Boarding Pass คืออะไร สำคัญอย่างไรเมื่อเรามีเที่ยวบิน

Boarding Pass คือ กระดาษใบยาวๆ ที่เราได้รับหลังทำการเช็กอิน (check-in) เมื่อไปถึงสนามบิน มีใครเคยสงสัยกันบ้างไหมว่าคืออะไรกันแน่ ทำไมเวลาเดินทางทั้งในและต่างประเทศ ต้องใช้ Boarding Pass อยู่เสมอ และที่สำคัญ คือ ทุกคนจะทำ Boarding Pass หาย ไม่ได้นะ ไม่งั้นไม่ได้ขึ้นเครื่องแน่ๆ

Boarding Pass คืออะไร

Boarding Pass คือ เอกสารสำคัญที่ควรถือไว้คู่กับหนังสือเดินทาง (Passport) เพราะเป็นเอกสารที่มีข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับการบิน จึงมีไว้สำหรับยืนยันตัวตนของเราหลายระหว่างบิน โดยตัว Boarding Pass จะประกอบด้วยข้อมูลสำคัญของเรา ไม่ว่าจะเป็นชื่อ-นามสกุล หมายเลขเที่ยวบิน เวลาขึ้นเครื่อง เวลาถึงปลายทาง ประตูทางออกขึ้นเครื่อง ชั้นที่นั่งโดยสาร และเลขที่นั่งโดยสาร

จริงๆ แล้วถ้าเราทำ Boarding Pass หาย ไม่ใช่แค่เราจะไม่ได้ขึ้นเครื่อง แต่ยังเกิดความเสี่ยงต่างๆ ตามมาจากข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล เพราะ Boarding Pass นั้นมีบาร์โค้ดที่สามารถสแกนเข้าไปดูข้อมูลอื่นๆ ของเราได้เทียบเท่ากับตัวเล่ม Passport เลยนะ ดังนั้น เมื่อได้ Boarding Pass มาแล้ว ต้องรักษาไว้ให้ดี อย่าทำหาย หรือ ถ่ายรูปโพสต์ลงบนโซเชียลแพลตฟอร์มต่างๆ เป็นอันขาด

บริการขนส่งและฝากกระเป๋า

Boarding Pass คืออะไร

passport

เมื่อเราไปถึงสนามบินแล้ว เราไม่สามารถขึ้นเครื่องบินได้ในทันที สิ่งแรกที่ทุกคนต้องทำเหมือนกันเลย คือ การเช็กอิน (check-in) หรือ การลงทะเบียนยืนยันการเดินทาง ซึ่งปกติแล้วทางสายการบินจะมีเคาน์เตอร์เตรียมไว้รอรับเราอยู่ใกล้ๆ กับประตูทางเข้าอยู่แล้ว พอทำการเช็กอิน (check-in) เสร็จ ทุกคนจะได้รับกระดาษสีขาวใบยาวๆ ที่ระบุข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางในเที่ยวบินนี้ของเรามา เจ้ากระดาษใบนี้แหละ คือ “Boarding Pass”

  • การเช็กอิน (check-in) แบบอัตโนมัติด้วยตัวเอง ผ่านเครื่อง kiosk ตามจุดที่สนามบินเตรียมเอาไว้ให้ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยลักษณะของตู้ประเภทนี้จะคล้ายๆ กับตู้ ATM เราสามารถตอบคำถามต่างๆ ที่ตู้นี้ถามให้ครบ เช่น ชื่อ-สกุลอะไร นั่งตรงไหน สายการบินอะไร ถ้าตอบถูกหมด ก็จะได้รับ “Boarding Pass” เช่นเดียวกัน
  • บางสายการบินก็มีบริการเช็กอินออนไลน์ (online-check-in) ผ่านเว็บไซต์ โดยเราสามารถทำการเช็กอินได้ภายระยะเวลา 24 ชั่วโมง ก่อนเครื่องออก ซึ่งการเช็กอินประเภทนี้ เราจะได้ “Boarding Pass” ในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถกดบันทึกไว้เป็นไฟล์รูปภาพภายในโทรศัพท์มือถือได้ วิธีนี้จะเป็นวิธีที่สะดวกสบายมากที่สุด แถมยังช่วยรักษ์โลกผ่านการลดปริมาณการใช้กระดาษได้อีกด้วย

ข้อมูลใน Boarding Pass

ไม่ว่าเราจะทำการเช็กอินแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นการเช็กอินหน้าเคาเตอร์ เช็กอินผ่านตู้ kiosk หรือเช็กอินผ่านช่องทางออนไลน์ Boarding Pass ที่ได้รับมา คือ Boarding Pass เดียวกัน สามารถใช้เป็นเอกสารในการขอขึ้นเครื่องบินได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกระดาษสีขาวทรงแนวนอนแบบยาว หรือเป็นภาพไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ เพราะ Boarding Pass ที่เราได้รับมาจะมีข้อมูลสำคัญของตัวเรา ดังนี้

boarding pass

1.ชื่อ-นามสกุล ผู้โดยสาร

สำหรับชื่อ-นามสกุลของผู้โดยสารที่ปรากฎอยู่บน Boarding Pass นั้น อาจจะดูแปลกตาสำหรับคนไทย เพราะอย่างแรกเลย
คือ ชื่อ-นามสกุลผู้โดยสารที่ปรากฎอยู่บน Boarding Pass จะพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ และอย่างที่สอง คือ ชื่อ-นามสกุลบน Boarding Pass จะมีการสลับตำแหน่งกัน คือ นามสกุลจะปรากฎอยู่ข้างหน้า ส่วนชื่อจะอยู่ด้านหลังนามสกุลอีกที เช่น ถ้าคุณชื่อ Michel Jackson ชื่อ-นามสกุลที่ปรากฎอยู่บน Boarding Pass ของคุณ คือ Jackson Michel

โดยเราต้องตรวจทานให้ดีว่าชื่อ-นามสกุลของเรา มีการสะกดที่เหมือนกับชื่อ-นามสกุลที่ปรากฎอยู่บนหนังสือเดินทาง (Passport) หรือไม่ เพราะถ้าหากมีตัวอักษรสะกดแตกต่างกันแม้แต่ตัวเดียว เราก็อาจจะถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องบินได้ และสำหรับใครที่ขึ้นเที่ยวบินภายในประเทศ อาจใช้บัตรประจำตัวประชาชนเป็นเอกสารยืนยันตัวตนแทนหนังสือเดินทาง (Passport) ได้เช่นกัน

2. หมายเลขเที่ยวบิน

ในส่วนของหมายเลขเที่ยวบินนั้น จะเป็นโค้ดตัวอักษรภาษาอังกฤษจำนวน 2 ตัว ตามด้วยตัวเลขอีก 3-4 หลักต่อท้าย ทุกคนจึงควรจำตัวอักษร 2 หลักแรกบน Boarding Pass ให้ดี เพราะตัวอักษรนั้น คือ รหัสที่จะบอกสายการบินที่ต้องขึ้น เช่น AK1234 ตัวอักษร AK ที่ปรากฎอยู่ด้านหน้า จะบอกให้รู้ว่าเที่ยวบินที่ต้องขึ้นเป็นเที่ยวบินของสายการบินใด ซึ่งแต่ละสายการบินจะมีรหัสตัวอักษรนำคู่ที่แตกต่างออกไป

3. เวลาขึ้นเครื่อง

สำหรับใครที่ได้รับ Boarding Pass มาแล้ว จะเห็นตัวเลข 3-4 หลัก ที่เขียนติดกันเอาไว้ โดยมีตัวอักษร A หรือ P ต่อท้าย มักปรากฎอยู่บริเวณที่ส่วนกลางของขอบกระดาษ เช่น 300A หรือ 1010P โดยเจ้าตัวโค้ด A หรือ P นี้ คือ ตัวเลขบอกเวลาขึ้นเครื่อง โดย 300A หมายถึง เวลา ตี 3 ส่วน 1010P หมายถึง เวลา 4 ทุ่ม 10 นาที

  • ตัวอักษร A นั้น ย่อมาจากคำว่า AM (Ante Meridiem) หมายถึง เวลา 12 ชั่วโมงหลังเที่ยงคืน
  • ตัว P นั้น ย่อมาจากคำว่า PM (Post Meridiem) หมายถึง เวลา 12 ชั่วโมงหลังเที่ยงวัน

