Bangkok Art Biennale 2022 กลับมาแล้ว 12 แห่งทั่วกรุงเทพฯ

คนรักศิลปะเตรียมเสพ กรุงเทพ ของเรากำลังจะเป็นศูนย์กลางงานศิลป์ระดับโลก เทศกาล Bangkok Art Biennale (บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่) งานรวมเหล่าศิลปินครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งมีที่มาจากเทศกาล Art Biennale แห่งประเทศอิตาลี ครั้งแรกสุดของ Art Biennale ผ่านมานานกว่าร้อยปีแล้วที่เมืองเวนิส หลังจากนั้นก็ได้ขยายการจัดงานไปในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย และสำหรับประเทศไทยมีการจัดงานมาแล้ว 2 ครั้งในชื่อ Bangkok Art Biennale

 

จากเวนิสสู่กรุงเทพ เทศกาลศิลปะร่วมสมัยที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

ย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ครั้งแรกของเทศกาล Bangkok Art Biennale จัดขึ้นด้วยแนวคิด “สุขสะพรั่ง พลังอาร์ต” หรือ “Beyond Bliss” ครั้งนั้นมีศิลปินระดับโลกรวมศิลปินชาวไทยเข้าร่วมแสดงผลงานถึง 75 คน เป็นเทศกาลที่จัดยาวตั้งแต่เดือนตุลาคม 2018 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2019 เรียกว่าสุขสะพรั่งกันข้ามปี รูปแบบการจัดงานคือ ผู้จัดจะเลือกแลนด์มาร์คสำคัญ ๆ ใจกลาง กรุงเทพ มากกว่า 10 แห่งเป็นสถานที่จัดงาน อาทิ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร, มิวเซียมสยาม, เซ็นทรัลเวิลด์, วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ฯลฯ ซึ่งในปีนั้นสถานที่จัดงานทุกแห่งเนืองแน่นไปด้วยแฟนพันธุ์แท้ของศิลปินทุกแขนง ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้พลังศิลปะเป็นแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้รักงานศิลป์ เพิ่มมนต์ขลังให้กรุงเทพมหานครเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของโลกที่น่าค้นหา 

หลังจากประสบความสำเร็จในการจัดงานครั้งแรกไปแล้ว Bangkok Art Biennale ได้ถูกจัดให้มีขึ้นอีกครั้งในปี 2020 ซึ่งปีนั้นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของคนไทยและคนทั่วโลกที่ต้องประสบกับสถานการณ์โควิด-19 อันร้ายแรง โยงใยพัวพันไปถึงปัญหาต่าง ๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม แผนการจัดงานครั้งนั้นก็ยังดำเนินต่อไป โดยทางคณะผู้จัดงานมีความหวังว่า ศิลปะจะเข้ามาช่วยบำบัดจิตใจที่บอบช้ำของชาวโลกได้บ้าง ตามคอนเส็ปท์ “Escape Route” หรือชื่อไทยว่า “ศิลป์สร้าง ทางสุข” ครั้งนั้นมีศิลปินรวม 82 คน เปิดให้เข้าชมงานในแบบ New Normal ท่ามกลางโควิด

 
 

CHAOS : CALM คอนเซ็ปต์ใหม่ Bangkok Art Biennale 2022

เทศกาลศิลปะร่วมสมัยปีนี้ มูลนิธิ Bangkok Art Biennale ได้รับความร่วมมือจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ, กรุงเทพมหานคร พร้อมกับหน่วยงานรัฐและเอกชนอีกหลายแห่งในการจัดงาน Bangkok Art Biennale 2022 ซึ่งจะมาในคอนเซ็ปท์ “CHAOS : CALM” ซึ่งสื่อความหมายถึงความวุ่นวายสับสนของชาวโลกที่ถูกไวรัสคุกคาม ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็ต้องดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอดและต้องหาวิธีปรับตัวได้ ซึ่งจะทำให้ค้นพบหนทางแห่งความสงบสุขท่ามกลางความโกลาหลที่ยังวนเวียนอยู่ บางคนอาจจะไม่เข้าใจว่า ระหว่างความโกลาหลกับความสงบสุขนั้นจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันได้อย่างไร แต่ในมุมมองของศิลปิน ต่างเชื่อว่าสามารถที่จะเป็นไปได้โดยอาศัยความรัก ความเห็นอกเห็นใจของคนที่อยู่ร่วมในสังคมเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ทุกคนผ่านพ้นอุปสรรค และค้นพบความสุขในที่สุด นี่คือแนวคิดที่น่าสนใจและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

 
 

Bangkok Art Biennale 2022 มีที่ไหนบ้าง

สถานที่จัดงานยังคงยึดแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ บวกกับการแสดงดิจิทัลอาร์ตในโลกออนไลน์อีก 1 ช่องทาง มีที่ไหนบ้าง รวมมาแล้ว โดยทั้งสิ้น 12 พื้นที่ที่เราทุกคนสามารถเลือกเข้าชมความอลังการของงานนี้ได้

 

1. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

 

2. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

 

3. วัดประยูรวงศาวาสวรวิหาร

 

4. หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

 

5. ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

 

6. มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้

 

7. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

 

8. สามย่านมิตรทาวน์

 

9.เดอะ ปาร์ค

 

10. เดอะพรีลูด วันแบงค็อก

 

11. JWD Art Space 

 

ศิลปินไทย ร่วมแสดงผลงานกับ ศิลปิน เอกระดับโลก

งานนี้ไม่ใช่การประชันฝีมือ แต่เป็นการพบกันด้วยหัวใจของศิลปินหลายชาติหลายภาษาที่จะมาร่วมกันถ่ายทอดผลงานรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 200 ชิ้นที่ศิลปิน 73 ท่านจาก 35 ประเทศรวมประเทศไทยได้สร้างสรรค์ขึ้นเพื่องานนี้โดยเฉพาะ นำทีมโดยศิลปินเอก แอนโทนี กอร์มลีย์ เจ้าของผลงานประติมากรรมอันโดดเด่นและไม่เหมือนใคร ผลงานของเขาติดตั้งอยู่ตามสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นงานปั้นรูปคนกว่า 100 ชิ้นที่ตั้งอยู่เต็มชายหาดครอสบี เมืองลิเวอร์พูล, งานประติมากรรมเหล็กรูปนางฟ้า ชื่อ Angel of the North 

สำหรับศิลปินท่านอื่น ๆ ที่ตอบรับมาร่วมงานนี้มีทั้งศิลปินที่คนในวงการรอคอยอย่าง มารีน่า อบราโมวิช จากสหรัฐอเมริกา เพราะเธอคือศิลปินที่เคยมาสร้างความประทับใจให้กับคนไทยในเทศกาลนี้แล้วทั้ง 2 ครั้ง นอกจากนั้นก็มีศิลปินผู้โด่งดังสัญชาติต่าง ๆ  อาทิ 

  • เคนเนดี ยานโค ชาวอเมริกัน 
  • ทิฟฟานี ชุง ลูกครึ่งเวียดนาม-อเมริกัน
  • จิติช กัลลัต ชาวอินเดีย
  • ชิฮารุ ชิโอตะ ชาวญี่ปุ่น
  • มิร์ทิลล์ ทิแบย์เรงซ์ ชาวฝรั่งเศส
 
 

5 เดือนแห่งความโกลาหล และความสงบสุข เริ่มตุลาคม 2565

แนวคิด “โกลาหล : สงบสุข” จะถ่ายทอดออกมาได้ปังแค่ไหน เราจะได้เห็นกันในอีกไม่นาน เทศกาล Bangkok Art Biennale 2022 จะเริ่มจัดวันแรก 22 ตุลาคม 2565 ไปจนถึง 23 กุมภาพันธ์ 2566 มีเวลาให้ชมกันนานถึง 5 เดือน คนรักศิลปะห้ามพลาด

 

ที่มาข้อมูล:

8 อาร์ตแกลลอรี่ในกรุงเทพฯ เสพศิลป์เติมพลังใจ

การเที่ยวชมงานศิลปะนั้นนับว่าเป็นการสร้างสุนทรียะให้กับชีวิตและช่วยผ่อนคลายความเคร่งเครียดจากชีวิตประจำวันได้ เพราะทุกวันนี้หลายคนต้องพบเจอกับความเร่งรีบทั้งการจราจรในแต่ละวัน รวมไปถึงการงานที่รัดตัวจนก่อให้เกิดความเครียดและปัญหาสุขภาพตามมา สิ่งเหล่านี้ล้วนกัดกินให้คนกรุงค่อย ๆ หมดไฟและขาดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต การได้ออกไปเสพงานศิลป์ปล่อยใจสบาย ๆ ดื่มด่ำกับงาน อาร์ต จึงช่วยเยียวยาและเพิ่มพลังทางใจได้ แล้วจะไปที่ไหนกันดีล่ะ วันนี้เราจึงมีข้อมูลดี ๆ มาแนะนำ 8 อาร์ตแกลลอรี่ ในกรุงเทพฯ สำหรับใครที่อยากเติมพลังใจด้วยศิลปะ จะได้ตามไปเช็กอินแต่ละแห่งกัน

 

1. หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน, กรุงเทพฯ

หอศิลป์ ที่เน้นจัดแสดงศิลปะร่วมสมัย ตั้งอยู่ใจกลางถนนราชดำเนินกลาง ภายในแบ่งออกเป็น 2 โซน ได้แก่ โซนนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยที่มีงานศิลปะหลากหลายแบบผลัดเปลี่ยนกันมาแสดงแบบไม่ซ้ำ และโซนวัฒนธรรมอาเซียนที่ให้ความรู้เกี่ยวกับอาเซียน รวมไปถึงศิลปวัฒนธรรมในกลุ่มชาติอาเซียน นอกจากนั้นยังมีจัดกิจกรรมการอบรม เสวนา หรือเวิร์กช็อปเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมใน 6 สาขา ได้แก่ ทัศนศิลป์ สถาปัตยกรรม วรรณศิลป์ ดนตรีและการแสดง การออกแบบ และภาพยนตร์ 

 
 

พิกัด : ถนนราชดำเนินกลาง ตรงข้ามอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

เวลา เปิด – ปิด : 

  • นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย ชั้น 1 และ 2 เปิดวันอังคาร – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 19.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
  • ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ชั้น 3 เปิดวันอังคาร – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 12.00 น. และ 13.30 – 17.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์)

ช่องทางติดต่อ : www.rcac84.com

 

2. River City Bangkok

แกลเลอรีแสดงงานศิลปะและแอนทีค มีนิทรรศกาลศิลปะนานาชาติหมุนเวียนกันมาจัดแสดง ครอบคลุมทั้งงานทัศนศิลป์ งานปั้น งานหล่อ งานคราฟท์ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีจัดแสดงดนตรีและฉายภาพยนตร์ด้วย เรียกได้ว่าครบจบทุกงานอาร์ต อีกทั้งยังสามารถร่วมประมูลงานศิลปะที่ชอบได้อีกด้วย ใครที่เป็นสายอาร์ตพลาดไม่ได้เลย

 
 

พิกัด : ท่าเรือสี่พระยา ซอยเจริญกรุง 24 หรือ 30 

เวลา เปิด – ปิด

  • วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 11.00 – 20.00 น.
  • วันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 10.00 – 20.00 น.

ช่องทางติดต่อ : www.facebook.com/RiverCityBangkok

 

3. หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

หอศิลป์ ใจกลางกรุง เดินทางง่าย ติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติ ภายในมีห้องจัดนิทรรศการศิลปะที่มีศิลปินหลากหลายสาขาหมุนเวียนกันมาแสดงงานศิลปะทั้งภาพถ่าย รูปวาด ประติมากรรม ศิลปะการจัดวาง ฯลฯ เรียกได้ว่าครบทุกแขนงของงานศิลปะให้คุณได้ดื่มด่ำกับงานศิลปะกันแบบจุใจ สาย อาร์ต ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

 
 

พิกัด : ถนนพระรามที่ 1 จากสถานี BTS สนามกีฬาแห่งชาติ 100 เมตร

เวลา เปิด – ปิด :

  • วันอังคาร – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 20.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์)

ช่องทางติดต่อ : www.facebook.com/baccpage

 

4. Rhythm of Arts Creative Space

พื้นที่จัดแสดงศิลปะแหล่งรวมของสายอาร์ต มีศิลปินผลัดกันมาจัดแสดงนิทรรศการอย่างไม่ขาดสาย งานศิลปะที่จัดแสดงส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะร่วมสมัย เช่น งานมีเดียอาร์ต ศิลปะที่ผสานสื่อและเทคโนโลยีแสง สี เสียงหลากหลายรูปแบบ แถมยังมีคาเฟ่ให้บริการเครื่องดื่ม ให้คุณได้เสพศิลป์กันครบทุกโสตประสาทกันเลยทีเดียว

 
 

พิกัด : ซอยอินทามาระ 26/2 MRT สุทธิสาร ทางออก 4

เวลา เปิด – ปิด :

  • ทุกวัน เวลา 17.00 – 22.00 น.

ช่องทางติดต่อ: www.facebook.com/RHYTHMthinker

 

5. The Jam Factory, กรุงเทพฯ

พื้นที่แสดงงาน ศิลปะ ย่านคลองสาน ที่เปิดให้คนรักงานศิลปะมาโชว์ของและแลกเปลี่ยนไอเดียกัน ภายในเป็นแกลเลอรีเน้นจัดแสดงงานหลากหลายประเภททั้งภาพวาด ภาพถ่าย ประติมากรรม มีเดียอาร์ต กราฟิกดีไซน์ รวมไปถึงภาพยนตร์ นอกจากนั้นยังมีโซนคาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านหนังสือด้วย

 
 

พิกัด : 41/5 ถ.เจริญนคร คลองสาน

เวลา เปิด – ปิด :

  • ทุกวันเวลา 11.00 – 20.00 น.

ช่องทางติดต่อ : www.facebook.com/TheJamFactoryBangkokhttp://www.facebook.com/TheJamFactoryBangkok

 

6. BANGKOK CITYCITY GALLERY, กรุงเทพ ฯ

แกลเลอรีแสดงงานศิลปะสไตล์มินิมอล ภายในจัดแสดงนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย โดยมีแนวคิดในการเปิดรับมุมมองใหม่ ๆ แนวคิดใหม่ ๆ โดยไม่มีกรอบ เปิดอิสระให้ทั้งศิลปินและผู้ชมได้ปลดปล่อยและเสพงานศิลป์แบบไร้ขีดจำกัด นอกจากนั้นภายในยังมีร้านหนังสือและห้องสมุดศิลปะไว้ให้บริการอีกด้วย

 
 

พิกัด : ซอยสาทร 1 แขวงทุ่งมหาเมฆ MRT ลุมพินี ทางออก 2

เวลา เปิด – ปิด :

  • วันพฤหัสบดี – อาทิตย์ เวลา 13.00 – 18.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ – พุธ

ช่องทางติดต่อ : www.facebook.com/bangkokcitycity และ https://bangkokcitycity.com/

 

7. MOCA

พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัยที่มีทั้งนิทรรศการศิลปะถาวรและแบบหมุนเวียน แบ่งเป็น 5 ชั้น โดยชั้นล่างเป็นพื้นที่จัดนิทรรศการหมุนเวียนและโซนเชิดชูเกียรติศิลปินแห่งชาติ ชั้น 2 เป็นงานศิลปะเกี่ยวกับความเชื่อของคนไทย ชั้น 3 จัดแสดงศิลปะเชิงความคิดฝันและจินตนาการภายใต้คติความเชื่อของคนไทย ชั้น 4 เป็นจิตรกรรมไทยร่วมสมัย และชั้น 5 แสดงศิลปะร่วมสมัยจากต่างประเทศ

 
 

พิกัด : ถนนกำแพงเพชร 6 ใกล้กับโรงพยาบาลจุฬาภรณ์และสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์

เวลา เปิด – ปิด :

  •  วันอังคาร – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 16.00 น. หยุดทุกวันจันทร์

ช่องทางติดต่อ : www.facebook.com/mocabangkok

 

8. JWD Art Space

ศูนย์รวมระบบการจัดเก็บงานศิลปะและบริการที่เกี่ยวข้องกับศิลปะร่วมสมัยครบวงจรทั้งการดูแลและขนส่ง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ให้จัดแสดงนิทรรศการศิลปะทั้งไทยและต่างประเทศ มีการจัดนิทรรศการศิลปะทั้งปี ทั้งงานวาดเขียน งานถ่ายภาพ รวมไปถึงงานศิลปะการจัดวาง มีเดียอาร์ต เรียกได้ว่าหลากหลายมาก

 
 

พิกัด : ซอยจุฬา 16 สามย่าน

เวลา เปิด – ปิด :

  • วันอังคาร – อาทิตย์ 10.00 – 19.00 น. หยุดทุกวันจันทร์

ช่องทางติดต่อ : www.facebook.com/JWDArtSpace

 

ทั้ง 8 อาร์ตแกลลอรี่ที่เรารวบรวมมานี้ เราคัดสรรมาเอาใจคนรักศิลปะอย่างเต็มที่ สุดสัปดาห์นี้ถ้าว่าง ๆ ไม่รู้จะไปไหน ลองออกไปเสพงานศิลปะ กันดู รับรองว่าคุณจะได้เปิดประสบการณ์ใหม่และได้รับแรงบันดาลใจดี ๆ กลับมาแน่นอน

 

ที่มาข้อมูล

One Day Trip 10 ที่เที่ยวในกรุงเทพฯ อัพเดทปี 2022

วันนี้ขอมาเอาใจคนที่อยากท่องเที่ยวแบบ วันเดย์ทริปในกรุงเทพฯ ด้วย 10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมาแรงปี 2022 คัดมาแล้วว่าเดินทางง่าย ให้คุณได้เพลิดเพลินแบบวันเดียวก็เที่ยวได้ จะมีสถานที่ไหนบ้างนั้นตามไปดูพร้อม ๆ กันได้เลย

 

1. วัดพระแก้ว

วัดพระแก้ว หรือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพฯ ที่นี่ประดิษฐานพระแก้วมรกตหรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระคู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่ครั้งก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ และยังมีสถาปัตยกรรมไทยอันวิจิตรตระการตาพร้อมกับหมู่มวลพระที่นั่งในเขตพระราชฐาน หอพระเทพบิดร และยังมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ตรงบริเวณระเบียงคดที่วิจิตรงดงามและเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางทัศนศิลป์และประวัติศาสตร์

  • ที่อยู่ : ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
  • พิกัด https://goo.gl/maps/PPNJHNWRpdtsP8Jd7
  • เปิดให้เข้าชม : 08.30-15.30 น.
  • ค่าเข้าชม : คนไทย เข้าชมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ชาวต่างชาติ ค่าเข้าชม บัตรราคา 500 บาท
    สามารถซื้อบัตรเข้าชมพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ผ่านช่องทางออนไลน์ล่วงหน้าได้อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนวันเข้าชม
 
