Bangkok Art Biennale 2022 กลับมาแล้ว 12 แห่งทั่วกรุงเทพฯ

คนรักศิลปะเตรียมเสพ กรุงเทพ ของเรากำลังจะเป็นศูนย์กลางงานศิลป์ระดับโลก เทศกาล Bangkok Art Biennale (บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่) งานรวมเหล่าศิลปินครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งมีที่มาจากเทศกาล Art Biennale แห่งประเทศอิตาลี ครั้งแรกสุดของ Art Biennale ผ่านมานานกว่าร้อยปีแล้วที่เมืองเวนิส หลังจากนั้นก็ได้ขยายการจัดงานไปในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย และสำหรับประเทศไทยมีการจัดงานมาแล้ว 2 ครั้งในชื่อ Bangkok Art Biennale

 

จากเวนิสสู่กรุงเทพ เทศกาลศิลปะร่วมสมัยที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

ย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ครั้งแรกของเทศกาล Bangkok Art Biennale จัดขึ้นด้วยแนวคิด “สุขสะพรั่ง พลังอาร์ต” หรือ “Beyond Bliss” ครั้งนั้นมีศิลปินระดับโลกรวมศิลปินชาวไทยเข้าร่วมแสดงผลงานถึง 75 คน เป็นเทศกาลที่จัดยาวตั้งแต่เดือนตุลาคม 2018 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2019 เรียกว่าสุขสะพรั่งกันข้ามปี รูปแบบการจัดงานคือ ผู้จัดจะเลือกแลนด์มาร์คสำคัญ ๆ ใจกลาง กรุงเทพ มากกว่า 10 แห่งเป็นสถานที่จัดงาน อาทิ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร, มิวเซียมสยาม, เซ็นทรัลเวิลด์, วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ฯลฯ ซึ่งในปีนั้นสถานที่จัดงานทุกแห่งเนืองแน่นไปด้วยแฟนพันธุ์แท้ของศิลปินทุกแขนง ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้พลังศิลปะเป็นแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้รักงานศิลป์ เพิ่มมนต์ขลังให้กรุงเทพมหานครเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของโลกที่น่าค้นหา 

หลังจากประสบความสำเร็จในการจัดงานครั้งแรกไปแล้ว Bangkok Art Biennale ได้ถูกจัดให้มีขึ้นอีกครั้งในปี 2020 ซึ่งปีนั้นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของคนไทยและคนทั่วโลกที่ต้องประสบกับสถานการณ์โควิด-19 อันร้ายแรง โยงใยพัวพันไปถึงปัญหาต่าง ๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม แผนการจัดงานครั้งนั้นก็ยังดำเนินต่อไป โดยทางคณะผู้จัดงานมีความหวังว่า ศิลปะจะเข้ามาช่วยบำบัดจิตใจที่บอบช้ำของชาวโลกได้บ้าง ตามคอนเส็ปท์ “Escape Route” หรือชื่อไทยว่า “ศิลป์สร้าง ทางสุข” ครั้งนั้นมีศิลปินรวม 82 คน เปิดให้เข้าชมงานในแบบ New Normal ท่ามกลางโควิด

 
 

CHAOS : CALM คอนเซ็ปต์ใหม่ Bangkok Art Biennale 2022

เทศกาลศิลปะร่วมสมัยปีนี้ มูลนิธิ Bangkok Art Biennale ได้รับความร่วมมือจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ, กรุงเทพมหานคร พร้อมกับหน่วยงานรัฐและเอกชนอีกหลายแห่งในการจัดงาน Bangkok Art Biennale 2022 ซึ่งจะมาในคอนเซ็ปท์ “CHAOS : CALM” ซึ่งสื่อความหมายถึงความวุ่นวายสับสนของชาวโลกที่ถูกไวรัสคุกคาม ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็ต้องดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอดและต้องหาวิธีปรับตัวได้ ซึ่งจะทำให้ค้นพบหนทางแห่งความสงบสุขท่ามกลางความโกลาหลที่ยังวนเวียนอยู่ บางคนอาจจะไม่เข้าใจว่า ระหว่างความโกลาหลกับความสงบสุขนั้นจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันได้อย่างไร แต่ในมุมมองของศิลปิน ต่างเชื่อว่าสามารถที่จะเป็นไปได้โดยอาศัยความรัก ความเห็นอกเห็นใจของคนที่อยู่ร่วมในสังคมเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ทุกคนผ่านพ้นอุปสรรค และค้นพบความสุขในที่สุด นี่คือแนวคิดที่น่าสนใจและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

 
 

Bangkok Art Biennale 2022 มีที่ไหนบ้าง

สถานที่จัดงานยังคงยึดแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ บวกกับการแสดงดิจิทัลอาร์ตในโลกออนไลน์อีก 1 ช่องทาง มีที่ไหนบ้าง รวมมาแล้ว โดยทั้งสิ้น 12 พื้นที่ที่เราทุกคนสามารถเลือกเข้าชมความอลังการของงานนี้ได้

 

1. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

 

2. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

 

3. วัดประยูรวงศาวาสวรวิหาร

 

4. หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

 

5. ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

 

6. มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้

 

7. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

 

8. สามย่านมิตรทาวน์

 

9.เดอะ ปาร์ค

 

10. เดอะพรีลูด วันแบงค็อก

 

11. JWD Art Space 

 

ศิลปินไทย ร่วมแสดงผลงานกับ ศิลปิน เอกระดับโลก

งานนี้ไม่ใช่การประชันฝีมือ แต่เป็นการพบกันด้วยหัวใจของศิลปินหลายชาติหลายภาษาที่จะมาร่วมกันถ่ายทอดผลงานรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 200 ชิ้นที่ศิลปิน 73 ท่านจาก 35 ประเทศรวมประเทศไทยได้สร้างสรรค์ขึ้นเพื่องานนี้โดยเฉพาะ นำทีมโดยศิลปินเอก แอนโทนี กอร์มลีย์ เจ้าของผลงานประติมากรรมอันโดดเด่นและไม่เหมือนใคร ผลงานของเขาติดตั้งอยู่ตามสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นงานปั้นรูปคนกว่า 100 ชิ้นที่ตั้งอยู่เต็มชายหาดครอสบี เมืองลิเวอร์พูล, งานประติมากรรมเหล็กรูปนางฟ้า ชื่อ Angel of the North 

สำหรับศิลปินท่านอื่น ๆ ที่ตอบรับมาร่วมงานนี้มีทั้งศิลปินที่คนในวงการรอคอยอย่าง มารีน่า อบราโมวิช จากสหรัฐอเมริกา เพราะเธอคือศิลปินที่เคยมาสร้างความประทับใจให้กับคนไทยในเทศกาลนี้แล้วทั้ง 2 ครั้ง นอกจากนั้นก็มีศิลปินผู้โด่งดังสัญชาติต่าง ๆ  อาทิ 

  • เคนเนดี ยานโค ชาวอเมริกัน 
  • ทิฟฟานี ชุง ลูกครึ่งเวียดนาม-อเมริกัน
  • จิติช กัลลัต ชาวอินเดีย
  • ชิฮารุ ชิโอตะ ชาวญี่ปุ่น
  • มิร์ทิลล์ ทิแบย์เรงซ์ ชาวฝรั่งเศส
 
 

5 เดือนแห่งความโกลาหล และความสงบสุข เริ่มตุลาคม 2565

แนวคิด “โกลาหล : สงบสุข” จะถ่ายทอดออกมาได้ปังแค่ไหน เราจะได้เห็นกันในอีกไม่นาน เทศกาล Bangkok Art Biennale 2022 จะเริ่มจัดวันแรก 22 ตุลาคม 2565 ไปจนถึง 23 กุมภาพันธ์ 2566 มีเวลาให้ชมกันนานถึง 5 เดือน คนรักศิลปะห้ามพลาด

 

ที่มาข้อมูล:

เที่ยวสิงค์โปร 2565 ถ่ายรูปสวยๆที่ไหนดี จุดเช็คอินล่าสุด

สิงค์โปรเป็นจุดหมายปลายทางที่คนไทยนิยมเดินทางไป เที่ยวต่างประเทศ เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวสวยงามมากมาย ตะลุยแหล่งชิมแหล่งช้อป เที่ยวสนุกสไตล์ตอบโจทย์ครบถ้วนทุกความพึงพอใจ แม้จะเป็นประเทศบนเกาะเล็กๆ แต่อุดมด้วยธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมที่หลอมรวมกับความทันสมัยได้อย่างลงตัว ถ้าถามนักท่องเที่ยวมือใหม่ถึงประสบการณ์เที่ยวสิงคโปร์ เชื่อว่าหลายคนไม่ทราบว่ามีจุดเช็คอินทีเด็ดแอบซ่อนไว้มากมายอย่างเหลือเชื่อ หากมีโอกาสไปเยือนสักครั้งคุณจะพบมุมมองใหม่ๆ แตกต่างจากที่เคยคิด

 
https://www.tiktok.com/@airportels/video/7153520979732401435?is_copy_url=1&is_from_webapp=v1
 

จุดเช็คอิน น่าสนใจที่เลือกมาแนะนำ 9 แห่ง มีดังนี้

1. Library @ Orchard 

ไปสิงคโปร์ไปเที่ยมชมห้องสมุดกัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าห้องสมุดกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่ชิลมาก ด้วยไอเดียการจัดผังห้องสมุดอย่างเก๋ไก๋ มีมุมนั่งอ่านกระจายไปทั่ว บรรยากาศเงียบสงบมองออกไปชมวิวสวนสาธารณะ เปิดให้ชาวสิงคโปร์เข้าไปใช้บริการฟรี ทุกรายการที่ค้นหา ยืม หรือคืนหนังสือเป็นระบบดิจิตอลทั้งหมด ห้องสมุดแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 สถานที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง บริเวณชั้น 3 และ ชั้น 4 ในห้างสรรพสินค้า Orchard Gateway Shopping ซึ่งปกติเป็นย่านช้อปปิ้งชื่อดัง หลังจากปิดปรับปรุงช่วงปี พ.ศ. 2550 แล้วกลับมาเปิดใหม่ได้อัปเกรดเป็นห้องสมุดแนวบูติคสุดล้ำแตกต่างจากห้องสมุดธรรมดา กลายเป็นไวรอลที่นักท่องเที่ยวปักหมุดไว้ต้องไม่พลาดมาเยือนพร้อมถ่ายรูปสวยๆ กลับไป พื้นที่ข้างในไม่ใหญ่มากแต่ข้างในมีมุมสวยๆ หลายมุม อยากถ่ายรูปก็สามารถทำได้ หากไม่อยากถ่ายรูปที่ติดคนเยอะ ควรแวะเข้าไปช่วงเช้าที่ยังไม่ค่อยมีคน 