นอกจากนี้ เราควรเผื่อเวลาก่อนขึ้นเครื่องสักเล็กน้อย หากเวลาขึ้นเครื่องบน Boarding Pass คือ 1130A หรือ 11 โมงครึ่ง เราก็ควรจะไปรอที่เกต (Gate) ตั้งแต่ 10 โมงครึ่ง หรือหากมาสาย ถ่ายรูป กินข้าว ช็อปปิงเพลินไปหน่อย ก็ควรมาถึงเกตอย่างช้าสุดตอน 11 โมงเช้า ไม่งั้นอาจตกเครื่องได้ เพราะไม่ใช่ว่ามาถึงเกตแล้วจะได้ขึ้นเครื่องทันที พี่ๆ แอร์โฮสเตสและสจ๊วต เขาจะเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องตามโซนและคลาสของที่นั่ง หากเราไปผิดเวลา อาจจะทำให้เกิดความล่าช้าได้

check in
  • โดยผู้โดยสารชั้น First Class และ Business Class จะได้ขึ้นเครื่องก่อน
  • ผู้โดยสารขึ้น Economy Class โดยจะเรียกขึ้นเครื่องตามโซนที่นั่ง ซึ่งใครได้ที่นั่งเข้าออกยากๆ บริเวณตรงกลางด้านหลัง ก็มักจะถูกเรียกให้ขึ้นเครื่องก่อน

พูดง่ายๆ คือ หากเราไม่อยากมีปัญหาในการเดินทาง จนต้องมาลุ้นว่าจะขึ้นเครื่องทันก่อนเครื่องออกหรือไม่ ให้ดูเวลาขึ้นเครื่องใน Boarding Pass ให้ดี คือ เวลาเครื่องออกเท่าไหร่ ควรไปรอที่เกตก่อนหน้าเวลาที่ปรากฎสัก 30-60 นาที ซึ่งเวลาที่เขียนอยู่บน Boarding Pass คือ เวลาท้องถิ่นที่สนามบินนั้นๆ ตั้งอยู่

4. เวลาถึงปลายทาง

ในส่วนของเวลาถึงปลายทาง คือ เวลาคาดการณ์โดยประมาณที่ครื่องบินจะลงจอดยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งมีหลักการในการเขียนตัวเลขลงใน Boarding Pass เหมือนกันกับการเขียนบอกเวลาขึ้นเครื่อง คือ ตัวเลข 3-4 หลัก แล้วตามด้วยตัวอักษร A หรือ P เช่น 1010A คือ 10 โมงเช้ากับอีก 10 นาที นั่นเอง

นอกจากนี้ เราควรปรับนาฬิกาให้เวลาตรงตามเวลาท้องถิ่นของปลายทางนั้นๆ โดยสามารถดูเวลาจาก Time Zone สากลได้ เช่น เมืองไทยมีรหัสโซนเวลาเป็น GMT+7:00 BKK นั่นหมายความว่า โซนเวลาของประเทศไทย ที่มีเมืองหลวง คือ กรุงเทพมหานครนั้น จะมีเวลาเร็วกว่าโซนเวลามาตรฐาน คือ เมืองกรีนิชประเทศอังกฤษ (Greenwich Mean Time) อยู่ 7 ชั่วโมง หากเราเดินทางไปจากเมืองไทยไปถึงประเทศอังกฤษ ก็ต้องปรับเวลาให้เร็วขึ้น 7 ชั่วโมง เช่น เวลาเครื่องลงจอดที่อังกฤษ นาฬิกาเราบอกเวลา 10 โมงเช้า เราก็ต้องปรับลดเวลาลง 7 ชั่วโมง ให้เป็นเวลา ตี 3 แทน

บริการขนส่งและฝากกระเป๋า

5. ประตูทางออกขึ้นเครื่อง

อีกสิ่งสำคัญที่ Boarding Pass สามารถบอกเราได้ คือ ประตูทางออกขึ้นเครื่อง หรือ Gate นั่นเอง เพราะเครื่องบินโดยสารนั้นมีขนาดที่ใหญ่ ทำให้มีประตูทางออกขึ้นเครื่อง หรือ Gate หลายประตู แยกตามโซนและคลาสที่นั่ง เมื่อเราได้ Boarding Pass มาแล้ว ก็ต้องตรวจดูว่า เราได้ขึ้นเครื่องบินที่ประตูทางออกขึ้นเครื่อง หรือ Gate ไหน และจำหมายเลข Gate เอาไว้ให้ดี แต่บางครั้งอาจมีตัวอักษรภาษาอังกฤษอยู่ด้านบน คล้ายกับโซนของที่จอดรถ เช่น Gate B12 เป็นต้น

6. เลขที่นั่งโดยสาร

Boarding Pass คือ สิ่งที่สามารถบอกเลขที่นั่งโดยสารของเราได้ โดยมีเลขบอกแถวและที่นั่ง จะมีลักษณะคล้ายเลขที่นั่งเวลาไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ ซึ่งเราต้องดูที่ตัวอักษรภาษาอังกฤษในหลักแรกก่อน ว่าเราได้นั่งแถวไหน และตามปกติแล้ว แถวหน้าสุดจะเป็นรหัส A แถวที่ 2 เป็น B แถวที่ 3 เป็น C เรียงตามลำดับ A-Z แล้วหลังจากนั้น ค่อยดูเลขที่นั่งต่อท้าย ว่าเราได้เลขที่นั่งอะไร โดยจะนับ 1 ที่ตำแหน่งซ้ายสุด เช่น A1 คือ ที่นั่งแถวหน้าสุด ติดริมหน้าต่างฝั่งซ้ายของตัวเครื่องบิน

7. ชั้นที่นั่งโดยสาร

สำหรับชั้นที่นั่งโดยสาร จะมีโค้ดเป็นตัวย่อภาษาอังกฤษต่อท้ายเลขที่นั่ง ซึ่งเป็นตัวอักษรแบ่งเอาไว้ตามหลักสากลให้ดูบน Boarding Pass เหมือนกันทุกสายการบิน คือ รหัส P J และ Yโดยรหัสทั้ง 3 มีความหมายดังต่อไปนี้

  • P หมายถึง First Class
  • J หมายถึง Business Class
  • Y หมายถึง Economy Class

ยกตัวอย่างเช่น Boarding Pass ระบุว่าคุณได้ที่นั่ง A1Y คือ คุณได้นั่งที่นั่งชั้นประหยัด (Economy Class) แถวแรก ติดหน้าต่างด้านซ้ายสุดนั่นเอง

boarding pass ทำอะไรได้บ้าง

Boarding Pass ทำอะไรได้บ้าง

อย่างที่กล่าวไป Boarding Pass คือ เอกสารที่สำคัญที่สุดแล้วในการเดินทางโดยเครื่องบิน ดังนั้น คุณต้องระวังไม่ให้ Boarding Pass หาย เพราะคุณต้องใช้ Boarding Pass เป็นเอกสารประกอบการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอนระหว่างที่อยู่ในสนามบิน ไม่ว่าจะเป็นในระหว่างการตรวจสอบ และโหลดกระเป๋า การโชว์ให้เจ้าหน้าที่ตรงประตูทางออกขึ้นเครื่องดู และโชว์ให้พนักงานต้อนรับดูตอนหาที่นั่ง

ตรวจสอบและโหลดกระเป๋า

การโหลดกระเป๋า

สำหรับใครที่ถึงสนามบินเร็ว และอยากเดินช็อปปิงสินค้าปลอดภาษีในสนามบินระหว่างรอขึ้นเครื่อง แต่ไม่อยากลากกระเป๋าไปมาให้พะรุงพะรัง สามารถนำกระเป๋าฝากกับ AIRPORTELs ก่อนได้ พอถึงเวลาค่อยกลับมานำกระเป๋าไปโหลดทีหลัง โดยใช้ Boarding Pass เป็นเอกสารในการยืนยันตัวตนว่าเราคือผู้โดยสารคนเดียวกับคนที่ได้เช็กอินไปก่อนหน้านี้ ของที่โหลดเพิ่มจะได้เอาไปรวมกับของเก่าที่โหลดเอาไว้ก่อนหน้าได้ถูกคน

โดยหลายคนเลือกที่จะมาช็อปปิงสินค้าในสนามบินกันค่อนข้างมาก เพราะนอกจากราคาจะถูกกว่าตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปแล้ว ยังสามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ฟรี เพิ่มเติมจากน้ำหนักมาตรฐานที่สายการบินแจ้ง หรือผู้โดยสารได้ซื้อน้ำหนักเอาไว้

