เตรียมพร้อมจัดกระเป๋า Check list ของมันต้องมีก่อนไป เที่ยวกระบี่

เตรียมพร้อมจัดกระเป๋า Check list ของมันต้องมีก่อนไป เที่ยวกระบี่

กระบี่,เที่ยวกระบี่

                    กระบี่เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย ขึ้นชื่อเรื่องหาดทราย ทะเลน้ำใส และยังเป็นที่ตั้งของหมู่เกาะน้อยใหญ่กว่า 100 เกาะ การไป เที่ยวกระบี่ นอกจากการไปลงน้ำทะเลสวยๆแล้วยังมีอีกหลายกิจกรรมแอดเวนเจอร์ที่น่าสนใจ ทั้งปีนผา ขึ้นเขา พายเรือคายัค ดูปะการังน้ำตื้น หรือแม้แต่ Paddle Board ถ้าอยากจะทำกิจกรรมทั้งหมดนี้มีอะไรที่ต้องเตรียมพร้อมกันบ้าง สาวๆสายแอดเวนเจอร์ตามมาทางนี้ค่ะ เราจัดลิสต์เตรียมพร้อมสำหรับของมันต้องมีในกระเป๋าก่อนไปเที่ยวกระบี่ ไว้ให้แล้ว

เที่ยวกระบี่…ชมวิวที่วัดถ้ำเสือ

                    เริ่มจากกิจกรรมเบาๆอย่างการเดินขึ้นบันได 1,237 ขั้น ขึ้นเขาไปชมวิวเมืองที่วัดถ้ำเสือ ซึ่งมีโอกาสได้ดูทะเลหมอกจากจุดนี้ด้วย แนะนำให้ขึ้นช่วงเช้า(6โมง) หรือเย็น(4โมง)ไปเลย เพราะนอกนั้นแดดจะทำให้เราทรมานจนไม่อินกับวิวสวยๆแล้ว ขาขึ้นใช้เวลาตั้งแต่ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับกำลังขาของแต่ละคน ระหว่างทางมีจุดพัก 2 จุด (ห้องน้ำมีแค่ตรงนี้) ส่วนขาลงประมาณ 30 นาที และต้องใช้ความระมัดระวัง

กระบี่,เที่ยวกระบี่,วัดถ้ำเสือ

สิ่งที่ต้องเตรียม:

น้ำดื่ม– สำคัญมาก หน้าทางขึ้นบันไดไปจุดชมวิวจะมีป้ายติดไว้เตือนให้ทุกคนเตรียมน้ำขึ้นไปเพราะทางเป็นบันไดขั้นค่อนข้างสูง ยังไงก็เหนื่อยก่อนขึ้นไปถึงแน่นอน

รองเท้า– รองเท้าแตะอาจจะไม่เหมาะกับกิจกรรมนี้เท่าไหร่ แนะนำเป็นรองเท้าที่การยึดเกาะดี รับน้ำหนักได้ เดินแล้วไม่เจ็บ มีสายรัดพอดีส้นเท้า อย่าลืมว่าขาลงความชันของบันไดจะทำให้คุณก้าวด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม พลาดท่ารองเท้าหลุดกระเด็นล่ะแย่เลย

ปีนผาที่เกาะไรเล่ย์

                     หลายคนอาจจะไปเล่นน้ำที่เกาะไรเล่ย์แล้วเห็นภาพมนุษย์ตัวเล็กๆไต่อยู่ตามหน้าผาแล้วอยากรู้ว่าต้องเป็นใคร โปรแค่ไหนถึงจะทำได้? ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นเลยค่ะ ถึงเป็นมือใหม่ First time in Railay ก็สามารถทำกิจกรรมนี้ได้ โดยสามารถติดต่อกับเอเจนซี่ในพื้นที่ที่ทำกิจกรรมปีนผาโดยเฉพาะ เขาจะมีครูฝึกที่ผ่านการรับรองมาเป็นผู้ดูแลในกรุ๊ปเล็กๆไม่เกิน 2-4 คน แต่ละรูทก็มีเลเวลแตกต่างกันตั้งแต่ Beginner จนถึง Advance ครูฝึกจะเป็นผู้พิจารณาพาเราไปค่ะ

กระบี่,เที่ยวกระบี่,เกาะไรเล่ย์,ปะการังน้ำตื้น

สิ่งที่ต้องเตรียม:

อุปกรณ์ปีนผา– อุปกรณ์สามารถยืมได้จากเอเจนซี่เลยค่ะ

รองเท้า– ถ้าไม่มีรองเท้าสำหรับเดินทางไกล แนะนำเป็นสนีกเกอร์ที่กระชับกับเท้า เบา มีพื้นยึดเกาะดี แต่ของลิมิเต็ดราคาแพงเก็บไว้ที่บ้านเลยค่ะ(เป็นรอยแน่ๆ) ต้องรุ่นพร้อมลุยเท่านั้น

เสื้อผ้า– ไม่ต้องถึงกับรัดกุมพร้อมเดินทัพ แค่ให้ทะมัดทะแมงพร้อมใส่อุปกรณ์ติดเชือกปีนเขาก็พอค่ะ ถ้าชอบกางเกงขาสั้นก็ให้เป็นแบบพอดีตัวขาไม่บานจะสะดวกที่สุด

พายเรือคายัคที่เกาะห้อง

                    เกาะห้องเป็นเกาะที่มีธรรมชาติงดงามล้อมรอบด้วยหน้าผาชัน น้ำทะเลสีคราม หาดทรายขาว มีกัลปังหาและปะการังรอบเกาะ การจะเข้าไปยังส่วนของ “ห้อง” ตามชื่อของเกาะนั้นมีทางเดียว โดยการพายเรือคายัคที่นี่จะต้องไปพายมาจากทางทะเลเปิดก่อนจะเข้ามาได้

กระบี่,เที่ยวกระบี่,เกาะห้อง,ปะการังน้ำตื้น

สิ่งที่ต้องเตรียม:

อุปกรณ์ชูชีพ– อุปกรณ์จะมาให้กับเรือที่เราเช่าค่ะ ที่หาดจะมีหลายเจ้าให้เลือกเลย

เสื้อผ้า– ควรเป็นชุดพร้อมลงน้ำ อาจจะสวมบิกินี่ หรือชุดว่ายน้ำไว้ด้านในนะคะ เพราะไม่อมน้ำ แห้งง่ายกว่าชุดชั้นในมาก

ครีมกันแดด– สำคัญมากสำหรับสาวๆที่ไม่อยากมานั่งรักษาผิวเสียหลังจบทริป กิจกรรมนี้ตากแดดกันยาวๆแน่นอน แต่เดี๋ยวนี้จะห่วงผิวแล้วไม่แคร์โลกไม่ได้ เรามีครีมกันแดดชนิด reef-safe ที่ไม่ทิ้งสารตกค้างทำลายแนวปะการังมาแนะนำค่ะ (สนใจอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่)

Passun (ข้อมูลผลิตภัณฑ์)

                    ครีมกันแดดสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมทางทะเลโดยเฉพาะ ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ กันน้ำ เนื้อครีมไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่แสบตา แล้วยังสามารถลงน้ำได้ทันทีไม่ต้องรอด้วย

กันแดด,ครีมกันแดด,ครีมกันแดดแบบกันน้ำ,ครีมกันแดด reef-safe

SPF 50 PA+++

ราคาเริ่มต้นที่ 329฿

Rereef (ข้อมูลผลิตภัณฑ์)

                    กันแดดสูตรน้ำแร่ สำหรับกิจกรรมทางทะเล และทุกๆวัน  กันน้ำ และไม่มีสารที่จะตกค้างเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล รอแอคทีฟ 15 นาที หลังจากทา

กันแดด,ครีมกันแดด,ครีมกันแดดแบบกันน้ำ,ครีมกันแดด reef-safe

SPF 50 PA+++

ราคาเริ่มต้นที่ 349฿

เที่ยวกระบี่…เล่น Paddle Board ที่เขาขนาบน้ำ

                    เจ้า Stand Up Paddle Board นี้ก็เหมือนกับการเอาเซิร์ฟบอร์ดมาลอยบนน้ำนิ่ง แล้วเราก็ขึ้นไปยืนบนนั้น โดยใช้ไม้พายช่วยเคลื่อนที่ เล่นง่ายมากค่ะ เส้นทางจะเริ่มจากท่าน้ำลานปูดำ ไปที่เขาขนาบน้ำ ลงเที่ยวที่ถ้ำแล้วก็พาย Paddle Board กลับมาจุดเดิม

กระบี่,เที่ยวกระบี่,เขาขนาบน้ำ,paddle board,SUP

สิ่งที่ต้องเตรียม:

อุปกรณ์ชูชีพ– อุปกรณ์ทุกอย่างมีเตรียมไว้ให้โดยผู้ให้บริการค่ะ

เสื้อผ้า– ถึงจะบอกว่ากระดาน Paddle Board นั้นพลิกยากถ้าเราไม่เสียสมดุลจริงๆ แต่ก็เตรียมตัวตกน้ำไว้ดีกว่าค่ะ ควรเป็นเสื้อผ้าที่คล่องตัว ไม่หนาอมน้ำและแห้งง่าย มี UV Cut ด้วยก็จะดีมาก

อุปกรณ์กันแดด– นอกจากการทาครีมกันแดดชนิด reef-safe แล้ว อาจจะใส่แว่นตากันแดด หรือหมวกมีปีกร่วมด้วย กิจกรรมนี้ไม่ได้ผาดโผนแต่ต้องอยู่กลางเวิ้งแม่น้ำเป็นเวลานาน

เที่ยวกระบี่…ดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น

                     กระบี่มีจุดแนะนำสำหรับลงไปดูปะการังหลายพื้นที่มากๆ และบางจุดก็ตื้นเพียงแค่เรามุดหน้าลงไปในน้ำทะเลเท่านั้นเอง ไม่ต้องถึงขนาดสน็อกเกิ้ลก็สามารถชมกลุ่มปะการังสวยๆได้

กระบี่,เที่ยวกระบี่,ปะการังน้ำตื้น

สิ่งที่ต้องเตรียม:

ครีมกันแดด– อย่าลืมเลือกครีมกันแดดชนิด reef-safe จะได้ไม่ไปทำร้ายธรรมชาติใต้น้ำสวยๆนะคะ

แว่นตาว่ายน้ำ– เนื่องจากเราไม่รู้ว่าจะได้เจอจุดชมปะการังเมื่อไหร่ จึงควรมีแว่นตาว่ายน้ำเก๋ๆสักอันติดกระเป๋าไว้เผื่อเจอกระแสน้ำไม่แรงเรือบางลำจะจอดให้ลงค่ะ เราเลยมีแว่นตาว่ายน้ำแฟชั่นที่เหมาะกับการถ่ายเซลฟี่ และครอบเลนส์กว้างเหมาะสำหรับชมทัศนียภาพมาแนะนำ

                      Speedo รุ่น AQUAPULSE MAX MIRROR                                   Copozz รุ่น Red Goggles

                                                  

                                              

                    มาถึงตรงนี้น่าจะได้แนวทางการ เที่ยวกระบี่ กันพอสมควรนะคะ สำหรับสาวๆสายแอดเวนเจอร์ กระบี่มีกิจกรรมหลากหลายให้เลือกทำจริงๆค่ะ และแต่ละจุดมีความสวยงามต่างกัน ไปเที่ยวที่สวยๆแล้วก็อย่าลืมช่วยกันรักษาให้พื้นที่คงความสวยงามไว้ด้วยนะคะ

                    สุดท้ายแล้ว สำหรับใครที่ไม่อยากวุ่นวายแบกกระเป๋าสัมภาระไปมา เรามีบริการขนส่งจาก

แอร์พอเทลมาแนะนำค่ะ

ราคาและเงื่อนไขการให้บริการ

700 บาท ต่อชิ้น น้ำหนัก  ไม่เกิน 25 กิโลกรัม

น้ำหนักส่วนเกินคิดเพิ่ม 50 ต่อกิโลกรัม

เพิ่ม 100 บาทต่อรายการ         เมื่อขนส่งในวันเสาร์
เพิ่ม 100 บาทต่อรายการ         หากให้ไปรับที่โรงแรม

ส่งกระเป๋าก่อนเวลา 12:00, รับกระเป๋าหลังเวลา (ในวันถัดไป)

*ราคานี้ไม่รวมอุปกรณ์กีฬา

*ให้บริการเฉพาะวันทำการเท่านั้น

จุดเด่น

เป็นวิธีจัดเวลาที่ดี ช่วยให้คุณจัดการแผนการท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใช้งานง่ายผ่านการจองออนไลน์ และรูปแบบอื่นๆ

มั่นใจได้ 100% ว่ากระเป๋าเดินทางของคุณจะถึงจุดหมายโดยปลอดภัย

ประกันความเสียหายสูงสุดที่มูลค่า 100,000 บาท

การตรวจสอบสถานะ และสอบถาม สามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน Facebook, Line, หรือ WeChat พร้อมกับการแจ้งเตือนอัพเดทสถานะผ่าน E-mail

                     แอร์พอเทลล์จะทำการรับกระเป๋าสัมภาระของคุณจากจุดที่ต้องการไปส่งยังจุดหมายปลายทางที่กรุงเทพฯให้อย่างเรียบร้อย คุณสามารถเดินตัวปลิวไปสนามบิน หรือกลับไปรอรับกระเป๋าที่บ้านได้เลย

บริการขนส่งกระเป๋าของแอร์พอเทลล์ ใช้บริการอย่างไร?

