One Day Trip 10 ที่เที่ยวในกรุงเทพฯ อัพเดทปี 2022

วันนี้ขอมาเอาใจคนที่อยากท่องเที่ยวแบบ วันเดย์ทริปในกรุงเทพฯ ด้วย 10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมาแรงปี 2022 คัดมาแล้วว่าเดินทางง่าย ให้คุณได้เพลิดเพลินแบบวันเดียวก็เที่ยวได้ จะมีสถานที่ไหนบ้างนั้นตามไปดูพร้อม ๆ กันได้เลย

 

1. วัดพระแก้ว

วัดพระแก้ว หรือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพฯ ที่นี่ประดิษฐานพระแก้วมรกตหรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระคู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่ครั้งก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ และยังมีสถาปัตยกรรมไทยอันวิจิตรตระการตาพร้อมกับหมู่มวลพระที่นั่งในเขตพระราชฐาน หอพระเทพบิดร และยังมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ตรงบริเวณระเบียงคดที่วิจิตรงดงามและเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางทัศนศิลป์และประวัติศาสตร์

  • ที่อยู่ : ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
  • พิกัด https://goo.gl/maps/PPNJHNWRpdtsP8Jd7
  • เปิดให้เข้าชม : 08.30-15.30 น.
  • ค่าเข้าชม : คนไทย เข้าชมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ชาวต่างชาติ ค่าเข้าชม บัตรราคา 500 บาท
    สามารถซื้อบัตรเข้าชมพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ผ่านช่องทางออนไลน์ล่วงหน้าได้อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนวันเข้าชม
 
 

2. วัดอรุณราชวราราม

อีกหนึ่งแลนมาร์กสำคัญของกรุงเทพฯ ก็คือ พระปรางค์วัดอรุณ ดังนั้น เที่ยวในกรุงเทพ ทั้งทีก็ต้องมาถ่ายรูป เช็กอิน กับพระปรางค์กันสักหน่อย แอบกระซิบว่ายามเย็นวิวที่นี่สวยมาก แถมยังได้รับลมเย็น ๆ จากแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย นอกจากนี้ บริเวณวิหารน้อยหน้าพระปรางค์ยังมีพระแท่นบรรทมของ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เชื่อว่าถ้าได้ลอดแล้วจะช่วยล้างอาถรรพ์คุณไสยทั้งหลาย

  • ที่อยู่: 158 ถ.วังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 10600
  • เวลาเปิด: ทุกวัน ตั้งแต่ 8.00 – 18.00 น.
  • ค่าเข้า: คนไทยฟรี ชาวต่างชาติคนละ 50 บาท
 
 

3. วัดโพธิ์

ข้ามแม่น้ำเจ้าพระมาอีกฝั่งของวัดอรุณฯ ก็จะพบกับวัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย เพราะที่นี่มีจารึกตำรายาแผนโบราณ ฤาษีดัดตน และสรรพวิชาอีกหลากหลายแขนง โดยในปัจจุบันนี้ก็ขึ้นชื่อเรื่องการนวดแผนไทย เปิดให้บริการและเปิดโอกาสให้ผู้สนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาลงเรียนวิชานวดแผนไทยได้อีกด้วย แต่ไฮไลท์เด่นของที่นี่ก็คือ เจดีย์ราย ที่มีมากกว่า 70 องค์รอบบริเวณวัด และพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ให้ได้มาสักการะขอพร 

  • ที่อยู่ : 2 ถนน สนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
  • เวลาเปิด :  ทุกวัน ตั้งแต่ 08.00 น.-16.30 น.
  • ค่าเข้า : ชาวต่างชาติมีค่าเข้าชมคนละ 200 บาท สำหรับคนไทยเข้าชมฟรี 
 
 

4. เยาวราช

แหล่งสตรีทฟู้ดที่สำคัญของกรุงเทพฯ ที่นี่เป็นย่านการค้าที่สำคัญของชาวไทยเชื้อสายจีน มีห้างร้านและร้านอาหารมากมายเปิดให้บริการทั้งกลางวันและกลางคืน ถือว่าเป็นสวรรค์ของสายกินเลยก็ว่าได้ อาหารขึ้นชื่อที่มาแล้วจะต้องกินให้ได้เลยก็อย่างเช่น ลอดช่องสิงคโปร์ บะหมี่จับกัง ปลาหมึกย่าง ขนมปังไส้ทะลัก ก๋วยจั๊บนายเอ็กซ์ บัวลอย 3 กษัตริย์ บะหมี่เกี๊ยวโอเดียน เป็นต้น

 
 

5. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่รวบรวมเอาโบราณวัตถุสำคัญที่ขุดค้นได้ในประเทศไทย ภายในมีอาคารจัดแสดงหลายอาคาร มีทั้งแสดงนิทรรศการหมุนเวียนและนิทรรศการถาวร จัดแสดงโบราณวัตถุตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ นอกจากนั้นยังจัดแสดงราชรถและเครื่องประกอบพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ 

  • ที่อยู่ : เลขที่ 4 ถนนหน้าพระธาตุ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
  • เวลาเปิด : เวลา 09.00-16.00 น. วันพุธ-วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ (ยกเว้นเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์)
  • ค่าเข้า : คนไทย 30 บาท  / ชาวต่างประเทศ 200 บาท
  • ยกเว้นค่าเข้าชม : เด็ก / นักเรียน / นักศึกษา / ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป / พระสงฆ์ / สมาชิก ICOM ICOMOS (แสดงบัตร)
 
https://travel.kapook.com/view208377.html
 

6. หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพ

ใครที่เป็นสายอาร์ต รักในการเสพงานศิลปะ ต้องไป เช็กอิน ที่นี่ให้ได้ เพราะที่นี่เป็นหอศิลปะที่ภายในมีห้องจัดแสดงนิทรรศการศิลปะของศิลปินทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนกันมาแสดงผลงานกันไม่ขาดสาย ทั้งภาพวาด ภาพถ่าย ประติมากรรม มีเดียอาร์ต และศิลปะแนวผสมผสาน ที่สำคัญยังเดินทางง่ายมาก อยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติเพียง 100 เมตร 

  • ที่อยู่ : เลขที่ 939 ถนนพระราม 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
  • เวลาเปิด : เปิดวันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 20.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์ และช่วงวันหยุดปีใหม่และสงกรานต์)
  • การเดินทาง : BTS สนามกีฬาแห่งชาติ ทางออกที่ 3 
 