เวลาทำการ : เปิดทุกวัน 11.00–21.00 น.
การเดินทาง : ลงสถานี MRT Somerset เดินมาที่ Orchard Gateway ชั้น 3

 
 

2. Potato Head Singapore

ร้านอาหารและรูฟท็อปบาร์บรรยากาศสบายๆ ชื่อ Potato Head เป็นอาคารเก่าแก่ตั้งอยู่ในย่านไชน่าทาวน์ของสิงคโปร์ ลักษณะเป็นตึกสีครีมขอบแดง 3 ชั้น ชั้นล่างสุดเป็นร้านเบอร์เกอร์ ถัดไปอีกชั้นก็เป็นที่นั่งเหมือนกัน และรูฟท็อปค็อกเทลบาร์บนดาดฟ้าที่ควรจองที่นั่งล่วงหน้าในวันหยุดสุดสัปดาห์ การตกแต่งร้านสไตล์คลาสสิกย้อนยุคแต่งโคมไฟระย้าให้แสงนวลอบอุ่นและกระเบื้องพื้นลายตารางหมากรุก พนักงานเป็นกันเองและบริการทันสมัยสแกน QR code บนโต๊ะดูเมนูออนไลน์สั่งค็อกเทลสไตล์ทรอปิคอลที่มีส่วนผสมของน้ำผลไม้รสเปรี้ยวอย่างมะนาว สับปะรด และเสาวรส  เนื่องจากตัวอาการตั้งเด่นอยู่กลางสามแยกบนถนน Keong Saik จึงถือเป็นแลนด์มาร์ค สถานที่ถ่ายรูปที่ไม่ว่าใครมาเที่ยวเป็นต้องถ่ายเก็บช็อตตึกนี้ลงโซเชียลกันแทบทุกคน 

เวลาทำการ : วันจันทร์ถึงพฤหัสบดีเปิด 17.00-24.00 น. วันศุกร์ถึงอาทิตย์เปิด 16.00-24.00 น.
การเดินทาง : ลงที่สถานี China Town ประตู C เดินประมาณ 10 นาทีถึง

 
 

3.Buddha Tooth Relic Temple

วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว หรือเรียกว่าวัดเขี้ยวแก้ว เป็นวัดสำคัญของชาวสิงคโปร์อยู่ใกล้ย่านไชน่าทาวน์ เป็นสถานที่ประดิษฐานของพระทันตธาตุ หรือฟันของพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ ใครไปเที่ยวชมวัดต้องแต่งกายเรียบร้อย หลีกเลี่ยงสายเดี่ยว เสื้อแขนกุด กางเกงขาสั้น แต่ทางวัดแจกผ้าถุงให้ยืมฟรีเพื่อนักท่องเที่ยวไปแล้วก็ไม่อยากให้เสียเที่ยว ลักษณะอาคารสถาปัตยกรรมเป็นวัดพุทธของจีนในสมัยราชวงศ์ถังผสมผสานกับศิลปะมันดาลา สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2550 ด้วยเงินทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ตัวอาคารมีทั้งหมด 9 ชั้น ชั้น 1 เป็นที่ประดิษฐานของพระประทานพร ชั้น 2 และ 3 เป็นส่วนพิพิธภัณฑ์จัดแสดงพระพุทธรูปและสิ่งล้ำค่าต่างๆ ห้องสมุด และร้านขายของฝากของที่ระลึก บริเวณชั้น 4 เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในสถูปใหญ่ และระฆังยักษ์ ชาวพุทธบางคนมานั่งสมาธิ สวดมนต์ บ้างก็เดินเวียนเทียนรอบๆ ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล คนไทยสายบุญไปเที่ยวสิงคโปร์ต้องไปกราบขอพรกันให้ได้ ชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้ามีสวนหย่อมเล็กๆ ให้พักผ่อนหลังจากเดินเที่ยวชมทั้งอาคารใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

เวลาทำการ : ทุกวันเวลา 9:00 – 18:00 น.
การเดินทาง : สถานี Chinatown ทางออก A

 
 

4. Fort Canning Park Tree Tunnel

จุดถ่ายรูปยอดฮิตอีกแห่งของเหล่าฮิปสเตอร์ บริเวณอุโมงค์ต้นไม้สีเขียวใจกลางเมืองที่สวนสาธารณะฟอร์ทแคนนิง (Fort Canning Park) ซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของสิงคโปร์ การเดินทางไปสวนสาธารณะไม่ไกลจากตึก Park Mall ที่สถานีรถไฟฟ้า Dhoby Ghaut MRT Station โดยจุดเช็คอินนี้มีนักท่องเที่ยวมาเช็คอินถ่ายรูปกันเต็มไปหมด ถือเป็นแหล่งถ่ายรูปพรีเวดดิ้งที่ได้รับความนิยมด้วย คนถ่ายรูปต้องอยู่ด้านล่างแล้วถ่ายมุมเสยขึ้นไปเพื่อเก็บภาพอุโมงค์และต้นไม้ด้านบน หรือจะถ่ายบันไดวนจากด้านบนลงมาด้านล่างก็ได้มุมแปลกตาอีกแบบ แนะนำให้ไปตอนเช้าไม่ค่อยมีคนจึงจะลองหามุมถ่ายสวยได้หลายแบบโดยไม่มีคนอื่นมายืนให้เกะกะ บริเวณใกล้เคียงมีอุทยานและพิพิธภัณฑ์ชื่อดังของสิงคโปร์ ถ้าได้ไปแล้วอย่าให้เสียเที่ยว แวะไปถ่ายรูปอุโมงค์ต้นไม้สักแป๊บก็แล้วกัน

อุโมงค์ต้นไม้ Fort Canning Park
การเดินทาง : MRT มาลงสถานี Dhoby Ghaut ออก Exit B

 
 

5. Garden by the bay

สวนพฤกษศาสตร์ใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ เป็นโครงการสร้างสร้างปอดใจกลางเมืองโดยการถมดินบนทะเลริมอ่าวมารีน่าเป็นพื้นดินปลูกต้นไม้นานาชนิด แบ่งเป็นโซนเรือนต้นไม้ และโซนป่าและน้ำตกจำลอง มีทางเดินลอยฟ้ามองออกไปเห็นทัศนียภาพของสวนแนวตั้งและวิวอ่าวรอบๆ โซนสวนแนวตั้งเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ทำเป็นรูปต้นไม้ยักษณ์เรียกว่า Supertrees จำนวน 18 ต้น มีความสูงหลากหลายตั้งแต่ 25-50 เมตร เพื่อใช้ปลูกพืชเมืองร้อนเป็นไม้ดอกไม้ประดับและเฟิร์นให้ความร่มรื่นเขียวขจีในตอนกลางวัน ด้านบนติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อให้พลังงานหลอดไฟส่องสว่างหลากสีสันในตอนกลางคืน ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ออกแบบเป็นพิเศษให้ความสดชื่นเย็นฉ่ำสมกับเป็นปอดใจกลางเมืองที่เปิดให้เข้าชมฟรีตลอดวัน และมีการแสดงแสดง สี เสียง ทุกค่ำคืนเป็นเวลา 1 ชั่วโมงด้วย

อย่าลืมลงมาดูโชว์แสง สี เสียง ที่ Garden Rhapsody นักท่องเที่ยวเค้ามาจองที่นั่งและนอนรอดูกัน วันมี 2 รอบ ระหว่าง 19:45 น. และ 20:45 น. ห้ามพลาดนะ
การเดินทาง : ให้นั่ง MRT มาลงสถานี Bayfront ทางออก B 

 
 

6. Capsule Pod Boutique Hostel

ที่พักแบบแคปซูลเป็น พิกัดถ่ายรูป2565ที่หลายคนอยากไปชมดูสักครั้งว่าบรรยากาศเป็นอย่างไร เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็กเกอร์ที่ต้องการเพียงห้องพักส่วนตัวเล็กๆ ใกล้แห่งช้อปปิ้งย่านถนน Haji Lane และถนน Arab Street มีห้องนอนพร้อมบุฟเฟต์อาหารเช้าทุกวันมีให้เลือกเป็นเซ็ท ลูกค้าใช้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย Wi-Fi ฟรี ส่วนห้องน้ำเป็นห้องรวมมีครบทั้งห้องอาบน้ำ สุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้าในห้องเดียว พร้อมผ้าเช็ดตัวและเครื่องใช้ในห้องน้ำให้ฟรี ในห้องพื้นที่กะทัดรัด เตียงและผ้านวม พร้อมช่องเก็บของ ช่องเสียบปลั๊กไฟ ไฟอ่านหนังสือ และราวแขวนผ้า ถ้าเป็นห้องแบบบิสซิเนสพ็อดจะมีบริการแล็ปท็อปให้ใช้งานฟรี พร้อมเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้าแห้ง สำหรับซักรีดแบบบริการตัวเอง ราคาค่าห้องถือว่าไม่แพงมาก ใครอยากสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ลองพักโรงแรมแนวแคปซูลที่นี่สักคืนก็ไม่เสียหายอะไร

การเดินทาง : สถานี Chinatown

 
 

7. Capita Spring

พูดถึง จุดเช็คอินถ่ายรูปชมวิวโด่งดังที่สุดในสิงคโปร์ คงหนีไม่พ้นเมอร์ไลออน รูปปั้นกึ่งสิงโตกึ่งปลา ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสิงคโปร์บริเวณ Merlion Park ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ซึ่งเราเคยผ่านตากันมาแล้ว แต่นักท่องเที่ยวมือใหม่อาจไม่ทราบว่าใกล้ๆ กันมีจุดชมวิวน่าสนใจอีกแห่ง คือสวนลอยฟ้า (Sky Garden) อยู่ชั้น 51 ของตึก  Capita Spring ซึ่งเป็นอาคารที่ตั้งออฟฟิศ ที่พักอาศัย และร้านอาหารของบริษัท CapitaLand Development สำหรับสวนลอยฟ้าเป็นโซนที่เปิดให้คนนอกเดินขึ้นไปชมวิวและถ่ายรูปได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย เปิดเฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ภายในเวลาทำการของออฟฟิศ โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลาคือ รอบเช้า 8:30 – 10:30 น. และรอบบ่าย 14:30 – 18:00 น. เมื่อขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกสูงแล้วมองออกไปจะเห็นท้องฟ้าสวยและวิวทะเลของอ่าวมารีน่าทั้งหมด ถือเป็นจุดชมวิวดีที่สุดแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ นอกจากวิวบนสวนลอยฟ้าชั้น 51 แล้ว  ยังมีโซน Green Oasis ระหว่างชั้น 17-20 ที่จัดแต่งเป็นสวนภายในตึกให้เดินเล่นรอบๆ จัดมุมนั่งชิลๆ ชมเมืองได้ 360 องศาเช่นกัน