 

2. วัดอรุณราชวราราม

อีกหนึ่งแลนมาร์กสำคัญของกรุงเทพฯ ก็คือ พระปรางค์วัดอรุณ ดังนั้น เที่ยวในกรุงเทพ ทั้งทีก็ต้องมาถ่ายรูป เช็กอิน กับพระปรางค์กันสักหน่อย แอบกระซิบว่ายามเย็นวิวที่นี่สวยมาก แถมยังได้รับลมเย็น ๆ จากแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย นอกจากนี้ บริเวณวิหารน้อยหน้าพระปรางค์ยังมีพระแท่นบรรทมของ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เชื่อว่าถ้าได้ลอดแล้วจะช่วยล้างอาถรรพ์คุณไสยทั้งหลาย

  • ที่อยู่: 158 ถ.วังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 10600
  • เวลาเปิด: ทุกวัน ตั้งแต่ 8.00 – 18.00 น.
  • ค่าเข้า: คนไทยฟรี ชาวต่างชาติคนละ 50 บาท
 
 

3. วัดโพธิ์

ข้ามแม่น้ำเจ้าพระมาอีกฝั่งของวัดอรุณฯ ก็จะพบกับวัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย เพราะที่นี่มีจารึกตำรายาแผนโบราณ ฤาษีดัดตน และสรรพวิชาอีกหลากหลายแขนง โดยในปัจจุบันนี้ก็ขึ้นชื่อเรื่องการนวดแผนไทย เปิดให้บริการและเปิดโอกาสให้ผู้สนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาลงเรียนวิชานวดแผนไทยได้อีกด้วย แต่ไฮไลท์เด่นของที่นี่ก็คือ เจดีย์ราย ที่มีมากกว่า 70 องค์รอบบริเวณวัด และพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ให้ได้มาสักการะขอพร 

  • ที่อยู่ : 2 ถนน สนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
  • เวลาเปิด :  ทุกวัน ตั้งแต่ 08.00 น.-16.30 น.
  • ค่าเข้า : ชาวต่างชาติมีค่าเข้าชมคนละ 200 บาท สำหรับคนไทยเข้าชมฟรี 
 
 

4. เยาวราช

แหล่งสตรีทฟู้ดที่สำคัญของกรุงเทพฯ ที่นี่เป็นย่านการค้าที่สำคัญของชาวไทยเชื้อสายจีน มีห้างร้านและร้านอาหารมากมายเปิดให้บริการทั้งกลางวันและกลางคืน ถือว่าเป็นสวรรค์ของสายกินเลยก็ว่าได้ อาหารขึ้นชื่อที่มาแล้วจะต้องกินให้ได้เลยก็อย่างเช่น ลอดช่องสิงคโปร์ บะหมี่จับกัง ปลาหมึกย่าง ขนมปังไส้ทะลัก ก๋วยจั๊บนายเอ็กซ์ บัวลอย 3 กษัตริย์ บะหมี่เกี๊ยวโอเดียน เป็นต้น

 
 

5. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่รวบรวมเอาโบราณวัตถุสำคัญที่ขุดค้นได้ในประเทศไทย ภายในมีอาคารจัดแสดงหลายอาคาร มีทั้งแสดงนิทรรศการหมุนเวียนและนิทรรศการถาวร จัดแสดงโบราณวัตถุตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ นอกจากนั้นยังจัดแสดงราชรถและเครื่องประกอบพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ 

  • ที่อยู่ : เลขที่ 4 ถนนหน้าพระธาตุ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
  • เวลาเปิด : เวลา 09.00-16.00 น. วันพุธ-วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ (ยกเว้นเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์)
  • ค่าเข้า : คนไทย 30 บาท  / ชาวต่างประเทศ 200 บาท
  • ยกเว้นค่าเข้าชม : เด็ก / นักเรียน / นักศึกษา / ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป / พระสงฆ์ / สมาชิก ICOM ICOMOS (แสดงบัตร)
 
https://travel.kapook.com/view208377.html
 

6. หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพ

ใครที่เป็นสายอาร์ต รักในการเสพงานศิลปะ ต้องไป เช็กอิน ที่นี่ให้ได้ เพราะที่นี่เป็นหอศิลปะที่ภายในมีห้องจัดแสดงนิทรรศการศิลปะของศิลปินทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนกันมาแสดงผลงานกันไม่ขาดสาย ทั้งภาพวาด ภาพถ่าย ประติมากรรม มีเดียอาร์ต และศิลปะแนวผสมผสาน ที่สำคัญยังเดินทางง่ายมาก อยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติเพียง 100 เมตร 

  • ที่อยู่ : เลขที่ 939 ถนนพระราม 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
  • เวลาเปิด : เปิดวันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 20.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์ และช่วงวันหยุดปีใหม่และสงกรานต์)
  • การเดินทาง : BTS สนามกีฬาแห่งชาติ ทางออกที่ 3 
 
 

7. สวนเบญจกิติ

แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS อโศก และ MRT สุขุมวิท เพียง 400 เมตร เป็นแหล่งเช็กอินของเหล่าวัยรุ่นและกลุ่มคนรักสุขภาพ เพราะที่นี่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ พื้นที่รวม 450 ไร่ ให้ได้เข้าไปสูดอากาศบริสุทธิ์ นั่งพักผ่อนหย่อนใจปล่อยใจสบาย ๆ กับธรรมชาติ หรือใครที่อยากออกกำลังกายก็มีทั้งทางวิ่งและทางจักรยาน ซึ่งแลนด์มาร์กที่สำคัญก็คือ Sky walk สามารถขึ้นไปถ่ายรูปสวย ๆ ได้

  • ที่อยู่ : Google Maps : สวนเบญจกิติ
  • เวลาเปิด : 05.00 – 21.00 น.
  • การเดินทาง : BTS และ MRT โดยมาลงรถไฟฟ้า BTS ที่สถานีอโศก หรือรถไฟฟ้า MRT สถานีสุขุมวิท 

อนุญาตให้นำรถยนต์ส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ หรือยานพาหนะอื่น ๆ เข้ามาในสวนได้ 2 ช่วงเวลา คือ

  • ตั้งแต่เวลา 05.00-09.00 น. และตั้งแต่เวลา 16.00-21.00 น.

สวนเบญจกิติ กับมาตรการโควิด 19

 
 

8. วัดสุทัศน์ เสาชิงช้า

ตระเวนเที่ยวกรุงเทพฯ แบบ Onedaytrip ยังไงก็ต้องมาถ่ายรูปกันที่เสาชิงช้า หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของกรุงเทพฯ เรียกได้ว่าถ้าไม่ได้ถ่ายกับเสาชิงช้าก็เหมือนเที่ยวกรุงไม่ครบไม่จบทริป หลังจากได้มาชมเสาชิงช้าแล้ว ก็ต้องไม่พลาดเข้าไปไหว้พระศรีศากยมุนีในวัดสุทัศน์ ซึ่งมีบรรยากาศภายในเงียบสงบมาก ที่สำคัญมีองค์ท้าวเวสสุวรรณให้ได้กราบขอพรกันด้วย บริเวณภายนอกวัดละแวกเสาชิงช้าก็ยังมีร้านอาหารดังระดับตำนานหลายร้านรอให้ไปลิ้มลองความอร่อย 

  • ที่อยู่ : 146 ถนนบำรุงเมือง แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพฯ
  • พิกัดhttps://goo.gl/maps/DMXB1iZ8hxpHn2dK8 
  • เวลาเปิด : ทุกวัน เวลา 08.00 – 21.00
 
 

9. มหานคร สกายวอล์ค

ที่นี่เป็นสถานที่ เที่ยวในกรุงเทพ ที่กำลังมาแรง ตั้งอยู่บนชั้น 78 ของตึกมหานคร ตึกดีไซน์สวยแปลกตาที่สูงที่สุดในประเทศไทย สามารถมองเห็นวิวของกรุงเทพฯ ได้แบบ 360 องศา แบบสุดลูกหูลูกตา ยิ่งบรรยากาศยามเย็นนั้นลมดีมาก แถมยังมองเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าตัดกับแสงสีของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนที่ค่อย ๆ มีแสงสว่างจากอาคารบ้านเรือน เป็นภาพที่สวยงามมาก จุดเด่นอีกอย่างก็คือสะพานกระจกใสที่มองเห็นด้านล่างสุดหวาดเสียว ใครไปเดินแล้วรับรองว่ามีขาสั่นแน่นอน

  • ที่อยู่ : ตึกคิง เพาเวอร์ มหานคร 114 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
  • เวลาเปิด : เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 – 22.00 นาฬิกา (รอบสุดท้ายที่เปิดให้เข้า คือ 21.00 นาฬิกา)
  • การเดินทาง : นั่ง BTS ลงที่สถานีช่องนนทรี ทางออกหมายเลข 3 , รถส่วนตัว มีบริการที่จอดรถฟรี
 
 

10. มิวเซียมสยาม

พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ที่ตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า MRT สนามไชย ภายในจัดแสดงนิทรรศการที่บอกเล่าทุกเรื่องของความเป็นไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การแต่งกาย สถาปัตยกรรม ความเชื่อ วัฒนธรรมและประเพณี ความโดดเด่นของที่นี่คือเป็นพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยที่ไม่ได้มีเพียงวัตถุโบราณเท่านั้น หากแต่เน้นการสื่อสารที่แปลกใหม่ เน้นให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมผ่านสื่อหลากหลายรูปแบบ