 

7. สวนเบญจกิติ

แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS อโศก และ MRT สุขุมวิท เพียง 400 เมตร เป็นแหล่งเช็กอินของเหล่าวัยรุ่นและกลุ่มคนรักสุขภาพ เพราะที่นี่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ พื้นที่รวม 450 ไร่ ให้ได้เข้าไปสูดอากาศบริสุทธิ์ นั่งพักผ่อนหย่อนใจปล่อยใจสบาย ๆ กับธรรมชาติ หรือใครที่อยากออกกำลังกายก็มีทั้งทางวิ่งและทางจักรยาน ซึ่งแลนด์มาร์กที่สำคัญก็คือ Sky walk สามารถขึ้นไปถ่ายรูปสวย ๆ ได้

  • ที่อยู่ : Google Maps : สวนเบญจกิติ
  • เวลาเปิด : 05.00 – 21.00 น.
  • การเดินทาง : BTS และ MRT โดยมาลงรถไฟฟ้า BTS ที่สถานีอโศก หรือรถไฟฟ้า MRT สถานีสุขุมวิท 

อนุญาตให้นำรถยนต์ส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ หรือยานพาหนะอื่น ๆ เข้ามาในสวนได้ 2 ช่วงเวลา คือ

  • ตั้งแต่เวลา 05.00-09.00 น. และตั้งแต่เวลา 16.00-21.00 น.

สวนเบญจกิติ กับมาตรการโควิด 19

 
 

8. วัดสุทัศน์ เสาชิงช้า

ตระเวนเที่ยวกรุงเทพฯ แบบ Onedaytrip ยังไงก็ต้องมาถ่ายรูปกันที่เสาชิงช้า หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของกรุงเทพฯ เรียกได้ว่าถ้าไม่ได้ถ่ายกับเสาชิงช้าก็เหมือนเที่ยวกรุงไม่ครบไม่จบทริป หลังจากได้มาชมเสาชิงช้าแล้ว ก็ต้องไม่พลาดเข้าไปไหว้พระศรีศากยมุนีในวัดสุทัศน์ ซึ่งมีบรรยากาศภายในเงียบสงบมาก ที่สำคัญมีองค์ท้าวเวสสุวรรณให้ได้กราบขอพรกันด้วย บริเวณภายนอกวัดละแวกเสาชิงช้าก็ยังมีร้านอาหารดังระดับตำนานหลายร้านรอให้ไปลิ้มลองความอร่อย 

  • ที่อยู่ : 146 ถนนบำรุงเมือง แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพฯ
  • พิกัดhttps://goo.gl/maps/DMXB1iZ8hxpHn2dK8 
  • เวลาเปิด : ทุกวัน เวลา 08.00 – 21.00
 
 

9. มหานคร สกายวอล์ค

ที่นี่เป็นสถานที่ เที่ยวในกรุงเทพ ที่กำลังมาแรง ตั้งอยู่บนชั้น 78 ของตึกมหานคร ตึกดีไซน์สวยแปลกตาที่สูงที่สุดในประเทศไทย สามารถมองเห็นวิวของกรุงเทพฯ ได้แบบ 360 องศา แบบสุดลูกหูลูกตา ยิ่งบรรยากาศยามเย็นนั้นลมดีมาก แถมยังมองเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าตัดกับแสงสีของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนที่ค่อย ๆ มีแสงสว่างจากอาคารบ้านเรือน เป็นภาพที่สวยงามมาก จุดเด่นอีกอย่างก็คือสะพานกระจกใสที่มองเห็นด้านล่างสุดหวาดเสียว ใครไปเดินแล้วรับรองว่ามีขาสั่นแน่นอน

  • ที่อยู่ : ตึกคิง เพาเวอร์ มหานคร 114 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
  • เวลาเปิด : เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 – 22.00 นาฬิกา (รอบสุดท้ายที่เปิดให้เข้า คือ 21.00 นาฬิกา)
  • การเดินทาง : นั่ง BTS ลงที่สถานีช่องนนทรี ทางออกหมายเลข 3 , รถส่วนตัว มีบริการที่จอดรถฟรี
 
 

10. มิวเซียมสยาม

พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ที่ตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า MRT สนามไชย ภายในจัดแสดงนิทรรศการที่บอกเล่าทุกเรื่องของความเป็นไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การแต่งกาย สถาปัตยกรรม ความเชื่อ วัฒนธรรมและประเพณี ความโดดเด่นของที่นี่คือเป็นพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยที่ไม่ได้มีเพียงวัตถุโบราณเท่านั้น หากแต่เน้นการสื่อสารที่แปลกใหม่ เน้นให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมผ่านสื่อหลากหลายรูปแบบ

  • ที่อยู่ : 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
  • เวลาเปิด : เปิดให้บริการ 10.00 – 18.00 น. ,เปิดให้บริการวันอังคาร-วันอาทิตย์

ค่าธรรมเนียมเข้าชม

  • ผู้ใหญ่ 100 บาท
  • เด็ก 50 บาท
  • ชาวต่างชาติ​ 300 บาท
  • การเดินทาง : MRT ลงที่สถานี่สนามชัย ออกประตูพระบรมหาราชวัง
 
 

ทั้ง 10 สถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ ที่ไปเที่ยวชมได้ง่ายแบบ Onedaytrip นี้จะทำให้คุณได้รับประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบเหนือความคาดหมาย วันหยุดนี้ถ้าไม่รู้จะออกไปเที่ยวที่ไหน แนะนำเช็กลิสต์ทั้ง 10 ที่นี้ แล้วออกไป วันเดย์ทริปในกรุงเทพฯ กัน บางทีอาจจะได้เห็นเสน่ห์และมุมมองใหม่ ๆ ของกรุงเทพฯ ก็ได้

 

ที่มาข้อมูล

ที่เที่ยวปลายฝนต้นหนาว ชมทะเลหมอก เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2565