วิธีที่สะดวกที่สุดคือการจองออนไลน์ที่เว็บไซต์ของแอร์พอเทลล์ https://app.airportels.asia/book

หรือ ติดต่อสตาฟฟ์ของแอร์พอเทลส์โดยตรงทางโทรศัพท์ หรือแอปพลิเคชั่นที่สะดวก มีสตาฟฟ์รอให้ความช่วยคุณตลอด 24 ชั่วโมงค่ะ

โทรศัพท์ : +66 6321-666-99

E-mail: [email protected]

เอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องได้ไหม ต้องความจุกี่แอมป์

สำหรับใครที่กำลังเดินทางขึ้นเครื่องไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม การเอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องเพื่อที่จะชาร์จแบตมือถือนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อที่ว่าหากมือถือใกล้แบตหมดก็จะมีพาวเวอร์แบงค์สำรองใช้ได้ แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าพาวเวอร์แบงค์นั้นมีหลายประเภท และบางประเภทก็ไม่สามารถนำขึ้นเครื่องได้ ดังนั้นใครที่กำลังจะเดินทางไปไหนและไม่มั่นใจว่าพาวเวอร์แบงค์สามารถขึ้นเครื่องได้หรือไม่ ในบทความนี้มีคำตอบให้แน่นอน

เอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องได้ไหม ต้องความจุกี่แอมป์
พาวเวอร์แบงค์คือ

พาวเวอร์แบงค์คือ

พาวเวอร์แบงค์ คือ แบตเตอรี่สำรองที่สามารถใช้ได้กับสมาร์ทโฟนต่างๆ รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ  โดยตัวเครื่องสามารถพกพาไปได้ทุกที่ สมาร์ทโฟนใกล้หมดเมื่อไหร่ก็จะสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ในทันที โดยพาวเวอร์แบงค์สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้

ชนิดลิเธียม ไอออน

พาวเวอร์แบงค์ชนิดลิเธียม ไอออน จัดว่าเป็นแบตเตอรี่สำรองที่เน้นในเรื่องของพลังงานที่สูง ในขณะเดียวกันก็จะปล่อยพลังงานที่ต่ำ ที่จะช่วยเซฟพลังงานได้เป็นอย่างดี แต่ขณะที่ไม่ได้ใช้งานก็จะมีการคายประจุไฟเสมอๆ จนในที่สุดแบตหมดได้ ข้อดีก็คือพาวแบงค์นี้มีราคาที่ถูก ในขณะที่ข้อเสียก็คือเสื่อมสภาพได้ไวมากๆ 

ชนิดเธียม โพลิเมอร์

พาวเวอร์แบงค์ชนิดลิเธียม โพลิเมอร์ นับว่าเป็นแบตเตอรี่ที่ต้องบอกว่าคุณภาพสูงมากๆ เพราะแบตเตอรี่สามารถจุพลังงานได้ดี ใช้งานได้อย่างต่อเนื่องยาวๆ  คายประจุไฟช้ากว่าแบบชนิดลิเธียม ไอออน มีน้ำหนักเบา และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่ราคาจะสูง

ความจุและจำนวนพาวเวอร์แบงค์ที่ขึ้นเครื่องได้

ความจุและจำนวนพาวเวอร์แบงค์ที่ขึ้นเครื่องได้

 ในส่วนนี้นับว่าเป็นเนื้อหาสำคัญที่จะมาให้คำตอบเกี่ยวกับพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องกี่แอมป์ และจำนวนพาวเวอร์แบงค์ที่สามารถนำขั้นเครื่องบินได้ โดยข้อมูลนี้ถือว่านโยบายส่วนใหญ่ที่หลายๆ สายการบินใช้กันโดยสามารถสรุปได้ดังนี้

  • ค่าความจุไฟฟ้าน้อยกว่า 20,000 แอมป์ สามารถนำติดตัวขึ้นเครื่องได้ ในส่วนของจำนวนได้แบบไม่มีจำกัด
  • ค่าความจุไฟฟ้าน้อยกว่า 20,000  – 32,000 แอมป์ สามารถนำติดตัวขึ้นเครื่องได้ ในส่วนของจำนวนสามารถนำขึ้นได้แค่ 2 ก้อนเท่านั้น 

สำหรับความจุไฟฟ้าที่มากกว่า 32,000 แอมป์ จะไม่สามารถนำขึ้นเครื่องได้ และในกรณีที่ตัวแบตเตอรี่ไม่ได้มีการระบุประเภทของแบตเตอรี่ก็ไม่สามารถเช่นกัน และพาวเวอร์แบงค์ที่จะนำขึ้นเครื่องจะต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อที่จะเช็คว่าเอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องได้ไหม

เอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องยังไง

เอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องยังไง

การเอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องได้ โดยปกติแล้วแต่ละสายการบินจะมีข้อกำหนดที่ชัดเจนโดยละเอียด และเมื่อถึงที่จะต้องตรวจเช็คจำเป็นที่จะต้องให้เจ้าหน้าที่ดูพาวเวอร์แบงค์ที่ตัวเองได้นำมา โดยหลัก ๆ แล้วการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่มีดังนี้

  • พาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องกี่แอมป์ ถึงจะพกขึ้นเครื่องบินได้
  • การนำพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องสามารถนำขึ้นได้กี่ก้อน และไม่ควรเกินกี่ก้อน
  • การนำพาวเวอร์แบงค์ห้ามใส่กระเป๋าโหลดใต้เครื่อง ควรจะผ่านเจ้าหน้าที่ในการตรวจขึ้นไปที่นั่งด้วย
ทำไมห้ามโหลดพาวเวอร์แบงค์ใต้เครื่อง

ทำไมห้ามโหลดพาวเวอร์แบงค์ใต้เครื่อง

ปกติแล้วทุกๆ สายการบ้านมีข้อห้ามอย่างชัดเจนว่าห้ามทำการนำอุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่โหลดใต้เครื่อง เนื่องมาจากว่าแบตเตอรี่เมื่อเกิดความร้อนที่สูงมากๆ จะสามารถเป็นตัวทำให้ติดไฟได้ หรือหากเลวร้ายกว่านั้นก็เกิดการระเบิดได้ เพราะในบริเวณที่โหลดใต้ท้องเครื่องจะไม่สามารถที่จะเช็คสภาพ ณ ตรงนั้นได้ทันทีหากเกิดเหตุร้ายขึ้น เลยการนำขึ้นเครื่องไปยังที่นั่งโดยสารนับเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

วิธีเลือกพาวเวอร์แบงค์ให้ปลอดภัย

วิธีเลือกพาวเวอร์แบงค์ให้ปลอดภัย

การเลือกพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องนับเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะประเด็นหลักๆ การจะเอาขึ้นได้หรือไม่อยู่ที่ความจุไฟฟ้าว่าเป็นไปตามที่กำหนดหรือไม่ แต่ทางที่ดีสำหรับคนที่ใช้พาวเวอร์แบงค์อยู่แล้ว ก็ควรเลือกซื้อพาวเวอร์แบงค์ที่มีคุณภาพและสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย โดยวิธีการเลือกมีดังนี้

ซื้อพาวเวอร์แบงค์ ให้เหมาะกับการใช้งาน

การเลือกซื้อพาวเวอร์แบงค์คือให้เหมาะกับการใช้งาน ถ้าหากพกพาวเวอร์แบงค์ที่สามารถใช้งานได้ในวันเดียว จะขอแนะนำพาวเวอร์แบงค์ที่มีความจุ 3,000 – 5,000 แอมป์ก็เพียงพอแล้ว เพราะด้วยความจุที่น้อยจึงทำให้สามารถพกพาสะดวก แต่ในกรณีที่จะเอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องก็แนะนำให้เลือกมากกว่า 20,000 แอมป์เพื่อที่จะสามารถสำรองแบตเตอรี่ได้หลายๆ วันได้

ไว้ชาร์จหลายเครื่อง

การกรณีที่เลือกพาวเวอร์แบงค์ที่สามารถชาร์จได้หลายๆ เครื่อง จะเหมาะกับคนที่มีทั้งสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่จะเป็นจะต้องชาร์จพร้อมๆ กัน การเลือกจึงเป็นสิ่งที่สำคัญโดยเบื้องต้นจะต้องดูก่อนว่าตัวแบตเตอรี่ที่ซื้อมาจะมีการแชร์แบตเตอรี่กันหรือไม่ และมีจำนวนความจุไฟฟ้าอยู่ที่เท่านั้น และแน่นอนว่าในส่วนของความปลอดภัยจำเป็นต้องศึกษาให้ชัดเจน

เลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐาน

สิ่งที่สามารถสร้างความมั่นใจในการเลือกซื้อแม้แต่ดูแบตเตอรี่ไม่เป็น ก็คือการเลือกแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ หรือเป็นแบรนด์ที่นิยมใช้ เพราะจุดนี้จะสามารถการันตีความปลอดภัยขณะใช้งานได้เป็นอย่างดี และมีระบบป้องกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร แบตเตอรี่มีความร้อนสูง รวมไปถึงการระเบิดได้

ใครที่อยากจะมีแบตเตอรี่สำรอง หรือ พาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องบิน สามารถนำขึ้นเครื่องบินได้ แต่ห้ามโหลดใส่กระเป๋าใต้ท้องเครื่องบิน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะมีการตรวจเช็คว่าพาวเวอร์แบงค์ที่แต่ละคนนำขึ้นเครื่องนั้น โดยดูในเรื่องของชนิดแบตเตอรี่ รวมทั้งความจุไฟฟ้าที่สามารถต่ำกว่า 20,000 จะสามารถพกได้ไม่จำกัดจำนวน และ 20,000 – 32,000 แอมป์จะพกได้เพียง 2 ก้อนเท่านั้น ดังนั้นการเลือกพาวเบอร์แบงค์สำหรับขึ้นเครื่องบินถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และควรใส่ใจในคุณภาพและความปลอดภัยขณะซื้อก่อนนำขึ้นเครื่อง

14 วิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้ประหยัดพื้นที่และเบาขึ้นแบบ 300%

ใกล้วันหยุดยาวเข้ามาทุกที หลายคนมีแพลนกลับบ้านต่างจังหวัด ไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ บางคนอาจมีแพลนไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศในช่วงนี้ สิ่งที่สำคัญที่ต้องเตรียมตัวให้ดีคือการจัดกระเป๋า 

หลายคนอาจกำลังหาวิธีจัดกระเป๋าเดินทางที่ประหยัดเนื้อที่อยู่ เพราะนอกจากจะช่วยให้เก็บเสื้อผ้าของใช้ต่างๆ ได้เป็นระเบียบ เพิ่มพื้นที่ให้กับกระเป๋าเดินทางแล้ว ยังเป็นวิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบาลงได้อีกด้วย ซึ่งมีข้อดีหลายข้อ เหมาะมากๆ กับคนที่ต้องเดินทางโดยเครื่องบิน 

14 วิธีการจัดกระเป๋าประหยัดพื้นที่

สำหรับเทคนิคการจัดกระเป๋าเดินทางทั้ง 14 วิธีที่จะเล่าให้ฟังนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ การจัดการกับเสื้อผ้าสิ่งของในกระเป๋าและการจัดการกับกระเป๋าเดินทาง ถ้าพร้อมแล้วมาดูวิธีพับผ้าจัดกระเป๋าเดินทางกันเลย

จัดกระเป๋าไม่ให้ผ้ายับ

7 เทคนิคจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋ายังไงให้ไม่ยับ พร้อมประหยัดพื้นที่

เมื่อต้องจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางหลายคนมักเจอกับปัญหาเสื้อผ้ายับเวลาที่ต้องอัดเสื้อผ้าหลายๆ ชุดลงกระเป๋า จะมีวิธีไหนบ้างที่ช่วยให้จัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางโดยที่เสื้อผ้าไม่ยับ พร้อมใส่ได้เลยโดยไม่ต้องรีด นอกจากเป็นระเบียบ เสื้อผ้าไม่ยับแล้ว ยังเป็นวิธีจัดกระเป๋าเดินทางประหยัดเนื้อที่อีกด้วย ช่วยให้ใส่สัมภาระได้อย่างคุ้มค่าเลยทีเดียว 

มาดู 7 วิธีพับผ้าจัดกระเป๋าเดินทางกันเลย

1. ม้วนเสื้อผ้าแทนการพับ 

วิธีจัดกระเป๋าเดินทางประหยัดพื้นที่ วิธีแรกคือการจัดการกับเสื้อผ้าด้วยการม้วนแทนการพับ เพราะการม้วนเสื้อผ้า นอกจากช่วยเพิ่มพื้นที่ให้กระเป๋าเดินทางแล้ว ยังทำให้หยิบเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ ออกมาใช้ได้ง่าย ยังช่วยให้ผ้าไม่มีรอยยับอีกด้วย  

2. ใช้ถุง Zip Lock ช่วย

สำหรับใครที่จะไปเที่ยวหลายวันหรือไปเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะเมืองหนาว แน่นอนว่าเหล่าเสื้อผ้ากันหนาวตัวหนาๆ เสื้อขนสัตว์ต่างๆ มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักค่อนข้างเยอะ วิธีจัดกระเป๋าเดินทางประหยัดเนื้อที่คือวิธีการใช้ถุง Zip Lock เข้ามาช่วย เพราะโดยปกติเสื้อผ้าของเรามีอากาศแทรกอยู่ ทำให้กินพื้นที่ในกระเป๋าเดินทาง แต่เมื่อเราใช้ถุง Zip Lock แพ็กเสื้อผ้า จะทำให้เสื้อผ้าของเราเล็กลงได้เยอะมาก ทำให้เหลือพื้นที่ในกระเป๋าเพิ่มขึ้น จะใส่เสื้อผ้าหรือสัมภาระอื่นๆ เพิ่มก็มีพื้นที่ว่างเหลือๆ เลย