เวลาเปิดปิด : Green Oasis วันจันทร์-ศุกร์ – ชั้น Level 17 : 7:30–22.30 น. / ชั้น Levels 18–20 : 7:30–18.00 น.
เวลาเปิดปิด : Sky Garden วันจันทร์-ศุกร์ – ชั้น Level 51 : 7:30–22.30 น.
การเดินทาง : อยู่ใกล้สถานี MRT Raffles Place เดิน 5 นาที

 
 

8.Marina One

จุดถ่ายรูปที่ไม่ควรพลาดในทริปเที่ยวสิงคโปร์คือสวนในตึกซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูสย่าน Marina Bay มีดีไซน์สถาปัตยกรรมล้ำเลิศมาก มองจากด้านนอกเห็นเป็นอาคารสี่เหลี่ยมขนานกับถนน แต่ออกแบบใจกลางอาคารเป็นสวนแนวดิ่งสร้างพื้นสีเขียวที่ร่มรื่น ทางเดินในสวนและแนวกันสาดเป็นเส้นคดโค้งรูปทรงอิสระ ไฮไลท์เป็นน้ำตกจำลองสูงถึง 13 เมตร ถ่ายรูปสวยๆ ได้หลายมุม ถือเป็นต้นแบบของงานภูมิสถาปัตยกรรมที่ผสานกับสถาปัตยกรรมอย่างกลมกลืน สร้างปอดใจกลางเมืองที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในย่านธุรกิจของสิงคโปร์ได้อย่างเหลือเชื่อ

เวลาทำการ : เปิดทุกวัน 24 ชม.
การเดินทาง :
ลงสถานี MRT Marina One เดิน 5 นาที

 
 

9. Ministry of Communications & Information

อาคารยอดฮิตที่ใครผ่านก็ต้องขอถ่ายรูปสักหน่อย แต่ใครจะไปคิดว่าที่นี่ คืออดีตอาคารกองบัญชาการตำรวจแห่ง สิงค์โปร แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นอาคารกระทรวงวัฒนธรรมชุมชนและเยาวชนเป็นที่เรียบร้อย ความโดดเด่นของตึกก็อยู่ที่สีสันของหน้าต่าง ที่ไล่สีทำให้ดูน่ารัก จำนวน 927 บานไล่โทนไปมาเป็นสีรุ้ง ตัวอาคารมีทั้งหมด 6 ชั้น ในทุกๆชั้นจะมีหน้าต่างเรียงรายในขนาดและรูปทรงเท่าๆกันจำนวน 927 บานด้วยกัน และทำเป็นโซนสีสันที่ตัดกันเป็นสีรุ้งซึ่งทำให้ตึกนี้กลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งหนึ่งในย่านคลาร์กคีย์(Clarke quay)ไปเลย หน้าต่างที่เป็นสีรุ้งสวยงาม ที่มีมากถึง 927 หน้าต่างเลยค่ะ

การเดินทาง : นั่งMRT มาลงสถานี Clarke Quay ออก Exit B

 
 

สิงค์โปรเป็นประเทศที่ใกล้บ้านเรา เดินทางง่าย  ใครอยากไปเที่ยวควรเช็คแพ็คเกจโปรแกรมทัวร์กันให้ดี มีแลนด์มาร์กที่น่าสนใจอีกมาก อย่างที่รู้กันว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีความหลากหลาย จุดปักหมุดโดดเด่นที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันตลอด เช่น มัสยิดสุลต่านสีทองที่สวยงามและมีอายุเกือบ 200 ปี ตั้งอยู่ในย่าน Bugis เป็นชุมชนของหลายเชื้อชาติ ทั้งมุสลิม อินเดีย และมลายู ถัดจากมัสยินสุลต่านเดินไปตาม Arab street เข้าสู่ย่าน Haji lane ซึ่งเป็นแหล่งรวมสตรีทอาร์ตและ Grafity ที่เหมาะกับการถ่ายรูปสุดคิ้วท์อวดในโซเชียล อ่านมาถึงตรงนี้คงมองเห็นภาพแล้วสิงคโปร์เป็นจุดหมายปลายทาง เที่ยวต่างประเทศที่ไปเยือนครั้งเดียวไม่เคยพอจริงๆ 

 

ที่มาข้อมูล :

8 อาร์ตแกลลอรี่ในกรุงเทพฯ เสพศิลป์เติมพลังใจ

การเที่ยวชมงานศิลปะนั้นนับว่าเป็นการสร้างสุนทรียะให้กับชีวิตและช่วยผ่อนคลายความเคร่งเครียดจากชีวิตประจำวันได้ เพราะทุกวันนี้หลายคนต้องพบเจอกับความเร่งรีบทั้งการจราจรในแต่ละวัน รวมไปถึงการงานที่รัดตัวจนก่อให้เกิดความเครียดและปัญหาสุขภาพตามมา สิ่งเหล่านี้ล้วนกัดกินให้คนกรุงค่อย ๆ หมดไฟและขาดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต การได้ออกไปเสพงานศิลป์ปล่อยใจสบาย ๆ ดื่มด่ำกับงาน อาร์ต จึงช่วยเยียวยาและเพิ่มพลังทางใจได้ แล้วจะไปที่ไหนกันดีล่ะ วันนี้เราจึงมีข้อมูลดี ๆ มาแนะนำ 8 อาร์ตแกลลอรี่ ในกรุงเทพฯ สำหรับใครที่อยากเติมพลังใจด้วยศิลปะ จะได้ตามไปเช็กอินแต่ละแห่งกัน

 

1. หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน, กรุงเทพฯ

หอศิลป์ ที่เน้นจัดแสดงศิลปะร่วมสมัย ตั้งอยู่ใจกลางถนนราชดำเนินกลาง ภายในแบ่งออกเป็น 2 โซน ได้แก่ โซนนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยที่มีงานศิลปะหลากหลายแบบผลัดเปลี่ยนกันมาแสดงแบบไม่ซ้ำ และโซนวัฒนธรรมอาเซียนที่ให้ความรู้เกี่ยวกับอาเซียน รวมไปถึงศิลปวัฒนธรรมในกลุ่มชาติอาเซียน นอกจากนั้นยังมีจัดกิจกรรมการอบรม เสวนา หรือเวิร์กช็อปเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมใน 6 สาขา ได้แก่ ทัศนศิลป์ สถาปัตยกรรม วรรณศิลป์ ดนตรีและการแสดง การออกแบบ และภาพยนตร์ 

 
 

พิกัด : ถนนราชดำเนินกลาง ตรงข้ามอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

เวลา เปิด – ปิด : 

  • นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย ชั้น 1 และ 2 เปิดวันอังคาร – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 19.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
  • ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ชั้น 3 เปิดวันอังคาร – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 12.00 น. และ 13.30 – 17.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์)

ช่องทางติดต่อ : www.rcac84.com

 

2. River City Bangkok

แกลเลอรีแสดงงานศิลปะและแอนทีค มีนิทรรศกาลศิลปะนานาชาติหมุนเวียนกันมาจัดแสดง ครอบคลุมทั้งงานทัศนศิลป์ งานปั้น งานหล่อ งานคราฟท์ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีจัดแสดงดนตรีและฉายภาพยนตร์ด้วย เรียกได้ว่าครบจบทุกงานอาร์ต อีกทั้งยังสามารถร่วมประมูลงานศิลปะที่ชอบได้อีกด้วย ใครที่เป็นสายอาร์ตพลาดไม่ได้เลย

 
 

พิกัด : ท่าเรือสี่พระยา ซอยเจริญกรุง 24 หรือ 30 

เวลา เปิด – ปิด

  • วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 11.00 – 20.00 น.
  • วันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 10.00 – 20.00 น.

ช่องทางติดต่อ : www.facebook.com/RiverCityBangkok

 

3. หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

หอศิลป์ ใจกลางกรุง เดินทางง่าย ติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติ ภายในมีห้องจัดนิทรรศการศิลปะที่มีศิลปินหลากหลายสาขาหมุนเวียนกันมาแสดงงานศิลปะทั้งภาพถ่าย รูปวาด ประติมากรรม ศิลปะการจัดวาง ฯลฯ เรียกได้ว่าครบทุกแขนงของงานศิลปะให้คุณได้ดื่มด่ำกับงานศิลปะกันแบบจุใจ สาย อาร์ต ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

 
 

พิกัด : ถนนพระรามที่ 1 จากสถานี BTS สนามกีฬาแห่งชาติ 100 เมตร

เวลา เปิด – ปิด :

  • วันอังคาร – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 20.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์)

ช่องทางติดต่อ : www.facebook.com/baccpage

 

4. Rhythm of Arts Creative Space

พื้นที่จัดแสดงศิลปะแหล่งรวมของสายอาร์ต มีศิลปินผลัดกันมาจัดแสดงนิทรรศการอย่างไม่ขาดสาย งานศิลปะที่จัดแสดงส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะร่วมสมัย เช่น งานมีเดียอาร์ต ศิลปะที่ผสานสื่อและเทคโนโลยีแสง สี เสียงหลากหลายรูปแบบ แถมยังมีคาเฟ่ให้บริการเครื่องดื่ม ให้คุณได้เสพศิลป์กันครบทุกโสตประสาทกันเลยทีเดียว

 
 

พิกัด : ซอยอินทามาระ 26/2 MRT สุทธิสาร ทางออก 4

เวลา เปิด – ปิด :

  • ทุกวัน เวลา 17.00 – 22.00 น.

ช่องทางติดต่อ: www.facebook.com/RHYTHMthinker

 

5. The Jam Factory, กรุงเทพฯ

พื้นที่แสดงงาน ศิลปะ ย่านคลองสาน ที่เปิดให้คนรักงานศิลปะมาโชว์ของและแลกเปลี่ยนไอเดียกัน ภายในเป็นแกลเลอรีเน้นจัดแสดงงานหลากหลายประเภททั้งภาพวาด ภาพถ่าย ประติมากรรม มีเดียอาร์ต กราฟิกดีไซน์ รวมไปถึงภาพยนตร์ นอกจากนั้นยังมีโซนคาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านหนังสือด้วย

 
 

พิกัด : 41/5 ถ.เจริญนคร คลองสาน

เวลา เปิด – ปิด :

  • ทุกวันเวลา 11.00 – 20.00 น.