การท่องเที่ยวในเมืองไทยนั้น เรียกได้ว่าสามารถเที่ยวได้ทั้งปีจริง ๆ เพราะในแต่ละเดือน แต่ละฤดูกาล ประเทศไทยของเราก็มีสถานที่เที่ยวมากมาย เพื่อรองรับและตอบโจทย์นักท่องเที่ยวได้อย่างดีเสมอ และเมื่อมาถึงอีกหนึ่งฤดูของการเชื่อมต่อที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างช่วงเดือนตุลาคม ที่ใคร ๆ เรียกว่าปลายฝนต้นหนาว อากาศเย็นอ่อน ๆ แบบยังมีกลิ่นอายของ หน้าฝน ที่ผ่านพ้นไป ทำให้มี ทะเลหมอกที่สวยงามเกิดขึ้นระหว่างฤดูแบบนี้อีกด้วย วันนี้จึงขอแนะนำที่เที่ยวปลายฝนต้นหนาว ชมทะเลหมอก เดือนตุลาคม 2565 กัน ที่กำลังรอให้ทุกท่านออกไปเก็บความทรงจำดี ๆ ในฤดูแห่งความโรแมนติกนี้ด้วยกัน

 

1. สวนป่าดอยบ่อหลวง

เที่ยวเดือนตุลาคม 2565 ที่แรกที่อยากแนะนำให้หาโอกาสมาเยือน ทะเลหมอกยามเช้าของที่นี่ไม่ได้อยู่ยอดดอย แต่อยู่ที่ยอดสน ทะเลหมอกยามเช้าที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางป่าสนสูงใหญ่ ที่ต้องแหงนหน้ามองสุดปลายตา หมอกสีขาวแทรกตัวกลมกลืนได้อย่างงดงาม ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในป่าลึกของต่างประเทศกันเลยทีเดียว ภูมิทัศน์และลักษณะของพื้นที่ของสวนป่าดอยบ่อหลวงแห่งนี้ ออกแบบให้ธรรมชาติโอบล้อมที่พัก ซึ่งดูเข้ากันได้ดี โดยมีบ้านพักหลากหลายรูปแบบให้เลือกเข้าพักตามที่ชอบและยังมีพื้นที่ลานกว้างแบ่งเป็นโซนสำหรับการกางเต็นท์ เป็นอีกตัวเลือกสำหรับการเข้าพัก ซึ่งบ้านพักที่ได้รับความนิยมคือแบบไม้สนทรงหลังคาจั่วแหลมและมีห้องนอนใต้หลังคา แบบบ้านในนิทานฝรั่งที่ใครหลายคนเคยอ่านในวัยเด็ก บ้านหลังน้อยกลางป่าสนสูงใหญ่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ที่เขียวชอุ่ม เหมาะกับการมาใช้เวลาพักผ่อนเก็บความทรงจำดี ๆ ใช้ชีวิตช้า ๆ เนิบ ๆ ท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง บ้านองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ตั้งอยู่ในอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ริมถนนสาย 108 เส้นทางเดียวกับสวนสนบ่อแก้วและออบหลวง ซึ่งสามารถจองก่อนเข้าพักได้ตามกำหนดที่มีการแจ้งไว้ทางเฟซบุ๊ก

  • ตั้งอยู่ในอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ริมถนนสาย 108
 
 

2. บ้านป่าบงเปียง

เป็นท้องทุ่งนาข้าวแบบขั้นบันได ที่ปลูกไว้โดยลดหลั่นตามความลาดของพื้นที่ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา เป็นวิถีการใช้ชีวิตของชาวบ้านที่เพาะปลูกข้าวและพืชผัก หากแต่กลายเป็นภาพที่งดงาม ประกอบกับภูเขาเขียวขจีที่โอบล้อมหมู่บ้านและท้องนา เป็นสถานที่ซึ่งขอแนะนำให้หาโอกาสไปลองพักและใช้ชีวิตช้า ๆ ที่นี่ดู จะดีแค่ไหนหากตื่นเช้ามาแล้วสิ่งแรกที่มองเห็นตรงหน้าที่พักคือทะเลหมอกที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางนาขั้นบันไดที่เขียวขจี โอบล้อมไปด้วยภูเขาที่รายล้อมเหมือนการโอบกอดจากธรรมชาติ เป็นภาพประทับใจที่ต้องไปเก็บความทรงจำด้วยตาของตัวเอง เพราะนอกจากภาพความงดงามตรงหน้าแล้ว บรรยากาศเย็นชุ่มฉ่ำของปลายฝนต้นหนาวที่ไม่สามารถสัมผัสได้จากภาพถ่ายใด ๆ คืออีกความมีเสน่ห์ของการออกไปท่องเที่ยว เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด เพราะนี่คือแหล่งพลังงานที่สามารถเติมพลังให้กับร่างกายและจิตใจชั้นดีทีเดียว

  • ที่อยู่ : ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
 
Ban pa bong piang in Chiang mai, Thailand.
 

3. บ้านอีต่อง ตำบลปิล๊อก

เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ร่วมกันของคนไทยเชื้อสายพม่าและมอญ ที่มีมนต์เสน่ห์สำหรับผู้มาเยือน ทำเลที่ตั้งของหมู่บ้านซึ่งเคยเป็นเหมืองเก่าและถูกปิดมาก่อน อยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของภูเขา โดยมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางหมู่บ้าน ทำให้ในยามเช้ามีทะเลหมอกเป็นรางวัลให้ผู้มาเยือนได้ชื่นชมบรรยากาศทุกเช้า ยิ่งในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ยิ่งสวยมากเป็นพิเศษ หมอกสีขาวแทรกตัวอยู่กับแมกไม้สีเขียวสดและบ้านเรือนของชาวบ้าน วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ก็น่ารักและเรียบง่าย บรรยากาศร้านกาแฟยามเช้า ให้ผู้มาเยือนได้นั่งจิบเครื่องดื่มร้อน ๆ พร้อมกับทอดสายตาได้จนสาย สะพานเล็ก ๆ ที่หลายคู่รักมาคล้องกุญแจเหมือนที่สถานที่ชื่อดังของเกาหลี เป็นจุดที่ต้องถ่ายรูปบอกให้ชาวโลกรู้หากมีโอกาสมากับคู่รัก เป็นอีกกิจกรรมน่ารัก ๆ ท่ามกลางหมอกขาว ๆ ที่ลอยละล่องอยู่เป็นฉากหลังของภาพถ่ายที่งดงาม

  • อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
 
E-Tong Pilok village in Kanchanaburi
 

4.สะพานมอญสังขละบุรี

เป็นที่ท่องเที่ยวอีกที่ซึ่งงดงามมากในยามเช้าที่ ทะเลหมอก ปกคลุม ซึ่งในช่วงปลายฝนต้นหนาวอย่างเดือนตุลาคมนั้น ทะเลหมอกยามเช้ามีให้ชมแบบไม่ต้องลุ้นกันเลยทีเดียว สะพานไม้แห่งนี้คือสัญลักษณ์ของความสามัคคีและความศรัทธาของชุมชนชาวมอญที่มีต่อพระพุทธศาสนา โดยได้มีการยกย่องว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดยมีความยาว 850 เมตร ด้วยทำเลที่ตั้งของสะพานที่ล้อมรอบด้วยภูเขาเขียวขจีและพื้นน้ำด้านล่าง ทำให้บรรยากาศรื่นรมย์เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งวิถีชีวิตของชาวมอญที่อาศัยอยู่นั้นมีความน่าสนใจและเป็นมิตรกับแขกผู้มาเยี่ยมเยือน อีกทั้งรีสอร์ทน้อยใหญ่ก็มีให้เลือกเข้าพักในราคาที่เหมาะสมให้ได้ตื่นเช้ามาชมความสวยงามของทะเลหมอก ณ จุดเช็คอินที่สะพานมอญ

  • สะพานอุตตมานุสรณ์ กาญจนบุรี
 
 

5. เขาช่องลม

เป็นอีกสถานที่สำหรับชมทะเลหมอกยามเช้า ซึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อีกแห่งหนึ่งที่ควรหาโอกาสไปสักครั้งในวันหยุด ลำธารน้ำทอดยาวที่ไหลผ่านช่องเขาที่สองข้างโอบล้อมด้วยภูเขาน้อยใหญ่เขียวขจี ทำให้หลายคนเรียกที่แห่งนี้ว่าสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย ช่วงปลายฝนต้นหนาวท้องฟ้าสีสดใส อากาศเย็นอ่อน ๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่เขียวขจี มองไปสุดปลายตา ความงดงามของธรรมชาติที่ต้องไปเก็บเป็นความทรงจำด้วยสายตาตัวเองเท่านั้น ลำธารน้ำไหลเอื่อยและโขดหินรูปทรงหลากหลายมีให้ปีนป่ายอย่างเพลิดเพลิน ต้นไม้ดอกไม้แปลกตาระหว่างทางเดินที่เกิดจากธรรมชาติที่สมบูรณ์ของที่นี่ ก็เป็นภาพถ่ายสวย ๆ ให้ใครหลาย ๆ คนมักลงอวดผู้คนในโลกโซเชี่ยล อารมณ์การมาเที่ยวที่นี่จะเหมือนการไปแคมป์ปิ้งของชาวต่างประเทศ บางคนก็เลือกหาทำเลกางเต็นท์หรือหาที่พักใกล้ ๆ เพื่อมาชื่นชมและเก็บภาพถ่ายบรรยากาศยามเช้า ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับเพื่อน คู่รัก และครอบครัว อีกแห่งหนึ่งที่ขอแนะนำ

  • เขาช่องลม เขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก
 
khao chong lom
 

เสน่ห์ของฤดูกาลปลายฝนต้นหนาว ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมนั้น ถือเป็นช่วงที่ธรรมชาติอิ่มตัวและเตรียมพร้อมแล้วหลังจากใกล้จบ หน้าฝน ต้นไม้น้อยใหญ่อิ่มน้ำและงดงาม พร้อมอวดโฉมให้ผู้คนได้ออกเดินทางเพื่อท่องเที่ยวและชาร์จพลังงานกัน อากาศเย็น ๆ กับการนั่งจิบกาแฟหรือชา ชมสายหมอก นั่งดูความงดงามของธรรมชาติรอบ ๆ ตัว บางคนเรียกว่าการใช้ชีวิตอย่างสโลว์ไลฟ์หรือใช้ชีวิตให้ช้าลง ให้ธรรมชาติโอบล้อม ปลอบโยน เติมเต็ม ให้พลัง หนุนใจ เพื่อกลับมาใช้ชีวิตต่ออย่างมีคุณภาพต่อไป พร้อมต้อนรับฤดูกาลต่อไป

 

ที่มาข้อมูล

รวมสถานที่ทำพาสปอร์ตในกรุงเทพฯ อัปเดต 2565 เตรียมตัวบิน!!

 

ได้เวลาโบยบินอีกครั้ง อยู่กรุงเทพฯ นานคงเริ่มคิดถึงที่เที่ยวสวย ๆ กันแล้ว ตอนนี้หลายคนวางแผนจัดทริปฉลองโควิดขาลง สำหรับใครที่กำลังเล็งเป้าหมายไป เที่ยวต่างประเทศ สิ่งแรกที่ต้องพร้อม ไม่มีไม่ได้ นี่เลย พาสปอร์ต ใครที่เคยทำพาสปอร์ตไว้ รีบหยิบมาเช็คด่วน ๆ ต้องต่อหรือยัง ส่วนใครที่ยังไม่เคยทำ เตรียมตัวได้แล้ว ถึงเวลาบินจะได้ไม่ฉุกละหุก

ว่าแต่ คนกรุงเทพฯ ต้องไปทำพาสปอร์ตที่ไหน ใกล้บ้านเรามีที่ทำบ้างหรือยัง เรามาอัพเดท สถานที่ทำพาสปอร์ต ในกรุงเทพฯกันที่เลย

 

บริการทำพาสปอร์ตที่เปิดทุกวันไม่เว้นเสาร์-อาทิตย์ (เริ่ม 1 ตุลาคม 2565)

  • สำนักงานหนังสือเดินทางปทุมวัน MBK Center ชั้น 5โซน A  

เปิด 10.00 – 18.00 น. โทร 02-126-7612

  • สำนักงานหนังสือเดินทางบางใหญ่ Central Westgate ชั้น G โซนสีเขียว                          

เปิด 10.00 – 18.00 น.