โชว์ให้เจ้าหน้าที่ตรงประตูทางออกขึ้นเครื่องดู

เราจำเป็นต้องแสดง Boarding Pass โชว์ให้เจ้าหน้าที่ตรงประตูทางออกขึ้นเครื่องดู เพื่อเป็นการยืนยันตัวตนว่าเราคือผู้โดยสารของสายการบินนั้นๆ และเราขึ้นเครื่องบินถูก Gate เพราะอย่างที่บอกไว้ข้างต้น ว่าเครื่องบินโดยสารนั้นมีขนาดใหญ๋ และมีหลาย Gate หากขึ้นผิด Gate จะสร้างความลำบากให้กับเรา รวมถึงแอร์โฮสเตส และสจ๊วตบนเครื่องบินเวลาต้องหาที่นั่ง อีกทั้งยังเป็นการตรวจสอบซ้ำอีกครั้งว่าเราเป็นผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วเครื่องบินมาอย่างถูกต้อง

โชว์ให้พนักงานต้อนรับดู

สาเหตุสำคัญที่ต้องโชว์ Boarding Pass ให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องดูอีกรอบ คือ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกเจ้าหน้าที่ให้จัดหาที่นั่งให้เราได้อย่างสะดวก และจะได้มีหลักฐานยืนยันว่าเราเป็นเจ้าของที่นั่งนั้นๆ หากมีคนอื่นมานั่งที่นั่งของเราบนเครื่องบิน

บริการขนส่งและฝากกระเป๋า

Boarding Pass คือ เอกสารที่สำคัญที่สุดในการเดินทางโดยเครื่องบิน เพราะมีข้อมูลสำคัญต่างๆ มากมาย ทั้งชื่อ-นามสกุล หมายเลขเที่ยวบิน เวลาขึ้นเครื่อง เวลาถึงปลายทาง ประตูทางออกขึ้นเครื่อง เลขที่นั่ง และชั้นโดยสาร แถมยังมีบาร์โค้ดที่สามารถเข้าไปแก้ไขชื่อ-นามสกุล และเที่ยวบินต่างๆ แบบออนไลน์ได้ด้วย

เป็นอย่างไรกันบ้างกับข้อมูลที่ทางเรานำมาฝาก ว่า Boarding Pass มีความสำคัญมากแค่ไหน ก่อนออกจากบ้านไปสนามบิน อย่าลืมเช็คกันน้า และทุกคนต้องเก็บรักษา และห้ามทำ Boarding Pass หาย ตลอดจนห้ามโพสต์ข้อมูลบน Boarding Pass ลงบนโซเชียลเป็นอันขาด

อ่านเพิ่มเติม

รู้ไว้กันพลาด!! ขนาดกระเป๋าที่โหลดขึ้นเครื่องพร้อมค่าโหลด 2023

เมื่อจำเป็นต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน ไม่ว่าเป็น เที่ยวบินภายในประเทศหรือเที่ยวบินระหว่างประเทศ “กระเป๋าสัมภาระ” ถือเป็นอีกหนึ่งเพื่อนร่วมทางที่ทุกคนต้องนำไปด้วยเสมอ แม้เคยเดินทางบ่อยหรือเพิ่งขึ้นเครื่องบินครั้งแรก หลายๆ คนอาจมีความกังวลเกี่ยวกับน้ำหนักกระเป๋า ค่าใช้จ่ายในการโหลดกระเป๋าหรือแม้แต่ขนาดของกระเป๋า

บทความนี้ ได้รวบรวมคำตอบเกี่ยวกับการนำกระเป๋าขึ้นเครื่องและการโหลดกระเป๋าไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ขนาดกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง จำนวนกระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง และอัตราค่าโหลดกระเป๋าแต่ละสายการบิน เช่น การบินไทย นกแอร์ แอร์เอเชีย ไทยเวียตเจ็ท และไลอ้อนแอร์

บริการขนส่งและฝากกระเป๋า

ขนาดไซส์ทั่วไปของกระเป๋าเดินทางแบบล้อลาก 

แม้ว่าสายการบินต่างๆ มีรายละเอียดของข้อกำหนดหรือนโยบายเกี่ยวกับการสัมภาระที่ถือขึ้นเครื่องและโหลดขึ้นเครื่องที่แตกต่างกันอยู่บ้าง

แต่กระเป๋าล้อลากบางขนาดสามารถโหลดขึ้นเครื่องได้เพียงอย่างเดียว เพราะมีขนาดใหญ่กว่าขนาดของช่องสัมภาระเหนือศีรษะในห้องโดยสาร ทั้งนี้ ในท้องตลาดยังมีกระเป๋าให้เลือกซื้อหลายขนาด เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคน ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องจึงมีดังนี้  

ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่อง

1. กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 16 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 16 นิ้ว เป็นขนาดกระเป๋าที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ โดยส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างประมาณ 24×41 เซนติเมตร มีความสูงไม่รวมที่จับลากประมาณ 43 เซนติเมตร

  • เป็นไซส์กระเป๋าที่เหมาะกับทริปเดินทางประมาณ 1-2 วัน 

2. กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 18 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 18 นิ้ว เป็นขนาดกระเป๋าที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ โดยส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างประมาณ 24×46 เซนติเมตร มีความสูงไม่รวมที่จับลากประมาณ 46 เซนติเมตร

  • เป็นไซส์กระเป๋าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกนิด จึงเหมาะกับทริปเดินทางประมาณ 2-3 วัน

3. กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 22 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 22 นิ้ว ถือเป็นขนาดของกระเป๋าที่ใหญ่ที่สุด ที่สายการบินต่างๆ ยังอนุญาตให้ถือขึ้นเครื่องและใส่ในช่องสัมภาระเหนือศีรษะในห้องโดยสารได้ โดยส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างประมาณ 23×40 เซนติเมตร มีความสูงไม่รวมที่จับลากประมาณ 55 เซนติเมตร

  • เป็นไซส์กระเป๋าที่เหมาะกับทริปเดินทางประมาณ 2-4 วัน 

4. กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 24 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 24 นิ้ว เป็นขนาดกระเป๋าที่ต้องโหลดขึ้นเครื่องแทนการถือ เพราะมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่นโยบายของสายการบินส่วนใหญ่อนุญาต โดยส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างประมาณ 24×45 เซนติเมตร มีความสูงไม่รวมที่จับลากประมาณ 61 เซนติเมตร

  • เป็นไซส์กระเป๋าที่เหมาะกับทริปเดินทางประมาณ 5 วัน – 1 สัปดาห์ 
บริการขนส่งและฝากกระเป๋า

5. กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 26 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 26 นิ้ว เป็นขนาดกระเป๋าที่ต้องโหลดขึ้นเครื่องแทนการถือ โดยส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างประมาณ 27×40 เซนติเมตร มีความสูงไม่รวมที่จับลากประมาณ 67 เซนติเมตร

  • เป็นไซส์กระเป๋าที่เหมาะกับทริปเดินทางตั้งแต่ 1 สัปดาห์ – 10 วัน 

6. กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 28 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางมีล้อลากขนาด 28 นิ้ว เป็นขนาดกระเป๋าที่ต้องโหลดขึ้นเครื่อง โดยส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างประมาณ 30×46 เซนติเมตร มีความสูงไม่รวมที่จับลากประมาณ 78 เซนติเมตร

  • เป็นไซส์กระเป๋าที่เหมาะกับทริปเดินทางไม่เกิน 2 สัปดาห์

กระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องแบบไหนได้บ้าง

โดยทั่วไป สัมภาระหรือกระเป๋าเดินทางที่สามารถนำขึ้นเครื่องบิน ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง หรือกระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง สามารถใช้ได้ทั้งกระเป๋าถือ กระเป๋าสะพาย หรือกระเป๋ามีล้อลาก 

นอกจากเรื่องนโยบายในส่วนของน้ำหนักและขนาดกระเป๋าแล้ว บางสายการบินอาจมีการกำหนดจำนวนของสัมภาระร่วมด้วย ซึ่งรายละเอียดของการถือกระเป๋าขึ้นเครื่องและการโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้ 

กระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่อง

1. กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง คือ สัมภาระที่ผู้โดยสารสามารถพกติดตัวขึ้นเครื่องบินได้ เช่น กระเป๋าถือหรือกระเป๋าเดินทางที่มีล้อลากไซส์ 12-22 นิ้ว ซึ่งต้องเก็บไว้บนช่องใส่กระเป๋าเหนือศีรษะหรือช่องใส่ของด้านหน้าเก้าอี้

โดยมักกำหนดน้ำหนักไว้ไม่เกิน 7 กิโลกรัม ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสายการบิน นอกจากนี้ ต้องไม่มีของต้องห้ามต่างๆ เช่น