  • ที่อยู่ : 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
  • เวลาเปิด : เปิดให้บริการ 10.00 – 18.00 น. ,เปิดให้บริการวันอังคาร-วันอาทิตย์

ค่าธรรมเนียมเข้าชม

  • ผู้ใหญ่ 100 บาท
  • เด็ก 50 บาท
  • ชาวต่างชาติ​ 300 บาท
  • การเดินทาง : MRT ลงที่สถานี่สนามชัย ออกประตูพระบรมหาราชวัง
 
 

ทั้ง 10 สถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ ที่ไปเที่ยวชมได้ง่ายแบบ Onedaytrip นี้จะทำให้คุณได้รับประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบเหนือความคาดหมาย วันหยุดนี้ถ้าไม่รู้จะออกไปเที่ยวที่ไหน แนะนำเช็กลิสต์ทั้ง 10 ที่นี้ แล้วออกไป วันเดย์ทริปในกรุงเทพฯ กัน บางทีอาจจะได้เห็นเสน่ห์และมุมมองใหม่ ๆ ของกรุงเทพฯ ก็ได้

 

ที่มาข้อมูล

ที่เที่ยวปลายฝนต้นหนาว ชมทะเลหมอก เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2565

การท่องเที่ยวในเมืองไทยนั้น เรียกได้ว่าสามารถเที่ยวได้ทั้งปีจริง ๆ เพราะในแต่ละเดือน แต่ละฤดูกาล ประเทศไทยของเราก็มีสถานที่เที่ยวมากมาย เพื่อรองรับและตอบโจทย์นักท่องเที่ยวได้อย่างดีเสมอ และเมื่อมาถึงอีกหนึ่งฤดูของการเชื่อมต่อที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างช่วงเดือนตุลาคม ที่ใคร ๆ เรียกว่าปลายฝนต้นหนาว อากาศเย็นอ่อน ๆ แบบยังมีกลิ่นอายของ หน้าฝน ที่ผ่านพ้นไป ทำให้มี ทะเลหมอกที่สวยงามเกิดขึ้นระหว่างฤดูแบบนี้อีกด้วย วันนี้จึงขอแนะนำที่เที่ยวปลายฝนต้นหนาว ชมทะเลหมอก เดือนตุลาคม 2565 กัน ที่กำลังรอให้ทุกท่านออกไปเก็บความทรงจำดี ๆ ในฤดูแห่งความโรแมนติกนี้ด้วยกัน

 

1. สวนป่าดอยบ่อหลวง

เที่ยวเดือนตุลาคม 2565 ที่แรกที่อยากแนะนำให้หาโอกาสมาเยือน ทะเลหมอกยามเช้าของที่นี่ไม่ได้อยู่ยอดดอย แต่อยู่ที่ยอดสน ทะเลหมอกยามเช้าที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางป่าสนสูงใหญ่ ที่ต้องแหงนหน้ามองสุดปลายตา หมอกสีขาวแทรกตัวกลมกลืนได้อย่างงดงาม ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในป่าลึกของต่างประเทศกันเลยทีเดียว ภูมิทัศน์และลักษณะของพื้นที่ของสวนป่าดอยบ่อหลวงแห่งนี้ ออกแบบให้ธรรมชาติโอบล้อมที่พัก ซึ่งดูเข้ากันได้ดี โดยมีบ้านพักหลากหลายรูปแบบให้เลือกเข้าพักตามที่ชอบและยังมีพื้นที่ลานกว้างแบ่งเป็นโซนสำหรับการกางเต็นท์ เป็นอีกตัวเลือกสำหรับการเข้าพัก ซึ่งบ้านพักที่ได้รับความนิยมคือแบบไม้สนทรงหลังคาจั่วแหลมและมีห้องนอนใต้หลังคา แบบบ้านในนิทานฝรั่งที่ใครหลายคนเคยอ่านในวัยเด็ก บ้านหลังน้อยกลางป่าสนสูงใหญ่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ที่เขียวชอุ่ม เหมาะกับการมาใช้เวลาพักผ่อนเก็บความทรงจำดี ๆ ใช้ชีวิตช้า ๆ เนิบ ๆ ท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง บ้านองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ตั้งอยู่ในอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ริมถนนสาย 108 เส้นทางเดียวกับสวนสนบ่อแก้วและออบหลวง ซึ่งสามารถจองก่อนเข้าพักได้ตามกำหนดที่มีการแจ้งไว้ทางเฟซบุ๊ก

  • ตั้งอยู่ในอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ริมถนนสาย 108
 
 

2. บ้านป่าบงเปียง

เป็นท้องทุ่งนาข้าวแบบขั้นบันได ที่ปลูกไว้โดยลดหลั่นตามความลาดของพื้นที่ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา เป็นวิถีการใช้ชีวิตของชาวบ้านที่เพาะปลูกข้าวและพืชผัก หากแต่กลายเป็นภาพที่งดงาม ประกอบกับภูเขาเขียวขจีที่โอบล้อมหมู่บ้านและท้องนา เป็นสถานที่ซึ่งขอแนะนำให้หาโอกาสไปลองพักและใช้ชีวิตช้า ๆ ที่นี่ดู จะดีแค่ไหนหากตื่นเช้ามาแล้วสิ่งแรกที่มองเห็นตรงหน้าที่พักคือทะเลหมอกที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางนาขั้นบันไดที่เขียวขจี โอบล้อมไปด้วยภูเขาที่รายล้อมเหมือนการโอบกอดจากธรรมชาติ เป็นภาพประทับใจที่ต้องไปเก็บความทรงจำด้วยตาของตัวเอง เพราะนอกจากภาพความงดงามตรงหน้าแล้ว บรรยากาศเย็นชุ่มฉ่ำของปลายฝนต้นหนาวที่ไม่สามารถสัมผัสได้จากภาพถ่ายใด ๆ คืออีกความมีเสน่ห์ของการออกไปท่องเที่ยว เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด เพราะนี่คือแหล่งพลังงานที่สามารถเติมพลังให้กับร่างกายและจิตใจชั้นดีทีเดียว

  • ที่อยู่ : ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
 
Ban pa bong piang in Chiang mai, Thailand.
 

3. บ้านอีต่อง ตำบลปิล๊อก

เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ร่วมกันของคนไทยเชื้อสายพม่าและมอญ ที่มีมนต์เสน่ห์สำหรับผู้มาเยือน ทำเลที่ตั้งของหมู่บ้านซึ่งเคยเป็นเหมืองเก่าและถูกปิดมาก่อน อยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของภูเขา โดยมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางหมู่บ้าน ทำให้ในยามเช้ามีทะเลหมอกเป็นรางวัลให้ผู้มาเยือนได้ชื่นชมบรรยากาศทุกเช้า ยิ่งในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ยิ่งสวยมากเป็นพิเศษ หมอกสีขาวแทรกตัวอยู่กับแมกไม้สีเขียวสดและบ้านเรือนของชาวบ้าน วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ก็น่ารักและเรียบง่าย บรรยากาศร้านกาแฟยามเช้า ให้ผู้มาเยือนได้นั่งจิบเครื่องดื่มร้อน ๆ พร้อมกับทอดสายตาได้จนสาย สะพานเล็ก ๆ ที่หลายคู่รักมาคล้องกุญแจเหมือนที่สถานที่ชื่อดังของเกาหลี เป็นจุดที่ต้องถ่ายรูปบอกให้ชาวโลกรู้หากมีโอกาสมากับคู่รัก เป็นอีกกิจกรรมน่ารัก ๆ ท่ามกลางหมอกขาว ๆ ที่ลอยละล่องอยู่เป็นฉากหลังของภาพถ่ายที่งดงาม

  • อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
 
E-Tong Pilok village in Kanchanaburi
 

4.สะพานมอญสังขละบุรี

เป็นที่ท่องเที่ยวอีกที่ซึ่งงดงามมากในยามเช้าที่ ทะเลหมอก ปกคลุม ซึ่งในช่วงปลายฝนต้นหนาวอย่างเดือนตุลาคมนั้น ทะเลหมอกยามเช้ามีให้ชมแบบไม่ต้องลุ้นกันเลยทีเดียว สะพานไม้แห่งนี้คือสัญลักษณ์ของความสามัคคีและความศรัทธาของชุมชนชาวมอญที่มีต่อพระพุทธศาสนา โดยได้มีการยกย่องว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดยมีความยาว 850 เมตร ด้วยทำเลที่ตั้งของสะพานที่ล้อมรอบด้วยภูเขาเขียวขจีและพื้นน้ำด้านล่าง ทำให้บรรยากาศรื่นรมย์เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งวิถีชีวิตของชาวมอญที่อาศัยอยู่นั้นมีความน่าสนใจและเป็นมิตรกับแขกผู้มาเยี่ยมเยือน อีกทั้งรีสอร์ทน้อยใหญ่ก็มีให้เลือกเข้าพักในราคาที่เหมาะสมให้ได้ตื่นเช้ามาชมความสวยงามของทะเลหมอก ณ จุดเช็คอินที่สะพานมอญ

  • สะพานอุตตมานุสรณ์ กาญจนบุรี
 
 