สองแห่งนี้ เปิดให้จองคิวออนไลน์ล่วงหน้าที่ MBK รับวันละ 1,500 คิว ส่วน Central Westgate รับวันละ 800 คิว เปิดบริการทุกวันยกเว้นวันหยุดราชการและวันเสาร์-อาทิตย์ที่เป็น Long Weekend เหมาะกับผู้ที่ต้องทำงานในวันธรรมดาและไม่มีเวลา 

 

บริการทำพาสปอร์ตที่เปิดวันจันทร์ – วันศุกร์

  • กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ ถ.แจ้งวัฒนะ                              

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทร 02-203-5000 กด 1 

  • สำนักงานหนังสือเดินทาง ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถนนแจ้งวัฒนะ ชั้น 7 อาคาร B ฝั่งตะวันออก          

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทร 02-143-7680

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว บางนา – ศรีนครินทร์ ที่ศูนย์การค้าธัญญาพาร์ค ชั้น 1 โซน C       

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทรศัพท์ 02-136-3800, 02-136-3802, 093-010-5246

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว สายใต้ใหม่ – ตลิ่งชัน อยู่ที่อาคาร SC Plaza สายใต้ใหม่ ถนนบรมราชชนนี 

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทรศัพท์ 02-422-3431

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว มีนบุรี ที่ Big C สุวินทวงศ์ 

เปิด 8.30 – 16.30 น.  โทรศัพท์ 02-024-8362-64

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว สถานีรถไฟฟ้า MRT คลองเตย ถนนพระราม 4         

เปิด 8.30 – 16.30 น.  โทรศัพท์ 02-024-889, 093-010-5247

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ธัญบุรี ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ชั้น 3     

 เปิด 10.00 – 18.00 น. โทรศัพท์ 02-150-9002

 
 

รวมทั้งหมด 9 แห่งสำหรับ สถานที่ทำพาสปอร์ต ในกรุงเทพฯ เลือกสถานที่ใกล้บ้าน หรือที่สะดวกกันได้ตามนี้ สามารถโทรถามรายละเอียดกันอีกครั้งตามเบอร์ที่ให้ไว้หรือโทร Call Center กงสุล 02-572-8442

สำหรับใครที่จำเป็นต้องทำพาสปอร์ตแบบด่วนพิเศษ สามารถทำได้ทุกแห่ง แต่เขาเปิดให้ทำพาสปอร์ตด่วนถึง 11.00 น.เท่านั้น การจะทำพาสปอร์ตให้รวดเร็ว ทางกรมการกงสุลได้เปิดให้มีระบบจองคิวออนไลน์ล่วงหน้าที่ เว็บไซต์ www.qpassport.in.th  

 

ขั้นตอนการลงทะเบียน

  1. เข้าไปที่หน้าลงทะเบียนสมัครสมาชิก
  2. กรอกข้อมูลส่วนบุคคลให้ครบ จะได้รับลิงก์ยืนยันทางอีเมล์
  3. เข้าอีเมล์ไปกดลิงค์ยืนยัน
  4. กลับเข้าเว็บไซต์อีกครั้ง กรอกอีเมล์และใส่รหัสยืนยันตัวตน
  5. เริ่มใช้งานได้ เลือกจองคิวสถานที่ที่สะดวกที่สุด
 
 

ถ้าไม่ได้จองคิวในเว็บไซต์ จะ Walk-in เข้าไปเลยได้ไหม

สามารถ Walk-in ไปรับบัตรคิวที่สำนักงานแต่ละแห่งได้ตามปกติ สำหรับสำนักงานบริการที่ MBK และ Central Westgate จะมีเครื่อง Kiosk ติดตั้งไว้ทำพาสปอร์ตอัตโนมัติด้วย เรามาดูกันว่า Kiosk นี้ทำอะไรได้บ้าง

 

ทำพาสปอร์ตด้วยเครื่องอัตโนมัติ (KIOSK)

วันที่ไปทำพาสปอร์ตอย่าลืมเตรียมบัตรประชาชนตัวจริงให้พร้อม และถ้าเป็นการต่ออายุ ก็ต้องนำพาสปอร์ตเล่มเดิมไปด้วย มีบางคนทำไว้นานแล้วไม่ได้ใช้เลยหาไม่เจอ แบบนี้ต้องมีใบแจ้งความไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ ยังมีเอกสารอื่นที่ต้องใช้สำหรับบางกรณี คือ

  • ถ้าเปลี่ยนชื่อ ต้องนำหลักฐานการเปลี่ยนแปลงชื่อ นามสกุล
  • สำหรับผู้ที่อายุไม่ถึง 20 ปี จะต้องมีบัตรประชาชนของคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครอง และถ้าอายุไม่ถึง 15 ปี ต้องนำสูติบัตรตัวจริงไปด้วย

ที่สำคัญ คือทำพาสปอร์ตแบบคีออสเลือกรูปไม่ได้แต่ถ่ายได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ใครไม่พอใจก็ถ่ายใหม่ได้เรื่อยๆ ถ่ายเสร็จก็โอนเงินผ่าน QR CODE ได้เลย สะดวกรวดเร็ว

 

ต่อไปเรามาเช็คค่าธรรมเนียมการทำพาสปอร์ตกันว่า แต่ละแบบมีค่าใช้จ่ายเท่าไร

ค่าธรรมเนียมทำพาสปอร์ตแบบธรรมดา

ประเภท 5 ปี ค่าธรรมเนียม 1,000 บาท และประเภท 10 ปี 1,500 บาท

ค่าธรรมเนียมทำพาสปอร์ตแบบด่วนพิเศษ 

ประเภท 5 ปี ค่าธรรมเนียม 3,000 บาท และประเภท 10 ปี 3,500 บาท

ทั้งสองแบบมีค่าจัดส่ง EMS 40 บาท 

ความจริงแล้ว การทำพาสปอร์ตแบบธรรมดาใช้เวลาไม่นาน พื้นที่จัดส่งในต่างจังหวัดจะได้รับเล่มภายในไม่เกิน 1 สัปดาห์ ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ แค่ 3 วันก็ได้รับแล้ว ยกเว้นว่าที่อยู่ไม่สมบูรณ์ หรือไม่มีผู้รับ และไปรษณีย์ตีกลับ ก็อาจจะต้องเสียเวลาไปรับเอง หรือติดต่อชำระค่าจัดส่งเพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งใหม่อีกครั้ง หากวางแผน ท่องเที่ยว ล่วงหน้าเป็นอย่างดีแล้ว อย่างไรก็ทัน ไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมแพงทำด่วนพิเศษ ยกเว้นว่าต้องเดินทางกะทันหันจริง ๆ 

 

ต้องการไปรับพาสปอร์ตเองต้องไปที่ไหน

สามารถเดินทางไปรับได้ที่กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ เปิดให้รับได้เฉพาะช่วงเวลา 14.30 – 16.30 น. โดยนำใบรับฉบับจริง พร้อมบัตรประชาชนไปแสดง ถ้าให้คนอื่นไปรับแทน เพิ่มเอกสารอีก 2 อย่างคือ ใบรับที่ระบุการมอบอำนาจ และบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ

ครบจบเรื่องการทำพาสปอร์ตไปแล้ว ใครที่มีประเทศในใจและกำลังวางแผนเดินทางอยู่ ขอให้ทุกอย่างราบรื่นและสนุกกับการ ท่องเที่ยว ครั้งใหม่แบบสุด ๆ ไปเลย

 
 

ที่มาข้อมูล:

เพิ่งวัยรุ่น ทำไมปวดหลัง!!! รวมสาเหตุและวิธีรักษาง่ายๆ ทำได้ทุกวัน

โดยปกติเคยได้ยินว่าอาการ ปวดหลัง พบมากในวัยทำงานและผู้สูงอายุ แต่ทุกวันนี้เพิ่งวัยรุ่น ทำไมเริ่มปวดหลังแล้ว ถือเป็นเรื่องผิดปกติหรือไม่ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังนั้นมีอะไรบ้าง มีอาการปวดบ่อย ๆ หรือเปล่า ควรรักษาเยียวยาหรือป้องกันอย่างไร เราหาคำตอบทั้งหมดมาให้ติดตามอ่านกัน

อาการปวดหลังในวัยรุ่น

สมัยนี้เด็กและวัยรุ่นปวดหลังบ่อย ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลก อาจเกิดจากแบกเป้หนัก ๆ นั่งเล่นเกมบนมือถือ หรือนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ตลอดจนการเล่นกีฬาและกิจกรรมที่หนักเกินไปทำให้กล้ามเนื้อตึงหรือมีรอยฟกช้ำบนหลัง อาการปวดที่เกิดจากปัจจัยเหล่านี้มักจะหายได้เองภายในเวลาไม่นานโดยไม่ต้องรักษา หากมีอาการปวดบ่อย ๆ อาจมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังหลายอย่างที่เป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรง หากปล่อยทิ้งไว้อาจอันตราย  ควรรีบพบแพทย์จะดีกว่า

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง

ปวดหลังเป็นอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อตึงตัวมากเกินไปจนกลายเป็นอาการปวดบริเวณคอ หลัง ไหล่ คนไข้อายุน้อยที่เข้าไปรักษาอาการปวดหลังมีปัจจัยหลัก ๆ มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตตั้งแต่ในวัยเด็กช่วงตั้งแต่มัธยมปลายไปจนถึงวัยทำงานตอนต้นที่ใช้เวลาหน้าจอมือถือและคอมพิวเตอร์มากเกินไป ไม่ค่อยออกกำลังขยับเคลื่อนไหวทำให้โครงสร้างร่างกายและกล้ามเนื้อไม่แข็งแรง การเล่นกีฬาผาดโผนหรือกล้ามเนื้อใช้งานอย่างหนักทำให้วัยรุ่นเผชิญปัญหาปวดหลังเร็วกว่าคนสมัยก่อนที่มักจะปวดหลังเนื่องจากความเสื่อมของร่างกาย

 

สาเหตุปวดหลังมักมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและโรคต่าง ๆ ดังนี้

  • น้ำหนักตัวมากเกินไป โรคอ้วนก่อให้เกิดอาการปวดหลัง ร่างกายคนอ้วนต้องรับน้ำหนักมากกว่าคนปกติ มีผลทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมเร็วตั้งแต่อายุยังน้อย ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งเสี่ยงเป็นหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท มีอาการปวดคอ ปวดหลัง เรื้อรัง
  • นั่งผิดวิธีหรืออยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน โดยทั่วไปคนวัยทำงานนั่งท่าเดิมในออฟฟิศเป็นเวลานานๆ หรือยืนนานๆ ไม่เปลี่ยนอิริยาบถก็เป็นสาเหตุของอาการปวดหลังหรือกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมเหมือนกัน เด็กวัยรุ่นสมัยนี้เล่นเกมบนมือถือหรือคอมพิวเตอร์ทั้งวันเป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง หากไม่ออกกำลังกายทำให้กล้ามเนื้อหลังอ่อนแอและเสื่อมเร็วกว่าปกติ ต้องพบแพทย์รักษาอาการปวดคอ หลัง ไหล่
  • การเคลื่อนไหวร่างกายผิดวิธี ไม่ว่าจะเป็นนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน ๆ การแบกหามออกแรงมากเป็นประจำ หรือยกของหนักผิดวิธีทำให้กระดูกสันหลังบิด หรือเล่นกีฬาที่ผิดท่าหรือรุนแรงเกินไปมีแนวโน้มที่จะบาดเจ็บ เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือกล้ามเนื้อตึงเครียดจนถึงขั้นเจ็บปวด ยกของหนักหรือออกแรงมาก ๆ เป็นประจำจะทำให้กระดูกสันหลังบิด
  • การปวดหลังจากโรคร้ายแรง เกิดจากภาวะผิดปกติของกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อ หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ อาการของการติดเชื้อ โรคข้ออักเสบ กระดูกหัก โรคไต โรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับรังไข่และเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ ตับอักเสบ  หลอดเลือดโป่งพอง มะเร็ง และความผิดปกติอื่นๆ 
  • การปวดหลังจากสาเหตุอื่น ๆ  ที่นอนแข็งเกินไปทำให้น้ำหนักตัวกดทับเฉพาะจุดส่งผลให้กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อตึงเครียดทำให้เกิดอาการปวดหลังต่อเนื่อง ที่นอนนิ่มเกินไป นอนแล้วยุบตัวทำให้ก้นและสะโพกจมยุบลงไป หลังส่วนล่างแอ่นขึ้นทำให้เกิดแรงกดมากเกินไปจนเกิดอาการปวดหลังได้เช่นกัน ควรเลือกฟูกนอนที่เหมาะกับรูปร่างและน้ำหนักตัว นอกจากนี้การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำทำให้เนื้อกระดูกบางลงเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนมักจะมีอาการปวดหลังเรื้อรัง 

อาการปวดหลังระดับไหนควรไปพบแพทย์

มื่อเกิดอาการปวดหลัง เมื่อยล้า กล้ามเนื้อตึง คนส่วนใหญ่มักเพิกเฉย คิดว่าอาการไม่ร้ายแรง อาจเกิดจากการนั่งนาน เคลื่อนไหวผิดท่า ยกของหนัก หรือออกกำลังกายมาก บ้างก็กินยาแก้ปวด บ้างก็ไปนวด โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าอาการปวดหลังอาจเป็นสัญญาณเตือนบอกถึงอันตรายและโรคร้ายบางอย่างก็เป็นได้