  • ของเหลวปริมาณเกิน 50 มิลลิลิตร
  • ของมีคมหรืออาวุธต่างๆ เช่น มีด ปืน หรือกรรไกร
  • สัตว์ที่มีชีวิตหรือซากของสัตว์
  • อาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น ทุเรียน ปลาร้า หรือขนุน
  • เพาว์เวอร์แบงก์ความจุต้องไม่เกิน 20,000 mAh

2. กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage) 

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง คือ กระเป๋าเดินทางที่มีขนาดใหญ่ตั้งแต่ 24 นิ้วขึ้นไป โดยส่วนใหญ่ การเดินทางภายในประเทศ ไม่เกิน 15 กิโลกรัม ส่วนการเดินทางระหว่างประเทศ ไม่เกิน 20 กิโลกรัม ซึ่งของที่ไม่ควรใส่หรือต้องห้าม มีดังนี้

  • ของต้องห้ามตามข้อกำหนดของแต่ละประเทศ เช่น ของผิดกฎหมาย หรือยารักษาโรคบางชนิด
  • ของมีค่า เช่น แล็ปท็อป เงินสด หรือเครื่องประดับ
  • อุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี เช่น บุหรี่ไฟฟ้าที่มีแบตเตอรี หรือเพาว์เวอร์แบงก์
  • อาวุธและวัตถุไวไฟ

ทั้งนี้ ของมีค่าและอุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี สามารถถือขึ้นเครื่องได้ โดยเพาว์เวอร์แบงก์ความจุต้องไม่เกิน 32,000 mAh และบุหรี่ไฟฟ้าที่มีแบตเตอรีความจุไม่เกิน 100Wh ซึ่งไม่อนุญาตให้ชาร์จบนเครื่องบิน

ขนาด น้ำหนัก และค่าโหลดของแต่ละสายการบิน

แต่ละสายการบินมีการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับขนาดและน้ำหนักของกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือขึ้นเครื่อง ไปจนถึงมีค่าบริการในการโหลดกระเป๋าที่แตกต่างกันออกไป

ซึ่งผู้ที่ต้องการเดินทางด้วยการโดยสารเครื่องบิน ควรศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อให้ง่ายต่อการเตรียมตัว หมดปัญหาการต้องแกะสัมภาระมาแพ็กใหม่ที่สนามบินหรือต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม 

สำหรับใครที่กำลังจะบินหรือกำลังเปรียบเทียบสายการบินที่ใช้บริการ แต่ละสายการบินมีนโยบายเกี่ยวกับขนาด น้ำหนัก และค่าโหลดสัมภาระ ดังนี้

ขนาด น้ำหนัก และค่าโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง

1. การบินไทย (Thai Airway)

การบินไทย (Thai Airway) เป็นสายการบินสัญชาติไทยที่ให้บริการทั้งจุดหมายปลายทางภายในประเทศและต่างประเทศ รวมกว่า 35 ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมันนี ญี่ปุ่น และสิงคโปร์

โดยมีท่าอากาศยานหลักอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สำหรับนโยบายเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือและโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้

โหลดกระเป๋าการบินไทย

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทย กระเป๋าสัมภาระที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ คือ กระเป๋าสัมภาระจำนวน 1 ชิ้น น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม โดยขนาดของกระเป๋าต้องไม่เกิน 25x45x56 เซนติเมตร รวมความสูงจากล้อ และมือจับ ซึ่งต้องเก็บไว้ในช่องเก็บของเหนือศีรษะหรือใต้เบาะนั่งได้

นอกจากนี้ยังสามารถพกสิ่งของเหล่านี้ขึ้นเครื่องโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

  • กระเป๋าใส่ของมีค่า เช่น กระเป๋าถือ หรือกระเป๋าใส่เงิน โดยมีขนาดกระเป๋าไม่เกิน 12.5x25x37.5 เซนติเมตร และน้ำหนักไม่เกิน 1.5 กิโลกรัม
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์แบบพกพาหรือแล็ปท็อป
  • ไม้ค้ำยัน ในกรณีที่เป็นผู้สูงอายุ ผู้ป่วย หรือผู้ที่ทุพพลภาพ
  • กล้องหรือกล้องส่องทางไกลขนาดเล็ก
  • อาหารเด็กเล็ก

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทย กระเป๋าสัมภาระที่สามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ คือ 

  • ชั้นหนึ่ง ระหว่างประเทศ 50 กิโลกรัม
  • ชั้นธุรกิจ ในประเทศ 40 กิโลกรัม และระหว่างประเทศ 40 กิโลกรัม
  • ชั้นประหยัดพิเศษ  ในประเทศ 30 กิโลกรัม และระหว่างประเทศ 40 กิโลกรัม
  • ชั้นประหยัด  ในประเทศ 20-30 กิโลกรัม และระหว่างประเทศ 20-35 กิโลกรัม

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักสัมภาระเกิน

  • กรณีที่บินภายในประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมคิดเป็นหน่วยบาท โดยคิดเป็น 1.5% ของค่าบัตรโดยสารชั้นประหยัด แบบบินตรงเที่ยวเดียว ปกติสูงสุด หรือประมาณ 55-125 บาทต่อ 1 กิโลกรัม 
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมคิดเป็นหน่วยดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแตกต่างกันออกไปตามโซนของประเทศจุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทาง โดยค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 12-70 ดอลลาร์สหรัฐ การแปลงค่าเงินขึ้นอยู่กับอัตราการแลกเปลี่ยนในวันนั้นๆ

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม โดยจำเป็นต้องซื้ออย่างน้อย 5 กิโลกรัม และไม่เกิน 50 กิโลกรัม โดยต้องซื้อล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง

  • กรณีที่บินภายในประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมคิดเป็นหน่วยบาท อยู่ระหว่าง 50-60 บาท
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมคิดเป็นหน่วยดอลลาร์สหรัฐ อยู่ระหว่าง 8-56 ดอลลาร์สหรัฐ การแปลงค่าเงินขึ้นอยู่กับอัตราการแลกเปลี่ยนในวันนั้นๆ

2. ไทยสมายล์ (Thai Smile)

ไทยสมายล์ (Thai Smile) เป็นสายการบินสัญชาติไทยที่มีเส้นทางการบินภายในประเทศและจุดหมายปลายทางต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น อินเดีย เวียดนาม ศรีลังกา จีน และมาเลเซีย

โดยมีท่าอากาศยานหลักอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สำหรับนโยบายเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือและโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้

โหลดกระเป๋าไทยสมายล์

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทยสมายล์ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ คือ กระเป๋าสัมภาระจำนวน 1 ชิ้น น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม โดยขนาดของกระเป๋าต้องไม่เกิน 25x45x56 เซนติเมตร รวมความสูงจากล้อ และมือจับ ซึ่งต้องเก็บไว้ในช่องเก็บของเหนือศีรษะหรือใต้เบาะนั่งได้ 

นอกจากนี้ยังสามารถพกสิ่งของเหล่านี้ขึ้นเครื่องโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

  • กระเป๋าใส่ของมีค่า เช่น กระเป๋าถือ หรือกระเป๋าใส่เงิน โดยมีขนาดกระเป๋าไม่เกิน 12.5x25x37.5 เซนติเมตร และน้ำหนักไม่เกิน 1.5 กิโลกรัม
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์แบบพกพา หรือแล็ปท็อป
  • ผ้าคลุมไหล่ หรือผ้าห่ม จำนวนไม่เกิน 1 ผืน
  • ร่ม จำนวนไม่เกิน 1 ด้าม
  • กล้องถ่ายภาพหรือกล้องส่องทางไกลขนาดเล็ก จำนวน 1 ตัว
  • หนังสือจำนวนที่เหมาะสม
  • อาหารของเด็กทารกในปริมาณที่เหมาะสม
  • อุปกรณ์ที่ช่วยในการเคลื่อนไหวหรือการเดิน เช่น ไม้ค้ำยัน เก้าอี้วีลแชร์ หรือกายอุปกรณ์เทียม สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้
  • สุนัขนำทางสำหรับคนตาบอดหรือหูหนวก
  • สินค้าปลอดภาษี ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายของประเทศ เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือบุหรี่

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทยสมายล์ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ คือ

  • ชั้นพรีเมียม  ในประเทศ 30 กิโลกรัม และระหว่างประเทศ 40 กิโลกรัม
  • ชั้นประหยัด  ในประเทศ 20 กิโลกรัม และระหว่างประเทศ 30 กิโลกรัม

