็บของมีค่าอย่างเงินสดหรือเครื่องประดับให้ที่ห้องพักโดยไม่มีความจำเป็น เพราะอาจเสี่ยงต่อการหลอกลวงหรือการขโมย
  • ติดต่อพนักงานโรงแรมหรือติดต่อศูนย์สนับสนุนการเดินทางเมื่อเกิดปัญหาหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับการเข้าพักโรงแรม

การทำตามขั้นตอนต่างๆ ของการเช็คอินเข้าพักโรงแรมจะช่วยให้ทุกอย่างเป็นไปได้รวดเร็วและถูกต้องเป็นไปตามกฎของโรงแรม โดยจะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาและมีความปลอดภัยในระหว่างการเข้าพักโรงแรม
เมื่อมีการเดินทางและมีสัมภาระหนัก การใช้บริการรับส่ง-ฝากกระเป๋ากับ AIRPORTELs Luggage Delivery จะช่วยลดภาระที่ต้องใช้ในการขนกระเป๋า ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกและคล่องตัวยิ่งขึ้น
AIRPORTELs Luggage Delivery จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการขนกระเป๋าเอง โดยสามารถส่งกระเป๋าไปถึงโรงแรมโดยตรง และไม่ต้องเก็บสัมภาระในระหว่างเดินทาง ทำให้ลดความเสี่ยงในการสูญหายหรือเสียหายของสิ่งของที่อาจเกิดขึ้นได้ในการขนกระเป๋าเอง

ขึ้นเครื่องไม่ทัน ไม่ต้องกังวล มาดูกันว่าต้องทำยังไง

หลายคนที่มีประสบการณ์เดินทางด้วยเครื่องบิน อาจเคยพบกับเหตุการณ์ที่เช็กอินไม่ทัน ขึ้นเครื่องไม่ทันหรือเฉียดฉิวตกเครื่องกันมาบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวให้พร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เผื่อในอนาคตมีโอกาสเจอเหตุการณ์ขึ้นเครื่องไม่ทันแบบนี้ จะได้ไม่ตื่นตระหนกตกใจกันไปเสียก่อน บทความนี้ ได้รวบรวมข้อมูลที่ควรรู้มาไว้หมดแล้ว ทั้งสาเหตุที่เกิดขึ้นของปัญหา ควรทำอย่างไรเมื่อขึ้นเครื่องไม่ทัน และการป้องกันไม่ให้ตกเครื่อง เตรียมพร้อมกับการเดินทางได้แบบไม่ต้องกังวล

ขึ้นเครื่องไม่ทัน ไม่ต้องกังวล
เช็กอินไม่ทัน

ขึ้นเครื่องไม่ทัน เช็กอินไม่ทัน คืออะไร

เหตุการณ์ขึ้นเครื่องไม่ทัน เช็กอินไม่ทัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลายคนอาจเคยผ่านประสบการณ์มาบ้าง ซึ่งอาจเจอได้ทั้งเที่ยวบินขาไป หรือขากลับ โดยสาเหตุมักเกิดจากการที่ไปถึงเกตไม่ทันเวลา หรือการไปไม่ทันตามกำหนดเวลาเช็กอิน ทำให้ไม่สามารถขึ้นเครื่องเดินทางในเที่ยวบินนั้นๆ ได้ นอกจากนี้ การขึ้นเครื่องไม่ทันอาจเกิดจากปัญหาการเดินทาง สภาพการจราจรที่ติดขัด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้การเดินทางล่าช้า กว่าจะถึงสนามบินก็ไปเช็กอินไม่ทันเสียแล้ว รวมไปถึงปัญหาอื่นๆ เช่น พาสปอร์ตหาย การจำวันเดินทางผิดวัน หรือเดินทางไปผิดสนามบิน เป็นต้น

ขึ้นเครื่องไม่ทัน

ขึ้นเครื่องไม่ทันแน่นอน หากยังทำแบบนี้

การขึ้นเครื่องไม่ทันอาจทำให้เสียเวลา เสียเงินโดยไม่จำเป็น และอาจจะทำให้ตารางนัดต้องเสียหายจากการเดินทางที่ล่าช้าด้วย เพราะฉะนั้น หากรู้ถึงสาเหตุของการที่ทำให้ไปเช็กอินไม่ทัน หรือการไปขึ้นเครื่องไม่ทัน ก็จะทำให้ทุกคนเตรียมความพร้อม และลดข้อผิดพลาดในการเดินทางได้ แล้วสาเหตุที่ทำให้ทุกคนขึ้นเครื่องบินไม่ทันมีอะไรบ้าง ไปดูพร้อมกันเลย

เช็กอินไม่ทัน

การเช็กอินไม่ทันอาจเกิดขึ้นได้ 2 กรณี กรณีแรก คือ เดินทางไปสนามบินล่าช้าด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น ตื่นสาย เตรียมตัวไม่ทัน รถติด หรือมีธุระบางอย่างที่กว่าจะเดินทางมาถึงสนามบิน ก็ไปเคาเตอร์เช็กอินไม่ทันเสียแล้ว เพราะฉะนั้น การเผื่อเวลาเดินทางจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ และกรณีที่สอง คือ เช็กอินทัน แต่ขึ้นเครื่องไม่ทันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเช่นกัน หลายคนอาจโล่งใจหลังจากที่ไปเช็กอิน และได้รับ Boarding Pass สำหรับขึ้นเครื่องเรียบร้อย เลยแอบไปหาของกิน เดินเล่น ช็อปปิง หรือเข้าห้องน้ำอย่างเพลิดเพลิน จนอาจทำให้เดินทางไปขึ้นเครื่องไม่ทันในที่สุด

เข้าแถวเช็กอิน

ติดอยู่ในแถวเช็กอิน

การติดอยู่ในแถวเช็กอินเป็นเวลานานก็ไม่อาจวางใจได้เลย หากแถวที่ยาวเหยียดเป็นแถวที่อยู่ในช่วงที่ใกล้เวลาปิดเคาท์เตอร์เช็กอินของเที่ยวบินที่ต้องการเดินทาง ทางที่ดีควรรีบไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ว่าง และอยู่ใกล้มากที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว อาจทำให้ทุกคนเช็กอินไม่ทัน และเดินทางไปขึ้นเครื่องไม่ทันอย่างแน่นอน