3. อะไรแตกง่ายห่อด้วยถุงเท้า

ส่วนการจัดเก็บถุงเท้าลงกระเป๋าเดินทาง เราสามารถช่วยเพิ่มพื้นที่ให้กระเป๋าเดินทางอีกนิด ด้วยการนำถุงเท้าห่อกับสัมภาระที่อาจแตกหักง่าย วิธีนี้นอกจากจะเพิ่มพื้นที่กระเป๋าเดินทางแล้ว ยังช่วยให้ป้องกันสัมภาระกระแทกและแตกหักง่ายให้ปลอดภัยอีกด้วย

4. รองเท้าใครว่าเกะกะ เอาไว้ช่วยเก็บของได้

ใครที่คิดว่าการเดินทางไปเที่ยวไม่ควรเอารองเท้าไปหลายคู่ เพราะเกะกะกระเป๋า บอกเลยว่าคุณต้องคิดใหม่ถ้ารู้เรื่องนี้ เพราะรองเท้าไม่ได้เกะกะพื้นที่กระเป๋าเดินทางอย่างที่คิด เพราะสามารถให้รองเท้าช่วยเก็บของได้ 

นำสิ่งของ สัมภาระชิ้นเล็กๆ อย่างถุงเท้า ขวดน้ำหอม ชุดชั้นใน แพ็กใส่ถุง Zip Lock ก่อน 1 ชั้น แล้วนำใส่เข้าไปในรองเท้า วิธีนี้ไม่ใช่เพียงวิธีจัดกระเป๋าเดินทางประหยัดพื้นที่เท่านั้น แต่ยังช่วยคงรูปทรงของรองเท้าไว้ได้อีกด้วย ทริปหน้าจะเอารองเท้าไปเปลี่ยนกี่คู่ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ลองใช้เทคนิคการจัดกระเป๋าเดินทางแบบนี้ดูกันเลย

5. เสื้อชั้นในผู้หญิง ให้ซ้อนกันไว้

วิธีการจัดกระเป๋าเดินทางให้ประหยัดพื้นที่ โดยเฉพาะสาวๆ สิ่งสำคัญที่ต้องจัดการเลยคือการจัดชุดชั้นในลงกระเป๋าเดินทาง วิธีนี้ช่วยเพิ่มพื้นที่กระเป๋าและช่วยให้ชุดชั้นในปลอดภัย ไม่ถูกทับจนเสียรูปทรง ทำได้โดยจัดเรียงชุดชั้นในให้อยู่ในแนวเดียวกัน แล้วแพ็กลงถุงซิปล็อก ก่อนที่จะใส่ลงในกระเป๋าเดินทาง 

6. ใช้เข็มขัดจัดทรงเสื้อที่ต้องใส่ออกงาน

ส่วนการจัดชุดออกงาน เสื้อเชิ้ตหรือชุดที่ม้วนพับยากใส่กระเป๋าเดินทาง วิธีพับผ้าจัดกระเป๋าเดินทางที่ช่วยให้เสื้อผ้าไม่เสียทรง ให้ใช้เข็มขัดใส่ตามแนวทรงคอปกเสื้อหรือใส่ในบริเวณที่พับยาก แล้วจัดการม้วนเก็บเข้ากระเป๋าเดินทาง โดยวางไว้ด้านบนสุดของกระเป๋า เพราะเมื่อถึงที่พักแล้วจะได้รีบนำออกมาแขวนทันที แค่นี้ก็สามารถจัดชุดออกงานใส่กระเป๋าเดินทางได้แบบไม่กลัวเสียทรงแล้ว

เทคนิคจัดกระเป๋าให้เบา

7 เทคนิคจัดกระเป๋าให้เบาสบายตัว

แน่นอนว่าเรื่องน้ำหนักกระเป๋า ปัญหานี้เป็นปัญหาที่นักเดินทางโดยเครื่องบินกังวลกันมาก จะทำอย่างไรดี ถ้ามีสัมภาระที่ต้องพกเดินทางเยอะแต่น้ำหนักโหลดกระเป๋าจำกัด มาดู 7 วิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบา ไม่เกินน้ำหนักกระเป๋าที่ซื้อไว้ จะได้ลองนำไปทำตามกันดูเลย

1. วางแผน Carry On ให้ดี

อย่างแรกเลย ไม่ว่าคุณจะซื้อน้ำหนักโหลดกระเป๋าไว้หรือไม่ก็ตาม อยากให้วางแผนกระเป๋าที่จะใช้ Carry On ให้ดี คุณสามารถนำกระเป๋าไปได้สูงสุด 2 ใบ แน่นอนว่าสัมภาระทุกชิ้นสำคัญแต่ไม่ควรแบกขึ้นเครื่องไปทุกชิ้น และไม่จำเป็นต้องนำของสำคัญใส่กระเป๋าโหลดใต้เครื่องทั้งหมดเพราะอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝัน อย่างกระเป๋าที่โหลดไว้อาจดีเลย์ จนทำให้มาช้าได้ ของสำคัญที่ควรนำ Carry On ไปด้วยมีอะไรบ้าง มาเช็กกันเลย

  • เอกสารประจำตัวและเอกสารสำคัญต่างๆ 
  • เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนในวันแรกเมื่อไปถึงยังที่หมาย
  • แล็ปท็อป แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
  • เครื่องสำอาง ของใช้ส่วนตัวที่สำคัญ
  • อุปกรณ์  Gadget ต่างๆ 

ที่ต้องวางแผนการจัดสัมภาระ Carry On แบบนี้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแบกของหนักเกินไปและป้องกันหากเกิดเหตุกระเป๋าดีเลย์ คุณก็ยังมีสัมภาระสำคัญอยู่กับตัวเอง ทำให้แพลนเที่ยวนั้นยังดำเนินต่อไปได้แบบไม่มีสะดุดด้วย

2. วางแผนเสื้อผ้าแต่ละวันไปก่อน

เคยไหม แบกเสื้อผ้าไปก่อนเยอะๆ โดยที่ไม่ได้วางแผน เหมือนจะไปอยู่ยาวทั้งเดือน แต่ความจริงแพลนเที่ยวแค่ 3 วัน เมื่อถึงเวลาเดินทาง ต้องแบกกระเป๋าหนักหลาย 10 กิโล ซึ่งวิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบา สามารถทำได้ง่ายๆ แค่วางแผนการใส่เสื้อผ้าแต่ละวัน นับให้ดีว่าต้องนำเสื้อผ้าไปด้วยกี่ตัวหรือมีตัวไหนสามารถแมตช์กันได้ไหม รวมถึงใครที่ไปเที่ยวเมืองหนาว สามารถใส่เสื้อผ้าบางชิ้นซ้ำได้ อาจวางแผนเสื้อผ้าไปแบบเสื้อ 2 ต่อกางเกง 1 ตัว แบบนี้ก็นับเป็นวิธีจัดกระเป๋าเดินทางประหยัดเนื้อที่ในกระเป๋าและช่วยไม่ให้กระเป๋าหนักเกินไปด้วย3. โกงน้ำหนักด้วยการแต่งตัวหนา ๆ ไปเลย

3. โกงน้ำหนักด้วยการแต่งตัวหนา ๆ ไปเลย

แต่สำหรับใครที่ต้องเอาเสื้อผ้าไปเยอะจริงๆ คัดแล้วก็ยังเยอะอยู่ กลัวน้ำหนักกระเป๋าเกินแต่ก็ไม่มีพื้นที่จัดเก็บใส่กระเป๋าได้แล้ว แนะนำให้ใช้วิธีโกงน้ำหนักแบบนี้เลย ใส่เสื้อผ้าที่มีไปเลย 3-4 ตัว ต่อให้ใส่เยอะยังไงก็ไม่ได้ถูกคำนวณน้ำหนักอยู่แล้ว เป็นอีกวิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบาที่ไม่ผิดกฎของสายการบินด้วย 

4. ไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำ

วิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบาและเพิ่มพื้นที่ให้กระเป๋าเดินทางได้ คือไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำไปด้วย เพราะอุปกรณ์ที่ใช้อาบน้ำ เครื่องใช้ส่วนตัวส่วนใหญ่เป็นของเหลว ทำให้กระเป๋ามีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นได้ และทางโรงแรมมักมีอุปกรณ์อาบน้ำให้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพกไป

5. ทำ Checklist ของในกระเป๋า เพื่อกันหาย

 วิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบาต้องทำ Checklist เพื่อเตรียมสัมภาระที่จำเป็น วิธีนี้จะช่วยให้ไม่ลืมของสำคัญและยังช่วยป้องกันของหายได้ด้วย สัมภาระที่จำเป็นส่วนใหญ่มีอะไรบ้าง เช็กพร้อมกันตามนี้ได้เลย

  • สัมภาระสำคัญ ได้แก่ บัตรประชาชน หนังสือเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน บัตรเครดิต เงิน ใบจองที่พักอาจเป็นในรูปแบบอีเมล อุปกรณ์สื่อสาร สมาร์ทโฟน สายชาร์จ กล้องถ่ายรูป พาวเวอร์แบงค์ และแผนการเดินทางท่องเที่ยว (ถ้ามี) 
  • เครื่องแต่งกาย ได้แก่ เสื้อ กางเกง กระโปรง ชุดชั้นใน ชุดนอน ชุดกันหนาว ถุงมือ ถุงเท้า ผ้าพันคอ (เมื่อไปประเทศอากาศหนาว) รองเท้าแตะ หมวก รวมถึงแว่นตาเครื่องประดับต่างๆ ด้วย
  • ของใช้ส่วนตัว เช่น อุปกรณ์อาบน้ำ อุปกรณ์ทำผม อาหารเสริม รวมถึงผ้าอนามัย
  • ของใช้อื่นๆ เช่น ถุงพลาสติกสำหรับใส่เสื้อผ้าใช้แล้ว กระดาษชำระ ยาทากันยุง

6. ของชิ้นใหญ่ ของหนัก วางไว้ใกล้ล้อ

อีกวิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบาคือจัดการเรียงสัมภาระที่มีน้ำหนักมากไว้ด้านล่างกระเป๋า ให้ใกล้กับล้อ และสัมภาระน้ำหนักเบาวางไว้ด้านบน จะช่วยให้รู้สึกไม่หนัก ลากกระเป๋าได้สบายมากขึ้น ไม่ต้องฝืนด้วย

7. ใช้กระเป๋า Soft Case เบากว่า จุได้เยอะกว่า

อย่าลืมว่าน้ำหนักทั้งหมดไม่ได้นับแค่สัมภาระภายในกระเป๋าเท่านั้นแต่ยังรวมน้ำหนักของกระเป๋าเดินทางเข้าไปด้วย วิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบา ลดน้ำหนักกระเป๋าได้เยอะ คือ เปลี่ยนมาใช้กระเป๋าเดินทางแบบ Soft Case นอกจากถือกระเป๋าเบาลงแล้ว ยังเพิ่มพื้นที่ให้กับสัมภาระอีกด้วย

การจัดกระเป๋าเบาสบาย

ทำไมต้องจัดกระเป๋าให้เบา ?

การจัดการวางแผนสัมภาระและเสื้อผ้าก่อนจัดกระเป๋าไปเที่ยวเป็นวิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้เบาลงได้ ไม่ใช่เพียงแค่ให้มีน้ำหนักเบาลงเท่านั้น แต่ยังมีข้อดีมากมายไม่ว่าเป็น 

  • ช่วยให้ไม่ต้องเสียเงินโหลดกระเป๋า 
  • ช่วยให้น้ำหนักกระเป๋าไม่เกินตามที่สายการบินกำหนด
  • ช่วยให้เตรียมสัมภาระได้ครบ
  • ช่วยให้หยิบสัมภาระได้สะดวก 
  • ช่วยให้เดินทางสะดวก 
  • กระเป๋าเดินทางไม่เป็นภาระเวลาเดินทาง
  • ช่วยเพิ่มพื้นที่ใส่สัมภาระอื่นๆ รวมถึงของฝากได้
  • ช่วยป้องกันสัมภาระสูญหายได้
ส่งกระเป๋าที่น้ำหนักเกิน

ถ้ากระเป๋าหนักเกินไป ส่งด้วย AIRPORTELs

หากสัมภาระเยอะ คัดเท่าที่จำเป็นแล้วยังมีน้ำหนักมากอยู่ดี แบบนี้ส่งผ่าน AIRPORTELs เลย บริการรับฝากและขนส่งกระเป๋าเดินทางในประเทศไทย ให้คุณเดินทางได้อย่างสะดวกปลอดภัย ไม่ต้องกังวลกับน้ำหนักสัมภาระ ให้คุณท่องเที่ยวในประเทศไทยแบบไร้กระเป๋าเดินทาง ราคาขนส่งกระเป๋าเริ่มต้น 299 บาท ราคารับฝากกระเป๋าเริ่มต้น 100 บาท  

ก่อนเดินทางท่องเที่ยวที่ไหนก็ตาม หากได้ลองทำตามวิธีการจัดกระเป๋าเดินทางประหยัดพื้นที่ทั้ง 14 ข้อนี้ จะเห็นว่านอกจากช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างให้กระเป๋า ช่วยให้กระเป๋าเบาลง ไม่เสียเงินโหลดค่ากระเป๋าเพิ่ม ช่วยให้กระเป๋าเดินทางเป็นระเบียบ เตรียมสัมภาระได้ครบถ้วน เทคนิคการจัดกระเป๋าเดินทางนี้ยังช่วยให้เดินทางได้สะดวก ไม่ต้องแบกกระเป๋าหนักๆ ไปเที่ยวกับตัวตลอดเวลา ให้คุณท่องเที่ยวเดินทาง ทำธุระสำคัญได้อย่างคล่องตัวนั่นเอง ไม่หวั่นแม้เกิดเหตุไม่คาดคิด

วิธีรับมือ เมื่อกระเป๋าเดินทาง สูญหาย-ล่าช้า-ส่งผิด ต้องทำอย่างไร ?