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักสัมภาระเกิน

  • กรณีที่บินภายในประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 180 บาท  
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมคิดเป็นหน่วยดอลลาร์สหรัฐ บาทไทย หรือรูปีอินเดีย ขึ้นอยู่กับประเทศต้นทางหรือจุดหมายปลายทาง โดยค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 12-15 ดอลลาร์สหรัฐ 405-540 บาทไทย และ 1400 รูปีอินเดีย

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม โดยจำเป็นต้องซื้อล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ซึ่งมีอัตราค่าใช้จ่ายเท่ากันทั้งในกรณีบินภายในประเทศและบินระหว่างประเทศ มีรายละเอียด ดังนี้

  • 5 กิโลกรัม = 600 บาท
  • 10 กิโลกรัม = 900 บาท
  • 15 กิโลกรัม = 1,350 บาท
  • 20 กิโลกรัม = 1,800 บาท
  • 25 กิโลกรัม = 2,250 บาท
  • 30 กิโลกรัม = 2,700 บาท
  • 40 กิโลกรัม = 3,600 บาท 

3. สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส (Bangkok Airways)

บางกอกแอร์เวย์ส (Bangkok Airways) เป็นสายการบินเชิงพาณิชย์ของไทยที่ให้บริการครอบคลุมหลายจังหวัดในประเทศไทย เช่น สุโขทัย ภูเก็ต เชียงใหม่ และตราด

โดยมีท่าอากาศยานหลักในประเทศหลายแห่ง ไม่ว่าเป็น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานอู่ตะเภา และท่าอากาศยานสมุย นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางการบินต่างประเทศ เช่น ลาว ฮ่องกง และมัลดีฟส์ อีกด้วย สำหรับนโยบายเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือและโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้

โหลดกระเป๋าบางกอกแอร์

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

ตามนโยบายของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส กระเป๋าสัมภาระที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ คือ กระเป๋าสัมภาระจำนวน 1 ชิ้น น้ำหนักไม่เกิน 5 กิโลกรัม โดยขนาดของกระเป๋าที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเภทเครื่องบินที่โดยสาร มีรายละเอียดดังนี้ 

  • ประเภทเครื่องบิน ATR72 ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องไม่เกิน 23x36x50 เซนติเมตร
  • ประเภทเครื่องบิน Airbus 319 และ Airbus 320 ขนาดกระเป๋าขึ้นเครื่องไม่เกิน 23x36x56 เซนติเมตร

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage)

ตามนโยบายของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส กระเป๋าสัมภาระที่สามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ คือ

  • ชั้นธุรกิจบลูริบบิน  น้ำหนักกระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง 40 กิโลกรัม
  • ชั้นประหยัด  น้ำหนักกระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง 20 กิโลกรัม

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักสัมภาระเกิน

  • กรณีที่บินภายในประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 180 บาท  
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมคิดเป็นหน่วยดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 11-60 ดอลลาร์สหรัฐ

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม โดยจำเป็นต้องซื้อล่วงหน้าก่อนเวลาเดินทางอย่างน้อย 4 ชั่วโมง

  • กรณีที่บินภายในประเทศ
    • 5 กิโลกรัม = 600 บาท
    • 10 กิโลกรัม = 900 บาท
    • 15 กิโลกรัม = 1,350 บาท
    • 20 กิโลกรัม = 1,800 บาท
    • 25 กิโลกรัม = 2,250 บาท
    • 30 กิโลกรัม = 2,700 บาท
    • 40 กิโลกรัม = 3,600 บาท 
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมคิดเป็นหน่วยดอลลาร์สหรัฐ อยู่ระหว่าง 8-48 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งราคามีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเทศต้นทางและจุดหมายปลายทาง โดยต้องซื้อน้ำหนักอย่างน้อย 5 กิโลกรัม

4. นกแอร์ (Nok Air)

นกแอร์ (Nok Air) เป็นสายการบินราคาประหยัดของไทย ให้บริการพื้นที่ครอบคลุมทั้งประเทศไทยและภายในทวีปเอเชีย เช่น เวียดนาม จีน อินเดีย และญี่ปุ่น

โดยมีท่าอากาศยานหลักอยู่ที่สนามบินดอนเมือง สำหรับนโยบายเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือและโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้

โหลดกระเป๋านกแอร์

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

ตามนโยบายของสายการบินนกแอร์ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ คือ กระเป๋าสัมภาระจำนวน 1 ชิ้น น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม  โดยขนาดของกระเป๋าต้องไม่เกิน 23x36x56 เซนติเมตร รวมความสูงจากล้อ และมือจับ ซึ่งต้องเก็บไว้ในช่องเก็บของเหนือศีรษะหรือใต้เบาะนั่งได้ 

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage)

ตามนโยบายของสายการบินนกแอร์ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ แบ่งตามประเภทของบัตรโดยสาร คือ

  • บินเบาๆ (Nok Lite) ไม่มี
  • บินสบาย (Nok X-tra) ในประเทศ 15 กิโลกรัม และระหว่างประเทศ 20 กิโลกรัม
  • บินเพลิดเพลิน (Nok MAX) ในประเทศ 25 กิโลกรัม และระหว่างประเทศ 30 กิโลกรัม
บริการขนส่งและฝากกระเป๋า

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักสัมภาระเกิน

  • กรณีที่บินภายในประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 400 บาท  
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 500 บาท

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม โดยมีอัตราแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของบัตรโดยสาร จุดหมายปลายทาง จำนวนน้ำหนักที่ซื้อเพิ่ม และช่วงเวลาที่ซื้อน้ำหนักเพิ่ม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • กรณีซื้อพร้อมบัตรโดยสาร ภายในประเทศเริ่มต้นที่ 5 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 150 บาท ส่วนระหว่างประเทศเริ่มต้นที่ 5 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 200 บาท
  • กรณีซื้อเพิ่มหลังซื้อบัตรโดยสารแล้ว ภายในประเทศเริ่มต้นที่ 5 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 250 บาท ส่วนระหว่างประเทศเริ่มต้นที่ 5 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 300 บาท

5. ไทยเวียตเจ็ทแอร์ (Thai Vietjet Air)

ไทยเวียตเจ็ทแอร์ (Thai Vietjet Air) เป็นสายการบินในเครือเวียตเจ็ทแอร์ ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำจากประเทศเวียดนาม โดยเป็นสายการบินที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งภายในประเทศไทยและเมืองสำคัญของประเทศเวียดนาม เช่น เกิ่นเทอ และดานัง นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางบินระหว่างประเทศในแถบเอเชีย อาทิ กัมพูชา สิงคโปร์ และไต้หวัน อีกด้วย

โดยมีท่าอากาศยานหลักอยู่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับนโยบายเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือและโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้

โหลดกระเป๋าเวียตเจ็ทแอร์

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทยเวียตเจ็ทแอร์ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ คือ กระเป๋าสัมภาระจำนวน 1 ชิ้น น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม โดยขนาดของกระเป๋าต้องไม่เกิน 23x36x56 เซนติเมตร ซึ่งต้องเก็บไว้ในช่องเก็บของเหนือศีรษะหรือใต้เบาะนั่ง 

นอกจากนี้ ผู้โดยสารสามารถนำกระเป๋าถือใบเล็กหรือกระเป๋าแล็ปท็อปอีก 1 ใบขึ้นเครื่องได้

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทยเวียตเจ็ทแอร์  กระเป๋าสัมภาระที่สามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ ต้องมีน้ำหนักรวมไม่เกิน 32 กิโลกรัม และแต่ละชิ้นต้องมีขนาดไม่เกิน 81x119x119 เซนติเมตร 

บริการขนส่งและฝากกระเป๋า

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักสัมภาระเกิน

  • กรณีที่บินภายในประเทศ  ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 320 บาท 
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ  ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 450-650 บาท ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการเดินทาง

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม 

  • น้ำหนัก 15 กิโลกรัม ภายในประเทศ 355 บาท และบินระหว่างประเทศ 540-1050 บาท
  • น้ำหนัก 20 กิโลกรัม ภายในประเทศ 395 บาท และบินระหว่างประเทศ 715-1,400 บาท
  • น้ำหนัก 25 กิโลกรัม ภายในประเทศ 495 บาท และบินระหว่างประเทศ 923-1,650 บาท
  • น้ำหนัก 30 กิโลกรัม ภายในประเทศ 795 บาท และบินระหว่างประเทศ 1,260-1,980บาท
  • น้ำหนัก 35 กิโลกรัม ภายในประเทศ 955 บาท และบินระหว่างประเทศ 1,512-2,310 บาท
  • น้ำหนัก 40 กิโลกรัม ภายในประเทศ 1,195 บาท และบินระหว่างประเทศ 1,875-2,800 บาท