ช่องทางติดต่อ : www.facebook.com/TheJamFactoryBangkokhttp://www.facebook.com/TheJamFactoryBangkok

 

6. BANGKOK CITYCITY GALLERY, กรุงเทพ ฯ

แกลเลอรีแสดงงานศิลปะสไตล์มินิมอล ภายในจัดแสดงนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย โดยมีแนวคิดในการเปิดรับมุมมองใหม่ ๆ แนวคิดใหม่ ๆ โดยไม่มีกรอบ เปิดอิสระให้ทั้งศิลปินและผู้ชมได้ปลดปล่อยและเสพงานศิลป์แบบไร้ขีดจำกัด นอกจากนั้นภายในยังมีร้านหนังสือและห้องสมุดศิลปะไว้ให้บริการอีกด้วย

 
 

พิกัด : ซอยสาทร 1 แขวงทุ่งมหาเมฆ MRT ลุมพินี ทางออก 2

เวลา เปิด – ปิด :

  • วันพฤหัสบดี – อาทิตย์ เวลา 13.00 – 18.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ – พุธ

ช่องทางติดต่อ : www.facebook.com/bangkokcitycity และ https://bangkokcitycity.com/

 

7. MOCA

พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัยที่มีทั้งนิทรรศการศิลปะถาวรและแบบหมุนเวียน แบ่งเป็น 5 ชั้น โดยชั้นล่างเป็นพื้นที่จัดนิทรรศการหมุนเวียนและโซนเชิดชูเกียรติศิลปินแห่งชาติ ชั้น 2 เป็นงานศิลปะเกี่ยวกับความเชื่อของคนไทย ชั้น 3 จัดแสดงศิลปะเชิงความคิดฝันและจินตนาการภายใต้คติความเชื่อของคนไทย ชั้น 4 เป็นจิตรกรรมไทยร่วมสมัย และชั้น 5 แสดงศิลปะร่วมสมัยจากต่างประเทศ

 
 

พิกัด : ถนนกำแพงเพชร 6 ใกล้กับโรงพยาบาลจุฬาภรณ์และสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์

เวลา เปิด – ปิด :

  •  วันอังคาร – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 16.00 น. หยุดทุกวันจันทร์

ช่องทางติดต่อ : www.facebook.com/mocabangkok

 

8. JWD Art Space

ศูนย์รวมระบบการจัดเก็บงานศิลปะและบริการที่เกี่ยวข้องกับศิลปะร่วมสมัยครบวงจรทั้งการดูแลและขนส่ง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ให้จัดแสดงนิทรรศการศิลปะทั้งไทยและต่างประเทศ มีการจัดนิทรรศการศิลปะทั้งปี ทั้งงานวาดเขียน งานถ่ายภาพ รวมไปถึงงานศิลปะการจัดวาง มีเดียอาร์ต เรียกได้ว่าหลากหลายมาก

 
 

พิกัด : ซอยจุฬา 16 สามย่าน

เวลา เปิด – ปิด :

  • วันอังคาร – อาทิตย์ 10.00 – 19.00 น. หยุดทุกวันจันทร์

ช่องทางติดต่อ : www.facebook.com/JWDArtSpace

 

ทั้ง 8 อาร์ตแกลลอรี่ที่เรารวบรวมมานี้ เราคัดสรรมาเอาใจคนรักศิลปะอย่างเต็มที่ สุดสัปดาห์นี้ถ้าว่าง ๆ ไม่รู้จะไปไหน ลองออกไปเสพงานศิลปะ กันดู รับรองว่าคุณจะได้เปิดประสบการณ์ใหม่และได้รับแรงบันดาลใจดี ๆ กลับมาแน่นอน

 

ที่มาข้อมูล

One Day Trip 10 ที่เที่ยวในกรุงเทพฯ อัพเดทปี 2022

วันนี้ขอมาเอาใจคนที่อยากท่องเที่ยวแบบ วันเดย์ทริปในกรุงเทพฯ ด้วย 10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมาแรงปี 2022 คัดมาแล้วว่าเดินทางง่าย ให้คุณได้เพลิดเพลินแบบวันเดียวก็เที่ยวได้ จะมีสถานที่ไหนบ้างนั้นตามไปดูพร้อม ๆ กันได้เลย

 

1. วัดพระแก้ว

วัดพระแก้ว หรือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพฯ ที่นี่ประดิษฐานพระแก้วมรกตหรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระคู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่ครั้งก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ และยังมีสถาปัตยกรรมไทยอันวิจิตรตระการตาพร้อมกับหมู่มวลพระที่นั่งในเขตพระราชฐาน หอพระเทพบิดร และยังมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ตรงบริเวณระเบียงคดที่วิจิตรงดงามและเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางทัศนศิลป์และประวัติศาสตร์

  • ที่อยู่ : ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
  • พิกัด https://goo.gl/maps/PPNJHNWRpdtsP8Jd7
  • เปิดให้เข้าชม : 08.30-15.30 น.
  • ค่าเข้าชม : คนไทย เข้าชมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ชาวต่างชาติ ค่าเข้าชม บัตรราคา 500 บาท
    สามารถซื้อบัตรเข้าชมพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ผ่านช่องทางออนไลน์ล่วงหน้าได้อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนวันเข้าชม
 
 

2. วัดอรุณราชวราราม

อีกหนึ่งแลนมาร์กสำคัญของกรุงเทพฯ ก็คือ พระปรางค์วัดอรุณ ดังนั้น เที่ยวในกรุงเทพ ทั้งทีก็ต้องมาถ่ายรูป เช็กอิน กับพระปรางค์กันสักหน่อย แอบกระซิบว่ายามเย็นวิวที่นี่สวยมาก แถมยังได้รับลมเย็น ๆ จากแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย นอกจากนี้ บริเวณวิหารน้อยหน้าพระปรางค์ยังมีพระแท่นบรรทมของ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เชื่อว่าถ้าได้ลอดแล้วจะช่วยล้างอาถรรพ์คุณไสยทั้งหลาย

  • ที่อยู่: 158 ถ.วังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 10600
  • เวลาเปิด: ทุกวัน ตั้งแต่ 8.00 – 18.00 น.
  • ค่าเข้า: คนไทยฟรี ชาวต่างชาติคนละ 50 บาท
 
 

3. วัดโพธิ์

ข้ามแม่น้ำเจ้าพระมาอีกฝั่งของวัดอรุณฯ ก็จะพบกับวัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย เพราะที่นี่มีจารึกตำรายาแผนโบราณ ฤาษีดัดตน และสรรพวิชาอีกหลากหลายแขนง โดยในปัจจุบันนี้ก็ขึ้นชื่อเรื่องการนวดแผนไทย เปิดให้บริการและเปิดโอกาสให้ผู้สนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาลงเรียนวิชานวดแผนไทยได้อีกด้วย แต่ไฮไลท์เด่นของที่นี่ก็คือ เจดีย์ราย ที่มีมากกว่า 70 องค์รอบบริเวณวัด และพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ให้ได้มาสักการะขอพร 

  • ที่อยู่ : 2 ถนน สนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
  • เวลาเปิด :  ทุกวัน ตั้งแต่ 08.00 น.-16.30 น.
  • ค่าเข้า : ชาวต่างชาติมีค่าเข้าชมคนละ 200 บาท สำหรับคนไทยเข้าชมฟรี 
 
 

4. เยาวราช

แหล่งสตรีทฟู้ดที่สำคัญของกรุงเทพฯ ที่นี่เป็นย่านการค้าที่สำคัญของชาวไทยเชื้อสายจีน มีห้างร้านและร้านอาหารมากมายเปิดให้บริการทั้งกลางวันและกลางคืน ถือว่าเป็นสวรรค์ของสายกินเลยก็ว่าได้ อาหารขึ้นชื่อที่มาแล้วจะต้องกินให้ได้เลยก็อย่างเช่น ลอดช่องสิงคโปร์ บะหมี่จับกัง ปลาหมึกย่าง ขนมปังไส้ทะลัก ก๋วยจั๊บนายเอ็กซ์ บัวลอย 3 กษัตริย์ บะหมี่เกี๊ยวโอเดียน เป็นต้น

 
 

5. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่รวบรวมเอาโบราณวัตถุสำคัญที่ขุดค้นได้ในประเทศไทย ภายในมีอาคารจัดแสดงหลายอาคาร มีทั้งแสดงนิทรรศการหมุนเวียนและนิทรรศการถาวร จัดแสดงโบราณวัตถุตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ นอกจากนั้นยังจัดแสดงราชรถและเครื่องประกอบพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ 

  • ที่อยู่ : เลขที่ 4 ถนนหน้าพระธาตุ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
  • เวลาเปิด : เวลา 09.00-16.00 น. วันพุธ-วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ (ยกเว้นเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์)
  • ค่าเข้า : คนไทย 30 บาท  / ชาวต่างประเทศ 200 บาท
  • ยกเว้นค่าเข้าชม : เด็ก / นักเรียน / นักศึกษา / ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป / พระสงฆ์ / สมาชิก ICOM ICOMOS (แสดงบัตร)
 
https://travel.kapook.com/view208377.html
 

6. หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพ

ใครที่เป็นสายอาร์ต รักในการเสพงานศิลปะ ต้องไป เช็กอิน ที่นี่ให้ได้ เพราะที่นี่เป็นหอศิลปะที่ภายในมีห้องจัดแสดงนิทรรศการศิลปะของศิลปินทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนกันมาแสดงผลงานกันไม่ขาดสาย ทั้งภาพวาด ภาพถ่าย ประติมากรรม มีเดียอาร์ต และศิลปะแนวผสมผสาน ที่สำคัญยังเดินทางง่ายมาก อยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติเพียง 100 เมตร 

  • ที่อยู่ : เลขที่ 939 ถนนพระราม 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
  • เวลาเปิด : เปิดวันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 20.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์ และช่วงวันหยุดปีใหม่และสงกรานต์)
  • การเดินทาง : BTS สนามกีฬาแห่งชาติ ทางออกที่ 3 
 
 

7. สวนเบญจกิติ

แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS อโศก และ MRT สุขุมวิท เพียง 400 เมตร เป็นแหล่งเช็กอินของเหล่าวัยรุ่นและกลุ่มคนรักสุขภาพ เพราะที่นี่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ พื้นที่รวม 450 ไร่ ให้ได้เข้าไปสูดอากาศบริสุทธิ์ นั่งพักผ่อนหย่อนใจปล่อยใจสบาย ๆ กับธรรมชาติ หรือใครที่อยากออกกำลังกายก็มีทั้งทางวิ่งและทางจักรยาน ซึ่งแลนด์มาร์กที่สำคัญก็คือ Sky walk สามารถขึ้นไปถ่ายรูปสวย ๆ ได้

  • ที่อยู่ : Google Maps : สวนเบญจกิติ
  • เวลาเปิด : 05.00 – 21.00 น.
  • การเดินทาง : BTS และ MRT โดยมาลงรถไฟฟ้า BTS ที่สถานีอโศก หรือรถไฟฟ้า MRT สถานีสุขุมวิท 

อนุญาตให้นำรถยนต์ส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ หรือยานพาหนะอื่น ๆ เข้ามาในสวนได้ 2 ช่วงเวลา คือ

  • ตั้งแต่เวลา 05.00-09.00 น. และตั้งแต่เวลา 16.00-21.00 น.