เดินซื้อของเพลินจนลืมเวลา

หลังจากเช็กอินเรียบร้อยแล้ว แต่เวลายังเหลือให้ได้ไปเดินซื้อของ โดยเฉพาะใน Duty Free ที่สามารถซื้อของได้มากขึ้น แต่ใช้เงินน้อยลง เพราะเหล่าสินค้าใน Duty Free เป็นสินค้าปลอดภาษีทั้งหมด ทำให้บางคนสนุกกับการเดินเลือกซื้อของจนลืมดูเวลา จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ขึ้นเครื่องไม่ทัน เพราะฉะนั้น หากอยากเดินเลือกซื้อของควรต้องระวังในเรื่องของระยะเวลาในการเดินเลือกซื้อ และเผื่อเวลาสำหรับเดินทางไปขึ้นเครื่องด้วย

บอกลาครอบครัวก่อนขึ้นเครื่อง

บอกลาครอบครัว เพื่อน แฟน หรือคนที่มาส่ง

ก่อนการเดินทางมักมีการบอกลาคนที่มาส่ง เช่น ครอบครัว เพื่อน หรือแฟน โดยหลายคนอยากเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ได้ร่ำลากันไว้ให้นานที่สุด บางคนอาจมีการร่ำลาคนที่มาส่งหลายคน ใช้เวลาพูดคุย กับบุคคลเหล่านั้นให้นานเท่านาน ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ขึ้นเครื่องไม่ทันได้ ดังนั้น ควรใช้เวลาในการบอกลาแบบสั้นๆ หรือมีความพอดี เพื่อให้ความคิดถึงได้ทำงาน และเดินทางไปถึงจุดหมายโดยไม่มีอะไรผิดพลาด

ไม่เผื่อเวลา

สิ่งสำคัญที่ควรพึงระลึกไว้เสมอเวลาเดินทาง โดยเฉพาะการขึ้นเครื่องบิน คือ การเผื่อเวลา ทุกคนไม่ควรชะล่าใจให้กับทุกสถานการณ์ เช่น เวลาเดินทางไปสนามบิน การจราจร อุปสรรค สภาพอากาศ หรือการเช็กสนามบินที่ต้องไปให้ดี หลายคนอาจมีประสบการณ์เดินทางไปผิดสนามบินมาแล้ว นอกจากนี้ การจัดเตรียมเอกสารให้ถูกต้อง ครบถ้วนก่อนเดินทาง และการทำธุระส่วนตัวก็ควรเผื่อเวลาไว้อย่างน้อย 1-3 ชั่วโมง ก่อนการเดินทางทุกครั้ง เพราะการไม่เผื่อเวลาไว้สำหรับข้อผิดพลาด อาจทำให้ทุกคนเดินทางไปเช็กอินไม่ทันเวลา รวมไปการขึ้นเครื่องไม่ทันในที่สุด

ขึ้นเครื่องไม่ทันต้องทำไง

ขึ้นเครื่องไม่ทัน ควรทำอย่างไร

เมื่อขึ้นเครื่องไม่ทันไปแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น โดยเราได้รวบรวมวิธีรับมือกับสถานการณ์ขึ้นเครื่องไม่ทันไว้ให้แล้ว ไปดูกันเลย

ตั้งสติและทำใจให้นิ่ง

สติมา ปัญญาเกิด ใช้ได้เสมอกับทุกสถานการณ์ เพราะการไปเช็กอินไม่ทัน หรือขึ้นเครื่องไม่ทัน อาจทำให้ใจเสีย วิตกกังวล ลนลานทำอะไรไม่ถูก สิ่งสำคัญที่ควรทำเป็นอย่างแรกเลย คือ การตั้งสติ และควบคุมอารมณ์ เพื่อหาทางออกของปัญหาต่อไป

รีบติดต่อกับทางสายการบิน

หลังจากที่ตั้งสติแล้ว ทุกคนควรรีบติดต่อกับเจ้าหน้าที่ หรือทางสายการบินให้เร็วที่สุด พร้อมกับบอกถึงสาเหตุที่ทำให้ไปขึ้นเครื่องไม่ทันอย่างมีเหตุผลกับเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยจัดการปัญหาตามสมควร

สอบถามรายละเอียดกับทางสายการบิน

พูดคุยสอบถามรายละเอียดกับทางสายการบิน

พูดคุยสอบถามด้วยความสุภาพ และใจเย็น เกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ สำหรับเที่ยวบิน และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่ เพราะแต่ละสายการบินมีมาตรการที่ต่างกัน หากขึ้นเครื่องไม่ทัน แต่อาจมีบางเที่ยวบินที่มีที่นั่งว่าง และสามารถออกตั๋วใหม่ให้ได้ โดยเสนอเที่ยวบินที่เร็วที่สุด และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่สูงกว่าปกติ หรือบางกรณีอาจได้ตั๋วบินฟรี ทั้งนี้ต้องสอบถามสายการบินให้ชัดเจนถึงข้อมูล และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ

แจ้งให้ปลายทางทราบถึงเหตุสุดวิสัย

หากแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเที่ยวบินได้แล้ว ในกรณีที่ทำการจองที่พัก หรือจองอะไรต่างๆ เอาไว้ แต่เดินทางขึ้นเครื่องไม่ทัน กำหนดการถึงปลายทางอาจล่าช้าจากเดิม จึงควรแจ้งให้ปลายทางได้รู้ไว้ เพื่อทำการแก้ไขข้อมูลอีกทีว่าสามารถดำเนินการอย่างไรต่อไปได้บ้าง

ป้องกันไม่ให้ตกเครื่อง

วิธีป้องกันการขึ้นเครื่องไม่ทัน

เมื่อรู้สาเหตุของการขึ้นเครื่องไม่ทันแล้ว สิ่งที่ควรทำ คือ การนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับใช้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์
เช็กอินไม่ทัน หรือขึ้นเครื่องไม่ทันในอนาคต

ตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียด

การตรวจสอบข้อมูลในการเดินทางทุกอย่างให้ละเอียด เช่น เที่ยวบิน สนามบิน เกต วันที่-เวลา ตลอดจนเอกสารที่เกี่ยวข้องไม่เพียงแค่พาสปอร์ต กับตั๋วเครื่องบินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงใบจองที่พัก แผนการเดินทาง ทุกคนควรตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อไม่ให้ผิดพลาดจนทำให้ขึ้นเครื่องไม่ทัน

เผื่อเวลาล่วงหน้าก่อนเดินทางไปสนามบิน

การเผื่อเวลาในการเดินทาง คือ สิ่งที่เราย้ำเตือนไว้เสมอ ควรถึงสนามบินล่วงหน้าให้เกิน 1 ชั่วโมงขึ้นไป สำหรับใครที่ยังไม่ชินกับการเดินทาง หรือหากต้องเดินทางในช่วงเทศกาลยิ่งต้องเผื่อเวลาให้มากขึ้นไปอีก เพื่อลดความเสี่ยงของการเช็กอินไม่ทัน และการขึ้นเครื่องไม่ทันได้มากขึ้น

เช็กอินล่วงหน้า

เช็กอินล่วงหน้า

ปัจจุบันมีการเช็กอินทางออนไลน์ (Online Check-in) แล้ว หากใครกลัวว่าจะมาเช็กอินไม่ทันเมื่อถึงสนามบิน ก็สามารถเช็กอิน
ออนไลน์มาก่อนล่วงหน้าได้ เมื่อมาถึงสนามบินจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปคอยต่อแถวนานๆH3: สำรวจน้ำหนักกระเป๋า
น้ำหนักกระเป๋า เป็นสาเหตุที่ทำให้เสียเวลาได้ หากน้ำหนักกระเป๋าเกินก็ต้องมาคอยจัดการปัญหาว่าจะตัดสินใจทิ้งอะไรออกไปบ้าง เสียเวลาและเสียความรู้สึก เพราะของบางชิ้นก็ตัดสินใจเลือกยาก แต่หากตัดสินใจยังไม่ได้ ทุกคนสามารถฝากสัมภาระของตัวเองกับ AIRPORTELs ไว้ก่อน ขากลับค่อยมารับของก็ได้ หมดห่วงเรื่องสัมภาระในกระเป๋าที่ทำให้น้ำหนักเกิน

เก็บเอกสารสำคัญไว้อย่างปลอดภัย

ขึ้นเครื่องไม่ทันเพราะเอกสารหายมีอยู่จริง โดยเฉพาะเอกสารที่สำคัญ และจำเป็นต้องใช้ เช่น พาสปอร์ต Boarding Pass สำหรับขึ้นเครื่อง ดังนั้น ควรมีกระเป๋า หรือซองเก็บเอกสารสำคัญที่สามารถจัดเก็บ และเปิดใช้งานได้ง่าย จะได้ไม่เสียเวลาหาให้นานเวลาต้องการใช้ และลดความเสี่ยงที่เอกสารจะหล่นหายระหว่างเดินทาง

การเช็กอินไม่ทัน หรือการขึ้นเครื่องไม่ทันล้วนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง บางคนอาจเคยเจอเหตุการณ์นี้แล้ว หรือบางคนอาจยังไม่เคยเจอ ดังนั้น จึงควรรู้ถึงสาเหตุ และวิธีแก้ไขปัญหาเมื่อขึ้นเครื่องไม่ทัน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมก่อนการเดินทาง ลดความผิดพลาด และเดินทางถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ

แกลมปิ้ง (glamping) คืออะไร ต่างจาก camping อย่างไร 

แกลมปิ้ง (glamping) คืออะไร ต่างจาก camping อย่างไร 

แกลมปิ้ง คือการตั้งแคมป์แบบหรูหรา ซึ่งคำว่า Glamping ก็มาจากการรวมคำว่า Glamorous ที่แปลว่าสวยงาม หรูหรา ส่วน Camping หมายถึงการตั้งแคมป์นั่นเอง โดยจะผสมผสานระหว่างการตั้งแคมป์แบบดั้งเดิมเข้ากับความหรูหราสไตล์โรงแรมหรือรีสอร์ต ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถนอนกางเต็นท์ท่ามกลางธรรมชาติได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น เพราะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างดีและครบครัน ซึ่งอันที่จริง แกลมปิ้งนั้นมีมานานแล้ว แต่เพิ่งเป็นกระแส และได้รับความนิยมในช่วงสถานการณ์โควิดระบาดที่ผ่านมา  เพราะผู้คนโหยหาการท่องเที่ยวแนวธรรมชาติมากขึ้น ประกอบกับการได้เห็นรูปภาพสวยๆ และคอนเทนต์ต่างๆ จากบรรดา Vloger และ Influencer ก็ยิ่งดึงดูดให้ผู้คนอยากออกไปสัมผัสประสบการณ์ที่แปลกใหม่ด้วยตัวเองดูสักครั้ง  

แกลมปิ้งได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ไต้หวัน โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเดิมทีการตั้งแคมป์ก็เป็นกิจกรรมที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบกันอยู่แล้ว เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมากมาย และการไปท่องเที่ยวในแต่ละฤดูก็ยังให้บรรยากาศที่ต่างกันด้วย พอมีความสะดวกสบายเข้ามาเพิ่ม ก็ยิ่งทำให้การตั้งแคมป์ได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก

glamping vs camping แตกต่างกันอย่างไร

glamping vs camping แตกต่างกันอย่างไร

การตั้งแคมป์แบบ Glamping และการตั้งแคมป์แบบดั้งเดิม หรือ Camping มีทั้งส่วนที่คล้ายและแตกต่างกัน ส่วนที่เหมือนกัน คือการเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่เน้นประสบการณ์ใกล้ชิดธรรมชาติ ใช้ชีวิตกลางแจ้ง ได้สูดอากาศอันสดชื่น นอนดูดาว ตื่นเช้ามาเปิดเต็นท์ก็เห็นทิวทัศน์สวยๆ อยู่ตรงหน้า แต่การตั้งแคมป์แบบ Glamping จะหรูหราและสะดวกสบายมากกว่า เหมือนยกรีสอร์ตมาตั้งไว้กลางธรรมชาติ ทำให้นักท่องเที่ยวที่ไม่เคยตั้งแคมป์ได้มีโอกาสเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ 