5. เขาช่องลม

เป็นอีกสถานที่สำหรับชมทะเลหมอกยามเช้า ซึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อีกแห่งหนึ่งที่ควรหาโอกาสไปสักครั้งในวันหยุด ลำธารน้ำทอดยาวที่ไหลผ่านช่องเขาที่สองข้างโอบล้อมด้วยภูเขาน้อยใหญ่เขียวขจี ทำให้หลายคนเรียกที่แห่งนี้ว่าสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย ช่วงปลายฝนต้นหนาวท้องฟ้าสีสดใส อากาศเย็นอ่อน ๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่เขียวขจี มองไปสุดปลายตา ความงดงามของธรรมชาติที่ต้องไปเก็บเป็นความทรงจำด้วยสายตาตัวเองเท่านั้น ลำธารน้ำไหลเอื่อยและโขดหินรูปทรงหลากหลายมีให้ปีนป่ายอย่างเพลิดเพลิน ต้นไม้ดอกไม้แปลกตาระหว่างทางเดินที่เกิดจากธรรมชาติที่สมบูรณ์ของที่นี่ ก็เป็นภาพถ่ายสวย ๆ ให้ใครหลาย ๆ คนมักลงอวดผู้คนในโลกโซเชี่ยล อารมณ์การมาเที่ยวที่นี่จะเหมือนการไปแคมป์ปิ้งของชาวต่างประเทศ บางคนก็เลือกหาทำเลกางเต็นท์หรือหาที่พักใกล้ ๆ เพื่อมาชื่นชมและเก็บภาพถ่ายบรรยากาศยามเช้า ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับเพื่อน คู่รัก และครอบครัว อีกแห่งหนึ่งที่ขอแนะนำ

  • เขาช่องลม เขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก
 
khao chong lom
 

เสน่ห์ของฤดูกาลปลายฝนต้นหนาว ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมนั้น ถือเป็นช่วงที่ธรรมชาติอิ่มตัวและเตรียมพร้อมแล้วหลังจากใกล้จบ หน้าฝน ต้นไม้น้อยใหญ่อิ่มน้ำและงดงาม พร้อมอวดโฉมให้ผู้คนได้ออกเดินทางเพื่อท่องเที่ยวและชาร์จพลังงานกัน อากาศเย็น ๆ กับการนั่งจิบกาแฟหรือชา ชมสายหมอก นั่งดูความงดงามของธรรมชาติรอบ ๆ ตัว บางคนเรียกว่าการใช้ชีวิตอย่างสโลว์ไลฟ์หรือใช้ชีวิตให้ช้าลง ให้ธรรมชาติโอบล้อม ปลอบโยน เติมเต็ม ให้พลัง หนุนใจ เพื่อกลับมาใช้ชีวิตต่ออย่างมีคุณภาพต่อไป พร้อมต้อนรับฤดูกาลต่อไป

 

ที่มาข้อมูล

ตะลุยเทศกาลกินเจเยาวราช 2565

ตะลุยเทศกาลกินเจเยาวราช 2565 ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน – 4 ตุลาคม ตลอด 10วัน10คืน

เทศกาล กินเจหรือที่เรียกกันว่าเทศกาลถือศีลกินผัก เป็นเทศกาลสำคัญของคนไทยเชื้อสายจีนที่จะงดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ อาหารที่มีรสจัด และอาหารที่มีกลิ่นฉุนไปพร้อมกับการรักษาศีลเพื่อให้บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ โดยเทศกาลกินเจนี้จะจัดกันในช่วงวันที่ 1-9 เดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติจีน ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 25 กันยายน – 4 ตุลาคม 2565 เราเลยอยากจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับที่มาที่ไปของการกินเจพร้อมชวนไปตะลุยหาอาหารเจสุดอร่อยตลอด 10วัน10คืน กันที่เยาวราชแลนมาร์กสำคัญซึ่งปีนี้เขากลับมาจัดงานกันอย่างยิ่งใหญ่หลังจากที่หยุดยาวไปเกือบ 2 ปี

ความหมายของการกิน

คำว่า “เจ” หรือ เป็นสำเนียงจีนแต้จิ๋วที่มีความหมายว่าการงดเว้นเพื่อความบริสุทธิ์หรือการถือศีลเพื่อความบริสุทธิ์ ซึ่งตรงตามคติของพุทธมหายานแบบจีนว่าเป็นการถืออุโบสถศีลหรือการถือศีลแบบนักพรตนักบวช โดยต้องชำระล้างร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ งดเว้นอาหารคาว งดเว้นจากของมึนเมา งดเว้นการเสพสังวาสและความบันเทิง ดังนั้น การถือศีล กินเจ แบบจีนโบราณจึงไม่ใช่แค่เว้นการรับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น หากแต่ยังเป็นการถือศีลบำเพ็ญบารมีร่วมด้วย 

ข้อกำหนดของอาหารเจ

อย่างที่เรารู้กันดีว่าการรับประทานอาหารเจคือการงดเว้นจากเนื้อสัตว์ทุกชนิดรวมไปถึงผักที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม ต้นหอม ผักชี กุยช่าย และงดอาหารที่มีรสจัดด้วย ด้วยเหตุนี้การกินเจจึงแตกต่างจากการกินมังสวิรัติตรงที่การกินมังสวิรัติจะรับประทานผักได้ทุกชนิด แต่การกินเจต้องงดผักที่มีกลิ่นฉุนด้วย นอกจากนั้นการกินมังสวิรัติยังสามารถรับประทานนมวัว ไข่ เนย ชีส แนะน้ำผึ้ง เพราะถือว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสัตว์แต่ไม่ใช่การฆ่าเบียดเบียนสัตว์

ปัจจุบันอาหารเจก็มีการปรับประยุกต์ให้มีความหลากหลายขึ้น ไม่ได้มีแต่ผักอย่างเดียว แต่มีการทำเนื้อสัตว์เทียมหรือเนื้อสัตว์จากแพลนเบส (Plant Based) ขึ้นมาทำให้การกินเจไม่ได้จำเจอีกต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่มักทำมาจากโปรตีนถั่วเหลือง หรือหมี่กึง รสชาติและเนื้อสัมผัสก็คล้ายกับเนื้อสัตว์จริง ๆ ทำให้ในช่วงระหว่างที่กินเจเรารู้สึกไม่ได้แตกต่างจากการกินอาหารปกติสักเท่าไหร่

เทศกาลกินเจเยาวราช

หากพูดถึงแหล่งอาหารเจเยาวราชน่าจะเป็นชื่อแรก ๆ ที่หลาย ๆ คนนึกถึง เพราะเป็นชุมชนและแหล่งการค้าขายของชาวจีนที่สำคัญตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าเยาวราชนั้นขึ้นชื่อเรื่องของ สตรีทฟู๊ด อันดับต้น ๆ ของกรุงเทพ มีร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตราคาร รวมไปถึงร้านรถเข็นริมทางเรียงรายมากมายทั้งกลางวันและกลางคืนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันแบบไม่ว่างเว้นให้นักชิมนักท่องเที่ยวได้ตระเวนชิมของอร่อยกันแบบไม่มีเบื่อ ถือว่าเป็นแดนสวรรค์ของสายกินเลยก็ว่าได้

แน่นอนว่าในช่วงเทศกาลกินเจที่เยาวราชก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ทุกปี และในปีนี้ก็มีการจัดงาน กินเจเยาวราช2565 ซึ่งเริ่มกันตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน – 4 ตุลาคม 2565 จัดกันเต็มที่แบบ 10วัน10คืน ที่บริเวณซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 70 พรรษา และเฉลิมพระเกียรติพระพันปีหลวงที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 90 พรรษา

ภายในงานมีส่วนบริเวณที่จัดพิธีกรรมมีพิธีรวมผงธูปจาก 22 ศาลเจ้าในเยาวราชและอัญเชิญเทพเจ้าแห่งการกินเจให้ประชาชนได้สักการะ และยังมีการทำอาหารเจกระทะใหญ่ “ผัดหมี่ 10 จักรพรรดิมังกร” ในวันเปิดงาน รวมไปถึงมีร้านอาหารเจแบบ สตรีทฟู๊ด กว่า 150 ร้านเรียงรายกันตลอดทั้งเส้นถนนเยาวราช ซึ่งเราก็มีตัวอย่างอาหารเจมา รีวิวของกิน กันบางส่วนเพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อย

วัดมังกร

1. ผัดหมี่เจ

เมนูยอดฮิตในช่วงเทศกาลกินเจไม่ว่าจะเป็นผัดหมี่ซั่ว ผัดหมี่ฮกเกี้ยน ผัดหมี่ฮ่องกง ฯลฯ เป็นการนำเส้นหมี่มาผัดเข้ากับผักพร้อมปรุงรสให้ออกมากลมกล่อม ชาวจีนเชื่อว่าการรับประทานหมี่เป็นการถือเคล็ดว่าจะมีสุขภาพแข็งแรงและอายุยืนยาวเหมือนกับเส้นหมี่นั่นเอง แน่นอนว่าในงานกินเจเยาวราชมีผัดหมี่เจหลากหลายร้านรอเสิร์ฟความอร่อยอยู่แน่นอน

2. ตือคาโค

เมนูของทอดที่มีทั้งเผือก ถั่ว ข้าวโพด ไชเท้า นำมาผสมแป้งแล้วทอด ซึ่งจะวางขายพร้อมกับเต้าหู้ทอด ปอเปี๊ยะทอด เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มรสกลมกล่อมถือว่าเป็นเมนูของว่างยอดนิยมในช่วงกินเจเลยทีเดียว

3. กระเพาะปลาเจ

เมนูนี้เป็นอีกเมนูหนึ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมาเดินเที่ยวงานกินเจที่เยาวราช เป็นการนำกระเพาะปลาเจมาตุ๋นกับยาจีนหลายชนิดจนให้น้ำซุปที่เข้มข้น รสชาติกลมกล่อมหอมพริกไทยและยาจีน