สวนเบญจกิติ กับมาตรการโควิด 19

 
 

8. วัดสุทัศน์ เสาชิงช้า

ตระเวนเที่ยวกรุงเทพฯ แบบ Onedaytrip ยังไงก็ต้องมาถ่ายรูปกันที่เสาชิงช้า หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของกรุงเทพฯ เรียกได้ว่าถ้าไม่ได้ถ่ายกับเสาชิงช้าก็เหมือนเที่ยวกรุงไม่ครบไม่จบทริป หลังจากได้มาชมเสาชิงช้าแล้ว ก็ต้องไม่พลาดเข้าไปไหว้พระศรีศากยมุนีในวัดสุทัศน์ ซึ่งมีบรรยากาศภายในเงียบสงบมาก ที่สำคัญมีองค์ท้าวเวสสุวรรณให้ได้กราบขอพรกันด้วย บริเวณภายนอกวัดละแวกเสาชิงช้าก็ยังมีร้านอาหารดังระดับตำนานหลายร้านรอให้ไปลิ้มลองความอร่อย 

  • ที่อยู่ : 146 ถนนบำรุงเมือง แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพฯ
  • พิกัดhttps://goo.gl/maps/DMXB1iZ8hxpHn2dK8 
  • เวลาเปิด : ทุกวัน เวลา 08.00 – 21.00
 
 

9. มหานคร สกายวอล์ค

ที่นี่เป็นสถานที่ เที่ยวในกรุงเทพ ที่กำลังมาแรง ตั้งอยู่บนชั้น 78 ของตึกมหานคร ตึกดีไซน์สวยแปลกตาที่สูงที่สุดในประเทศไทย สามารถมองเห็นวิวของกรุงเทพฯ ได้แบบ 360 องศา แบบสุดลูกหูลูกตา ยิ่งบรรยากาศยามเย็นนั้นลมดีมาก แถมยังมองเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าตัดกับแสงสีของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนที่ค่อย ๆ มีแสงสว่างจากอาคารบ้านเรือน เป็นภาพที่สวยงามมาก จุดเด่นอีกอย่างก็คือสะพานกระจกใสที่มองเห็นด้านล่างสุดหวาดเสียว ใครไปเดินแล้วรับรองว่ามีขาสั่นแน่นอน

  • ที่อยู่ : ตึกคิง เพาเวอร์ มหานคร 114 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
  • เวลาเปิด : เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 – 22.00 นาฬิกา (รอบสุดท้ายที่เปิดให้เข้า คือ 21.00 นาฬิกา)
  • การเดินทาง : นั่ง BTS ลงที่สถานีช่องนนทรี ทางออกหมายเลข 3 , รถส่วนตัว มีบริการที่จอดรถฟรี
 
 

10. มิวเซียมสยาม

พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ที่ตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า MRT สนามไชย ภายในจัดแสดงนิทรรศการที่บอกเล่าทุกเรื่องของความเป็นไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การแต่งกาย สถาปัตยกรรม ความเชื่อ วัฒนธรรมและประเพณี ความโดดเด่นของที่นี่คือเป็นพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยที่ไม่ได้มีเพียงวัตถุโบราณเท่านั้น หากแต่เน้นการสื่อสารที่แปลกใหม่ เน้นให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมผ่านสื่อหลากหลายรูปแบบ

  • ที่อยู่ : 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
  • เวลาเปิด : เปิดให้บริการ 10.00 – 18.00 น. ,เปิดให้บริการวันอังคาร-วันอาทิตย์

ค่าธรรมเนียมเข้าชม

  • ผู้ใหญ่ 100 บาท
  • เด็ก 50 บาท
  • ชาวต่างชาติ​ 300 บาท
  • การเดินทาง : MRT ลงที่สถานี่สนามชัย ออกประตูพระบรมหาราชวัง
 
 

ทั้ง 10 สถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ ที่ไปเที่ยวชมได้ง่ายแบบ Onedaytrip นี้จะทำให้คุณได้รับประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบเหนือความคาดหมาย วันหยุดนี้ถ้าไม่รู้จะออกไปเที่ยวที่ไหน แนะนำเช็กลิสต์ทั้ง 10 ที่นี้ แล้วออกไป วันเดย์ทริปในกรุงเทพฯ กัน บางทีอาจจะได้เห็นเสน่ห์และมุมมองใหม่ ๆ ของกรุงเทพฯ ก็ได้

 

ที่มาข้อมูล

ที่เที่ยวปลายฝนต้นหนาว ชมทะเลหมอก เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2565

การท่องเที่ยวในเมืองไทยนั้น เรียกได้ว่าสามารถเที่ยวได้ทั้งปีจริง ๆ เพราะในแต่ละเดือน แต่ละฤดูกาล ประเทศไทยของเราก็มีสถานที่เที่ยวมากมาย เพื่อรองรับและตอบโจทย์นักท่องเที่ยวได้อย่างดีเสมอ และเมื่อมาถึงอีกหนึ่งฤดูของการเชื่อมต่อที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างช่วงเดือนตุลาคม ที่ใคร ๆ เรียกว่าปลายฝนต้นหนาว อากาศเย็นอ่อน ๆ แบบยังมีกลิ่นอายของ หน้าฝน ที่ผ่านพ้นไป ทำให้มี ทะเลหมอกที่สวยงามเกิดขึ้นระหว่างฤดูแบบนี้อีกด้วย วันนี้จึงขอแนะนำที่เที่ยวปลายฝนต้นหนาว ชมทะเลหมอก เดือนตุลาคม 2565 กัน ที่กำลังรอให้ทุกท่านออกไปเก็บความทรงจำดี ๆ ในฤดูแห่งความโรแมนติกนี้ด้วยกัน

 

1. สวนป่าดอยบ่อหลวง

เที่ยวเดือนตุลาคม 2565 ที่แรกที่อยากแนะนำให้หาโอกาสมาเยือน ทะเลหมอกยามเช้าของที่นี่ไม่ได้อยู่ยอดดอย แต่อยู่ที่ยอดสน ทะเลหมอกยามเช้าที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางป่าสนสูงใหญ่ ที่ต้องแหงนหน้ามองสุดปลายตา หมอกสีขาวแทรกตัวกลมกลืนได้อย่างงดงาม ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในป่าลึกของต่างประเทศกันเลยทีเดียว ภูมิทัศน์และลักษณะของพื้นที่ของสวนป่าดอยบ่อหลวงแห่งนี้ ออกแบบให้ธรรมชาติโอบล้อมที่พัก ซึ่งดูเข้ากันได้ดี โดยมีบ้านพักหลากหลายรูปแบบให้เลือกเข้าพักตามที่ชอบและยังมีพื้นที่ลานกว้างแบ่งเป็นโซนสำหรับการกางเต็นท์ เป็นอีกตัวเลือกสำหรับการเข้าพัก ซึ่งบ้านพักที่ได้รับความนิยมคือแบบไม้สนทรงหลังคาจั่วแหลมและมีห้องนอนใต้หลังคา แบบบ้านในนิทานฝรั่งที่ใครหลายคนเคยอ่านในวัยเด็ก บ้านหลังน้อยกลางป่าสนสูงใหญ่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ที่เขียวชอุ่ม เหมาะกับการมาใช้เวลาพักผ่อนเก็บความทรงจำดี ๆ ใช้ชีวิตช้า ๆ เนิบ ๆ ท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง บ้านองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ตั้งอยู่ในอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ริมถนนสาย 108 เส้นทางเดียวกับสวนสนบ่อแก้วและออบหลวง ซึ่งสามารถจองก่อนเข้าพักได้ตามกำหนดที่มีการแจ้งไว้ทางเฟซบุ๊ก

  • ตั้งอยู่ในอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ริมถนนสาย 108
 
 

2. บ้านป่าบงเปียง

เป็นท้องทุ่งนาข้าวแบบขั้นบันได ที่ปลูกไว้โดยลดหลั่นตามความลาดของพื้นที่ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา เป็นวิถีการใช้ชีวิตของชาวบ้านที่เพาะปลูกข้าวและพืชผัก หากแต่กลายเป็นภาพที่งดงาม ประกอบกับภูเขาเขียวขจีที่โอบล้อมหมู่บ้านและท้องนา เป็นสถานที่ซึ่งขอแนะนำให้หาโอกาสไปลองพักและใช้ชีวิตช้า ๆ ที่นี่ดู จะดีแค่ไหนหากตื่นเช้ามาแล้วสิ่งแรกที่มองเห็นตรงหน้าที่พักคือทะเลหมอกที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางนาขั้นบันไดที่เขียวขจี โอบล้อมไปด้วยภูเขาที่รายล้อมเหมือนการโอบกอดจากธรรมชาติ เป็นภาพประทับใจที่ต้องไปเก็บความทรงจำด้วยตาของตัวเอง เพราะนอกจากภาพความงดงามตรงหน้าแล้ว บรรยากาศเย็นชุ่มฉ่ำของปลายฝนต้นหนาวที่ไม่สามารถสัมผัสได้จากภาพถ่ายใด ๆ คืออีกความมีเสน่ห์ของการออกไปท่องเที่ยว เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด เพราะนี่คือแหล่งพลังงานที่สามารถเติมพลังให้กับร่างกายและจิตใจชั้นดีทีเดียว

  • ที่อยู่ : ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
 
Ban pa bong piang in Chiang mai, Thailand.
 