6. แอร์เอเชีย (Air Asia)

แอร์เอเชีย (Air Asia) เป็นสายการบินข้ามชาติต้นทุนต่ำระหว่างไทยกับมาเลเซีย ให้บริการเส้นทางการบินในหลายจังหวัดของประเทศไทย เช่น ขอนแก่น ตรัง และเชียงใหม่ รวมถึง จุดหมายปลายทางในภูมิภาคเอเชียอีกหลายแห่ง เช่น จีน ฮ่องกง และอินเดีย

โดยมีฐานการบินอยู่ทั้งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และดอนเมือง สำหรับนโยบายเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือและโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้

โหลดกระเป๋าแอร์เอเชีย

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

ตามนโยบายของสายการบินแอร์เอเชีย สามารถถือกระเป๋าขึ้นเครื่องได้จำนวน 2 ใบ โดยต้องมีน้ำหนักรวมกันไม่เกิน 7 กิโลกรัม ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

  • กระเป๋าสัมภาระจำนวน 1 ใบ ต้องมีขนาดไม่เกิน 23x36x56 เซนติเมตร และต้องสามารถเก็บในช่องใส่สัมภาษณ์เหนือศีรษะได้
  • กระเป๋าใส่ทรัพย์สินจำนวน 1 ใบ โดยอาจเป็นกระเป๋าถือ กระเป๋าขนาดเล็ก หรือกระเป๋าใส่แล็ปท็อป ที่มีขนาดไม่เกิน 10x30x40 เซนติเมตร และต้องสามารถจัดเก็บไว้ใต้ที่นั่งด้านหน้าได้

ในกรณีของเที่ยวการบินแอร์เอเชียอินเดีย จากจัมมู หรือ ศรีนาการ์ ไม่อนุญาตให้นำกระเป๋าสัมภาระขึ้นเครื่อง เนื่องจากข้อกำหนดการรักษาความปลอดภัยของสนามบิน

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage)

ตามนโยบายของสายการบินแอร์เอเชีย สามารถโหลดกระเป๋าสัมภาระขึ้นเครื่องได้โดยไม่จำกัดจำนวน แต่น้ำหนักรวมของกระเป๋าสัมภาระต้องไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด โดยแบ่งตามประเภทของบัตรโดยสาร คือ

  • Low Fare ไม่มี
  • Value Pack และ Premium Flex น้ำหนัก 20 กิโลกรัม
  • Premium Flatbed น้ำหนัก 40 กิโลกรัม

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักสัมภาระเกิน 

  • กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง ในกรณีที่น้ำหนักของกระเป๋าเกิน ค่าใช้จ่ายในส่วนของ 15 กิโลกรัมแรก คิดเป็น 1,300 บาท และในกิโลกรัมต่อไปกิโลกรัมละ 455 บาท รวมถึง หากกระเป๋าสัมภาระมีขนาดใบใหญ่กว่าช่องเก็บของเหนือศีรษะ มีค่าใช้จ่าย 2,210 บาท

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม โดยซื้อได้ไม่เกิน 40 กิโลกรัม

  • กรณีซื้อพร้อมบัตรโดยสาร ภายในประเทศเริ่มต้นที่ 15 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 468 บาท ส่วนระหว่างประเทศเริ่มต้นที่ 20 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 1,368 บาท
  • กรณีซื้อเพิ่มหลังซื้อบัตรโดยสารแล้ว ภายในประเทศเริ่มต้นที่ 15 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 520 บาท ส่วนระหว่างประเทศเริ่มต้นที่ 20 กิโลกรัม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 1,533 บาท

7. ไทยไลอ้อนแอร์ (Thai Lion Air)

ไทยไลอ้อนแอร์ (Thai Lion Air) เป็นสายการบินต้นทุนต่ำระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย ซึ่งมีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมทั้งภายในประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชีย เช่น จีน เนปาล ไต้หวัน และเวียดนาม

โดยมีฐานการบินอยู่ทั้งท่าอากาศยานดอนเมือง สำหรับนโยบายเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือและโหลดขึ้นเครื่อง มีดังนี้

กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (Carry-on baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ คือ กระเป๋าสัมภาระจำนวน 1 ชิ้น น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม โดยขนาดของกระเป๋าต้องไม่เกิน 20x30x40 เซนติเมตร

กระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง (Checked baggage)

ตามนโยบายของสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ คือ

  • กรณีบินภายในประเทศ  จำนวน 1 ใบ น้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม
  • กรณีบินระหว่างประเทศ  จำนวนไม่เกิน 2 ใบ น้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัม

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักสัมภาระเกิน 

  • กรณีที่บินภายในประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 300 บาท  
  • กรณีที่บินระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลกรัมละ 500 บาท แต่ถ้าเป็นเส้นทางกรุงเทพฯ-กัวลาลัมเปอร์ ราคา 400 บาทต่อ 1 กิโลกรัม 

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม โดยจำเป็นต้องซื้อล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ชั่วโมง ซึ่งซื้อได้ไม่เกิน 45 กิโลกรัม และน้ำหนักสัมภาระแต่ละชิ้นต้องไม่เกิน 32 กิโลกรัม มีอัตราค่าใช้จ่ายเท่ากันทั้งในกรณีบินภายในประเทศและบินระหว่างประเทศ มีรายละเอียด ดังนี้

  • เพิ่ม 5 กิโลกรัม ภายในประเทศ 200 บาท และระหว่างประเทศ 325 บาท
  • เพิ่ม 10 กิโลกรัม ภายในประเทศ 275 บาท และระหว่างประเทศ 475 บาท
  • เพิ่ม 15 กิโลกรัม ภายในประเทศ 375 บาท และระหว่างประเทศ 625 บาท
  • เพิ่ม 20 กิโลกรัม ภายในประเทศ 405 บาท และระหว่างประเทศ 775 บาท
  • เพิ่ม 25 กิโลกรัม ภายในประเทศ 495 บาท และระหว่างประเทศ 1,000 บาท
  • เพิ่ม 30 กิโลกรัม ภายในประเทศ 645 บาท 
  • เพิ่ม 35 กิโลกรัม ภายในประเทศ 795 บาท 

ขึ้นเครื่อง แบบไม่ต้องสนใจเรื่องขนาด น้ำหนัก ทำได้ไหม?

หลังจากที่ได้ทราบเกี่ยวกับข้อจำกัดของน้ำหนักกระเป๋าที่ถือหรือโหลดขึ้นเครื่อง รวมถึง ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการโหลดกระเป๋า ในกรณีที่น้ำหนักกระเป๋าเกิน หลายๆ คนอาจสงสัยว่า สามารถเดินทางโดยสารเครื่องบิน แบบไม่ต้องสนใจเรื่องขนาดหรือน้ำหนักของสัมภาระได้ไหม? 

คำตอบ คือ สามารถทำได้ เพราะ AIRPORTELs มีบริการรับฝากกระเป๋าตามจุดต่างๆ และบริการขนส่งสัมภาระไปทั่วประเทศไทย ไม่ว่าเป็น สนามบิน ห้างสรรพสินค้า หรือโรงแรม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ใช้บริการอะไรได้บ้าง

AIRPORTELs พร้อมช่วยอำนวยความสะดวกให้การท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น โดยมีบริการหลักๆ ดังนี้

บริการขนส่งสัมภาระกระเป๋า

บริการขนส่งกระเป๋า

AIRPORTELs ให้บริการขนส่งสัมภาระ ทั้งภายในกรุงเทพฯ และการขนส่งข้ามจังหวัด ไม่ว่าเป็น ท่าอากาศยาน ห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่พัก

โดยไม่จำกัดทั้งขนาดและน้ำหนักของสัมภาระ รวมถึง ระยะทางการขนส่ง มีอัตราค่าบริการขนส่งสัมภาระกระเป๋าเริ่มต้นที่ 299 บาท พร้อมระบบติดตามสถานะของสัมภาระ 

บริการฝากของ ฝากกระเป๋า 

บริการฝากกระเป๋า

บริการรับฝากสัมภาระของแอร์พอเทลล์ นั้นครอบคลุมตั้งแต่ กระเป๋าสัมภาระ อุปกรณ์กีฬา และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น แล็ปท็อป จักรยาน หรือถุงกอล์ฟ มีอัตราค่าบริการเริ่มต้นเพียง 100 บาท ต่อสัมภาระ 1 ชิ้น