4. ก๋วยเตี๋ยวเจ

อีกหนึ่งเมนูที่ห้ามพลาดเมื่อมางาน กินเจเยาวราช2565 ก็คือบรรดาก๋วยเตี๋ยวเจทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเย็นตาโฟ ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส รวมไปถึงก๋วยจั๊บ ซึ่งแต่ละร้านก็งัดสูตรเด็ดเฉพาะตัวออกมาให้ได้เลือกชิมกันอย่างจุใจ

5. ขนมกะลอจิ๊

ขนมโบราณแบบจีนที่เราอยากให้คุณลอง เป็นขนมที่ทำมาจากแป้งข้าวเหนียวแล้วนำไปทอดจนกรอบ คลุกกับน้ำตาลและงา ให้รสสัมผัสที่กรอบนอกนุ่มใน เหนียวหนึบเคี้ยวเพลินเลยทีเดียว ปัจจุบันนี้หาทานได้ยากมาก ถ้าได้มาเยาวราชในช่วงนี้ต้องรีบมาชิม

นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของ รีวิวของกิน ที่มีขายในเทศกาลกินเจเยาวราช 2565 ยังมีอาหารเจอีกหลายชนิดรอคุณอยู่ ถ้าหากปีนี้คุณมีแพลนจะกินเจแล้วล่ะก็เยาวราชเป็นอีกที่หนึ่งที่คุณไม่ควรพลาด

ที่มา

https://anyflip.com/owvjq/yvol/

http://www.horonumber.com/news-3027

https://promotions.co.th/สำรวจตลาด/ข่าวสาร/vegetarian-food-in-2021-is-on-which-date.html

https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2501862

https://food.trueid.net/detail/R54KJM3n01rV?utm_source=web-trueid&utm_medium=ctw&utm_term=clicklink&utm_campaign=travel_kgokOlNoWrag_relatecontent_food_R54KJM3n01rV_20/09/2022

สุดยอดอาหารสตรีทฟู้ดที่เยาวราช

ถนน เยาวราช เป็นถนนที่ถูกสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.2435-2443 ซึ่งอยู่ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี โดยมีความยาวประมาณ 1,500 เมตร ซึ่งถูกเรียกอีกชื่อว่า ‘ถนนมังกร’ เป็นแหล่งของชุมชนคนไทยเชื้อสายจีนขนาดใหญ่ ที่มีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจตั้งแต่ในอดีตเรื่อยมาจนปัจจุบัน โดยมีร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตาคาร ร้านทองและสถาบันการเงินมากมายที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในด้านการค้ามาอย่างยาวนาน ซึ่งวันนี้เรามีสุดยอดอาหารสตรีทฟู้ดที่ไม่ควรพลาดและการเดินทางแบบง่าย ๆ มาแนะนำ มาดูกันเลยว่าจะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง

เยาวราช

ความอร่อยแบบไม่จำกัดเวลา

หากพูดถึงสตรีทฟู้ดที่ เยาวราช หลายคนอาจจะนึกถึง ร้านอาหารที่เรียงรายตลอดทางในเวลากลางคืน ซึ่งความจริงแล้วช่วงเวลากลางวันก็มีร้านอาหารอร่อย ๆ เปิดให้บริการอยู่ไม่น้อยเลย อย่างเช่น

  • บะหมี่จับกัง เยาวราช เปิดเวลา 8.00-18.00 น.
  • เล่าตั๊ง ห่านพะโล้ เปิดเวลา 8.30-14.00 น.
  • หอยทอด เท็กซัส เปิดเวลา 9.00-18.00 น.
  • กวยจั๊บ นายเอ็กซ์ เปิดเวลา 7.30-01.00 น.
  • ร้านสีมรกต (ข้าวหมูแดง) เปิดเวลา 10.30-18.30 น.
  • ข้าวมันไก่แปลงนาม เปิดเวลา 8.00-19.00 น.
  • โอเดียน บะหมี่เกี๊ยว เปิดเวลา 8.30-20.00 น. (ร้านปิดทุกวันอังคารที่ 2 และ 4 ของเดือน)
  • ก๋วยเตี๋ยวผัดงี่เง่าเจ๊เบญ วงเวียนโอเดียน เปิดเวลา 10.00-16.00 น. (ร้านปิดทุกวันจันทร์)
  • ลอดช่องสิงคโปร์ (เจ้าเก่า-สำเพ็ง) เปิดเวลา 09.30 – 18.30 น.
  • กู่หลงเปา – Gu Long Bao ซาลาเปาโบราณ เปิดเวลา 09.00-17.00 น. (จันทร์-เสาร์) และ 09.00-13.00 น. (อาทิตย์)
  • หมี่หวานเจ๊หมวย เปิดเวลา 09.30 – 19.00 น.

ส่วนเวลากลางคืนก็มีร้านค้ามากมายเรียงรายตลอดทางทั้งอาหารคาวและหวาน เช่น ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ สุกี้แห้งกระทะร้อน กวยจั๊บ  บะหมี่ลูกชิ้นปลา ข้าวต้มเป็ด บัวลอย 3 กษัตริย์ ขนมปังเจ้าอร่อยเด็ดเยาวราช เต้าทึงและอีกหลากหลายเมนูที่ไม่ควรพลาด

เยาวราช

การเดินทางไปเยาวราช

            การเดินทางไป เยาวราช ขอแนะนำให้ใช้บริการสาธารณะจะสะดวกมากกว่านำรถส่วนตัวไปเพราะที่จอดรถมีแบบจำกัดและมีสภาพการจราจรที่ค่อนข้างหนาแน่น โดยสามารถเลือกใช้บริการสาธารณะได้หลากหลายรูปแบบ ประกอบด้วย

  • รถประจำทาง ที่มีหลากหลายสาย สามารถหาข้อมูลเส้นทางที่ผ่านจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องได้
  • รถไฟฟ้าใต้ดินสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) ซึ่งมีส่วนต่อขยายจากสถานีหัวลำโพง สถานีที่ใกล้ถนนเยาวราชมากที่สุดคือ สถานีวัดมังกร โดยใช้ทางออกที่ 1
  • เรือประจำทาง โดยสามารถไปใช้บริการได้ที่ท่าเรือราชวงศ์ ซึ่งจะอยู่บริเวณด้านหลังตลาดสำเพ็ง
  • บริการสาธารณะอื่น ๆ เช่น จักรยานยนต์รับจ้าง หรือรถสามล้อ เป็นต้น
เยาวราช

ถนนเยาวราชไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารสตรีทฟู้ดเท่านั้น แต่ยังมีสถาปัตยกรรม ความเชื่อ และวัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายจีนมากมายที่ซ่อนอยู่ ซึ่งมีเสน่ห์ไม่แพ้กับพื้นที่อื่น ๆ ในกรุงเทพฯ เลย 

คาบาเร่โชว์ในกรุงเทพ ศิลปะการแสดงที่ต้องดูสักครั้งในชีวิต

คาบาเร่โชว์

คาบาเร่โชว์ ศิลปะการแสดงของเหล่านักแสดงสาวประเภทสอง ซึ่งมากความสามารถทั้งร้อง เล่น เต้น และการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ ที่มาพร้อมกับท่วงท่าลีลาอันเป็นเสน่ห์ที่น่าประทับใจ ซึ่งความประทับใจเหล่านี้จะมาในรูปแบบของการแสดงโชว์ในรูปต่าง ๆ และเครื่องแต่งกายแบบสุดอลังการ ในอดีตใครอยากดู คาบาเร่โชว์ ต้องเดินทางไปถึงพัทยา แต่ปัจจุบันสามารถดูโชว์ คาบาเร่ ในกรุงเทพฯ ได้ด้วยเช่นกัน มาดูกันว่า ถ้าคุณอยากดูโชว์ คาบาเร่ ในกรุงเทพฯ คุณจะไปดูที่ไหนได้บ้าง

คาบาเร่โชว์

คาลิปโซ่ คาบาเร่ @ เอเชียทีค

            ใครที่ชื่นชอบการแสดง คาบาเร่โชว์ และได้ติดตามชมการแสดงคาบาเร่ จากหลาย ๆ เวที ก็คงจะพอได้ยินชื่อเสียงของ คาลิปโซ่ คาบาเร่ เอเชียทีค กันมาบ้าง แต่เดิมก่อนที่จะมาเป็นคาลิปโซ่ คาบาเร่ เอเชียทีค นั้น เคยเป็นชุดคาบาเร่ที่โชว์อยู่ในโรงละครของโรงแรมเอเชีย ที่อยู่ตรงราชเทวี ณ ตอนนี้ มาก่อน และได้ย้ายมาทำการแสดงอยู่ที่ เอเชียทีค ริเวอร์ฟร้อน (โกดัง 3) จนถึงปัจจุบัน

            คาลิปโซ่ คาบาเร่ เอเชียทีค ได้ชื่อว่าเป็นโชว์ คาบาเร่ ที่ดีที่สุดของกรุงเทพเป็นต้นตำรับของโชว์ คาบาเร่ แห่งแรกของกรุงเทพฯ ซึ่งได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2531 การแสดงโชว์ก็จะเป็นแนวละครบรอดเวย์ แนวละครเพลง ถือเป็นแห่งเดียวในไทยที่มีการแสดงโชว์รูปแบบนี้ ซึ่งนักแสดงต้องอาศัยความสามารถและทักษะที่สูง เพื่อให้การแสดงที่มีทั้งร้อง เต้น มีความสวยงามน่าชม มีโชว์ที่อลังการ ตื่นตาตื่นใจ จนเป็นที่ประทับใจของผู้ชม