3. บ้านอีต่อง ตำบลปิล๊อก

เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ร่วมกันของคนไทยเชื้อสายพม่าและมอญ ที่มีมนต์เสน่ห์สำหรับผู้มาเยือน ทำเลที่ตั้งของหมู่บ้านซึ่งเคยเป็นเหมืองเก่าและถูกปิดมาก่อน อยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของภูเขา โดยมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางหมู่บ้าน ทำให้ในยามเช้ามีทะเลหมอกเป็นรางวัลให้ผู้มาเยือนได้ชื่นชมบรรยากาศทุกเช้า ยิ่งในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ยิ่งสวยมากเป็นพิเศษ หมอกสีขาวแทรกตัวอยู่กับแมกไม้สีเขียวสดและบ้านเรือนของชาวบ้าน วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ก็น่ารักและเรียบง่าย บรรยากาศร้านกาแฟยามเช้า ให้ผู้มาเยือนได้นั่งจิบเครื่องดื่มร้อน ๆ พร้อมกับทอดสายตาได้จนสาย สะพานเล็ก ๆ ที่หลายคู่รักมาคล้องกุญแจเหมือนที่สถานที่ชื่อดังของเกาหลี เป็นจุดที่ต้องถ่ายรูปบอกให้ชาวโลกรู้หากมีโอกาสมากับคู่รัก เป็นอีกกิจกรรมน่ารัก ๆ ท่ามกลางหมอกขาว ๆ ที่ลอยละล่องอยู่เป็นฉากหลังของภาพถ่ายที่งดงาม

  • อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
 
E-Tong Pilok village in Kanchanaburi
 

4.สะพานมอญสังขละบุรี

เป็นที่ท่องเที่ยวอีกที่ซึ่งงดงามมากในยามเช้าที่ ทะเลหมอก ปกคลุม ซึ่งในช่วงปลายฝนต้นหนาวอย่างเดือนตุลาคมนั้น ทะเลหมอกยามเช้ามีให้ชมแบบไม่ต้องลุ้นกันเลยทีเดียว สะพานไม้แห่งนี้คือสัญลักษณ์ของความสามัคคีและความศรัทธาของชุมชนชาวมอญที่มีต่อพระพุทธศาสนา โดยได้มีการยกย่องว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดยมีความยาว 850 เมตร ด้วยทำเลที่ตั้งของสะพานที่ล้อมรอบด้วยภูเขาเขียวขจีและพื้นน้ำด้านล่าง ทำให้บรรยากาศรื่นรมย์เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งวิถีชีวิตของชาวมอญที่อาศัยอยู่นั้นมีความน่าสนใจและเป็นมิตรกับแขกผู้มาเยี่ยมเยือน อีกทั้งรีสอร์ทน้อยใหญ่ก็มีให้เลือกเข้าพักในราคาที่เหมาะสมให้ได้ตื่นเช้ามาชมความสวยงามของทะเลหมอก ณ จุดเช็คอินที่สะพานมอญ

  • สะพานอุตตมานุสรณ์ กาญจนบุรี
 
 

5. เขาช่องลม

เป็นอีกสถานที่สำหรับชมทะเลหมอกยามเช้า ซึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อีกแห่งหนึ่งที่ควรหาโอกาสไปสักครั้งในวันหยุด ลำธารน้ำทอดยาวที่ไหลผ่านช่องเขาที่สองข้างโอบล้อมด้วยภูเขาน้อยใหญ่เขียวขจี ทำให้หลายคนเรียกที่แห่งนี้ว่าสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย ช่วงปลายฝนต้นหนาวท้องฟ้าสีสดใส อากาศเย็นอ่อน ๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่เขียวขจี มองไปสุดปลายตา ความงดงามของธรรมชาติที่ต้องไปเก็บเป็นความทรงจำด้วยสายตาตัวเองเท่านั้น ลำธารน้ำไหลเอื่อยและโขดหินรูปทรงหลากหลายมีให้ปีนป่ายอย่างเพลิดเพลิน ต้นไม้ดอกไม้แปลกตาระหว่างทางเดินที่เกิดจากธรรมชาติที่สมบูรณ์ของที่นี่ ก็เป็นภาพถ่ายสวย ๆ ให้ใครหลาย ๆ คนมักลงอวดผู้คนในโลกโซเชี่ยล อารมณ์การมาเที่ยวที่นี่จะเหมือนการไปแคมป์ปิ้งของชาวต่างประเทศ บางคนก็เลือกหาทำเลกางเต็นท์หรือหาที่พักใกล้ ๆ เพื่อมาชื่นชมและเก็บภาพถ่ายบรรยากาศยามเช้า ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับเพื่อน คู่รัก และครอบครัว อีกแห่งหนึ่งที่ขอแนะนำ

  • เขาช่องลม เขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก
 
khao chong lom
 

เสน่ห์ของฤดูกาลปลายฝนต้นหนาว ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมนั้น ถือเป็นช่วงที่ธรรมชาติอิ่มตัวและเตรียมพร้อมแล้วหลังจากใกล้จบ หน้าฝน ต้นไม้น้อยใหญ่อิ่มน้ำและงดงาม พร้อมอวดโฉมให้ผู้คนได้ออกเดินทางเพื่อท่องเที่ยวและชาร์จพลังงานกัน อากาศเย็น ๆ กับการนั่งจิบกาแฟหรือชา ชมสายหมอก นั่งดูความงดงามของธรรมชาติรอบ ๆ ตัว บางคนเรียกว่าการใช้ชีวิตอย่างสโลว์ไลฟ์หรือใช้ชีวิตให้ช้าลง ให้ธรรมชาติโอบล้อม ปลอบโยน เติมเต็ม ให้พลัง หนุนใจ เพื่อกลับมาใช้ชีวิตต่ออย่างมีคุณภาพต่อไป พร้อมต้อนรับฤดูกาลต่อไป

 

ที่มาข้อมูล

รวมสถานที่ทำพาสปอร์ตในกรุงเทพฯ อัปเดต 2565 เตรียมตัวบิน!!

 

ได้เวลาโบยบินอีกครั้ง อยู่กรุงเทพฯ นานคงเริ่มคิดถึงที่เที่ยวสวย ๆ กันแล้ว ตอนนี้หลายคนวางแผนจัดทริปฉลองโควิดขาลง สำหรับใครที่กำลังเล็งเป้าหมายไป เที่ยวต่างประเทศ สิ่งแรกที่ต้องพร้อม ไม่มีไม่ได้ นี่เลย พาสปอร์ต ใครที่เคยทำพาสปอร์ตไว้ รีบหยิบมาเช็คด่วน ๆ ต้องต่อหรือยัง ส่วนใครที่ยังไม่เคยทำ เตรียมตัวได้แล้ว ถึงเวลาบินจะได้ไม่ฉุกละหุก

ว่าแต่ คนกรุงเทพฯ ต้องไปทำพาสปอร์ตที่ไหน ใกล้บ้านเรามีที่ทำบ้างหรือยัง เรามาอัพเดท สถานที่ทำพาสปอร์ต ในกรุงเทพฯกันที่เลย

 

บริการทำพาสปอร์ตที่เปิดทุกวันไม่เว้นเสาร์-อาทิตย์ (เริ่ม 1 ตุลาคม 2565)

  • สำนักงานหนังสือเดินทางปทุมวัน MBK Center ชั้น 5โซน A  

เปิด 10.00 – 18.00 น. โทร 02-126-7612

  • สำนักงานหนังสือเดินทางบางใหญ่ Central Westgate ชั้น G โซนสีเขียว                          

เปิด 10.00 – 18.00 น.

สองแห่งนี้ เปิดให้จองคิวออนไลน์ล่วงหน้าที่ MBK รับวันละ 1,500 คิว ส่วน Central Westgate รับวันละ 800 คิว เปิดบริการทุกวันยกเว้นวันหยุดราชการและวันเสาร์-อาทิตย์ที่เป็น Long Weekend เหมาะกับผู้ที่ต้องทำงานในวันธรรมดาและไม่มีเวลา 

 

บริการทำพาสปอร์ตที่เปิดวันจันทร์ – วันศุกร์

  • กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ ถ.แจ้งวัฒนะ                              

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทร 02-203-5000 กด 1 

  • สำนักงานหนังสือเดินทาง ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถนนแจ้งวัฒนะ ชั้น 7 อาคาร B ฝั่งตะวันออก          

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทร 02-143-7680

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว บางนา – ศรีนครินทร์ ที่ศูนย์การค้าธัญญาพาร์ค ชั้น 1 โซน C       

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทรศัพท์ 02-136-3800, 02-136-3802, 093-010-5246

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว สายใต้ใหม่ – ตลิ่งชัน อยู่ที่อาคาร SC Plaza สายใต้ใหม่ ถนนบรมราชชนนี 

เปิด 8.30 – 16.30 น. โทรศัพท์ 02-422-3431

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว มีนบุรี ที่ Big C สุวินทวงศ์ 

เปิด 8.30 – 16.30 น.  โทรศัพท์ 02-024-8362-64

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว สถานีรถไฟฟ้า MRT คลองเตย ถนนพระราม 4         

เปิด 8.30 – 16.30 น.  โทรศัพท์ 02-024-889, 093-010-5247

  • สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ธัญบุรี ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ชั้น 3     

 เปิด 10.00 – 18.00 น. โทรศัพท์ 02-150-9002

 
 

รวมทั้งหมด 9 แห่งสำหรับ สถานที่ทำพาสปอร์ต ในกรุงเทพฯ เลือกสถานที่ใกล้บ้าน หรือที่สะดวกกันได้ตามนี้ สามารถโทรถามรายละเอียดกันอีกครั้งตามเบอร์ที่ให้ไว้หรือโทร Call Center กงสุล 02-572-8442

สำหรับใครที่จำเป็นต้องทำพาสปอร์ตแบบด่วนพิเศษ สามารถทำได้ทุกแห่ง แต่เขาเปิดให้ทำพาสปอร์ตด่วนถึง 11.00 น.เท่านั้น การจะทำพาสปอร์ตให้รวดเร็ว ทางกรมการกงสุลได้เปิดให้มีระบบจองคิวออนไลน์ล่วงหน้าที่ เว็บไซต์ www.qpassport.in.th  

 

ขั้นตอนการลงทะเบียน

  1. เข้าไปที่หน้าลงทะเบียนสมัครสมาชิก
  2. กรอกข้อมูลส่วนบุคคลให้ครบ จะได้รับลิงก์ยืนยันทางอีเมล์
  3. เข้าอีเมล์ไปกดลิงค์ยืนยัน
  4. กลับเข้าเว็บไซต์อีกครั้ง กรอกอีเมล์และใส่รหัสยืนยันตัวตน
  5. เริ่มใช้งานได้ เลือกจองคิวสถานที่ที่สะดวกที่สุด
 
 

ถ้าไม่ได้จองคิวในเว็บไซต์ จะ Walk-in เข้าไปเลยได้ไหม

สามารถ Walk-in ไปรับบัตรคิวที่สำนักงานแต่ละแห่งได้ตามปกติ สำหรับสำนักงานบริการที่ MBK และ Central Westgate จะมีเครื่อง Kiosk ติดตั้งไว้ทำพาสปอร์ตอัตโนมัติด้วย เรามาดูกันว่า Kiosk นี้ทำอะไรได้บ้าง

 

ทำพาสปอร์ตด้วยเครื่องอัตโนมัติ (KIOSK)

วันที่ไปทำพาสปอร์ตอย่าลืมเตรียมบัตรประชาชนตัวจริงให้พร้อม และถ้าเป็นการต่ออายุ ก็ต้องนำพาสปอร์ตเล่มเดิมไปด้วย มีบางคนทำไว้นานแล้วไม่ได้ใช้เลยหาไม่เจอ แบบนี้ต้องมีใบแจ้งความไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ ยังมีเอกสารอื่นที่ต้องใช้สำหรับบางกรณี คือ

  • ถ้าเปลี่ยนชื่อ ต้องนำหลักฐานการเปลี่ยนแปลงชื่อ นามสกุล
  • สำหรับผู้ที่อายุไม่ถึง 20 ปี จะต้องมีบัตรประชาชนของคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครอง และถ้าอายุไม่ถึง 15 ปี ต้องนำสูติบัตรตัวจริงไปด้วย