การเดินทางผ่านสายการบิน ไม่ว่าในประเทศหรือนอกประเทศ มีปัญหาอย่างหนึ่งที่พบได้บ่อยนั่นคือ กระเป๋าดีเลย์หรือกระเป๋าเดินทางหาย ซึ่งเรื่องนี้อาจเกิดได้กับทุกคน และแน่นอนว่าการเกิดเรื่องแบบนี้จะเป็นปัญหาต่อตารางเวลา ที่แต่ละคนตั้งใจวางแผนไว้เมื่อถึงจุดหมาย และอาจส่งผลเสียในหลายๆ ด้าน จนชวนหัวเสีย สำหรับวันนี้เราจะพาไปดูวิธีการรับมือ ป้องกัน หรือแก้ปัญหาเหล่านี้กันว่าสามารถทำได้อย่างไรได้บ้าง

วิธีรับมือ เมื่อกระเป๋าเดินทาง สูญหาย-ล่าช้า-ส่งผิด ต้องทำอย่างไร ?
ทำไมการขนส่งกระเป๋าเดินทางถึงเกิดปัญหา

ทำไมการขนส่งกระเป๋าเดินทางถึงเกิดปัญหา

กระเป๋าไม่ได้เข้าสู่การเช็กอินกระเป๋าไม่ได้เข้าสู่การเช็กอิน

ในบางครั้งขณะที่เราต้องการจะโหลดกระเป๋าใต้เครื่อง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำการเช็กอินที่สายการบิน รวมทั้งให้เช็กอินกระเป๋า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการติดแท็กให้ โดยสิ่งเหล่านี้เราจะต้องสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ทำครบหรือไม่มีการตกหล่น จะช่วยแก้ปัญหากระเป๋าดีเลย์ได้

กระเป๋าถูกขโมย

สำหรับกระเป๋าถูกขโมย อันนี้ต้องบอกว่าเป็นกรณีส่วนน้อยมากๆ ที่จะเกิด เมื่อคุณได้ทำการเช็กอินกระเป๋าเรียบร้อย โหลดใต้เครื่องเสร็จสรรพ และออกสู่จุดหมายปลายทาง แต่ในขณะที่กำลังรอกระเป๋าไหลลงจากสายพาน อาจเกิดการถูกขโมยกระเป๋าได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ กระเป๋าเดินทางหายกับการถูกขโมยมีหลายรูปแบบเลยทีเดียว 

กระเป๋าถูกส่งไปผิดเที่ยวบิน

สิ่งที่สามารถพบได้บ่อยในสายการบิน คือ การส่งกระเป๋าเดินทางไปผิดเที่ยวบิน ซึ่งในจุดนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่แย่ที่สุด เพราะกระเป๋าของเราอาจบินข้ามไปอีกประเทศ กว่าจะได้คืนหรือจะได้กลับมา จำเป็นที่จะต้องรอไฟลต์บินมาลงยังสนามบินหรือสถานที่ที่เราอยู่ เพื่อส่งมอบกระเป๋า โดยใช้เวลารอนานหลายชั่วโมง บางทีอาจจะเป็นวันได้

กระเป๋าค้างอยู่ที่สนามบิน

ในกรณีนี้สามารถเกิดขึ้นได้อยู่บ่อยๆ หลังจากที่เราได้ทำการเช็กอินกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย แต่เจ้าหน้าที่ลืมส่งโหลดใต้ท้องเครื่อง หรือหากการเช็กอินผิดพลาด อาจทำให้กระเป๋าเดินทางค้างอยู่ที่สนามบินโดยไม่รู้ตัว

เมื่อกระเป๋าเดินทางเรามีปัญหาต้องทำอย่างไร ?

เมื่อกระเป๋าเดินทางเรามีปัญหาต้องทำอย่างไร ?

สำหรับใครที่ทำการโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องเสร็จไปสู่จุดหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังรอกระเป๋าโหลดตามสายพาน กลับพบว่า กระเป๋าเดินทางหาย หรือทำไมกระเป๋าดีเลย์ เมื่อเทียบกับคนที่ขึ้นเครื่องมาด้วยกัน งานนี้ต้องบอกเลยว่าอย่าเพิ่งตกใจ แต่ให้รีบทำตามรายละเอียดด้านล่าง ดังต่อไปนี้

ติดต่อเจ้าหน้าที่ติดต่อเจ้าหน้าที่

หลังจากที่ได้รู้ว่ากระเป๋าเดินทางหายระหว่างรอบริเวณสายพาน เพราะรอกระเป๋าแต่กลับไม่มาสักที สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการอยู่บริเวณสายพานหรือจะแจ้งเจ้าหน้าที่ที่จุดรับแจ้งของหาย รวมทั้งสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินที่คุณใช้บริการได้ด้วย โดยเจ้าหน้าที่จะขอข้อมูลแท็กกระเป๋าเพื่อทำการเช็ก รวมถึงสอบถามช่องทางการติดต่อ เพื่อบอกว่าสามารถคืนกระเป๋าเดินทางให้เราได้เมื่อไรและอย่างไร 

ติดต่อประกันการเดินทาง

ในกรณีที่ได้ทำประกันการเดินทางเอาไว้ หากเกิดกรณีกระเป๋าสูญหายหรือเกิดกระเป๋าดีเลย์ ให้ทำการติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ได้ทำประกันเอาไว้ หรือสามารถใช้บัตรเครดิตที่มีประกันการเดินทาง เพื่อติดต่อได้เช่นกัน ซึ่งในกรณีนี้คือจะได้รับเงินชดเชยหลังจากที่กระเป๋าหาย โดยเบื้องต้นมีเกณฑ์เยียวยาสากลอยู่ที่ 10% ของเงินเอาประกันสูงสุด ในทุกๆ 6 ชั่วโมง ที่กระเป๋ามีการล่าช้า และอาจต้องดูเงื่อนไขที่คุณได้ทำประกันการเดินทางไว้ตั้งแต่แรก

คุยกับสายการบินเรื่องการชดเชย

สำหรับใครที่ไม่ได้ทำประกันการเดินทางไว้ ทางสายการบินจะต้องรับผิดชอบที่ทำให้กระเป๋าดีเลย์หรือกระเป๋าหาย โดยเบื้องต้นเราจำเป็นต้องถ่ายรูปกระเป๋า รวมทั้งสัมภาระในกระเป๋าพร้อมเก็บแท็กกระเป๋าไว้ ส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่จะทำให้ได้รับค่าชดเชยตามอย่างควรจะได้ในกรณีสูญหาย แต่ถ้าหากเป็นเรื่องดีเลย์ มีการชดเชยเช่นกันแต่เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่ง เมื่อได้กระเป๋ามาเป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะส่งกระเป๋าไปให้ยังที่พักโดยทันที

ก่อนไปเที่ยวควรเตรียมตัวเผื่อกระเป๋าดีเลย์ กระเป๋าหาย อย่างไร

ก่อนไปเที่ยวควรเตรียมตัวเผื่อกระเป๋าดีเลย์ กระเป๋าหาย อย่างไร

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระเป๋าดีเลย์หรือกระเป๋าสูญหาย จึงควรมีการเตรียมตัวเอาไว้ก่อน ไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นระหว่างทริปบิน โดยสามารถทำได้ตามวิธีต่างๆ ดังนี้

ถ่ายภาพกระเป๋าก่อนแพ็กเอาไว้

การถ่ายสภาพกระเป๋าก่อนการแพ็กนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อที่จะได้รู้ว่ากระเป๋าเดินทางของเรามีลักษณะแบบไหน มีจุดไหนที่ชำรุดหรือไม่เรียบร้อยอย่างไร และจากนั้นจึงค่อยนำข้าวของใส่ลงกระเป๋าให้เรียบร้อย ในกรณีที่กระเป๋าหายหรือชำรุดสามารถใช้ภาพนี้แจ้งเจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นการยืนยันในภายหลังได้

จำหรือถ่ายภาพน้ำหนักกระเป๋าเราเอาไว้

ในขณะที่กำลังเช็กอินและอยู่ในช่วงกำลังชั่งน้ำหนักกระเป๋าในจุดนี้เราสามารถถ่ายภาพเก็บไว้ได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้ทำการดำเนินการจริง ๆ ในจุดนี้ก็สามารถใช้เป็นหลักฐานได้เช่นกัน

บินด้วย Direct Flight

การเลือกไฟลต์บินแบบ Direct Flight หรือคือสายการบินที่บินตรงไปยังจุดหมาย โดยไม่มีการเปลี่ยนเครื่อง ระหว่างประเทศ ในจุดนี้จะสามารถป้องกันกระเป๋าดีเลย์ได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าเป็นไฟลต์ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องระหว่างการเดินทาง กระเป๋าอาจตกหล่นได้

ถามสนามบินเสมอว่า กระเป๋าเราจะไปไฟลต์ไหน

ในขณะที่ให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจเช็กและติดแท็กที่กระเป๋า ให้เราถามไปตรงๆ เลยว่ากระเป๋าเราไปไฟลต์ไหน การถามแบบนี้ถือว่าเป็นการรีเช็กว่าเจ้าหน้าที่มีการทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องหรือไม่ และสามารถลดความกังวลใจของเราได้

จัด Carry On เอาไว้เผื่อกระเป๋าดีเลย์

สำหรับใครที่ต้องการความปลอดภัย แม้เกิดการกระเป๋าดีเลย์ จำเป็นที่จะต้องจัดเตรียมข้าวของใส่กระเป๋าที่จะ Carry On หรือก็คือกระเป๋าที่เราสามารถถือขึ้นเครื่องได้ ในจุดนี้ต้องเช็กด้วยว่าการนำกระเป๋าขึ้นไปยังโซนที่นั่ง สามารถเอาอะไรขึ้นไปได้บ้าง อะไรที่ไม่สามารถเอาขึ้นไปได้ และจำกัดน้ำหนักอยู่ที่จำนวนเท่าไร ก่อนการแพ็กกระเป๋าจริง

ส่งกระเป๋าไปก่อน 

การส่งกระเป๋าไปยังจุดหมายปลายทางก่อนที่เราจะขึ้นเครื่องเพื่อบิน จะสามารถสร้างความมั่นใจได้ว่ากระเป๋าจะไม่ดีเลย์หรือหายไปได้แน่นอน เมื่อเราไปถึงจุดหมายปลายทาง สามารถนำกระเป๋าออกมาได้ตามเงื่อนไขของสายการบิน

ใช้ Air Tag เพื่อป้องกันกระเป๋าถูกขโมย 

Air Tag คืออุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับติดกระเป๋าเดินทาง เพื่อที่จะเช็กว่ากระเป๋าเดินทางอยู่ในจุดไหน โดยใช้การเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนที่สามารถให้กระเป๋าส่งสัญญาณเตือน และบอกทิศทางว่าเราสามารถพบกระเป๋าได้ที่จุดใด 

ไปเช็กอินก่อนเวลามาก ๆ 

การไปเช็กอินก่อนเวลามากๆ จะสามารถลดความผิดพลาดทั้งตัวเราและเจ้าหน้าที่ได้ ในขณะเช็กอินและทำการติดแท็กกระเป๋าเพื่อโหลดลงเครื่อง ซึ่งจุดนี้ ทางเราอาจจะสามารถขอเจ้าหน้าที่เช็กดูว่ากระเป๋าติดแท็กถูกไฟลต์ ข้อมูลถูกต้องหรือเปล่า แต่ถ้าหากไปในเวลากระชั้นชิด จะยื่งทำให้เกิดความผิดพลาดได้มากยิ่งขึ้น

สรุปแล้ว เมื่อเกิดกรณีกระเป๋าดีเลย์หรือกระเป๋าเดินทางหาย ทางเลือกในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือการติดต่อเจ้าหน้าที่สนามบิน เพื่อตามหาว่ากระเป๋าเดินทางไปตกหล่นอยู่ที่ไหน โดยทางสนามบินก็จะหาทางแก้ไข เพื่อชี้แจงเรื่องกระเป๋าหายให้ หรือหากไม่เจอจริง ๆ ทางสายการบินก็พร้อมที่จะชดเชยให้ แต่เพื่อความชัวร์ ควรมีการเตรียมตัวป้องกันก่อนเดินทาง นับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่จะสามารถลดความผิดพลาดของสายการบิน และเราจะสามารถสื่อสารกับสายการบินได้ง่ายยิ่งขึ้น

มาจัดกระเป๋าเดินทางกัน check list พกของไปให้ครบไม่มีขาด

หากพูดถึงเรื่องไปเที่ยว ไม่ว่าใครก็อยากจะไปกันทั้งนั้น แต่ก่อนที่จะไปเที่ยวได้ ก็ต้องจัดกระเป๋าไปเที่ยวกันก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆ คนน่าจะไม่ชอบกัน เพราะว่าขี้เกียจ ไม่รู้จะเริ่มต้นจัดกระเป๋ายังไง ยังไม่รวมที่คิดไม่ออกว่าควรหยิบอะไรไปบ้างดี ถ้าหยิบไปแล้วจะได้ใช้ไหม หรือจะลืมอะไรไปบ้างหรือเปล่า ดังนั้น การจัดกระเป๋าไปเที่ยวตาม Checklist กระเป๋าเดินทาง จึงถือว่าเป็นทางออกที่สามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ โดย Checklist กระเป๋าเดินทางที่ AIRPORTELs นำมาฝากในบทความนี้จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย!

วิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้ครบ
Checklist ช่วยจัดกระเป๋าเดินทาง

Checklist กระเป๋าเดินทางจาก AIRPORTELs

การจัดกระเป๋าไปเที่ยวนั้นควรเริ่มจากการแบ่งหมวดสิ่งของก่อนว่ามีหมวดหมู่อะไรบ้าง เพื่อที่จะได้จัดลำดับความสำคัญของสิ่งของว่าควรจะเริ่มต้นหยิบอะไรใส่กระเป๋าก่อนดี และถ้าหากกระเป๋าเต็มจะได้ตัดสิ่งของที่มีความจำเป็นน้อยที่สุดออกไปได้ โดย Checklist กระเป๋าเดินทางที่ AIRPORTELs ลิสต์มาให้นั้น สามารถแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 หมวดหมู่ ได้แก่ ของใช้จำเป็น ปัจจัย 4 และของเบ็ดเตล็ด โดยแต่ละหมวดหมู่มีรายละเอียด ดังนี้

ของใช้จำเป็นที่ต้องมีในกระเป๋าเดินทาง มีอะไรบ้าง

“ของใช้ที่จำเป็น” เป็น Checklist กระเป๋าเดินทางหมวดหมู่แรกที่ควรให้ความสำคัญในการจัดกระเป๋าไปเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งของเหล่านี้จำเป็นต่อการไปเที่ยวและการใช้ชีวิต หากลืมหรือขาดหายไป อาจส่งผลให้เกิดปัญหาตามมาได้อย่างแน่นอน โดยสิ่งของที่ไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาด มีดังนี้

หนังสือเดินทาง

หนังสือเดินทาง ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่จะแสดงและยืนยันตัวตนของเราได้ หากลืมอาจทำให้ไม่สามารถออกนอกประเทศหรือไม่สามารถเข้าประเทศปลายทางได้ ดังนั้น จึงไม่ควรลืม ควรพกติดตัวไว้เสมอและควรเก็บรักษาไว้ให้ดีที่สุด

Boarding Pass หรือหลักฐานการจองไฟล์ทของสายการบิน

Boarding Pass เป็นหลักฐานในการจองไฟล์ทของสายการบิน ว่าเราจองไว้ในชื่อเราจริงไหม จองไว้วันที่เท่าไร เดินทางเวลาไหน และเดินทางกับสายการบินอะไร เพื่อที่จะได้ทำการเช็กอิน ป้องกันการตกเครื่อง และเดินทางได้อย่างถูกต้อง

สำเนาของหนังสือเดินทางและหลักฐานการจองไฟล์ทของสายการบิน

ถึงแม้เราจะมีหนังสือเดินทาง และ Boarding Pass ตัวจริงอยู่ในมือแล้ว แต่การมีสำเนาสำรองไว้ประมาณ 1-2 ชุด จะช่วยให้เราอุ่นใจได้มากขึ้น เพราะอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ เช่น หนังสือเดินทาง หรือ Boarding Pass หาย หรือได้รับความเสียหาย จะได้มีสำเนาที่นำมาใช้แทนกันได้ 

เงินต่างประเทศ หรือเงินดอลล่าร์

ก่อนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ควรทำการแลกเงินเป็นสกุลเงินของประเทศที่เราจะไปเที่ยวเสียก่อน ในกรณีที่บางสถานที่รับแต่เงินสดเท่านั้น จะได้มีเงินสดไว้ใช้จ่าย และควรแลกไปในจำนวนที่เพียงพอ หรืออาจแลกเงินเป็นสกุลดอลลาร์เผื่อไว้ เพราะถ้าหากเงินที่แลกมาไม่พอ สามารถใช้เงินดอลลาร์แทนได้

Power Bank และสายชาร์จ อุปกรณ์ IT

Power Bank สายชาร์จ หรืออุปกรณ์ IT ต่างๆ รวมถึงอินเทอร์เน็ต เป็นสิ่งที่ควรเตรียมไว้ก่อนการเดินทาง เพราะการไปเที่ยวนั้นต้องใช้มือถือในการติดต่อสื่อสาร ถ่ายรูป หรืออัปเดตลงโซเชียลเป็นหลัก รวมถึงการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อหาข้อมูลต่างๆ ของสถานที่ท่องเที่ยว อินเทอร์เน็ตที่ดีทำให้ค้นหาได้รวดเร็ว ไม่ต้องหงุดหงิดเมื่อรอข้อมูล ส่วนแบตเตอรี่ที่ลดลงไปตามการใช้งานหรือหมดในระหว่างวัน หากมีแบตสำรองพกติดตัวไว้ก็นำมาชาร์จได้ตลอด ไม่ต้องกลัวแบตหมด

อแดปเตอร์แปลงไฟตามประเทศปลายทาง

หัวปลั๊กไฟในแต่ละประเทศนั้นมีลักษณะไม่เหมือนกันและมีกระแสไฟที่ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่าง เช่น

  • ประเทศญี่ปุ่น ใช้ปลั๊ก Type A และ B ที่มีกำลังไฟ 100V 50Hz
  • ประเทศเกาหลีใต้ ใช้ปลั๊ก Type C และ F ที่มีกำลังไฟ 110V/220V 60Hz
  • ประเทศสิงคโปร์ ใช้ปลั๊ก Type C, G และ M ที่มีกำลังไฟ 230V 50Hz
  • ประเทศไต้หวัน ใช้ปลั๊ก Type A และ B ที่มีกำลังไฟ 110V 60Hz
  • ประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้ปลั๊ก Type A และ B ที่มีกำลังไฟ 120V 60Hz 
  • ประเทศอังกฤษ ใช้ปลั๊ก Type G ที่มีกำลังไฟ 230V 50Hz

ดังนั้น จึงควรเตรียมหัวปลั๊กแปลงไฟของแต่ละประเทศปลายทางด้วยทุกครั้ง หรืออาจจะใช้หัวปลั๊กแปลงไฟแบบ Universal ที่สามารถแปลงปลั๊กได้ทุกลักษณะ 

บัตรเครดิตกลุ่ม Visa หรือ MasterCard 

การพกบัตรเครดิตที่เป็น Visa หรือ Mastercard เป็นอีกสิ่งที่ควรพกติดตัวไว้เมื่อไปต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่มักจะรับเฉพาะ 2 กลุ่มนี้เท่านั้น เพราะมีบริการที่ครอบคลุมมากกว่าบัตรแบบอื่นๆ เช่น กดเงิน หรือรูดจ่ายด้วยบัตรได้ทันที เป็นต้น

อุปกรณ์การทำงาน ในกรณีที่เป็น Workation 

หากใครไปท่องเที่ยวแบบ Workation ต้องห้ามลืมจัดกระเป๋าไปเที่ยวพร้อมอุปกรณ์ในการทำงานให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ค เมาส์ คีย์บอร์ด ที่ชาร์จโน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่สำคัญต่อการทำงาน เพราะหากลืมสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจทำให้การทำงานไม่สะดวก แถมยังอาจหาซื้อใหม่ที่ต่างประเทศได้ยากอีกด้วย

กลุ่มปัจจัย 4 

“กลุ่มปัจจัย 4” เป็น Checklist กระเป๋าเดินทางหมวดหมู่ที่ 2 สำหรับการจัดกระเป๋าไปเที่ยวที่สำคัญรองลงมาจากของใช้จำเป็น เพราะถ้าหากลืม หรือทำหาย ยังสามารถหาซื้อใหม่ได้ โดยสิ่งของต่างๆ ในหมวดปัจจัย 4 ที่ควรจัดใส่ในกระเป๋าไปเที่ยว มีดังนี้

เสื้อผ้า กางเกง

การเลือกเสื้อผ้าและกางเกง ในการจัดกระเป๋าไปเที่ยว ควรดูก่อนว่าไปกี่วัน ไปสถานที่แบบไหนบ้าง และประเทศที่เราจะไปนั้นมีสภาพอากาศเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้คำนวณได้ถูกว่าควรจะเตรียมไปกี่ชุด และควรเลือกเสื้อผ้าแบบไหนไปให้เหมาะสมกับสถานที่และสภาพอากาศมากที่สุด

ชั้นใน

ชุดชั้นใน เป็นอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้เสื้อผ้า และกางเกง โดยการเตรียมชุดชั้นใน ให้คำนวณจากวันที่ไปเหมือนกับการเตรียมเสื้อผ้าว่าในหนึ่งวันเราจะต้องใส่กี่ตัว เพื่อที่จะได้เตรียมไปได้ถูก แต่ต้องเตรียมไปเผื่อมากกว่าที่คำนวณไว้ประมาณ 2-3 ชุด เผื่อเกิดกรณีฉุกเฉินจะได้มีใส่ และไม่ต้องกังวลว่าจะหาซื้อได้ที่ไหนบ้าง 

ชุดว่ายน้ำ

สำหรับใครที่มีแพลนเที่ยวทะเล ควรพกชุดว่ายน้ำไปด้วย หรือใครที่จองที่พักที่มีสระว่ายน้ำ และคิดว่าจะลงไปเล่นน้ำ อาจจะเตรียมชุดว่ายน้ำไปเผื่อด้วยได้ เพราะว่าในบางที่มีข้อกำหนดว่าจะต้องใส่ชุดว่ายน้ำลงเล่นน้ำเท่านั้น

รองเท้า-ถุงเท้า

รองเท้าและถุงเท้า เป็นอีกสิ่งที่ควรเตรียมให้ดี โดยอาจจะใส่รองเท้าผ้าใบไป พร้อมกับเตรียมรองเท้าแตะ และรองเท้าผ้าใบสำรองไปอีกอย่างละ 1 คู่ รวมถึงถุงเท้าที่ควรเตรียมไปให้พอดี หรือเตรียมไปเผื่อมากกว่าเดิมประมาณ 1-2 คู่  เผื่อเกิดอาการเจ็บเท้า ถุงเท้าขาด หรือเกิดกรณีฉุกเฉินจะได้มีรองเท้าและถุงเท้าเปลี่ยน

ยาสามัญ

ยาสามัญประจำบ้าน เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้ไอ ยาแก้แพ้ ยาแก้ปวดท้อง หรือยาแก้ท้องเสีย รวมถึงยาดม หรือยาแก้เมารถ เมาเรือ ก็ควรพกติดกระเป๋าไว้ เพราะว่าเวลาไปเที่ยว อาจจะต้องเจอกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เดินเยอะ กินอาหารหลากหลาย หรือขึ้น-ลงรถบ่อยๆ จนทำให้เกิดอาการป่วยต่างๆ เช่น ปวดหัว ปวดขา ปวดท้อง หรือเมารถตามมาได้ ทั้งนี้ ควรศึกษาก่อนด้วยว่าประเทศปลายทางนั้นมีข้อห้ามในการนำเข้ายาบางชนิดหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการนำเข้ายาผิดกฎหมาย

อาหารแห้ง อาหารฉุกเฉิน

อาหารแห้งหรืออาหารฉุกเฉิน เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำพริก น้ำจิ้ม หรืออาหารสำเร็จรูปอื่นๆ เป็นสิ่งที่หลายๆ คนนิยมใส่ไว้ในการจัดกระเป๋าไปเที่ยว เผื่อกลัวว่าอาหารที่ประเทศอื่นจะไม่ถูกปาก ทำให้กินได้ไม่เยอะหรือกินไม่อิ่ม จนทำให้เกิดอาการหิวตอนดึกนั่นเอง 

อาหารเสริม วิตามิน

สำหรับใครที่ต้องทานอาหารเสริมหรือวิตามินเป็นประจำ ควรแพ็กใส่กล่องหรือซองให้พอดีตามจำนวนเวลา และวันที่ไปเที่ยว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพกไปทั้งกระปุก แถมยังช่วยประหยัดพื้นที่และน้ำหนักของกระเป๋า ทั้งนี้ ควรศึกษาก่อนด้วยว่าประเทศปลายทางนั้นมีข้อห้ามในการนำเข้าอาหารเสริม หรือวิตามินบางชนิดหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการนำเข้ายาที่ผิดกฎหมาย

กลุ่มเบ็ดเตล็ด

Checklist กระเป๋าเดินทางสำหรับจัดกระเป๋าไปเที่ยวหมวดหมู่สุดท้าย คือ สิ่งของเบ็ดเตล็ด โดยหมวดหมู่นี้จะมีความสำคัญน้อยที่สุดในการจัดกระเป๋าไปเที่ยว เพราะว่าเป็นสิ่งของที่สามารถหาซื้อได้ง่าย หรือใช้ของอย่างอื่นทดแทนได้ เพื่อช่วยลดสัมภาระหรือน้ำหนักกระเป๋า โดยสิ่งของต่างๆ ในหมวดหมู่เบ็ดเตล็ด มีดังนี้

เครื่องสำอางค์ เครื่องประทินผิว

เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ เป็นสิ่งของที่สามารถหาซื้อได้ในต่างประเทศ โดยเราอาจจะพกไปแค่ชีตมาส์ก ครีมกันแดด แป้งฝุ่น ลิปสติกแท่งโปรด คอนซีลเลอร์ และที่เขียนคิ้ว ส่วนที่เหลือนั้นอาจจะไปซื้อต่างประเทศแทนได้ เพื่อประหยัดน้ำหนักกระเป๋า แถมยังได้ชอปปิงของใหม่อีกด้วย

เครื่องประดับ พร็อพถ่ายรูป

เครื่องประดับหรือพร็อพถ่ายรูป อย่างเช่น แว่นตา หมวก ต่างหู กระเป๋า หรือเครื่องประดับอื่นๆ อาจพกไปแค่เครื่องประดับชิ้นโปรดและกระเป๋าใบโปรดเท่านั้น เพื่อลดสัมภาระที่ไม่จำเป็นออกไป ประหยัดน้ำหนักกระเป๋า แล้วค่อยไปซื้อของใหม่ หรือไปเช่าที่หน้างานแทนได้

กล้องถ่ายรูป 

ถ้าหากไม่ได้ไปถ่ายรูปที่ต้องนำมาใช้งานหรือถ่ายแค่ลงโซเชียล อาจจะไม่จำเป็นที่ต้องพกกล้องถ่ายรูปไป และใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายแทน เพราะในปัจจุบันนั้นกล้องโทรศัพท์มือถือมีสเปกสูงเหมือนกับกล้องถ่ายรูป แถมยังไม่ต้องแบกให้เมื่อยอีกด้วย

ไฟฉาย เทียน ไฟแช็ก ไม้ขีดไฟ

ไฟฉาย เทียน ไฟแช็ก หรือไม้ขีดไฟ เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่นัก เพราะมีโอกาสที่จะได้ใช้น้อยมาก หรืออาจพกไปแค่ไฟฉายก็เพียงพอ แต่ถ้าหากพื้นกระเป๋าเต็มแล้ว สามารถตัดออกไปได้เช่นกัน

อื่น ๆ

สิ่งของอื่นๆ ที่สามารถหาซื้อได้ที่ปลายทางได้ง่าย ไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ หรือไม่มีความจำเป็น ควรตัดออกไปเลย เช่น ตุ๊กตา ผ้าห่ม ยากันยุง หรือของจิปาถะอื่นๆ เพื่อช่วยลดสัมภาระ และน้ำหนักกระเป๋าที่อาจเกินได้โดยที่ไม่จำเป็น

การจัดกระเป๋าเดินทาง

ทำ Checklist ช่วยจัดกระเป๋าเดินทางดีอย่างไร มีเทคนิคอะไรบ้าง ?