         เวลาในการแสดง จะมีทุกวัน วันละ 2 รอบ คือรอบ 19.30 น. และรอบ 21.00 น. โดยในแต่ละรอบจะมีทั้งหมด 15 โชว์ ใช้เวลาในการโชว์ทั้งหมด 70 นาที ใครสนใจชมการแสดง สามารถไปชมได้ที่ เอเชียทีค ณ โรงละครคาลิปโซ่ กรุงเทพ ริเวอร์ฟร้อน (โกดัง 3)

คาบาเร่โชว์

โกลเด้นโดม คาบาเร่โชว์ @ รัชดา

            การแสดงคาบาเร่ ชื่อดังบนเส้นถนนรัชดา ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากทั้งไทยและต่างชาติ ด้วยเทคนิคของแสง สี และเสียงที่ตระการตา จากสาวประเภทสองที่สวยและมีความสามารถในด้านการแสดงอย่างหลากหลายโชว์การแสดง โดยเฉพาะการแสดงโชว์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การแสดงชุดแต่งกายประจำชาติ การลิปซิงค์เพลง ที่จะมาสร้างความสนุกสนานและความบันเทิงได้สุดประทับใจตลอดการแสดงอย่างแน่นอน

            เปิดทำการแสดงวันละ 4 รอบ ทุกวัน คือรอบ 15.00 – 16.00 น. , รอบ 16.30 – 17.30 น., รอบ 18.30 – 19.30 น., รอบ 20.15 – 21.15 น. ใครที่สนใจชมการแสดงโชว์ สามารถมาชมได้ที่โรงละคร ตั้งอยู่ที่ซอยรัชดา 18 ห้วยขวาง

          ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบศิลปะและการแสดงต่าง ๆ คาบาเร่ ถือเป็นอีกหนึ่งศิลปะของการแสดงที่เรียกว่านักแสดงต้องใช้ความสามารถขั้นสูง ที่คุณควรได้ชมสักครั้งหนึ่งในชีวิต

ขาช้อปห้ามพลาด! สำเพ็งมีอะไรน่าซื้อบ้าง ?

สำเพ็ง เป็นย่านที่อยู่ของชุมชนชาวจีนที่มีมาตั้งแต่การก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2325 และเป็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการค้าขายที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาจนปัจจุบัน โดยมีสินค้ามากมายหลากหลายชนิด หากใครมีปัญหาต้องการสินค้าชนิดใด แต่ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหนแนะนำให้มาที่นี่ เพราะมีสินค้าหลากหลายให้บริการค่อนข้างครอบคลุม

            ตลาด สำเพ็ง ตั้งอยู่ที่ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ ซึ่งสามารถเดินเชื่อมต่อไปยังพาหุรัดที่เป็นแหล่งขายผ้าราคาหลากหลายชนิด และเยาวราชชุมชนชาวจีนอีกแห่งที่มีจุดเด่นเรื่องร้านอาหาร ร้านทองและสินค้าต่าง ๆ มากมาย ทำให้เมื่อเดินทางมาในย่านนี้ ต้องได้สินค้าติดมือกลับบ้านไปด้วยแน่นอน เนื่องจากเป็นแหล่งขายสินค้าทั้งแบบปลีกและแบบส่ง ซึ่งมีราคาถูก เหมาะกับผู้ที่ต้องการสินค้าประเภทเดียวกันหลาย ๆ ชิ้นหรือพวกพ่อค้า แม่ค้า ที่นำไปขายปลีก ก็นิยมมาเลือกซื้อสินค้าที่นี่เช่นเดียวกัน

สำเพ็ง

สินค้าที่ขายที่ สำเพ็ง ก็จะมีหลากหลายชนิด ที่เป็นจุดเด่นคือ เครื่องประดับ กิฟท์ช็อป แว่นตาแฟชัน หมวก รองเท้าแตะ ของเล่น อุปกรณ์ตัดเย็บ กระเป๋า สติ๊กเกอร์ เครื่องสำอาง นำมาขายกันแบบราคาส่งอีกด้วย ถือเป็นแหล่งที่มีสินค้าเยอะมาก ใครวางแผนไปก็เตรียมตัวและเตรียมเงินให้ดี เพราะบางทีอาจหมดกระเป๋าได้โดยไม่รู้ตัวและหากไปเจอวันที่คนพลุกพล่านก็อย่าลืมระวังทรัพย์สินของตัวเองให้ดีด้วย 

สำเพ็ง

เวลาทำการของตลาด สำเพ็ง มีสองช่วงเวลา คือตลาดเช้าที่จะเปิดประมาณ 01.00-06.00 น. เป็นเวลาที่ พ่อค้าแม่ค้ามักไปเลือกซื้อสินค้าช่วงนี้ เพราะสามารถนำรถไปขนของได้สะดวก และร้านที่เปิดช่วงนี้จะเน้นขายส่งเป็นส่วนใหญ่ ส่วนอีกช่วงจะเปิดประมาณ 8.00-17.00 น. โดยในช่วงนี้เป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่ไปเดินกัน ซึ่งร้านค้าแต่ละร้านก็มีทั้งขายแบบปลีกและส่ง ซึ่งจำนวนชิ้นขั้นต่ำที่จะได้ราคาส่งก็แตกต่างกันไปแล้วแต่ร้าน ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่ 3-6 ชิ้น

สำเพ็ง

การเดินทางไปตลาดสำเพ็งนอกจากรถยนต์ส่วนตัวแล้ว ก็สามารถเดินทางด้วยรถประจำทางซึ่งมีหลายสายที่ผ่าน สามารถดูข้อมูลจากเว็บไซต์ของขสมก. หรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องได้ หรือเลือกเดินทางโดยเรือประจำทางหรือเรือด่วนเจ้าพระยาลงที่ท่าราชวงศ์ แล้วเดินต่อมาที่ตลาดสำเพ็ง นอกจากนี้ยังสามารถใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ที่เพิ่มส่วนต่อขยายจากหัวลำโพงมาลงที่สถานีวัดมังกรหรือสถานีสามยอดก็ได้ โดยออกทางประตู 1 ทั้งสองสถานี หากลงสถานีวัดมังกรก็จะออกมาตรงสำเพ็งฝั่งใกล้เยาวราช ส่วนสถานีสามยอดก็จะออกมาตรงสำเพ็งที่ใกล้กับพาหุรัด แต่หากลงผิดสถานีก็ไม่ต้องกังวลไป สามารถเดินเชื่อมถึงกันได้ จะได้ใช้เวลาเดินเล่น และได้เรียนรู้วิถีชีวิตของคนบริเวณนั้นไปในตัวด้วย 

            สำเพ็งเป็นอีกจุดหนึ่งที่หากใครชอบเดินเลือกซื้อสินค้า ต้องมาเพราะนอกจากจะมีสินค้าให้มากมายแล้วยังมีราคาถูกกว่าที่อื่นอีกด้วย   

รวมแหล่งช้อปปิ้งริมแม่น้ำที่มีชื่อเสียงกรุงเทพฯ – แม่น้ำเจ้าพระยา

วันนี้มาเอาใจสายช้อปและสายชิลที่ชอบท่องเที่ยวไปกับสถานที่ต่าง ๆ ที่นอกจากจะได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศแล้ว ยังได้อิ่มเอมไปกับการช้อปของสวย ๆ งามอีกด้วย จะชวนมาช้อปทั้งทีจะพาเดินห้างก็ดูจะธรรมดาเกินไป วันนี้เราจะพามา ช้อปปิ้งริมแม่น้ำ มีชื่อเสียงของกรุงเทพฯ – แม่น้ำเจ้าพระยากัน แต่จะเป็นที่ไหนต้องตามมาดู

ช้อปปิ้งริมแม่น้ำ,เอเชียทีค

เอเชียทีค แหล่ง ช้อปปิ้งริมแม่น้ำ ที่รวมเรื่องช้อปแบบหลากสไตล์ไว้ที่เดียว

          นาทีนี้ ถ้าเอ่ยถึง เอเชียทีค คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักอย่างแน่นอน ความน่าสนใจของแหล่งช้อปปิ้งริมน้ำแห่งนี้เป็นแหล่งรวมของร้านค้าที่ให้คุณได้เลือกช้อปปิ้งได้หลากหลาย เพราะมีร้านค้ามากถึง 1000 กว่าร้านค้า มีร้านอาหารให้นักชิมได้เลือกชิมเมนูอาหารเป็นร้อยเมนู มีกิจกรรมให้คุณได้เพลินเพลินสนุกสนานกับมุมที่ให้คุณได้ถ่ายรูปแบบไม่มีซ้ำ มีเครื่องเล่นที่ทำให้คุณกลับไปรู้สึกนึกถึงความเป็นเด็กในตัวคุณอีกครั้ง มีชิงช้าขนาดใหญ่ที่ทำให้มองเห็นวิวของแม่น้ำเจ้าพระยาและวิวของกรุงเทพมาหานครได้ไกลสุดลูกหูลูกตา เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นนักช้อป นักชิม หรือชอบการถ่ายรูป ถือว่าให้คุณได้ครบอรรถรสของการพักผ่อนเลยทีเดียว

            เอเชียตั้งอยู่ที่ ถนนเจริญกรุง แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 17.00 – 24.00 น. สามารถการเดินทางไปได้ไม่ยากทั้งรถยนต์ รถโดยสารสาธารณะ เรือโดยสาร และ BTS ลงสถานีตากสินนั่ง Shuttle Boat ของโครงการประมาณ 5 นาที ก็ถึงแล้ว