ในขณะที่การตั้งแคมป์แบบเดิมจะได้รับความนิยมเฉพาะกลุ่มเท่านั้น เพราะแม้จะราคาถูก ทำให้ประหยัดค่าที่พักได้มากกว่าการนอนในโรงแรม แต่ก็ต้องยอมรับว่าการนอนเต็นท์ที่ดูเหมือนจะสนุกและท้าทาย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่สะดวกสบายเท่าไหร่ ยิ่งถ้าต้องแบกเต็นท์ไปเอง กางเต็นท์เอง ก็ต้องใช้เวลาและพละกำลังไม่น้อยเลยทีเดียว ยังไม่รวมถึงการทำอาหาร ห้องน้ำ ความปลอดภัย ฯลฯ ที่ทำให้หลายคนถอดใจจนต้องพับโครงการไปในที่สุด 

glamping มีจุดเด่นอย่างไร

glamping มีจุดเด่นอย่างไร

ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตกันอย่างเร่งรีบ เผชิญกับความเครียด ความกดดัน และปัญหาสารพัดในแต่ละวัน จึงไม่มีใครอยากจะออกไปผจญภัยแบบลำบากลำบนในช่วงวันหยุดอีก Glamping จึงถือเป็นการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนี้ได้อย่างลงตัว ส่วนใหญ่ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อแลกมากับการพักผ่อนที่สะดวกสบาย ในขณะเดียวกันก็ได้หลีกหนีความวุ่นวาย ไปให้ธรรมชาติโอบกอดเยียวยาจิตใจ ใช้เวลากับคนที่รัก แถมยังได้รูปเก๋ๆ ลงโซเชียลด้วย นอกจากนี้การท่องเที่ยวสไตล์ Glamping ยังมีจุดเด่นอีกมากมาย เช่น

สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

ที่พักที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการนอนพักในโรงแรม มีทั้งเตียงอย่างดี นอนแล้วนุ่มสบาย ไม่ปวดหลัง เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เช่น เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ ตู้เย็นขนาดเล็ก ไมโครเวฟ กาน้ำร้อน อินเทอร์เน็ต ชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับรับประทานอาหาร ห้องน้ำส่วนตัว เครื่องทำน้ำอุ่น บางแห่งมีอ่างอาบน้ำ หรืออ่าง Jacuzzi ให้ ในขณะที่บางแห่งก็มีพื้นที่ครัว รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ให้สามารถประกอบอาหารได้อย่างสะดวกสบาย  

มีความปลอดภัย

นอกจากภายในเต็นท์ที่พักแบบ Glamping จะเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแล้ว โครงสร้างของเต็นท์ก็มีความแข็งแรงมากกว่าเต็นท์ขนาดเล็ก ทำให้รู้สึกมั่นคง ปลอดภัย ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องสภาพอากาศ เสียงรบกวน แมลง หรือสัตว์มีพิษ อีกทั้งยังอยู่ในบริเวณของที่พักที่จัดไว้ให้โดยเฉพาะ จึงเหมือนได้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยอีกหนึ่งชั้น   

พื้นที่ความเป็นส่วนตัว

แม้ที่พักจะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่เต็นท์ที่ใช้สำหรับพักผ่อนก็คล้ายกับห้องส่วนตัวที่ปิดได้อย่างมิดชิด และทางที่พักก็มักจะเว้นระยะห่างระหว่างเต็นท์ รวมถึงมีพื้นที่บริเวณรอบเต็นท์ให้สามารถออกมาทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเป็นส่วนตัว พื้นที่ใช้สอยแบ่งเป็นสัดส่วน มีที่เก็บของ มีห้องน้ำในตัว สะอาดสะอ้าน ไม่ต้องใช้ห้องน้ำรวม นักท่องเที่ยวจึงสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจ 

บรรยากาศดี มีกิจกรรมที่น่าสนใจให้ลองทำ

การไป Glamping ไม่เพียงแต่จะได้พักผ่อนและดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังจะได้ใช้เวลาสร้างความทรงจำดีๆ และกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนผ่านกิจกรรมต่างๆ  เช่น การทำอาหาร ย่างบาร์บีคิว ดริปกาแฟ ผิงไฟ ร้องเพลง ตกปลา เล่นเกมต่างๆ อีกทั้งที่พักหลายแห่งก็ยังจัดเตรียมกิจกรรมสนุกๆ ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย เช่น การขี่ม้า การเดินป่า ดูดาว ถ่ายรูปสวยๆ เป็นต้น

glamping มีกี่แบบ

glamping มีกี่แบบ

ปัจจุบันคนไทยนิยมเที่ยวแบบ Glamping กันมากขึ้น ที่พักหลายแห่งจึงมีการออกแบบห้องพักหลากหลายประเภท เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเลือกพักได้ตามความชอบ งบประมาณที่ต้องการ หรือจำนวนคนในทริป เช่น มาเป็นคู่ มาพร้อมครอบครัว หรือมากับกลุ่มเพื่อนหลายคน เป็นต้น โดยมีรูปแบบต่างๆ ให้เลือก ดังนี้

แกลมปิ้งแวน

แกลมปิ้งแวน หรือเรียกง่ายๆ ก็คือรถบ้าน ลักษณะภายนอกจะเหมือนกับรถธรรมดา อาจจะเป็นรถตู้หรือรถบัสก็ได้ แต่ด้านในถูกดัดแปลงให้เปรียบเสมือนบ้านขนาดย่อมที่สามารถเคลื่อนที่ได้ มีห้องน้ำ ห้องครัว ที่นอน โซฟาพับได้ โต๊ะทานอาหาร และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปหลายแห่ง ยิ่งถ้าไปหลายคน เมื่อหารเฉลี่ยค่าใช้จ่ายแล้วก็จะประหยัดกว่าด้วย แต่ข้อเสียก็คือต้องมีคนขับที่มีความชำนาญเส้นทาง และควรจะมีความรู้ในการใช้งานรถ เช่น การเติมน้ำสะอาด การระบายของเสีย การเสียบไฟฟ้าเพื่อใช้งานขณะจอดรถ เป็นต้น 