 
  • ปวดหลังแบบเมื่อยล้า สาเหตุเกิดจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตึง เพราะการใช้งานหนักเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
  • ปวดหลังจากการยกของหนัก ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนจะมีอาการชาและปวดร้าวลงไปถึงขา กล้ามเนื้อขาอ่อนแรงจนทำให้ไม่สามารถเดินได้อย่างปกติ เป็นอาการปวดหลังที่มีอันตรายควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว
  • ปวดแนวกระดูกกลางหลัง มักพบปัญหาที่หมอนรองกระดูกสันหลัง หรือข้อต่อกระดูกสันหลัง หากรู้สึกปวดร้าวเหมือนไฟฟ้าช็อตจากคอไปปลายนิ้วมือ เกิดจากเส้นประสาทถูกกดเบียด เส้นประสาทอักเสบและเกิดอาการปวดหลัง
  • ปวดรุนแรง ขาชา ขาอ่อนแรง ลุกนั่งไม่ไหว เป็นอาการที่เกิดจากหมองรองกระดูกแตก พบได้ในคนที่อายุน้อย ต้องรีบเข้ามาพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดทันที
  • ปวดหลังเมื่ออยู่เฉย ๆ ไม่ได้เคลื่อนไหว ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องตื่นขึ้นมากินยาแก้ปวด ควรเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่ถูกต้อง หากมีอาการปวดหลังพร้อมกับมีไข้หรือน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะมีประวัติคนในครอบครัวเจ็บป่วยเป็นมะเร็ง หรือประสบอุบัติเหตุก่อนจะปวดหลัง ควรเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด

วิธีรักษาปวดหลัง

อาการปวดหลังในวัยรุ่นพบได้บ่อยขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงข้างต้น การรักษาขึ้นอยู่กับลักษณะอาการและสาเหตุของโรค 

 

1.การรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด  ในกรณีที่ปวดหลังไม่มาก ความเจ็บปวดเกิดจากกล้ามเนื้อตึงหรือกล้ามเนื้ออักเสบ อาจใช้น้ำอุ่นประคบ กินยาแก้ปวดหรือยาคลายกล้ามเนื้อ นอนพักผ่อน นวดคลายกล้ามเนื้อเพื่อปรับเปลี่ยนการไหลเวียนเลือดช่วยคลายอาการปวดได้ แต่ไม่ควรนวดรุนแรงทำให้เจ็บปวดอาจเกิดปัญหารุนแรงกว่าเดิม หากมีอาการปวดหลังเรื้อรังไม่หายเองใน 2-4 สัปดาห์ เกิดจากหมอนรองกระดูกอักเสบเล็กน้อย ควรปรับพฤติกรรมและหมั่นออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและการทำกายภาพบำบัด หรือการฉีดยาเข้าเส้นประสาทสันหลัง

 

2. การรักษาด้วยการผ่าตัด ในกรณีที่ ปวดหลังรุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิต เช่น ปวดร้าวชาลงเอวหรือขา ขาอ่อนแรง ลุกนั่งลำบาก เดินไม่ได้ ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ หากปล่อยทิ้งไว้อาจรุนแรงจนรักษาได้ยากควรรีบพบแพทย์เพื่อจะให้การวินิจฉัยที่ถูกต้อง อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดตามลักษณะอาการของโรค

อาการปวดหลังและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่ไม่รุนแรงป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรมเสี่ยงอันตราย เช่น ยกของหนัก นั่งหรือยืนท่าเดิมนาน ๆ ควรออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อแข็งแรง พร้อมกับควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสมและพักผ่อนเพียงพอ หากดูแลตัวเองดีแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นไม่ควรชะล่าใจ ให้ไปพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดที่ชำนาญโดยเฉพาะเพื่อหาวิธีรักษาตรงจุดทำให้หายจากอาการปวดหลังได้

ที่มาข้อมูล : 

ตะลุยเทศกาลกินเจเยาวราช 2565

ตะลุยเทศกาลกินเจเยาวราช 2565 ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน – 4 ตุลาคม ตลอด 10วัน10คืน

เทศกาล กินเจหรือที่เรียกกันว่าเทศกาลถือศีลกินผัก เป็นเทศกาลสำคัญของคนไทยเชื้อสายจีนที่จะงดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ อาหารที่มีรสจัด และอาหารที่มีกลิ่นฉุนไปพร้อมกับการรักษาศีลเพื่อให้บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ โดยเทศกาลกินเจนี้จะจัดกันในช่วงวันที่ 1-9 เดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติจีน ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 25 กันยายน – 4 ตุลาคม 2565 เราเลยอยากจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับที่มาที่ไปของการกินเจพร้อมชวนไปตะลุยหาอาหารเจสุดอร่อยตลอด 10วัน10คืน กันที่เยาวราชแลนมาร์กสำคัญซึ่งปีนี้เขากลับมาจัดงานกันอย่างยิ่งใหญ่หลังจากที่หยุดยาวไปเกือบ 2 ปี

ความหมายของการกิน

คำว่า “เจ” หรือ เป็นสำเนียงจีนแต้จิ๋วที่มีความหมายว่าการงดเว้นเพื่อความบริสุทธิ์หรือการถือศีลเพื่อความบริสุทธิ์ ซึ่งตรงตามคติของพุทธมหายานแบบจีนว่าเป็นการถืออุโบสถศีลหรือการถือศีลแบบนักพรตนักบวช โดยต้องชำระล้างร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ งดเว้นอาหารคาว งดเว้นจากของมึนเมา งดเว้นการเสพสังวาสและความบันเทิง ดังนั้น การถือศีล กินเจ แบบจีนโบราณจึงไม่ใช่แค่เว้นการรับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น หากแต่ยังเป็นการถือศีลบำเพ็ญบารมีร่วมด้วย 

ข้อกำหนดของอาหารเจ

อย่างที่เรารู้กันดีว่าการรับประทานอาหารเจคือการงดเว้นจากเนื้อสัตว์ทุกชนิดรวมไปถึงผักที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม ต้นหอม ผักชี กุยช่าย และงดอาหารที่มีรสจัดด้วย ด้วยเหตุนี้การกินเจจึงแตกต่างจากการกินมังสวิรัติตรงที่การกินมังสวิรัติจะรับประทานผักได้ทุกชนิด แต่การกินเจต้องงดผักที่มีกลิ่นฉุนด้วย นอกจากนั้นการกินมังสวิรัติยังสามารถรับประทานนมวัว ไข่ เนย ชีส แนะน้ำผึ้ง เพราะถือว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสัตว์แต่ไม่ใช่การฆ่าเบียดเบียนสัตว์