สำหรับข้อดีของการทำ Checklist กระเป๋าเดินทาง เพื่อช่วยจัดกระเป๋าไปเที่ยวให้ง่ายขึ้น มีดังนี้

  • ช่วยให้จัดกระเป๋าไปเที่ยวได้อย่างมีระเบียบ
  • สามารถตรวจสอบได้ง่ายว่าลืมอะไรหรือไม่
  • นำไปแต่สิ่งของที่มีความจำเป็น
  • ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าเตรียมของครบหรือเปล่า
  • ช่วยให้จัดกระเป๋าไปเที่ยวได้เร็วขึ้น เพราะรู้ว่าต้องหยิบอะไรบ้าง

โดยเทคนิคสำคัญในการทำ Checklist กระเป๋าเดินทาง มีอยู่ 2 เทคนิคด้วยกัน ได้แก่

  • การทำ Checklist 2 ฉบับ เพื่อเช็กของทั้งขาไปและขากลับ 
  • การทำ Checklist 2 แบบ สำหรับกระเป๋าเดินทางที่จะโหลดลงใต้เครื่องและกระเป๋าที่จะถือขึ้นเครื่อง เพื่อที่จะได้รู้ว่าควรใส่อะไรไว้ที่กระเป๋าไหน จะได้หาของได้ง่ายขึ้น 

การทำ Checklist กระเป๋าเดินทาง สามารถช่วยให้การจัดกระเป๋าไปเที่ยวนั้นเป็นเรื่องง่ายขึ้นได้ แถมยังช่วยให้จัดได้อย่างรวดเร็ว และสะดวกมากขึ้น เพราะรู้ว่าจะต้องใช้ของอะไรบ้าง และควรให้ความสำคัญกับสิ่งของในหมวดหมู่ไหนก่อน ที่สำคัญคือ ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบได้ว่าเราจัดของที่จำเป็นต้องใช้ครบหรือไม่ แล้วยังช่วยให้จัดกระเป๋าได้อย่างเป็นระเบียบมากขึ้

วิธีวัดกระเป๋าเดินทางไม่ให้พลาด คุ้มทุกทริป สบายทุกการเดินทาง

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คนช็อตฟีลเวลาเที่ยวมากที่สุดคือการเสียค่าโหลดกระเป๋าแบบไม่รู้ตัว ซึ่งหนึ่งในเหตุผลก็คือ การวัดขนาดกระเป๋าเดินทางไปผิดวิธีนั่นเอง บางคนอาจจะชะล่าใจว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แต่บ่อยครั้งก็ยังมีคนที่เข้าใจผิดอยู่มาก AIRPORTELs จึงได้รวบรวมเทคนิควิธีการวัดกระเป๋าเดินทาง แบบเข้าใจง่ายๆ ครบจบทุกขั้นตอน เพื่อให้การเดินทางครั้งต่อไปของทุกคนเป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีสะดุด ถ้าพร้อมแล้วตามไปดูกันเลย

ทำไมต้องวัดกระเป๋าเดินทาง

โดยปกติแล้ว สายการบินจะจำกัดจำนวน และขนาดของกระเป๋า Carry-on หรือ สัมภาระที่อนุญาตให้ผู้โดยสารนำขึ้นเครื่อง ซึ่งแต่ละสายการบินก็จะมีระเบียบและข้อกำหนดที่แตกต่างกันออกไป หากผู้โดยสารไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดเรื่องขนาดกระเป๋าเดินทางของสายการบินแล้ว สายการบินสามารถปฏิเสธที่จะให้ผู้โดยสารนำสัมภาระขึ้นเครื่องได้ และให้ทำการโหลดสัมภาระลงใต้ท้องเครื่องแทน ทำให้ต้องเสียเวลา เสียความรู้สึก และเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อาจทำให้เกิดความล่าช้าจนตกไฟล์ท ต้องทำการเลื่อนหรือจองตั๋วใหม่จนปวดหัว นอกจากนี้แบรนด์กระเป๋าบางแบรนด์ก็บอกขนาดกระเป๋าเดินทางที่รวมความสูงของล้อ แต่บางแบรนด์ก็ไม่รวม ยิ่งทำให้เกิดความสับสน และทำให้มีปัญหาตอนขึ้นเครื่อง การทำความเข้าใจกับข้อกำหนดของสายการบิน และการวัดขนาดกระเป๋าเดินทาง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและควรทำเป็นอย่างมากก่อนการเดินทางทุกครั้ง

เงื่อนไขขนาดกระเป๋า Carry On ของแต่ละสายการบินเป็นอย่างไร ? 

สายการบินส่วนใหญ่ อนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถนำสัมภาระขึ้นเครื่องได้ทั้งหมด 2 ชิ้น คือกระเป๋าสะพายหรือเป้ขนาดเล็กสำหรับเก็บของใช้ส่วนตัวเช่น พาสปอร์ต โทรศัพท์มือถือ หรือหนังสือ ที่สามารถเก็บไว้ในช่องเก็บของใต้ที่นั่ง และกระเป๋าสัมภาระแบบล้อเลื่อนหรือกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กอีก 1 ใบ 

  • โดยเฉลี่ยแล้ว กระเป๋าพกพาติดตัวควรมีขนาดไม่เกิน 37.5 เซนติเมตร (15 นิ้ว) 
  • กระเป๋าเดินทางขนาดเล็กไม่เกิน 56x36x23 เซนติเมตร (ไซส์กระเป๋าเดินทางล้อเลื่อน 14-16 นิ้ว) 
  • น้ำหนักไม่เกิน 5-7 กิโลกรัม 

หากทำการชั่งและวัดขนาดกระเป๋าเดินทางก่อนไปสนามบิน ก็จะช่วยลดโอกาสในการเจอดราม่าเรื่องการนำกระเป๋าขึ้นเครื่องอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม แต่ละสายการบินมีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องขนาดและน้ำหนักของกระเป๋า Carry-on ที่แตกต่างกันออกไป และสายการบินสามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำการตรวจสอบเกี่ยวกับกฎระเบียบก่อนออกเดินทาง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเกี่ยวกับสัมภาระที่อาจเกิดขึ้นได้

วิธีวัดขนาดกระเป๋าเดินทาง 

จะออกเดินทางทั้งที อย่าให้ทริปดีๆ ต้องมาสะดุดเพราะปัญหาเรื่องขนาดกระเป๋าเดินทาง  มาดูเทคนิคและวิธีวัดขนาดกระเป๋าเดินทางที่ถูกต้องเพื่อการเดินทางที่ราบรื่นกันดีกว่า โดยมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

  • เช็คนโยบายของสายการบินที่ใช้บริการ เข้าไปที่เว็บไซต์หรือโทรเข้าไปสอบถามสายการบินเกี่ยวกับน้ำหนักและขนาดของสัมภาระที่อนุญาตให้ผู้โดยสารนำขึ้นเครื่อง
  • วัดขนาดกระเป๋า วัดขนาดกระเป๋าเดินทางที่ต้องการนำขึ้นเครื่องด้วยสายวัด ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถใช้เป็นกระเป๋า Carry-on ได้หรือไม่ โดยควรวัดให้ครบทั้งสามด้านคือ ความยาว ความสูง และความกว้าง ในส่วนของความสูงของกระเป๋านั้น ควรวัดตั้งแต่ล้อไปจนถึงขอบบนของกระเป๋าเพื่อความแน่ใจ เพราะสายการบินหลายแห่งก็ยังคงนับรวมความสูงของล้อกระเป๋าด้วย
  • แพ็คสัมภาระให้เหมาะกับทริป ไม่พกสัมภาระเยอะจนเกินไป และควรนำเพียงสัมภาระที่จำเป็นติดตัวไป เพื่อการเดินทางที่ราบรื่นและเพิ่มความคล่องตัวในการเดินทาง
  • วัดรอบที่สอง เพื่อความถูกต้อง หลังจากที่เก็บสัมภาระทั้งหมดใส่ลงในกระเป๋า ในบางครั้งกระเป๋าอาจหนาขึ้นเพราะมีการเปิดใช้ส่วนขยาย หรือมีสัมภาระที่ทำให้ขนาดกระเป๋าเดินทางเปลี่ยนไป จึงควรมีการวัดขนาดกระเป๋าเดินทางรอบที่สองเพื่อให้มั่นใจว่าขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องที่รวมสัมภาระนั้นยังคงอยู่ภายใต้ข้อกำหนดที่ทางสายการบินอนุญาต
  • ชั่งน้ำหนักกระเป๋า นอกจากขนาดของกระเป๋าแล้ว ทางสายการบินยังมีข้อกำหนดในเรื่องของน้ำหนักกระเป๋าอีกด้วย จึงควรทำการเช็คให้แน่ใจว่ากระเป๋าไม่หนักจนเกินไป จะได้ไม่เจอค่าปรับที่คาดไม่ถึง

เลือกกระเป๋าเดินทางขนาดไหนดี

นอกจากขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องแล้ว กระเป๋าสัมภาระที่โหลดใต้ท้องเครื่องก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะยิ่งน้ำหนักกระเป๋าน้อยลงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยเซฟเงินที่สามารถนำไปใช้ระหว่างทริปได้เยอะมากขึ้นเท่านั้น มาดูกันว่ากระเป๋าแต่ละขนาด จะเหมาะกับทริปแบบไหนบ้าง

              กระเป๋าเดินทาง 16 – 21 นิ้ว

ขนาดกระเป๋าเดินทางที่เหมาะมากๆ สำหรับทริปสั้นๆ เช่น ไปงานแต่งงาน งานเลี้ยง หรือการเดินทางไปติดต่อธุรกิจในระยะเวลาสั้นๆ สามารถใส่เสื้อผ้าสำหรับ 1-3 วันได้แบบพอดีๆ และสำหรับหลายๆ สายการบินก็อนุญาตให้ผู้โดยสารใช้กระเป๋าขนาด 16 นิ้วเป็นกระเป๋า Carry-on ช่วยเพิ่มความคล่องตัว และไม่ต้องไปมัวรอกระเป๋าเมื่อถึงสนามบินอีกด้วย

             กระเป๋าเดินทาง 24 – 26 นิ้ว

ขนาดกระเป๋าเดินทางขนาดกลาง สามารถจุเสื้อผ้าและสัมภาระสำหรับทริปไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ และยังเหลือที่ว่างพอให้ใส่ของฝากได้เล็กน้อย ใช้เป็นกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องได้สบายๆ เหมาะสำหรับทริปท่องเที่ยวสั้นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นกระเป๋าเดินทางไซส์มาตรฐานที่ควรมีติดบ้านเอาไว้ เผื่อเจอโปรฯ ทริปไฟลุก ปุบปับเมื่อไหร่ก็พร้อมลากกระเป๋าไปทันที

             กระเป๋าเดินทาง 29 – 32 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่ที่สุด ใช้โหลดใต้ท้องเครื่องอย่างเดียวเท่านั้น เหมาะสำหรับการเดินทางที่ต้องไปอยู่ระยะยาวกว่าหนึ่งสัปดาห์ขึ้นไป ไม่ว่าจะไปเที่ยว ไปเรียน หรือย้ายไปทำงาน ก็พกพาสัมภาระไปได้แบบจุใจ โดยเฉพาะการเดินทางไปประเทศที่มีอากาศหนาว ต้องพกเสื้อโค้ทหรือเสื้อคลุมหนาๆ ก็สามารถใส่ได้สบายๆ เป็นขนาดกระเป๋าเดินทางที่โดนใจ สายช้อป สายแฟชั่น หรือสายเดินทางต่างประเทศ เพราะเก็บของได้จุแบบสุดๆ นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่เดินทางเป็นครอบครัว โดยเฉพาะครอบครัวที่ลูกยังเล็กเพราะมักต้องมีสัมภาระติดตัวเยอะ

ทั้งนี้ ขนาดกระเป๋าเดินทางที่เลือก อาจเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ของแต่ละคน และสภาพภูมิอากาศของจุดมุ่งหมาย เช่น แม้ว่าจะเป็นทริปสั้นๆ แต่หากเป็นที่ที่มีอากาศหนาวก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้กระเป๋าใบใหญ่ เพราะต้องใช้เก็บเสื้อโค้ทหรือแจ็คเก็ตที่มีความหนา หรือหากเป็นการเดินทางไปพักกับเพื่อนหรือหอพักที่ซักเสื้อผ้าได้ ก็อาจไม่มีความจำเป็นที่ต้องพกเสื้อผ้าไปให้ครบจำนวนวันที่เดินทาง เป็นต้น

ถ้าโดนบังคับโหลดเพราะน้ำหนัก หรือขนาดเกิน ทำอย่างไร ?