ซึ่งปัจจุบันจุดจอดรถแกลมปิ้งแวนในไทยที่มีบริการเหล่านี้ก็ยังมีไม่มาก จึงไม่เป็นที่นิยมนัก แต่บางที่พักก็มีการนำรถแกลมปิ้งแวนมาใช้เป็นห้องพัก เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้บรรยากาศที่สมจริง

เต็นท์โดมขนาดใหญ่ 

เต็นท์โดมขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลม เป็นเต็นท์ที่นิยมมากที่สุด และเหมาะมากสำหรับสาย Glamping เพราะมีความแข็งแรงทนทาน ทนได้ทั้งแดดและฝน ด้านในพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง โล่งโปร่งสบาย เหมือนเป็นห้องๆ หนึ่ง ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด นอนได้หลายคน และยังสามารถติดแอร์ วางเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย บางแห่งก็ต่ออุโมงค์ทำห้องน้ำในตัวให้เรียบร้อย ผนังสามารถมองเห็นวิวด้านนอกหรือนอนชมดาวยามค่ำคืนได้ แต่หากต้องการความเป็นส่วนตัวก็สามารถปิดม่านได้

เต็นท์ทรงกระโจมหรือเต็นท์มองโกลทรงคลาสิก

เต็นท์ทรงกระโจมจะให้บรรยากาศของการตั้งแคมป์มากกว่า จึงเป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ชอบการถ่ายรูป สร้างคอนเทนต์ ลักษณะเป็นกระโจมสามเหลี่ยมที่มียอดแหลมตรงกลาง ทำให้หลังคาสูง พื้นที่ด้านในดูโล่งโปร่งมากขึ้น อากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่ร้อนอบอ้าว เวลาเปิดประตูก็จะสามารถมองเห็นวิวสวยๆ ได้เต็มตา และหากเป็นเต็นท์กระโจมที่มีขนาดใหญ่ก็สามารถนอนได้หลายคนและวางสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ได้ครบไม่ต่างจากเต็นท์โดมเลย แต่ข้อเสียคือ เต็นท์กระโจมบางรุ่น โดยเฉพาะรุ่นที่มีขนาดใหญ่มักจะมีเสาตรงกลาง อาจจะทำให้รู้สึกเกะกะเล็กน้อย

บ้านต้นไม้ 

บ้านต้นไม้ เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ คล้ายกระท่อม สร้างอยู่บนต้นไม้ มักออกแบบให้มีความกลมกลืนกับธรรมชาติ ให้ความรู้สึกร่มรื่น เหมาะสำหรับคนที่ชอบความเงียบสงบ อยากหลบหลีกความวุ่นวายไปผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติ ตื่นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ขับกล่อมด้วยเสียงนก เสียงใบไม้ หรือคนที่อยากเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบใหม่ เติมเต็มความฝันในวัยเด็ก เพราะที่พักที่มีบ้านต้นไม้มีจำนวนจำกัด และแต่ละแห่งก็มีจำนวนไม่มาก เนื่องจากก่อสร้างยาก ต้องใช้พื้นที่เยอะ แต่ราคาก็อาจจะสูงกว่าห้องพักแบบธรรมดา

โดยสรุปแล้วแกลมปิ้งก็คือการท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งที่พัฒนามาจากการตั้งแคมป์แบบดั้งเดิมหรือ Camping โดยยังคงเน้นความใกล้ชิดธรรมชาติไว้ แต่เพิ่มความหรูหราและสะดวกสบายเข้ามา การตั้งแคมป์จึงไม่ได้เป็นการท่องเที่ยวที่จำกัดเฉพาะสายลุย หรือสาย Adventure อีกต่อไป แต่ใครๆ ก็สามารถสัมผัสประสบการณ์นอนกางเต็นท์ชมวิวได้ เทรนด์การท่องเที่ยวแบบ Glamping จึงได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการตั้งแคมป์ขายดีจนมีแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ในขณะเดียวกันที่พักและสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งต้องปรับตัวและเพิ่มห้องพักแบบ Glamping เพื่อดึงดูดลูกค้า 

อย่างไรก็ตามก่อนออกเดินทางนักท่องเที่ยวก็ควรจะศึกษาสถานที่ เส้นทาง สภาพภูมิอากาศ รวมถึงเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อม แต่สำหรับใครที่ไม่ได้ขับรถไปเอง การแบกสัมภาระจำนวนมากอาจเป็นอุปสรรคในการเดินทางได้ ขอแนะนำบริการดีๆ จาก Airportels ผู้ให้บริการขนส่งกระเป๋าเจ้าแรกในไทย ที่จะช่วยขนสัมภาระไปส่งให้ถึงที่พักทุกแห่งทั่วประเทศ โดยสามารถกดจองผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างง่ายดายแค่ปลายนิ้ว แล้วออกเดินทางตัวเปล่าแบบชิลๆ ไม่ต้องหิ้วกระเป๋าเองให้เหนื่อย แวะเที่ยวตามจุดต่างๆ ได้เต็มที่ ถึงที่พักพร้อมกระเป๋าที่รออยู่แล้ว ปลอดภัยด้วยระบบติดตามสัมภาระที่สามารถเช็กสถานะได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเดินทางที่สะดวกสบายกว่าที่เคย

5 ข้อ การเตรียมตัวไปคอนเสิร์ตให้เป๊ะ และข้อควรระวังถ้าไม่อยากแป้ก

หลังจากนั่งหน้าคอมและรัวนิ้วกดแป้นอย่างแน่วแน่เสริมด้วยพลังสายมู จนกดบัตรคอนเสิร์ตศิลปินคนโปรด มาครอบครองดั่งใจหวัง แค่คิดว่าจะได้ไปร้องเพลง หรือออกสเต็ปแดนซ์กับเพื่อนพ้องชาวด้อม และถือโอกาสท่องเที่ยวพักผ่อน หลังจากโหมงานหนักมานาน ก็แทบจะหุบยิ้มไม่ได้แล้ว ด่านสำคัญต่อไปคือ การเตรียมตัวไปคอนเสิร์ต จะเตรียมยังไงให้เป๊ะไม่มีแป้ก มาทำตามเซ็กลิสต์นี้ได้เลย