ปัจจุบันอาหารเจก็มีการปรับประยุกต์ให้มีความหลากหลายขึ้น ไม่ได้มีแต่ผักอย่างเดียว แต่มีการทำเนื้อสัตว์เทียมหรือเนื้อสัตว์จากแพลนเบส (Plant Based) ขึ้นมาทำให้การกินเจไม่ได้จำเจอีกต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่มักทำมาจากโปรตีนถั่วเหลือง หรือหมี่กึง รสชาติและเนื้อสัมผัสก็คล้ายกับเนื้อสัตว์จริง ๆ ทำให้ในช่วงระหว่างที่กินเจเรารู้สึกไม่ได้แตกต่างจากการกินอาหารปกติสักเท่าไหร่

เทศกาลกินเจเยาวราช

หากพูดถึงแหล่งอาหารเจเยาวราชน่าจะเป็นชื่อแรก ๆ ที่หลาย ๆ คนนึกถึง เพราะเป็นชุมชนและแหล่งการค้าขายของชาวจีนที่สำคัญตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าเยาวราชนั้นขึ้นชื่อเรื่องของ สตรีทฟู๊ด อันดับต้น ๆ ของกรุงเทพ มีร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตราคาร รวมไปถึงร้านรถเข็นริมทางเรียงรายมากมายทั้งกลางวันและกลางคืนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันแบบไม่ว่างเว้นให้นักชิมนักท่องเที่ยวได้ตระเวนชิมของอร่อยกันแบบไม่มีเบื่อ ถือว่าเป็นแดนสวรรค์ของสายกินเลยก็ว่าได้

แน่นอนว่าในช่วงเทศกาลกินเจที่เยาวราชก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ทุกปี และในปีนี้ก็มีการจัดงาน กินเจเยาวราช2565 ซึ่งเริ่มกันตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน – 4 ตุลาคม 2565 จัดกันเต็มที่แบบ 10วัน10คืน ที่บริเวณซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 70 พรรษา และเฉลิมพระเกียรติพระพันปีหลวงที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 90 พรรษา

ภายในงานมีส่วนบริเวณที่จัดพิธีกรรมมีพิธีรวมผงธูปจาก 22 ศาลเจ้าในเยาวราชและอัญเชิญเทพเจ้าแห่งการกินเจให้ประชาชนได้สักการะ และยังมีการทำอาหารเจกระทะใหญ่ “ผัดหมี่ 10 จักรพรรดิมังกร” ในวันเปิดงาน รวมไปถึงมีร้านอาหารเจแบบ สตรีทฟู๊ด กว่า 150 ร้านเรียงรายกันตลอดทั้งเส้นถนนเยาวราช ซึ่งเราก็มีตัวอย่างอาหารเจมา รีวิวของกิน กันบางส่วนเพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อย

วัดมังกร

1. ผัดหมี่เจ

เมนูยอดฮิตในช่วงเทศกาลกินเจไม่ว่าจะเป็นผัดหมี่ซั่ว ผัดหมี่ฮกเกี้ยน ผัดหมี่ฮ่องกง ฯลฯ เป็นการนำเส้นหมี่มาผัดเข้ากับผักพร้อมปรุงรสให้ออกมากลมกล่อม ชาวจีนเชื่อว่าการรับประทานหมี่เป็นการถือเคล็ดว่าจะมีสุขภาพแข็งแรงและอายุยืนยาวเหมือนกับเส้นหมี่นั่นเอง แน่นอนว่าในงานกินเจเยาวราชมีผัดหมี่เจหลากหลายร้านรอเสิร์ฟความอร่อยอยู่แน่นอน

2. ตือคาโค

เมนูของทอดที่มีทั้งเผือก ถั่ว ข้าวโพด ไชเท้า นำมาผสมแป้งแล้วทอด ซึ่งจะวางขายพร้อมกับเต้าหู้ทอด ปอเปี๊ยะทอด เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มรสกลมกล่อมถือว่าเป็นเมนูของว่างยอดนิยมในช่วงกินเจเลยทีเดียว

3. กระเพาะปลาเจ

เมนูนี้เป็นอีกเมนูหนึ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมาเดินเที่ยวงานกินเจที่เยาวราช เป็นการนำกระเพาะปลาเจมาตุ๋นกับยาจีนหลายชนิดจนให้น้ำซุปที่เข้มข้น รสชาติกลมกล่อมหอมพริกไทยและยาจีน

4. ก๋วยเตี๋ยวเจ

อีกหนึ่งเมนูที่ห้ามพลาดเมื่อมางาน กินเจเยาวราช2565 ก็คือบรรดาก๋วยเตี๋ยวเจทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเย็นตาโฟ ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส รวมไปถึงก๋วยจั๊บ ซึ่งแต่ละร้านก็งัดสูตรเด็ดเฉพาะตัวออกมาให้ได้เลือกชิมกันอย่างจุใจ

5. ขนมกะลอจิ๊

ขนมโบราณแบบจีนที่เราอยากให้คุณลอง เป็นขนมที่ทำมาจากแป้งข้าวเหนียวแล้วนำไปทอดจนกรอบ คลุกกับน้ำตาลและงา ให้รสสัมผัสที่กรอบนอกนุ่มใน เหนียวหนึบเคี้ยวเพลินเลยทีเดียว ปัจจุบันนี้หาทานได้ยากมาก ถ้าได้มาเยาวราชในช่วงนี้ต้องรีบมาชิม

นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของ รีวิวของกิน ที่มีขายในเทศกาลกินเจเยาวราช 2565 ยังมีอาหารเจอีกหลายชนิดรอคุณอยู่ ถ้าหากปีนี้คุณมีแพลนจะกินเจแล้วล่ะก็เยาวราชเป็นอีกที่หนึ่งที่คุณไม่ควรพลาด

ที่มา

https://anyflip.com/owvjq/yvol/

http://www.horonumber.com/news-3027

https://promotions.co.th/สำรวจตลาด/ข่าวสาร/vegetarian-food-in-2021-is-on-which-date.html

https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2501862

https://food.trueid.net/detail/R54KJM3n01rV?utm_source=web-trueid&utm_medium=ctw&utm_term=clicklink&utm_campaign=travel_kgokOlNoWrag_relatecontent_food_R54KJM3n01rV_20/09/2022