ที่สำคัญ คือทำพาสปอร์ตแบบคีออสเลือกรูปไม่ได้แต่ถ่ายได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ใครไม่พอใจก็ถ่ายใหม่ได้เรื่อยๆ ถ่ายเสร็จก็โอนเงินผ่าน QR CODE ได้เลย สะดวกรวดเร็ว

 

ต่อไปเรามาเช็คค่าธรรมเนียมการทำพาสปอร์ตกันว่า แต่ละแบบมีค่าใช้จ่ายเท่าไร

ค่าธรรมเนียมทำพาสปอร์ตแบบธรรมดา

ประเภท 5 ปี ค่าธรรมเนียม 1,000 บาท และประเภท 10 ปี 1,500 บาท

ค่าธรรมเนียมทำพาสปอร์ตแบบด่วนพิเศษ 

ประเภท 5 ปี ค่าธรรมเนียม 3,000 บาท และประเภท 10 ปี 3,500 บาท

ทั้งสองแบบมีค่าจัดส่ง EMS 40 บาท 

ความจริงแล้ว การทำพาสปอร์ตแบบธรรมดาใช้เวลาไม่นาน พื้นที่จัดส่งในต่างจังหวัดจะได้รับเล่มภายในไม่เกิน 1 สัปดาห์ ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ แค่ 3 วันก็ได้รับแล้ว ยกเว้นว่าที่อยู่ไม่สมบูรณ์ หรือไม่มีผู้รับ และไปรษณีย์ตีกลับ ก็อาจจะต้องเสียเวลาไปรับเอง หรือติดต่อชำระค่าจัดส่งเพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งใหม่อีกครั้ง หากวางแผน ท่องเที่ยว ล่วงหน้าเป็นอย่างดีแล้ว อย่างไรก็ทัน ไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมแพงทำด่วนพิเศษ ยกเว้นว่าต้องเดินทางกะทันหันจริง ๆ 

 

ต้องการไปรับพาสปอร์ตเองต้องไปที่ไหน

สามารถเดินทางไปรับได้ที่กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ เปิดให้รับได้เฉพาะช่วงเวลา 14.30 – 16.30 น. โดยนำใบรับฉบับจริง พร้อมบัตรประชาชนไปแสดง ถ้าให้คนอื่นไปรับแทน เพิ่มเอกสารอีก 2 อย่างคือ ใบรับที่ระบุการมอบอำนาจ และบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ

ครบจบเรื่องการทำพาสปอร์ตไปแล้ว ใครที่มีประเทศในใจและกำลังวางแผนเดินทางอยู่ ขอให้ทุกอย่างราบรื่นและสนุกกับการ ท่องเที่ยว ครั้งใหม่แบบสุด ๆ ไปเลย

 
 

ที่มาข้อมูล:

เพิ่งวัยรุ่น ทำไมปวดหลัง!!! รวมสาเหตุและวิธีรักษาง่ายๆ ทำได้ทุกวัน

โดยปกติเคยได้ยินว่าอาการ ปวดหลัง พบมากในวัยทำงานและผู้สูงอายุ แต่ทุกวันนี้เพิ่งวัยรุ่น ทำไมเริ่มปวดหลังแล้ว ถือเป็นเรื่องผิดปกติหรือไม่ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังนั้นมีอะไรบ้าง มีอาการปวดบ่อย ๆ หรือเปล่า ควรรักษาเยียวยาหรือป้องกันอย่างไร เราหาคำตอบทั้งหมดมาให้ติดตามอ่านกัน

อาการปวดหลังในวัยรุ่น

สมัยนี้เด็กและวัยรุ่นปวดหลังบ่อย ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลก อาจเกิดจากแบกเป้หนัก ๆ นั่งเล่นเกมบนมือถือ หรือนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ตลอดจนการเล่นกีฬาและกิจกรรมที่หนักเกินไปทำให้กล้ามเนื้อตึงหรือมีรอยฟกช้ำบนหลัง อาการปวดที่เกิดจากปัจจัยเหล่านี้มักจะหายได้เองภายในเวลาไม่นานโดยไม่ต้องรักษา หากมีอาการปวดบ่อย ๆ อาจมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังหลายอย่างที่เป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรง หากปล่อยทิ้งไว้อาจอันตราย  ควรรีบพบแพทย์จะดีกว่า

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง

ปวดหลังเป็นอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อตึงตัวมากเกินไปจนกลายเป็นอาการปวดบริเวณคอ หลัง ไหล่ คนไข้อายุน้อยที่เข้าไปรักษาอาการปวดหลังมีปัจจัยหลัก ๆ มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตตั้งแต่ในวัยเด็กช่วงตั้งแต่มัธยมปลายไปจนถึงวัยทำงานตอนต้นที่ใช้เวลาหน้าจอมือถือและคอมพิวเตอร์มากเกินไป ไม่ค่อยออกกำลังขยับเคลื่อนไหวทำให้โครงสร้างร่างกายและกล้ามเนื้อไม่แข็งแรง การเล่นกีฬาผาดโผนหรือกล้ามเนื้อใช้งานอย่างหนักทำให้วัยรุ่นเผชิญปัญหาปวดหลังเร็วกว่าคนสมัยก่อนที่มักจะปวดหลังเนื่องจากความเสื่อมของร่างกาย

 

สาเหตุปวดหลังมักมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและโรคต่าง ๆ ดังนี้

  • น้ำหนักตัวมากเกินไป โรคอ้วนก่อให้เกิดอาการปวดหลัง ร่างกายคนอ้วนต้องรับน้ำหนักมากกว่าคนปกติ มีผลทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมเร็วตั้งแต่อายุยังน้อย ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งเสี่ยงเป็นหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท มีอาการปวดคอ ปวดหลัง เรื้อรัง
  • นั่งผิดวิธีหรืออยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน โดยทั่วไปคนวัยทำงานนั่งท่าเดิมในออฟฟิศเป็นเวลานานๆ หรือยืนนานๆ ไม่เปลี่ยนอิริยาบถก็เป็นสาเหตุของอาการปวดหลังหรือกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมเหมือนกัน เด็กวัยรุ่นสมัยนี้เล่นเกมบนมือถือหรือคอมพิวเตอร์ทั้งวันเป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง หากไม่ออกกำลังกายทำให้กล้ามเนื้อหลังอ่อนแอและเสื่อมเร็วกว่าปกติ ต้องพบแพทย์รักษาอาการปวดคอ หลัง ไหล่
  • การเคลื่อนไหวร่างกายผิดวิธี ไม่ว่าจะเป็นนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน ๆ การแบกหามออกแรงมากเป็นประจำ หรือยกของหนักผิดวิธีทำให้กระดูกสันหลังบิด หรือเล่นกีฬาที่ผิดท่าหรือรุนแรงเกินไปมีแนวโน้มที่จะบาดเจ็บ เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือกล้ามเนื้อตึงเครียดจนถึงขั้นเจ็บปวด ยกของหนักหรือออกแรงมาก ๆ เป็นประจำจะทำให้กระดูกสันหลังบิด
  • การปวดหลังจากโรคร้ายแรง เกิดจากภาวะผิดปกติของกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อ หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ อาการของการติดเชื้อ โรคข้ออักเสบ กระดูกหัก โรคไต โรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับรังไข่และเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ ตับอักเสบ  หลอดเลือดโป่งพอง มะเร็ง และความผิดปกติอื่นๆ 
  • การปวดหลังจากสาเหตุอื่น ๆ  ที่นอนแข็งเกินไปทำให้น้ำหนักตัวกดทับเฉพาะจุดส่งผลให้กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อตึงเครียดทำให้เกิดอาการปวดหลังต่อเนื่อง ที่นอนนิ่มเกินไป นอนแล้วยุบตัวทำให้ก้นและสะโพกจมยุบลงไป หลังส่วนล่างแอ่นขึ้นทำให้เกิดแรงกดมากเกินไปจนเกิดอาการปวดหลังได้เช่นกัน ควรเลือกฟูกนอนที่เหมาะกับรูปร่างและน้ำหนักตัว นอกจากนี้การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำทำให้เนื้อกระดูกบางลงเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนมักจะมีอาการปวดหลังเรื้อรัง 

อาการปวดหลังระดับไหนควรไปพบแพทย์

มื่อเกิดอาการปวดหลัง เมื่อยล้า กล้ามเนื้อตึง คนส่วนใหญ่มักเพิกเฉย คิดว่าอาการไม่ร้ายแรง อาจเกิดจากการนั่งนาน เคลื่อนไหวผิดท่า ยกของหนัก หรือออกกำลังกายมาก บ้างก็กินยาแก้ปวด บ้างก็ไปนวด โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าอาการปวดหลังอาจเป็นสัญญาณเตือนบอกถึงอันตรายและโรคร้ายบางอย่างก็เป็นได้

 
  • ปวดหลังแบบเมื่อยล้า สาเหตุเกิดจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตึง เพราะการใช้งานหนักเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
  • ปวดหลังจากการยกของหนัก ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนจะมีอาการชาและปวดร้าวลงไปถึงขา กล้ามเนื้อขาอ่อนแรงจนทำให้ไม่สามารถเดินได้อย่างปกติ เป็นอาการปวดหลังที่มีอันตรายควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว
  • ปวดแนวกระดูกกลางหลัง มักพบปัญหาที่หมอนรองกระดูกสันหลัง หรือข้อต่อกระดูกสันหลัง หากรู้สึกปวดร้าวเหมือนไฟฟ้าช็อตจากคอไปปลายนิ้วมือ เกิดจากเส้นประสาทถูกกดเบียด เส้นประสาทอักเสบและเกิดอาการปวดหลัง
  • ปวดรุนแรง ขาชา ขาอ่อนแรง ลุกนั่งไม่ไหว เป็นอาการที่เกิดจากหมองรองกระดูกแตก พบได้ในคนที่อายุน้อย ต้องรีบเข้ามาพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดทันที
  • ปวดหลังเมื่ออยู่เฉย ๆ ไม่ได้เคลื่อนไหว ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องตื่นขึ้นมากินยาแก้ปวด ควรเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่ถูกต้อง หากมีอาการปวดหลังพร้อมกับมีไข้หรือน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะมีประวัติคนในครอบครัวเจ็บป่วยเป็นมะเร็ง หรือประสบอุบัติเหตุก่อนจะปวดหลัง ควรเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด

วิธีรักษาปวดหลัง

อาการปวดหลังในวัยรุ่นพบได้บ่อยขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงข้างต้น การรักษาขึ้นอยู่กับลักษณะอาการและสาเหตุของโรค 

 