5 ข้อ การเตรียมตัวไปคอนเสิร์ตให้เป๊ะ และข้อควรระวังถ้าไม่อยากแป้ก
ศึกษาสถานที่จัดคอนเสิร์ต

1. ศึกษาสถานที่จัดคอนเสิร์ต

ได้บัตรมาแล้วไม่ได้ถือว่าเป็นผู้ชนะเสมอไป หลายคนตกม้าตายเพราะไปสถานที่จัดงานไม่ทัน ไปผิดที่ จำวันหรือเวลาผิด ทำให้พลาดโอกาสในการสัมผัสบรรยากาศที่รอคอยมานาน ดังนั้น ก่อนถึงวันงานต้องศึกษาข้อมูลต่างๆ  ให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นวันเวลาหรือสถานที่จัดงาน เพื่อที่จะวางแผนการเดินทางและจองที่พักไว้ล่วงหน้า ยิ่งข้อมูลแน่น วางแผนดีเท่าไหร่ รับรองได้เลยว่างานนี้มีแต่ปัง ไม่มีแป้กอย่างแน่นอน

ข้อควรระวังถ้าไม่อยากแป้ก

  • การเตรียมตัวไปคอนเสิร์ต เมื่อประกาศแล้วว่างานจัดที่ไหน ควรตรวจสอบข้อมูลของสถานที่จัดงานก่อนว่ามีลักษณะอย่างไร เช่น เป็น indoor หรือจัดกลางแจ้ง เป็นต้น จะได้วางแผนเตรียมตัวล่วงหน้าได้ถูก 
  • ควรศึกษาเส้นทางล่วงหน้าก่อนการเดินทาง โดยสามารถตรวจสอบเส้นทางได้ง่ายๆ ผ่าน google map เช่น ห่างจากที่พักแค่ไหน มีรถโดยสารสาธารณะผ่านหรือไม่ สายไหนบ้าง หากขับรถยนต์ส่วนตัวไปเอง มีที่จอดรถเพียงพอหรือไม่ เป็นต้น
  • กลัวลืม ตั้ง remainder ไว้ในโทรศัพท์เลย บันทึกข้อมูลสถานที่วันเวลาให้เรียบร้อย อย่าลืมเปิดเสียงเตือนเอาไว้ด้วย รับรองไม่มีพลาด
จองที่พักที่สะดวกเดินทางไปคอนเสิร์ต

2. จองที่พักที่สะดวกเดินทางไปคอนเสิร์ต

คอนเสิร์ตส่วนใหญ่มักจะจัดในตอนกลางคืน สำหรับใครที่ไม่สะดวกเดินทางกลับบ้านในยามวิกาล หรือมาจากต่างจังหวัด การเตรียมตัวไปคอนเสิร์ต เพื่อความสะดวกก็อาจจองที่พักที่อยู่ใกล้กับสถานที่จัดงานจากเว็บไซต์ต่างๆ เช่น agoda, booking, traveloga โดยการเลือกที่พักควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนเพื่อประกอบการตัดสินใจ เช่น ดูรีวิวที่เป็นปัจจุบันจากผู้ใช้งานจริง ในเว็บไซต์เอเจนซี่ต่างๆ หรือหาข้อมูลจากแพลตฟอร์มออนไลน์  เช่น TikTok พันทิป ยูทูป เป็นต้น 

ข้อควรระวังถ้าไม่อยากแป้ก

  • ควรเลือกดูที่พักที่มีการบริการที่ตรงกับความต้องการของเราและเหมาะสมกับราคา
  • ไม่ว่าจะเป็นที่พักราคาหลักร้อยหรือเป็นพัน ก็ควรเลือกที่พักที่สะอาด สภาพห้องดี กลับมาเหนื่อยๆ จากงานคอนเสิร์ต ต้องมาเจอสภาพห้องพักที่ผนังผุพัง ห้องน้ำมีกลิ่น มียันต์ติดเพดาน ถึงจะเหนื่อยแค่ไหนก็คงหลับตานอนไม่ลงเป็นแน่
  • ความปลอดภัยสำคัญมาก ควรเลือกที่พักที่อยู่ในแหล่งชุมชน มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่มีมาตรฐาน มีเจ้าหน้า รปภ. คอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น 
  • ทำเลที่ตั้งของที่พักก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ ควรเลือกโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากสถานที่จัดงานมากนัก โดยสามารถเดินเท้าไปได้เลย หรือห่างออกมาเล็กน้อยแต่สามารถเดินทางได้สะดวก อาจอยู่ติดถนนใหญ่ที่รถโดยสารสาธารณะผ่าน ติดกับสถานีรถไฟฟ้า เป็นต้น หลังจากที่ผ่านสมรภูมิแห่งความบันเทิงมาอย่างโชกโชน หากยังต้องดั้นด้นกลับไปยังที่พักที่อยู่แสนไกลอีก คงเป็นการทรมานร่างกายเกินไป
  • ราคาถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ควรเลือกที่พักที่เหมาะสมกับงบประมาณ เมื่อได้ที่พักในใจแล้ว เพื่อผลประโยชน์สูงสุด ก็ลองเปรียบเทียบราคาจากเว็บไซต์ผู้ให้บริการหรือสอบถามที่พักโดยตรง เพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด 
จัดกระเป๋า เตรียมของไม่พลาดความสนุก

3. จัดกระเป๋า เตรียมของไม่พลาดความสนุก

บัตรพร้อม ข้อมูลสถานที่ได้ วางแผนการเดินทางและจองห้องพักไว้เรียบร้อยแล้ว ก็จัดกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวไปคอนเสิร์ตกันได้เลย มาดูกันว่าสิ่งของจำเป็นที่ต้องพกไปด้วยไปควรมีอะไรบ้าง