ช้อปปิ้งริมแม่น้ำ,ท่ามหาราช

ท่ามหาราช สถานที่ ช้อปปิ้งริมแม่น้ำ นั่ง ชม ช้อป แบบชิลล์ ๆ

          ท่ามหาราช แหล่งช้อปปิ้งและจุดนัดพบของคนยุคใหม่ ที่ผสมผสานเอาวัฒนธรรมชุมชน ศิลปะและความร่วมสมัยเข้ามารวมอยู่ในที่เดียวกันได้อย่างลงตัว เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่เดินได้แบบชิลล์ ๆ มีร้านอาหาร มีมุมถ่ายรูปและมีมุมสำหรับให้นั่งพักผ่อนได้ตลอดทั้งวัน ใครสนใจ สามารถไปช้อป ชิม ชม แบบชิลล์ ๆ ได้ทุกวัน เปิดให้บริการตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม สามารถเดินทางได้ 2 วิธีคือ

  1. ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ออกสถานีสนามไชย ทางออก 1 ต่อรถเมล์สาย 53 ขึ้นป้ายหน้าโรงเรียนราชินีมาลงที่ป้ายมหาราช
  2. ใช้บริการเรือด่วนเจ้าพระยา ขึ้นที่ท่าเรือท่าช้าง แล้วเดินอีกประมาณ 350 เมตรก็ถึง
ช้อปปิ้งริมแม่น้ำ,ท่าพระจันทร์

ท่าพระจันทร์ แหล่งช้อปปิ้งเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของอดีต

            สายชิมหรือผู้ที่ชอบการท่องเที่ยวแบบร่วมสมัย คงไม่มีใครที่ไม่เคยมาที่แห่งนี้ ท่าพระจันทร์ที่ยังคงมีร้านค้าที่เปิดมาตั้งแต่อดีตหลายสิบปีและยังมีให้เห็น เป็นเสน่ห์ที่หาได้ยากมากในปัจจุบัน ความน่าสนใจของท่าพระจันทร์นอกจากภาพบรรยากาศเก่า ๆ สิ่งของยุคเก่า เช่น เทปคาสเซสท์ ซีดี หรือแม้แต่ของเล่นในยุคที่เรายังเป็นเด็กแล้ว ท่าพระจันทร์ยังขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารอร่อยที่รอให้นักช้อปนักชิมได้เข้าไปลิ้มลองอีกด้วย

การเดินทางมา ท่าพระจันทร์ มีหลากหลายวิธีมาก

  • เดินทางโดยเรือ คือ นั่งเรือด่วนเจ้าพระยามาลงที่ท่าพรานนก แล้วนั่งเรือข้ามฟากจากฝั่งโรงพยาบาลศิริราช จากท่าวังหลัง มาขึ้นที่ท่าพระจันทร์ ก็ถึงแล้ว
  • เดินทางโดยรถเมล์ นั่งสายที่ผ่านสนามหลวง วัดพระแก้ว ม.ธรรมศาสตร์ ได้ทุกสายแล้วเดินมาที่ท่าพระจันทร์ได้
ช้อปปิ้งริมแม่น้ำ

River City Bangkok

            River City Bangkok หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ ท่าเรือริเวอร์ซิตี้ สี่พระยา ที่เป็นศูนย์รวมแหล่งช้อปปิ้ง ร้านค้า ร้านอาหาร และท่าเรือสำคัญเพื่อการล่องเรือชมบรรยากาศริมน้ำและดินเนอร์ล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ใครสนใจมาช้อปปิ้งที่นี่เดินทางมาได้ไม่ยาก ด้วยรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีตากสิน แล้วต่อแท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก มอเตอร์ไซค์ หรือต่อเรือที่ท่าเรือสาทร มาก็ได้ หรือนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ที่สถานีหัวลำโพง ออกทางออกที่ 1 แล้วต่อรถมาได้เช่นกัน

         ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการเดินทางหาประสบการณ์ใหม่ ชอบชิมอาหารอร่อย ชอบการช้อบปิ้ง เชื่อว่า แหล่ง ช้อปปิ้งริมแม่น้ำ ทั้ง 4 แห่งนี้จะสร้างความประทับใจให้คุณได้อย่างไม่รู้ลืม

เดินทางบ่อยต้องอ่าน! สิ่งของที่ควรห่อก่อนเดินทาง

ใครที่เดินทางบ่อย ๆ อาจจะเคยมีประสบการณ์ที่เลวร้ายแบบไม่อยากให้เจออีกเลยไม่ว่าจะเป็นการเดินทางทริปไหนก็ตาม นั่นก็คือ ความเสียหายของสัมภาระหรือกระเป๋าที่ใช้แพ็กสัมภาระในการเดินทางนั่นเอง ซึ่งใครที่เดินทางบ่อยอาจจะทราบอยู่แล้วว่า สิ่งไหนที่มีโอกาสหรือเสี่ยงที่จะเสียหาย แต่สำหรับนักเดินทางมือใหม่ วันนี้เราจะพาคุณมาเปิดคัมภีร์สำหรับนักเดินทางว่าในกระเป๋าสัมภาระของคุณมีสิ่งไหนที่เป็น สิ่งของที่ควรห่อ เป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการแตก หัก บุบ หรือเกิดความเสียหาย เพื่อให้การเดินทางของคุณนั้นราบรื่นและสนุกได้อย่างเต็มที่

1. กระเป๋าเดินทาง

สิ่งของที่ควรห่อ อย่างแรกเลยนั่นคือกระเป๋าสำหรับใส่สัมภาระนั่นเอง คุณลองนึกภาพกระเป๋าใบสวยที่คุณเลือกมากับมือ หมายมั่นปั้นฝันไว้ว่าจะใช้ให้ถึง 5 ปี 10 ปี แล้วเกิดเป็นรอยขีดข่วน หรือมีรอยบุบจากการกระแทกจนหมดสภาพ คุณจะทำใจรับได้ไหมกับเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าคุณทำใจไม่ได้ที่จะให้กระเป๋าของคุณเป็นรอย เสียหาย แตก บุบ แนะนำว่าให้ห่อก่อนการเดินทางดีที่สุด

สิ่งของที่ควรห่อ,อาหารกลิ่นฉุน

2. อาหารหรือของที่มีกลิ่นฉุน

คุณคงไม่อยากเปิดกระเป๋าออกมาแล้วพบว่าของที่อยู่ในกระเป๋ามีกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากของที่ตัวคุณเองเป็นคนใส่เข้าไป โดยที่ลืมนึกไปว่ามันมีกลิ่นที่ฉุนและรุนแรง ถ้าเป็นน้ำหอมคงไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นปลาเค็มหรืออาหารทะเลที่จะทำให้มีกลิ่นติดที่เสื้อผ้าแบบสลัดสะบัดอย่างไรก็ไม่มีทางหลุดออกไปได้ขึ้นมา รับรองว่าทริปนั้นคุณคงหมดความมั่นใจและหมดสนุกไปอย่างแน่นอน

สิ่งของที่ควรห่อ,ไดร์เป่าผม

3. ของที่อาจแตกได้ระหว่างเดินทาง

ของที่อาจจะแตกหรือมีรอย เช่น อุปกรณ์ในการออกกำลังกาย อุปกรณ์กีฬา หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จะช่วยอำนวยความสะดวกอย่าง ไดร์เป่าผม เครื่องหนีบผม ที่ถือเป็น สิ่งของที่ควรห่อ ที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป ถ้าคุณไม่อยากให้เครื่องไม้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ของคุณเสียหายระหว่างเดินทางล่ะก็ ห่อกันไว้ดีกว่า ถ้าไม่อยากเสียเงินซื้อใหม่

สิ่งของที่ควรห่อ,เครื่องสำอาง

4. เครื่องสำอาง

สิ่งที่สาว ๆ ทุกคนหวงแหนที่สุดนั่นก็คือเครื่องสำอาง เครื่องสำอางเป็น สิ่งของที่ควรห่อ อีกประเภทหนึ่ง เชื่อว่าคุณสาว ๆ ทุกคนคงเคยเจอเปิดกระเป๋าใส่เครื่องสำอางออกมาแล้วพบว่า แป้งในตลับแตก บลัชออนแตกหลุดออกมา หรือแม้แต่ตลับอายแชโดว์สีโปรดของคุณก็มีสิทธิ์โดนกระแทกได้ ดังนั้นควรห่อป้องกันไว้แต่ต้นจะดีกว่า หากแตกเสียหายไปแล้ว คุณอาจจะต้องเสียเงินซื้อเครื่องสำอางใหม่โดยใช่เหตุก็เป็นได้

สิ่งของที่ควรห่อ,ที่หนีบผม

5. ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นของเหลว

 ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นของเหลวนี้ หมายความรวมถึงของใช้ทุกชนิดที่อาจจะเกิดการรั่วไหลออกมาจากหลอดหรือขวดที่บรรจุ เช่น โลชั่น ครีมบำรุง แชมพู ครีมนวด เป็นต้น จนทำให้เสื้อผ้าของคุณเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ต้องมานั่งคอยแก้ปัญหา หรือต้องซักชุดใหม่ ถ้าไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ก็ห่อหรือแพ็กให้เรียบร้อยจะดีที่สุด

            สิ่งเหล่านี้เป็นเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สำคัญ หากคุณพลาดลืมห่อ อาจทำให้คุณหมดสนุกหรือต้องมานั่งเซ็งที่และมาคอยหาวิธีจัดการหรือแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอีก จนทำให้คุณหมดสนุกไปตลอดการเดินทางนั้นก็เป็นได้