ซึ่งไม่มีการจำกัดน้ำหนักหรือขนาด โดยมีบริการจุดบริการที่สนามบิน และห้างสรรพสินค้า ที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS ได้แก่

  • ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
  • ท่าอากาศยานดอนเมือง เปิดให้บริการระหว่างเวลา 06.00 – 24.00 น.
  • เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ เปิดให้บริการระหว่างเวลา 10.00 – 22.00 น.
  • เทอร์มินอล 21 อโศก เปิดให้บริการระหว่างเวลา 10.00 – 22.00 น.
  • เทอร์มินอล 21 พัทยา เปิดให้บริการวันจันทร์-วันพฤหัสบดี เวลา 11.00 – 22.00 น. และวันศุกร์-วันอาทิตย์(วันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 11.00 – 2300 น.
  • เซ็นทรัลเวิลด์ เปิดให้บริการระหว่างเวลา 10.00 – 22.00 น.
  • ไอคอนสยาม เปิดให้บริการระหว่างเวลา 10.00 – 22.00 น.
  • มิกซ์จตุจักร เปิดให้บริการวันจันทร์-วันพฤหัสบดี เวลา 10.00 – 20.00 น. และวันศุกร์-วันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 21.00 น.
  • เยาวราช เปิดให้บริการวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 10.00 – 18.00 น. และวันเสาร์ เวลา 10.00 – 14.00 น.

นอกจากนี้ ยังมีบริการรับฝากระยะยาว รับประกันมูลค่าของสูงสุดถึง 50,000 บาทอีกด้วย 

ส่งกระเป๋าดีกว่าการโหลดหรือนำขึ้นเครื่องเองอย่างไร

สำหรับข้อดีของบริการจาก Airportels ที่โดดเด่นกว่าการนำกระเป๋าถือหรือโหลดขึ้นเครื่อง มีด้วยกันมากมาย เช่น

  • เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับแผนการท่องเที่ยว หลายๆ คนจำเป็นต้องนำสัมภาระไปเก็บยังที่พักก่อน ถึงเริ่มการท่องเที่ยวได้ หรือหากบินไฟล์ตดึก หลังจากเช็กเอาต์แล้วไม่สามารถฝากกระเป๋าไว้กับที่พักได้ แต่บริการขนส่งกระเป๋าของ AIRPORTELs สามารถนำสัมภาระไปส่งให้ยังโรงแรม สนามบิน หรือห้างสรรพสินค้าใกล้รถไฟฟ้า BTS 
  • ไม่ต้องกังวลเรื่องขนาดและน้ำหนักของกระเป๋า แม้ว่าสายการบินต่างๆ มีบริการโหลดกระเป๋าและการซื้อน้ำหนักเพิ่ม แต่ส่วนใหญ่ก็ยังจำกัดน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 40-50 กิโลกรัมต่อคน รวมถึงยังมีการจำกัดขนาดของกระเป๋าที่สามารถใช้ได้อีกด้วย
  • ไม่ต้องแกะและแพ็กสัมภาระใหม่ เนื่องจากสายการบินต่างๆ ได้กำหนดปริมาณของของเหลว เช่น แชมพู ครีมนวดผม หรือน้ำหอม รวมถึง ลิสต์รายการสัมภาระที่ไม่สามารถโหลดได้ แต่จำเป็นต้องถือขึ้นเครื่อง ซึ่งทำให้หลายๆ คนต้องประสบปัญหาการแกะและแพ็กสัมภาระใหม่
บริการขนส่งและฝากกระเป๋า

ก่อนการโดยสารเครื่องบิน ไม่ว่าเป็น การเดินทางท่องเที่ยวภายในและระหว่างประเทศ ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับขนาดกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง และอัตราค่าบริการโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องก่อน เพราะแต่ละสายการบินมีนโยบายสัมภาระที่แตกต่างกันออกไป

ซึ่งช่วยให้ไม่ต้องแกะสัมภาระและแพ็กใหม่ที่สนามบิน หรือเสียเงินเพิ่มเติมในกรณีที่น้ำหนักกระเป๋าเกิน แต่สำหรับใครที่อยากออกทริปภายในประเทศไทย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเกณฑ์สัมภาระและยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นสำหรับแผนการท่องเที่ยว บริการฝากของและขนส่งสัมภาระของ AIRPORTELs คือคำตอบ

อ่านเพิ่มเติม

วิธีส่งสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบินทำอย่างไร ราคาเท่าไหร่

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงมีสัตว์เลี้ยงคู่ใจเลี้ยงอยู่ที่บ้าน คอยให้ความรัก ความอบอุ่น และช่วยแก้เหงาให้ได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับนักเดินทางตัวยงแล้วล่ะก็ การจะไปเที่ยว ทำธุระไกลๆ หรือเดินทางไกลไปไหนก็แล้วแต่นั้น คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วน้องหมาหรือน้องแมวล่ะ จะพาพวกเขาเดินทางไปด้วยกันได้อย่างไร? 

บทความนี้จะมาช่วยไขทุกข้อสงสัยของคนรักสัตว์ ที่กำลังอยากเดินทางไกล แต่ไม่อยากฝากสัตว์เลี้ยงไว้ให้ใครดูแลหรือกำลังย้ายที่อยู่ และมีความต้องการที่จะพาเจ้าสี่ขาขึ้นเครื่องบินไปด้วย มาดูกันว่าวิธีส่งสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบินนั้นทำอย่างไร และมีค่าใช้จ่ายเท่าใดกัน

เริ่มต้นด้วยการตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง

เริ่มต้นด้วยการตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง

บอกเลยว่าทุกสายการบินจะมีข้อกำหนดไว้เลยว่า เจ้าของสัตว์เลี้ยงจะต้องพาสัตว์เลี้ยงไปตรวจสุขภาพก่อน โดยไม่ควรเกิน 10 วันก่อนการเดินทาง ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยงด้วยว่าพวกเขาไม่ได้กำลังเจ็บป่วย หรือมีปัญหาทางสุขภาพที่เมื่อสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องแล้ว ย่อมมีปัจจัยด้านความเครียดและความร้อนที่อาจจะไปกระตุ้นอาการเหล่านั้นให้แย่ลงไปอีกด้วย ซึ่งสายการบินจะไม่รับผิดชอบหากสัตว์เลี้ยงเสียชีวิต 

ดังนั้น เจ้าของจึงต้องดูแลสัตว์เลี้ยงให้มีสุขภาพแข็งแรง สัตว์เลี้ยงที่จะขึ้นเครื่องต้องไม่ได้กำลังตั้งครรภ์หรือบาดเจ็บ ควรพาพวกเขาไปตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง พูดคุยกับสัตวแพทย์ถึงความพร้อมของร่างกายสัตว์เลี้ยงของเราสำหรับการขึ้นเครื่อง ฉีดวัคซีนให้ครบ โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และนำสมุดรับรองสุขภาพไปเป็นหลักฐานในการพาสัตว์เลี้ยงเดินทางขึ้นเครื่องไปกับคุณได้

ตรวจสอบเงื่อนไขการขนส่งสัตว์เลี้ยงทางเครื่องบิน

ตรวจสอบเงื่อนไขการขนส่งสัตว์เลี้ยงทางเครื่องบิน

ก่อนนำสัตว์เลี้ยงเดินทางด้วยเครื่องบิน อย่าลืมตรวจสอบเงื่อนไขการขนส่งสัตว์เลี้ยงทางเครื่องบินให้อย่างละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากแต่ละสายการบินอาจมีข้อปฏิบัติ ข้อบังคับ หรือกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่แตกต่างกันไป 

รวมถึงต้องตรวจสอบเงื่อนไขการตรวจคนเข้าเมืองสำหรับสัตว์เลี้ยงที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ/ภูมิภาคด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยาก และข้อผิดพลาดในการพาสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องในภายหลัง

อีกสิ่งสำคัญที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงจะต้องตรวจสอบก็คือ ประเภทของสัตว์เลี้ยง ควรรู้ก่อนว่าสายพันธ์ุสัตว์เลี้ยงของเรานั้นอยู่ในบัญชีรายชื่อสายพันธุ์ต้องห้ามหรือไม่ เพราะถ้าสัตว์เลี้ยงของคุณตกเป็นสัตว์ต้องห้าม ก็ไม่สามารถพาพวกเขาไปด้วยได้ 