1.การรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด  ในกรณีที่ปวดหลังไม่มาก ความเจ็บปวดเกิดจากกล้ามเนื้อตึงหรือกล้ามเนื้ออักเสบ อาจใช้น้ำอุ่นประคบ กินยาแก้ปวดหรือยาคลายกล้ามเนื้อ นอนพักผ่อน นวดคลายกล้ามเนื้อเพื่อปรับเปลี่ยนการไหลเวียนเลือดช่วยคลายอาการปวดได้ แต่ไม่ควรนวดรุนแรงทำให้เจ็บปวดอาจเกิดปัญหารุนแรงกว่าเดิม หากมีอาการปวดหลังเรื้อรังไม่หายเองใน 2-4 สัปดาห์ เกิดจากหมอนรองกระดูกอักเสบเล็กน้อย ควรปรับพฤติกรรมและหมั่นออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและการทำกายภาพบำบัด หรือการฉีดยาเข้าเส้นประสาทสันหลัง

 

2. การรักษาด้วยการผ่าตัด ในกรณีที่ ปวดหลังรุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิต เช่น ปวดร้าวชาลงเอวหรือขา ขาอ่อนแรง ลุกนั่งลำบาก เดินไม่ได้ ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ หากปล่อยทิ้งไว้อาจรุนแรงจนรักษาได้ยากควรรีบพบแพทย์เพื่อจะให้การวินิจฉัยที่ถูกต้อง อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดตามลักษณะอาการของโรค

อาการปวดหลังและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่ไม่รุนแรงป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรมเสี่ยงอันตราย เช่น ยกของหนัก นั่งหรือยืนท่าเดิมนาน ๆ ควรออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อแข็งแรง พร้อมกับควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสมและพักผ่อนเพียงพอ หากดูแลตัวเองดีแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นไม่ควรชะล่าใจ ให้ไปพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดที่ชำนาญโดยเฉพาะเพื่อหาวิธีรักษาตรงจุดทำให้หายจากอาการปวดหลังได้

ที่มาข้อมูล : 

ตะลุยเทศกาลกินเจเยาวราช 2565

ตะลุยเทศกาลกินเจเยาวราช 2565 ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน – 4 ตุลาคม ตลอด 10วัน10คืน

เทศกาล กินเจหรือที่เรียกกันว่าเทศกาลถือศีลกินผัก เป็นเทศกาลสำคัญของคนไทยเชื้อสายจีนที่จะงดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ อาหารที่มีรสจัด และอาหารที่มีกลิ่นฉุนไปพร้อมกับการรักษาศีลเพื่อให้บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ โดยเทศกาลกินเจนี้จะจัดกันในช่วงวันที่ 1-9 เดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติจีน ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 25 กันยายน – 4 ตุลาคม 2565 เราเลยอยากจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับที่มาที่ไปของการกินเจพร้อมชวนไปตะลุยหาอาหารเจสุดอร่อยตลอด 10วัน10คืน กันที่เยาวราชแลนมาร์กสำคัญซึ่งปีนี้เขากลับมาจัดงานกันอย่างยิ่งใหญ่หลังจากที่หยุดยาวไปเกือบ 2 ปี

ความหมายของการกิน

คำว่า “เจ” หรือ เป็นสำเนียงจีนแต้จิ๋วที่มีความหมายว่าการงดเว้นเพื่อความบริสุทธิ์หรือการถือศีลเพื่อความบริสุทธิ์ ซึ่งตรงตามคติของพุทธมหายานแบบจีนว่าเป็นการถืออุโบสถศีลหรือการถือศีลแบบนักพรตนักบวช โดยต้องชำระล้างร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ งดเว้นอาหารคาว งดเว้นจากของมึนเมา งดเว้นการเสพสังวาสและความบันเทิง ดังนั้น การถือศีล กินเจ แบบจีนโบราณจึงไม่ใช่แค่เว้นการรับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น หากแต่ยังเป็นการถือศีลบำเพ็ญบารมีร่วมด้วย 

ข้อกำหนดของอาหารเจ

อย่างที่เรารู้กันดีว่าการรับประทานอาหารเจคือการงดเว้นจากเนื้อสัตว์ทุกชนิดรวมไปถึงผักที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม ต้นหอม ผักชี กุยช่าย และงดอาหารที่มีรสจัดด้วย ด้วยเหตุนี้การกินเจจึงแตกต่างจากการกินมังสวิรัติตรงที่การกินมังสวิรัติจะรับประทานผักได้ทุกชนิด แต่การกินเจต้องงดผักที่มีกลิ่นฉุนด้วย นอกจากนั้นการกินมังสวิรัติยังสามารถรับประทานนมวัว ไข่ เนย ชีส แนะน้ำผึ้ง เพราะถือว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสัตว์แต่ไม่ใช่การฆ่าเบียดเบียนสัตว์

ปัจจุบันอาหารเจก็มีการปรับประยุกต์ให้มีความหลากหลายขึ้น ไม่ได้มีแต่ผักอย่างเดียว แต่มีการทำเนื้อสัตว์เทียมหรือเนื้อสัตว์จากแพลนเบส (Plant Based) ขึ้นมาทำให้การกินเจไม่ได้จำเจอีกต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่มักทำมาจากโปรตีนถั่วเหลือง หรือหมี่กึง รสชาติและเนื้อสัมผัสก็คล้ายกับเนื้อสัตว์จริง ๆ ทำให้ในช่วงระหว่างที่กินเจเรารู้สึกไม่ได้แตกต่างจากการกินอาหารปกติสักเท่าไหร่

เทศกาลกินเจเยาวราช

หากพูดถึงแหล่งอาหารเจเยาวราชน่าจะเป็นชื่อแรก ๆ ที่หลาย ๆ คนนึกถึง เพราะเป็นชุมชนและแหล่งการค้าขายของชาวจีนที่สำคัญตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าเยาวราชนั้นขึ้นชื่อเรื่องของ สตรีทฟู๊ด อันดับต้น ๆ ของกรุงเทพ มีร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตราคาร รวมไปถึงร้านรถเข็นริมทางเรียงรายมากมายทั้งกลางวันและกลางคืนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันแบบไม่ว่างเว้นให้นักชิมนักท่องเที่ยวได้ตระเวนชิมของอร่อยกันแบบไม่มีเบื่อ ถือว่าเป็นแดนสวรรค์ของสายกินเลยก็ว่าได้

แน่นอนว่าในช่วงเทศกาลกินเจที่เยาวราชก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ทุกปี และในปีนี้ก็มีการจัดงาน กินเจเยาวราช2565 ซึ่งเริ่มกันตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน – 4 ตุลาคม 2565 จัดกันเต็มที่แบบ 10วัน10คืน ที่บริเวณซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 70 พรรษา และเฉลิมพระเกียรติพระพันปีหลวงที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 90 พรรษา

ภายในงานมีส่วนบริเวณที่จัดพิธีกรรมมีพิธีรวมผงธูปจาก 22 ศาลเจ้าในเยาวราชและอัญเชิญเทพเจ้าแห่งการกินเจให้ประชาชนได้สักการะ และยังมีการทำอาหารเจกระทะใหญ่ “ผัดหมี่ 10 จักรพรรดิมังกร” ในวันเปิดงาน รวมไปถึงมีร้านอาหารเจแบบ สตรีทฟู๊ด กว่า 150 ร้านเรียงรายกันตลอดทั้งเส้นถนนเยาวราช ซึ่งเราก็มีตัวอย่างอาหารเจมา รีวิวของกิน กันบางส่วนเพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อย

วัดมังกร

1. ผัดหมี่เจ

เมนูยอดฮิตในช่วงเทศกาลกินเจไม่ว่าจะเป็นผัดหมี่ซั่ว ผัดหมี่ฮกเกี้ยน ผัดหมี่ฮ่องกง ฯลฯ เป็นการนำเส้นหมี่มาผัดเข้ากับผักพร้อมปรุงรสให้ออกมากลมกล่อม ชาวจีนเชื่อว่าการรับประทานหมี่เป็นการถือเคล็ดว่าจะมีสุขภาพแข็งแรงและอายุยืนยาวเหมือนกับเส้นหมี่นั่นเอง แน่นอนว่าในงานกินเจเยาวราชมีผัดหมี่เจหลากหลายร้านรอเสิร์ฟความอร่อยอยู่แน่นอน

2. ตือคาโค

เมนูของทอดที่มีทั้งเผือก ถั่ว ข้าวโพด ไชเท้า นำมาผสมแป้งแล้วทอด ซึ่งจะวางขายพร้อมกับเต้าหู้ทอด ปอเปี๊ยะทอด เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มรสกลมกล่อมถือว่าเป็นเมนูของว่างยอดนิยมในช่วงกินเจเลยทีเดียว

3. กระเพาะปลาเจ

เมนูนี้เป็นอีกเมนูหนึ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมาเดินเที่ยวงานกินเจที่เยาวราช เป็นการนำกระเพาะปลาเจมาตุ๋นกับยาจีนหลายชนิดจนให้น้ำซุปที่เข้มข้น รสชาติกลมกล่อมหอมพริกไทยและยาจีน

4. ก๋วยเตี๋ยวเจ

อีกหนึ่งเมนูที่ห้ามพลาดเมื่อมางาน กินเจเยาวราช2565 ก็คือบรรดาก๋วยเตี๋ยวเจทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเย็นตาโฟ ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส รวมไปถึงก๋วยจั๊บ ซึ่งแต่ละร้านก็งัดสูตรเด็ดเฉพาะตัวออกมาให้ได้เลือกชิมกันอย่างจุใจ

5. ขนมกะลอจิ๊

ขนมโบราณแบบจีนที่เราอยากให้คุณลอง เป็นขนมที่ทำมาจากแป้งข้าวเหนียวแล้วนำไปทอดจนกรอบ คลุกกับน้ำตาลและงา ให้รสสัมผัสที่กรอบนอกนุ่มใน เหนียวหนึบเคี้ยวเพลินเลยทีเดียว ปัจจุบันนี้หาทานได้ยากมาก ถ้าได้มาเยาวราชในช่วงนี้ต้องรีบมาชิม

นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของ รีวิวของกิน ที่มีขายในเทศกาลกินเจเยาวราช 2565 ยังมีอาหารเจอีกหลายชนิดรอคุณอยู่ ถ้าหากปีนี้คุณมีแพลนจะกินเจแล้วล่ะก็เยาวราชเป็นอีกที่หนึ่งที่คุณไม่ควรพลาด

ที่มา

https://anyflip.com/owvjq/yvol/

http://www.horonumber.com/news-3027

https://promotions.co.th/สำรวจตลาด/ข่าวสาร/vegetarian-food-in-2021-is-on-which-date.html

https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2501862

https://food.trueid.net/detail/R54KJM3n01rV?utm_source=web-trueid&utm_medium=ctw&utm_term=clicklink&utm_campaign=travel_kgokOlNoWrag_relatecontent_food_R54KJM3n01rV_20/09/2022