ฝันร้ายของนักเดินทางทุกคน คือการต้องมาแก้ปัญหาเรื่องสัมภาระขึ้นเครื่องในระหว่างการเดินทาง โดยเฉพาะเมื่อเจอปัญหากระเป๋าโดนบังคับโหลดเพราะมีน้ำหนักหรือขนาดเกิน เพราะไม่ได้ชั่งและวัดขนาดกระเป๋าเดินทางก่อนมาที่สนามบิน แต่หากตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวแล้วก็สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • ใช้น้ำหนักกระเป๋าโหลดให้เป็นประโยชน์ ในกรณีที่ยังพอมีน้ำหนักเหลือในกระเป๋าโหลด ให้ลองทำการย้ายของจากกระเป๋า Carry-on ไปในกระเป๋าโหลดแทน เพื่อช่วยลดน้ำหนักของกระเป๋าขึ้นเครื่องให้น้อยลง 
  • ใช้บริการส่งกระเป๋ากลับบ้าน ในกรณีที่ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องใหญ่เกินไปจนไม่สามารถนำขึ้นเครื่องได้ ในบางครั้งการต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อโหลดสัมภาระ อาจมากพอๆ กับค่าตั๋วเดินทางเลยทีเดียว ดังนั้นการตัดสินใจส่งสัมภาระกลับบ้านในสถานการณ์คับขันจึงกลายทางเลือกที่ดีที่สุด โดยสามารถเลือกใช้บริการขนส่งสัมภาระที่สนามบิน เช่น บริการของ AIRPORTELs มืออาชีพด้านการรับส่งสิ่งของและสัมภาระจากสนามบิน ส่งตรงถึงจุดหมายภายในวันเดียวกัน มีจุดบริการทั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง และยังมีจุดให้บริการตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น เซ็นทรัลเวิร์ด มาบุญครอง และ เทอร์มินอล 21 สามารถรับส่งสัมภาระจากสนามบินได้แบบง่ายๆ ในราคาแบบสบายกระเป๋า

อย่าให้ทริปเดินทางต้องเริ่มต้นด้วยปัญหากระเป๋าน้ำหนักเกินจนต้องจ่ายเงินเพิ่ม หรือขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องใหญ่จนต้องโดนบังคับโหลด เพียงทำการชั่งและวัดขนาดกระเป๋าเดินทางก่อนเริ่มทริป ก็จะช่วยทำให้การเช็คอินกระเป๋าเป็นไปอย่างราบรื่นตลอดทริปเดินทาง แต่หากต้องการให้การเดินทางครั้งต่อไปสมูธแบบไร้กังวล อย่าลืมเรียกใช้บริการขนส่งสัมภาระจาก AIRPORTELs เพื่อนคู่ใจนักเดินทาง ให้คุณเก็บเวลาไปกังวลเรื่องการหามุมถ่ายรูป และปล่อยให้เรื่องกระเป๋าเป็นหน้าที่ของเรา

เทคนิคจัดกระเป๋าเดินทาง ด้วยกระเป๋า 20″ ใบจิ๋ว

 

เทคนิคจัดกระเป๋าเดินทาง ด้วยกระเป๋า 20″ ใบจิ๋ว

การจัดกระเป๋าเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งเมื่อต้องออกเดินทาง ซึ่งอาจมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องการเตรียมไป โดย กระเป๋า20 นิ้ว จะเป็นขนาดกระเป๋าที่มีความกะทัดรัด สามารถใช้เดินทางในระยะเวลาสั้น ๆ ได้สะดวก ซึ่งหากโดยสารด้วยเครื่องบินก็ไม่ต้องซื้อน้ำหนักเพิ่มให้เปลืองเงินอีกด้วย สำหรับใครที่กำลังมองหา รีวิวการจัดกระเป๋า วันนี้เรามีเทคนิคดี ๆ มาบอก ไปดูกันว่าจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง

 

1. จัดของเป็นหมวดหมู่แล้วแยกใส่กระเป๋าใบเล็ก

การแยกของให้เป็นหมวดหมู่นอกจากจะสะดวกต่อการหยิบใช้งานแล้ว ยังช่วยให้การจัดกระเป๋าเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นด้วย โดยสิ่งต่าง ๆ ที่ควรแยกอย่างเช่น อุปกรณ์อาบน้ำ เครื่องสำอาง ยารักษาโรคประจำตัวหรือยาที่ควรใช้ระหว่างการเดินทางและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งแต่ละส่วนควรจัดลำดับความสำคัญในการใช้งาน โดยสิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้ก่อนถึงที่พัก หรือต้องใช้แบบเร่งด่วน เช่น ยาหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พวกสายชาร์จ ก็ควรเก็บไว้ในที่หยิบใช้งานสะดวก 

 

2.จัดแบบม้วนดีกว่าแบบพับ

การม้วนเสื้อผ้าชิ้นบาง ๆ ทำให้ประหยัดพื้นที่มากกว่าการพับ อย่างเช่น เสื้อยืด หรือชุดนอน ซึ่งควรจัดเป็นชุด ๆ ไว้ เพื่อสะดวกต่อการใช้งาน โดยพับเสื้อหรือกางเกงให้ส่วนแขนหรือส่วนที่ยื่นออกไปมารวมอยู่ตรงกลางให้เป็นทรงกระบอก จากนั้นก็ม้วนจากด้านบนลงมาด้านล่าง เพื่อไล่อากาศระหว่างทางออกไป และหากตรงปลายมีปลายเปิดก็พับทบกลับมาห่อเสื้อผ้าชิ้นนั้น ๆ เพื่อเป็นการช่วยไม่ให้ม้วนผ้าคลายออกไปมากขึ้น

 

3. ให้ถุงสุญญากาศเป็นตัวช่วย 

สำหรับผ้าชิ้นหนา เช่น เสื้อกันหนาว หรือผ้าเช็ดตัว ที่มักจะกินเนื้อที่ทั้งการม้วนและการพับ จึงต้องมีตัวช่วยอย่างถุงสุญญากาศที่จะช่วยให้ประหยัดเนื้อที่ได้ 70-80 % โดยมีทั้งถุงที่ต้องใช้เครื่องดูดอากาศออกและถุงที่ใช้วิธีการม้วนอย่างเดียว ใครสะดวกใช้งานแบบไหนก็ลองไปเลือกซื้อกันได้ โดยนอกจากจะใช้ถุงสุญญากาศเพื่อใส่เสื้อผ้าชิ้นหนาแล้วก็สามารถใช้ใส่เสื้อผ้าชิ้นบาง ๆ หลาย ๆ ชิ้น เข้าด้วยกันเพื่อประหยัดพื้นที่อีกด้วย

 

4.แยกชุดชั้นในไว้ในถุงเฉพาะ 

เมื่อเรา ไปเที่ยวกัน อาจเกิดเหตุไม่คาดคิดมากมาย ซึ่งบางทีอาจต้องเปิดกระเป๋าระหว่างทาง และถ้าเปิดมาเห็นชุดชั้นในกระจายอยู่เต็มกระเป๋าคงเป็นภาพที่ไม่ค่อยน่ามองเท่าไหร่นัก การจัดเก็บชุดชั้นในแยกไว้ในกระเป๋าเฉพาะจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยจัดเสื้อชั้นในเรียงซ้อนกันและเสริมตรงที่ว่างด้วยกางเกงชั้นใน เพื่อใช้พื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยไม่ให้เสื้อชั้นในเสียทรงด้วย ถ้าหากกระเป๋ามีที่ว่างเหลือ ก็อาจจะใส่ถุงเท้าพับแล้วเข้าไปด้วย 

 

5.ใช้ของขนาดพกพา

ในการเดินทางหลายคนมักจะพกพาเครื่องประทินผิวต่าง ๆ อย่างเช่น ครีมอาบน้ำ แชมพู และโลชั่น ที่ใช้ประจำอยู่ไปด้วย ซึ่งจะนำขวดใหญ่แบบที่ใช้อยู่ที่บ้านใส่ไปใน กระเป๋า20 นิ้ว ด้วยก็คงไม่สะดวก การหาซื้อขวดแบ่งขนาดเล็กไปจึงเหมาะสมมากกว่า หรือถ้ามีขนาดพกพาขายก็สามารถซื้อไปใช้ได้อย่างสะดวก แต่สำหรับใครที่ไม่อยากซื้อหลายรอบ ซื้อขวดแบ่งมาใช้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะหากใช้หมดก็นำกลับมาเติมและใช้ซ้ำได้ง่ายกว่าอีกด้วย

 

6.วางสิ่งของที่มีน้ำหนักไว้ด้านล่าง

เทคนิคจัดกระเป๋า ที่ดีนอกจากจะคำนึงถึงการทำสิ่งของให้มีขนาดเล็กแล้ว การจัดวางโดยคำนึงถึงน้ำหนักสิ่งของก็จะช่วยให้ง่ายต่อการเดินทางมากขึ้น โดยควรวางสิ่งของที่มีน้ำหนักไว้ด้านล่างใกล้ฐานล้อ เพราะจะได้ช่วยถ่วงน้ำหนักเวลาลากไปกับพื้น และของที่ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกกดทับก็ต้องวางไว้ด้านบน หากใครพกพาสิ่งของที่เป็นแก้วซึ่งจะแตกได้ง่ายก็ใช้เสื้อผ้าพันไว้หลายทบ เพื่อรองรับการกระแทกและช่วยให้ประหยัดพื้นที่มากขึ้น

 

7.ใส่ถุงเท้าไว้ในรองเท้า

หากการเดินทางที่ต้องนำรองเท้าไปเปลี่ยนด้วย ควรหาพื้นที่ ๆ จะไม่ถูกกดทับมาก เพราะอาจทำให้รองเท้าเสียทรงได้ โดยต้องหาถุงมาใส่รองเท้าเพื่อแยกจากของชิ้นอื่น ๆ ป้องกันความสกปรก โดยอาจจะใช้หมวกอาบน้ำมาคลุมรองเท้ารอบหนึ่งเพื่อช่วยกักเก็บเศษฝุ่นที่ติดอยู่ หลังจากนั้นก็เอาไปใส่ถุงรองเท้าได้ และควรใส่ถุงเท้าไว้ในรองเท้า เพราะนอกจากประหยัดพื้นที่แล้ว ยังช่วยรักษาทรงรองเท้าได้ด้วย

 

8.พกถุงสำหรับใส่เสื้อผ้าใช้แล้ว

เมื่อเราเดินทางคงไม่สะดวกที่จะซักผ้าทุกวัน การเตรียมถุงสำหรับใส่เสื้อผ้าใช้แล้วจังเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะถ้าไม่แยกกันก็อาจทำให้ชุดที่ยังไม่ได้ใส่เปื้อนไปด้วย การเลือกใช้ถุงสำหรับใส่ผ้าใช้แล้วควรใช้ถุงที่ระบายอากาศได้ดี แต่ถ้าเดินทางช่วงสั้น ๆ และไม่กังวลเรื่องกลิ่นอับมากนัก ก็อาจจะใช้เป็นถุงพลาสติกธรรมดาก็ได้ 

 

9.จัดเสื้อผ้าเป็นชุดตามวัน 

สำหรับใครที่มีพื้นที่เหลือพอที่จะสามารถจัดชุดตามวันได้ก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะจะได้ไม่เสียเวลาในการเลือกตอนใส่อีกรอบ และช่วยให้เกิดความเป็นระเบียบสบายตาด้วย โดยอาจจะใช้วิธีม้วนเป็นชุดเสื้อกางเกงของแต่ละวันหรือใส่ถุงสุญญากาศไว้ก็ได้ แล้วแต่ความสะดวก หากมีที่เหลือพอก็อาจจะจัดทั้ง เสื้อผ้าชุดนอก ชุดชั้นใน และถุงเท้าของแต่ละวันไว้ด้วยกันเลยก็ได้ 

 

10.เรียงของให้เต็มพื้นที่ 

การจัดเรียงของในกระเป๋านอกจากการคำนึงถึงการใช้พื้นที่ให้มีประสิทธิภาพแล้ว ก็ต้องไม่ลืมเรื่องการจัดของให้เต็มพื้นที่ด้วย เพราะหากมีที่เหลือ ก็จะทำให้ของภายในกระเป๋าที่เราจัดไว้กระจัดกระจาย ไม่เป็นระเบียบ สร้างความปวดหัวและเสียเวลาต้องจัดอีกรอบเป็นแน่ เราก็อาจเติมกระเป๋าให้เต็มด้วยการใช้หมอน ผ้าห่ม หรือผ้าขนหนูผืนเล็กๆ มาช่วย 

 

สำหรับ เทคนิคจัดกระเป๋า หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน และถ้าใครอ่าน รีวิวการจัดกระเป๋า และเตรียมกระเป๋าพร้อมแล้วก็เตรียมตัวออก ไปเที่ยวกัน ได้เลย 

 

ที่มาข้อมูล:

รู้หรือไม่ ทำไมต้องห่อกระเป๋าก่อนเดินทาง

มีใครที่เดินทางแล้วเคยเจอปัญหาที่เกิดขึ้นกับกระเป๋าใส่สัมภาระของคุณแบบปัญหาเหล่านี้บ้างไหม กระเป๋าถูกรื้อค้น กระเป๋าชำรุดเสียหาย ทรัพย์สินที่อยู่ภายในกระเป๋าหายไประหว่างเดินทาง ถ้าเคย คุณทราบไหมว่า ปัญหาเหล่านี้เรามีวิธีป้องกันไม่ให้กระเป๋าใบเก่งของคุณต้องเจอกับปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นได้ด้วยการ ห่อกระเป๋าก่อนเดินทาง

ห่อกระเป๋าก่อนเดินทาง

ทำไมต้อง ห่อกระเป๋าก่อนเดินทาง

            สำหรับการเดินทางที่อยากแนะนำให้มีการ ห่อกระเป๋าก่อนเดินทาง คือการเดินทางโดยเครื่องบิน สำหรับในไทยแล้วการเดินทางด้วยรถทัวร์หรือรถไฟยังไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไหร่นัก เหตุที่เวลาเดินทางด้วยเครื่องบินควรทำการห่อกระเป๋าก่อนเดินทางนั้น มีข้อดีกับกระเป๋าและตัวเจ้าของกระเป๋าดังต่อไปนี้

1. ทรัพย์สินภายในกระเป๋าไม่สูญหาย

การ ห่อกระเป๋าก่อนเดินทาง ส่วนหนึ่งเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ทรัพย์สินที่อยู่ภายในกระเป๋าถูกรื้อค้นและสูญหาย เพราะการห่อกระเป๋าจะช่วยยืดเรื่องระยะเวลาของผู้ที่จะมาทำการค้นหรือแกะวัสดุที่ห่อกระเป๋าของเราให้เสียเวลามากขึ้น ทำให้ช่วยลดโอกาสที่จะทำให้ทรัพย์สินสูญหาย เพราะโจรหรือผู้มีเจตนาที่ดีส่วนใหญ่ไม่เลือกเอากระเป๋าที่ห่อหรือคลุมอย่างมิดชิดเป็นเป้าหมายเพราะต้องเสียเวลาในการทำลายวัสดุที่ห่อหุ้มนานทำให้พวกเขาเสี่ยงที่จะมีคนเห็นหรือโดนจับได้ง่ายนั่นเอง

ห่อกระเป๋าก่อนเดินทาง

2. กระเป๋ายังอยู่ในสภาพเดิม ไม่เสียหาย

การห่อกระเป๋าก่อนการเดินทางทำให้ตัวกระเป๋าลดโอกาสเกิดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง ปัจจุบันกระเป๋าได้มีการผลิตจากวัสดุที่แตกต่างกัน วัสดุบางชนิดสามารถแตกหรือหักได้จากแรงกระแทก หรือเกิดรอยได้ง่าย ดังนั้นห่อกระเป๋าจะช่วยลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาเหล่านี้ได้ ส่วนหนึ่ง

3. กระเป๋าไม่มีรอยขีดข่วน

รอยขีดข่วนที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจาดสาเหตุใดก็แล้วแต่ในระหว่างการขน การลำเลียงขึ้น-ลงเครื่อง หรือแม้แต่การลำเลียงของสายพานที่เกิดกระแทกจากขอบรถ ขอบของสายพาน หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เกิดรอยขีดข่วน ซึ่งเจ้าของกระเป๋าอย่างเราคงไม่ได้รู้สึกดีกับรอยที่เกิดขึ้นนั้นสักเท่าไหร่ ยิ่งหากเป็นกระเป๋าที่ราคาแพงหลักหมื่นด้วยแล้ว  รอยที่เกิดขึ้นก็สร้างความหงุดหงิดใจให้เรามากพอสมควร สิ่งที่จะมาช่วยแก้ปัญหานี้ได้นั่นก็คือ การห่อกระเป๋าก่อนเดินทาง

ห่อกระเป๋าก่อนเดินทาง

การห่อกระเป๋านี้เราสามารถที่จะเตรียมตัว ห่อไปได้ด้วยตัวเองจากที่บ้านได้เลย หรือหากใครไม่สะดวกจะไปใช้บริการที่สนามบินก็ได้เช่นกัน หากคุณไม่อยากหงุดหงิดหัวเสียกับรอยขีดข่วนหรือร่องรอยของความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับกระเป๋าเดินทางของคุณแนะนำว่าควรห่อกระเป๋าก่อนการเดินทางจะดีที่สุด แต่หากคุณไม่ได้ซีเรียสกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับกระเป๋าใส่สัมภาระของคุณก็อาจจะไม่ต้องห่อ แต่เพื่อความปลอดภัยในทรัพย์ของคุณแนะนำว่าควรห่อกระเป๋าก่อนการเดินทางจะเป็นการดีที่สุด

ข้อดี – ข้อเสียของการ ห่อกระเป๋าเดินทาง

หากคุณกำลังมีแพลนจะเดินทางด้วยเครื่องบินในเร็ว ๆ นี้ หรือเป็นผู้ที่เดินทางโดยเครื่องบินอยู่บ่อยครั้ง​ แต่ยังไม่เคยใช้บริการ ห่อกระเป๋าเดินทาง วันนี้เราจะมาแนะนำทั้งข้อดีและข้อเสียของการห่อกระเป๋าเดินทางเพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจในการเดินทางครั้งหน้ากันเลย

ห่อกระเป๋าเดินทาง

การห่อกระเป๋าเดินทางหรือ wrap ส่วนมากจะใช้พลาสติกที่มีลักษณะคล้ายกับพลาสติกห่ออาหารมาพันรอบกระเป๋าเดินทางให้แน่นหนา หรือใช้เป็นวัสดุอื่น ๆ ที่พันด้วยเทปกาวอย่างแน่นหนาก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน หากคุณไม่สะดวกที่จะห่อกระเป๋าด้วยตัวเอง ทางสนามบินก็จะมีจุดห่อกระเป๋าไว้บริการ ค่าใช้จ่ายโดยมากจะคิดตามขนาดของกระเป๋า ข้อดีของการห่อกระเป๋าก่อนโหลดขึ้นเครื่องที่เห็นได้ชัดเจน และคงเดากันได้ไม่ยากเลยนั่นก็คือเพื่อป้องกันรอยขีดข่วนหรือป้องกันความเสียหายต่าง ๆ นั่นเอง หากกระเป๋าเดินทางของคุณเป็นวัสดุไฟเบอร์ก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้อง ห่อกระเป๋าเดินทาง เพราะวัสดุชนิดนี้จะค่อนข้างเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย ในการเคลื่อนย้ายจึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดรอยขีดข่วน การห่อจะช่วยถนอมกระเป๋าให้คงความสวยงามไว้ได้

ห่อกระเป๋าเดินทาง

ข้อดีข้อต่อมานั่นก็คือการช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกระเป๋าเดินทางของคุณ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าผ้า กระเป๋าเนื้อบาง กระเป๋าเดินทางที่ชำรุดล็อกกระเป๋าไม่ได้​เป็นต้น การ ห่อกระเป๋าเดินทาง จะทำให้คุณไม่ต้องกังวลว่าของด้านในจะเสียหาย ไม่ต้องคอยลุ้นว่ากระเป๋าจะเปิดจนของเล็ดลอดออกมาจากกระเป๋าได้หรือไม่

ห่อกระเป๋าเดินทาง

และข้อดีที่สำคัญอีกประการก็คือเพื่อป้องกันการถูกขโมยทรัพย์สิน หากเราห่อกระเป๋าเดินทางอย่างมิดชิด​ ก็จะช่วยลดโอกาสการถูกเปิดกระเป๋าเพื่อขโมยของ หรือการนำของผิดกฎหมายมาใส่ในกระเป๋าของเราได้ กระเป๋าที่เป็นซิปจะถูกเปิดได้ง่ายการห่อกระเป๋าจะช่วยให้กระเป๋ามิดชิด ไม่ตกเป็นเป้าของมิจฉาชีพ

นอกจากข้อดีที่ได้กล่าวไป​ มาต่อกันที่ข้อเสียของการห่อกระเป๋า แน่นอนว่าเมื่อเราห่อกระเป๋าก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หากคุณประเมินแล้วว่ากระเป๋าและทรัพย์สินข้างในไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง การห่อก็ไม่ได้จำเป็นมากนัก​ ก็ไม่ต้องห่อก็ได้

ข้อเสียอีกข้อหนึ่งก็คือ​ เมื่อคุณห่อกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เกิดอยากเปิดกระเป๋า หรือโดนขอตรวจกระเป๋า​ คราวนี้ก็จะเป็นงานใหญ่ที่เราจะต้องเอาส่วนที่ห่อออกก่อนนั่นเอง​ และหากคุณเลือกที่จะห่อกระเป๋าเอง เพราะไม่อยากจ่ายเงินค่าห่อกระเป๋าที่สนามบิน การห่อกระเป๋าจะเป็นการเพิ่มขั้นตอนในการเตรียมกระเป๋าอีกอย่างหนึ่ง

การห่อกระเป๋าเดินทางก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน​ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของคุณ หากพิจารณาว่าการ ห่อกระเป๋าเดินทาง จะเป็นผลดีกับกระเป๋ามากกว่า แม้จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม​ แต่กระเป๋าไม่เกิดความเสียหาย​ ก็คุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไป

สายเดินทางต้องอ่าน! วิธีดูแลรักษากระเป๋าระหว่างเดินทางไม่ให้พัง

วิธีดูแลกระเป๋าเดินทาง

ใครที่เดินทางบ่อย ๆ ชีพจรลงเท้าประจำ การมีกระเป๋าเดินทางคู่ใจสักใบนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ เพราะมันจะช่วยแบ่งเบาสัมภาระต่าง ๆ ของคุณในการเดินทางได้ดีทีเดียว แต่ก็อย่างที่เห็นกันในทุกทริปการเดินทางมันไม่ได้ราบรื่นไปเสียหมด ยิ่งถ้าเป็นเครื่องบินด้วยแล้วโอกาสที่กระเป๋าของคุณจะโดนกระแทก โดนโยนจนทำให้เกิดความเสียหายหรือสิ่งของต่าง ๆ ภายในกระเป๋าหลุดร่วงออกมามีสูงมาก ดังนั้นการ วิธีดูแลกระเป๋าเดินทาง เพื่อไม่ให้พังระหว่างทางรวมถึงไม่ให้สิ่งของข้างในร่วงหล่นออกมาจึงต้องมีวิธีดังนี้

วิธีดูแลกระเป๋าเดินทาง

1. ล็อกกระเป๋าเดินทางด้วยรหัสแน่นหนา

กระเป๋าเดินทางยุคใหม่จะมีรหัสที่ใช้ในการล็อกกระเป๋าก็สามารถใส่รหัสที่ว่าแล้วล็อกกระเป๋าได้เลย แต่ถ้าหากของใครไม่มีง่ายนิดเดียวแค่ซื้อกุญแจแบบรหัสล็อกมาคล้องเอาไว้อีกชั้นจะช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งของข้างในร่วงหล่นลงมารวมถึงคนที่จะขโมยของในกระเป๋า แต่สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมเลยคือรหัสของกระเป๋าตนเอง

2. รัดกระเป๋าให้แน่นกว่าเดิม

สำหรับคนที่ไม่มั่นใจว่ากระเป๋าเดินทางของตนเองแน่นหนามากพอหรือยัง วิธีดูแลกระเป๋าเดินทาง ที่น่าสนใจอีกแบบคือ รัดกระเป๋าเดินทางให้แน่นหนา โดยอาจใช้ถุงคลุมแล้วรัดไว้อีกทีหรือการใช้เชือกรัดกระเป๋าอีกรอบก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน โดยการรัดกระเป๋าจะทำให้ความแน่นหนาเพิ่มมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการร่วงหล่นแล้วแตกกระจายได้พอสมควร

วิธีดูแลกระเป๋าเดินทาง

3. ฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อบบี้หรือสถานที่รับฝาก

สำหรับใครที่แม้จะเช็คอินออกจากโรงแรมแล้วแต่ยังต้องการเที่ยวโดยไม่อยากแบกของไปด้วย สามารถนำกระเป๋าเดินทางฝากไว้กับล็อบบี้โรงแรมหรือฝากไว้ตามสถานที่ฝากในสนามบิน แล้วค่อยเดินทางไปนั่นไปนี่ แต่อย่าลืมมาเอากระเป๋าเดินทางกลับไปด้วย แค่นี้ก็ช่วยให้กระเป๋าคุณไม่ต้องตะลอนไปตลอดทั้งวันแบบง่าย ๆ

4. ส่งกระเป๋าไปก่อน

สำหรับใครที่ไม่มั่นใจว่าการแบกกระเป๋าไปเองอาจทำให้เกิดความเสียหายง่ายกว่าเพราะต้องเจอกับผู้คนและการจัดเก็บสัมภาระจำนวนมาก แนะนำว่าให้ส่งกระเป๋าเดินทางไปก่อนล่วงหน้าก็ได้ แต่วิธีนี้มักใช้กับคนที่ต้องไปอยู่นาน ๆ มีเสื้อผ้าของใช้เยอะกว่าการไปเที่ยวทั่ว ๆ ไป

นอกจาก 4 วิธีนี้ยังมีวิธีดูแลกระเป๋าเดินทาง อีกหลากหลายที่จะช่วยทำให้คุณสามารถใช้กระเป๋าใบโปรดได้อีกนาน เช่น ติดสติ๊กเกอร์ระวังแตก, ไม่ใส่ของจนล้นเกินไป เป็นต้น ซึ่งหากรู้ว่าควรดูแลกระเป๋าใบโปรดของคุณอย่างไรจะทำให้ทุกทริปเดินทางมีความสุข ลากกระเป๋าไปที่ไหนก็ลุยได้ตลอดเวลา