บัตรคอนเสิร์ต

ถึงจะลำบากกดบัตรคอนเสิร์ตมาครอบครองอย่างยากเย็น แต่ถ้าลืมพกมาด้วย คงทำได้แค่นั่งร้องไห้เพราะเข้างานไม่ได้ ดังนั้น ก่อนเดินทาง ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าได้นำบัตรใส่กระเป๋าแล้วหรือยัง

บัตรประชาชน หรือเอกสารแสดงตัวตน

การเตรียมตัวไปคอนเสิร์ต บัตรประจำตัวประชาชนก็สำคัญเช่นกัน ก่อนเข้างานเจ้าหน้าที่มักจะตรวจบัตรประชาชนเพื่อยืนยันตัวตน ถ้าลืมพกมาด้วยอดเข้างานแน่ๆ

เงินสด

หน้าสถานที่จัดงานคือที่ละลายทรัพย์สำหรับแฟนคลับเลยทีเดียว เพราะจะมีสินค้าของศิลปินมาวางขายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแท่งไฟ เสื้อยืด พัด การ์ด พวงกุญแจ ทั้งของออฟฟิเชียลที่เป็นสินค้าหายาก ต้องมาต่อคิวรอซื้อตั้งแต่เช้า หรือของแฟนเมดที่นำมาจำหน่ายหน้างาน เรียกว่าถ้าเป็นแฟนพันธ์ุแท้ต้องได้เสียเงินซื้อของกลับบ้านอย่างแน่นอน นอกจากนั้นยังมีอาหารเครื่องดื่มระหว่างรอ รวมทั้งเป็นค่ารถตอนกลับบ้านด้วย ดังนั้นพกเงินติดกระเป๋าไปด้วยเถอะอุ่นใจสุด

โทรศัพท์ พาวเวอร์แบงค์

คอนเสิร์ตส่วนใหญ่ใช้เวลาแสดงไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ยังไม่รวมเวลาที่ต้องมารอเข้างาน ทั้งถ่ายรูป อัดคลิป เล่นโซเชียล โทรหาเพื่อน เรียกได้ว่าต้องใช้งานมือถือตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวไปคอนเสิร์ต หากไม่อยากพลาดช่วงเวลาสำคัญ ก่อนออกจากบ้านต้องชาร์จแบตมือถือให้เต็ม และควรพกเพาเวอร์แบงค์เพื่อเป็นพลังงานสำรองไว้ด้วย

ทิชชู

ทั้งทิชชูเปียกทิชชูแห้งพกไปได้ใช้ประโยชน์อย่างแน่นอน ทั้งตอนเข้าห้องน้ำ เอาไว้ซับหน้า ซับเหงื่อ ลองหาขนาดพกพาติดไปด้วย จะได้หยิบมาใช้ได้สะดวก

น้ำ

ปกติแล้วน้ำดื่มจะไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าไปในงาน แต่ระหว่างรอด้านนอกควรเตรียมน้ำขวดเล็กไปด้วย ช่วยป้องกันการกระหาย ลดอาการขาดน้ำ  จากอากาศร้อนๆ ได้

ยาดม หรือยารักษาโรคประจำตัว

ขึ้นชื่อว่าคอนเสิร์ต ต้องมีการเบียดเสียดกับฝูงชนจำนวนมากอย่างแน่นอน บวกกับอากาศร้อนอบอ้าว อาการวิงเวียนหน้ามืดอาจมาทักทายได้ เตรียมตัวไปคอนเสิร์ต อย่าลืมพกยาดมไปด้วย เผื่อไว้ใช้ตอนหน้ามืดตาลาย และยังช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น นอกจากนั้นใครเป็นโรคประจำตัวอย่าลืมพกยาติดตัวไปด้วย 

ชุดตัวโปรด

ไปคอนเสิร์ตทั้งทีต้องได้รูปกับคอนเทนต์เก๋ๆ เอาไว้ไปโพสต์อวดเพื่อน เสื้อผ้าชิคๆ ให้เข้ากับตีมคอนเสิร์ตจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ถ้าเป็น blink ตัวแม่ ก็จัดสีชมพูดำไปเลย อากาเซน้อย วง BTS สีเขียวสะท้อนแสงต้องมา หรือจะสร้างสรรค์แฟชั่นสุดจี๊ดเอาใจศิลปินวงโปรดก็ได้ แต่จัดเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวไปคอนเสิร์ต ก็มีข้อควรระวัง เช่น ถ้าเป็นบัตรยืนควรใส่รองเท้าผ้าใบหุ้มส้นจะดีที่สุดเพื่อป้องกันการโดยเหยียบเท้าและลดอาการปวดเท้าจากการยืนนานๆ ใส่ชุดที่คล่องตัวและรัดกุม เครื่องหัวไม่ต้องใหญ่มาก เป็นต้น

พัดลมน้อย

ระหว่างรอเข้างานด้านหน้า ตอนต่อคิวเข้างาน หรืออยู่ในงานแล้ว เนื่องจากคนเยอะ อากาศจะร้อนอบอ้าวมาก มีคนเป็นลมมานักต่อนักแล้วในงานคอน ดังนั้นควรพกพัดลมน้อยไปด้วยเพื่อช่วยคลายความร้อนและช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น

แท่งไฟ ป้ายไฟ

การเตรียมตัวไปคอนเสิร์ต เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกับกับเพื่อนด้อม หรือแสดงจุดยืนในความเป็นแฟนคลับคลั่งรัก ควรเตรียมแท่งไฟประจำด้อมให้พร้อมโบกในงานด้วย หรืออาจจะเตรียมป้ายไฟไปด้วยก็ได้ แต่ป้ายไฟต้องระวังไม่ให้มีขนาดใหญ่เกินไปจนบังคนอื่น และเตรียมถ่านไปสำรองด้วย

หน้ากาก สเปรย์แอลกอฮอล์

ยุคนี้ยังไงก็ต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน โควิด-19 ยังไม่จากเราไปไหน สนุกแล้วต้องอย่าลืมดูแลสุขภาพด้วย จึงควรพกหน้ากากและสเปรย์แอลกฮอล์ติดกระเป๋าไปด้วย เกิดติดโควิดขึ้นมาแล้วต้องลางานหรือไปเรียนไม่ได้ ก็คงไม่คุ้มแน่ๆ

เตรียมของลงกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวไปคอนเสิร์ตเรียบร้อยแล้ว ใครมาจากต่างจังหวัดและยังไม่ได้เข้าที่พัก หิ้วกระเป๋าใหญ่ๆ มาด้วย หรือช้อปปิ้งหน้างานเพลินจนได้ของถุงใหญ่ อาจทำให้การดูคอนเสิร์ตไม่สนุกเพราะต้องคอยดูแลสัมภาระ สามารถใช้บริการของAIRPORTELs  รับ-ส่ง กระเป๋าอย่างปลอดภัยจนถึงที่พักได้เลย

ฟิตร่างกายให้เตรียมพร้อม

4. ฟิตร่างกายให้เตรียมพร้อม

คงหมดสนุกแน่ๆ หากก่อนวันงานหรือในวันที่จัดงานเกิดป่วยขึ้นมา ดังนั้น การเตรียมตัวไปคอนเสิร์ต ก่อนถึงวันงานควรเตรียมร่างกายให้พร้อมที่สุด โดยการออกกำลังกายเบาๆ ฝึกยืดกล้ามเนื้อ เพื่อให้ร่างกายชินกับการขยับแขนขา เวลาออกสนามจริงจะได้ไม่เหนื่อยหอบและกล้ามเนื้อบาดเจ็บ รวมทั้งดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรงเพื่อไม่ให้เจ็บป่วยก่อนไปงาน

ข้อควรระวังถ้าไม่อยากแป้ก

  • การออกกำลังกายต้องระวัง อย่าหักโหมจนเกินไป หากบาดเจ็บจากการออกกำลังก่อนงานเริ่มจะไม่สนุกเอาได้
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้สมองเบลอ มึนงง และไม่แจ่มใส แถมยังเสี่ยงต่อการเกิดอาการวิงเวียนเป็นลมได้ง่ายอีกด้วย
  • เลี่ยงโดนแดดโดนฝน หรือทำกิจกรรมเสี่ยงๆ เช่น ปีนเขา เล่นสเก็ต ที่อาจทำให้ป่วยหรือบาดเจ็บ
กินให้อิ่ม ก่อนเข้างาน ไม่เหนื่อย เต้นได้เต็มที่

5. กินให้อิ่ม ก่อนเข้างาน ไม่เหนื่อย เต้นได้เต็มที่

ไปคอนเสิร์ตทั้งทีจะยืนอยู่เฉยๆ คงไม่ได้ นอกจากต้องรอคิวที่นานแสนนานแล้ว เมื่อเข้าไปในคอนยังต้องทั้งเต้นทั้งตะโกนร้องเพลงอย่างบ้าคลั่งอีก แน่นอนว่าต้องดึงเอาพลังงานในร่างกายทั้งหมดออกมาใช้ การเตรียมตัวไปคอนเสิร์ต ถ้าไม่อยากแบตเตอรี่หมดก่อนคอนจบ ต้องเติมพลังงานด้วยอาหารให้เต็มอิ่มก่อนเข้างาน เพราะเราจะใช้เวลาอยู่ในนั้นนานหลายชั่วโมงและเอาอาหารเข้าไปไม่ได้ อาจจะหิวระหว่างงาน หรือเป็นลมเป็นแล้งไปได้

ข้อควรระวังถ้าไม่อยากแป้ก

  • ทานอาหารให้อิ่มแต่อย่ากินจนจุก ระวังอย่าทานอาหารสุกๆดิบๆหรือของแสลง เพราะเกิดท้องเสียขึ้นมา มัววิ่งเข้าออกห้องน้ำ นอกจากจะหมดสนุกยังอาจพลาดโอกาสสำคัญบนเวทีด้วย
  • อย่าดื่มน้ำเยอะจนเกินไป เพราะเมื่ออยู่ในงานจะออกไปเข้าห้องน้ำไม่สะดวก ใครรู้ตัวว่าเข้าห้องน้ำบ่อย ใส่แพมเพิสผู้ใหญ่ไปอุ่นใจสุด

กดบัตรคอนเสิร์ตได้ทั้งทีต้องสนุกให้สุดเหวี่ยง ไม่อยากพลาดทุกความมันส์ ต้องเตรียมตัวไปคอนเสิร์ตให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาข้อมูลสถานที่และการเดินทาง  จองที่พักที่สามารถเดินทางไปได้สะดวก เตรียมเสื้อผ้าให้เข้ากับงาน และจัดเตรียมสิ่งของจำเป็นใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย สำหรับใครที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด ไหนๆ ก็มาดูคอนเสิร์ตแล้ว ก็อาจใช้โอกาสนี้ท่องเที่ยวพักผ่อนไปด้วยเลย เตรียมกระเป๋ามาแบบจัดเต็มขนาดนี้แต่ยังไม่สะดวกเข้าที่พัก จะหิ้วไปงานคอนเสิร์ตด้วยก็อาจจะไม่คล่องตัวเท่าไหร่นัก แถมยังอาจเกะกะเพื่อนคนอื่นจนอาจโดนต่อว่าได้ 

โดยปัญหานี้จะหมดไปหากใช้บริการรับ-ส่งสัมภาระของAIRPORTELs ถึงสนามบิน ออกเที่ยวได้ทันที ไม่ต้องกังวลเรื่องสัมภาระ เพราะ AIRPORTELs มีบริการส่งกระเป๋าจนถึงที่พัก สามารถใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง การใช้งานก็แสนจะง่ายดายโดยจองผ่านระบบออนไลน์หรือติดต่อหน้าเค้าเตอร์ที่อยู่ถึง 5 สาขาทั่วกรุงเทพ ทั้งในสนามบินและห้างสรรพสินค้าชั้นนำ มีการรับประกันกระเป๋า สามารถตรวจสอบสถานะของกระเป๋าทางออนไลน์และมีการแจ้งเตือนสถานะผ่านทางอีเมล์อีกด้วย เมื่อไม่มีสัมภาระมากวนใจ ก็เดินตัวปลิวไปช้อปปิ้ง ไปเที่ยว หรือไปดูคอนเสิร์ตด้วยความเพลิดเพลิน พร้อมรอรับกระเป๋าที่บ้านได้เลย