สัตว์ส่วนมากที่ไม่สามารถขนส่งผ่านเครื่องบินได้จะเป็นสัตว์จำพวกที่มีพิษ สัตว์ดุร้าย สัตวที่มีจมูกสั้น เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องศึกษาให้รอบคอบเพื่อการเดินทางที่ราบรื่น หรือในกรณีที่ไม่สามารถพาขึ้นเครื่องไปได้ จะได้หาแผนสำรองอื่นเตรียมไว้ทันท่วงที

รวมถึงเรื่องอายุของสัตว์เลี้ยงก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โปรดตรวจสอบอายุของสัตว์เลี้ยงที่สามารถนำขึ้นเครื่องได้กับแต่ละสายการบิน

นอกจากนี้ ในส่วนของต่างประเทศก็ต้องตรวจสอบข้อกำหนดของประเทศนั้นๆ เรื่องสายพันธุ์สุนัขและแมวสายการบิน ซึ่งจะมีแจ้งไว้อยู่แล้วว่าสายพันธุ์ไหนบ้างที่ไม่สามารถพาขึ้นเครื่องได้ 

กรงของสัตว์เลี้ยง

กรงของสัตว์เลี้ยง

กรงหรือบรรจุภัณฑ์สำหรับพาสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องไม่ใช่ว่าจะเป็นกรงขนาดใด ลักษณะใดก็ได้ หรือเห็นว่าเป็น กรงที่เคยพาสัตว์เลี้ยงเดินทางไปพบสัตวแพทย์เลยคิดว่าคงใช้ได้เหมือนกัน ความจริงแล้วจะใช้กรงที่มีอยู่แล้วก็ได้ แต่ต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่าเป็นกรงที่มีมาตรฐาน และจะต้องเป็นไปตามกฎระเบียบของสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ ซึ่งลักษณะของกรงที่เหมาะสมก็มีดังนี้

  • วัสดุพลาสติกแข็งตามข้อบังคับของ IATA
  • กรงแข็งแรง มีน็อตยึดแน่นหนา
  • กรงแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของสัตว์เลี้ยงได้
  • ประตูกรงแน่นหนา มีเพียงประตูเดียวสำหรับการเข้า-ออก
  • มีช่องระบายอากาศ สามารถมองเห็นได้ว่าเป็นกรงสัตว์
  • มีความกว้างและความยาวเพียงพอ ให้สัตว์กลับตัว พลิกตัว และยืนได้สะดวก หลังไม่ชนกรง
  • ต้องจัดเตรียมขวดน้ำแบบหยดสำหรับสัตว์เลี้ยง

สายการบินที่ขนส่งสัตว์เลี้ยงได้

สายการบินที่ขนส่งสัตว์เลี้ยงได้

ก่อนจะทำการจัดส่งสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบินนั้น เจ้าของจะต้องทำการบ้านโดยศึกษาข้อมูลของสายการบินต่างๆ เสียก่อนว่า สายการบินไหนบ้างที่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเดินทางไปกับเครื่องบินได้ และอาจมีรายละเอียดปลีกย่อยไปอีก อย่างการให้บริการเพียงบางจังหวัดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม อย่าลืมโทรสอบถามรายละเอียดกับสายการบินของจังหวัดนั้น ๆ ก่อนทุกครั้ง

สายการบินไทย (Thai Airways) 

สายการบินไทย (Thai Airways) มีบริการการนำสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่อง แบบ Check Baggage (AVIH) สัตว์เลี้ยงจะต้องมีขนาดตามระเบียบของ IATA’s Live Animals Regulations (LAR) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในเรื่องการขนส่งสัตว์ที่มีชีวิตผ่านสายการบินต่างๆ 

ทางการบินไทยนั้น จะนำสัตว์เลี้ยงของเราไปโหลดไว้ยังห้องบรรทุกสัมภาระพิเศษใต้ท้องเครื่อง ที่ได้มีการออกแบบให้มีระบบควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมกับสัตว์เลี้ยงอีกด้วย

สำหรับเที่ยวบินที่ทางสายการบินไทยไม่รับสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องแบบ Check Baggage (AVIH) มีดังต่อไปนี้

  • เที่ยวบินไปโอ๊กแลนด์ เดนปาซาร์ ดูไบ ฮ่องกง และ ลอนดอน
  • เที่ยวบิน ไป / กลับจากออสเตรเลีย (บริสเบน เมลเบิร์น เพิร์ท ซิดนีย์)
  • เที่ยวบินที่ให้บริการด้วยเครื่องบินแบบแอร์บัส A320

ส่วนเรื่องของสายพันธุ์สุนัขที่การบินไทยขอสงวนสิทธิ์ในการให้บริการขนส่งสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่อง ก็มีทั้งหมด 25 สายพันธุ์ด้วยกัน 

REF

  1. อเมริกันบูลด็อก / บูลลี่ (American Bulldog / Bully)
  2. อเมริกันสแตฟฟอร์ดเชียร์เทอร์เรียร์ (American Staffordshire Terrier)
  3. อเมริกันพิทบูลเทอร์เรียร์ (American Pit Bull Terrier)
  4. บอสตันเทอร์เรียร์ (Boston Terrier)
  5. บ็อกเซอร์ ( Boxer)
  6. บราสเซิลส์กริฟเฟิน (Brussels Griffon)
  7. บูลด็อก (Bulldog)
  8. ไชนีสปั๊ก (Chinese Pug)
  9. เชาเชา (Chow Chow)
  10. ดัชปั๊ก (Dutch Pug)
  11. อิงลิชบูลด็อก (English Bulldog)
  12. อิงลิชทอยสแปเนียล (English Toy Spaniel)
  13. เฟรนช์บูลด็อก (French Bulldog)
  14. ลาซาแอปโซ ( Lhasa Apso)
  15. เจแปนนีสบ็อกเซอร์ (Japanese Boxer)
  16. เจแปนนีสปั๊ก (Japanese Pug)
  17. เจแปนนีสชิน (Japanese Spaniel (Chin)
  18. มาสทิฟฟ์ (ทุกสายพันธุ์) Mastiff (All Breeds)
  19. ปักกิ่ง (Pekinese)
  20. พิทบูล (Pit Bull)
  21. ปั๊ก (Pug)
  22. ชาเป่ย (Shar Pei)
  23. ชิสุ (Shih Tzu)
  24. สแตฟเฟอร์ดไชร์บูลเทอร์เรียร์ (Staffordshire Bull Terrier)
  25. ทิเบตันสแปเนียล (Tibetan Spaniel)

ค่าใช้จ่าย

สำหรับการบินไทยแล้วการขนส่งสุนัขขึ้นเครื่องบินมีราคา 0 บาทเท่านั้น! เป็นสิทธิพิเศษสำหรับผู้โดยสารที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นหรือทางการได้ยิน และจำเป็นจะต้องมีสุนัขนำทางหรือสุนัขที่ให้ความช่วยเหลืออยู่ข้างกาย 

โดยทางผู้โดยสารจะต้องติดต่อสำนักงานขายการบินไทยประจำท้องถิ่นของท่านอย่างน้อย 48 ชั่วโมง ในส่วนของบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้ต้องมีสุนัขนำทาง มีการเสียค่าใช้จ่ายตามอัตราของการขนส่งทางอากาศ ซึ่งสามารถติดต่อสำนักงานการบินไทยสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายได้

สายการบินนกแอร์ (Nok Air) 

ถ้าอยากจะพาสัตว์เลี้ยงขนส่งขึ้นเครื่องบินกับทางสายการบินนกแอร์ก็สามารถทำได้ โดยทางนกแอร์มีบริการขนส่งสินค้าและสัตว์เลี้ยงผ่านทางนกแอร์คาร์โก้ ซึ่งปฎิบัติการภายใต้ระเบียบมาตราฐานและข้อกำหนดของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association – IATA) และยังได้รับอนุญาตจากสำนักการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (Civil Aviation Authority of Thailand – CAAT) ซึ่งหลักเกณฑ์ในการขนส่งสินค้าและสัตว์เลี้ยงของสายการบินนกแอร์ ก็มีดังนี้

  • น้ำหนักจะต้องไม่เกิน 20-25 กิโลกรัม
  • ไม่เป็นสินค้าผิดกฏหมาย (อาวุธปืน, ยาเสพติด, ยุทธภัณฑ์)
  • ไม่เป็นวัตถุอันตราย
  • ไม่ตรงตามมาตรการรักษาความปลอดภัยหรือเป็นอันตรายต่อการขนส่งทางอากาศ
  • การประกาศห้ามรับสินค้าที่เกินสมรรถนะของอากาศยาน
  • สัตว์มีชีวิตต้องไม่เป็นสัตว์ที่มีพิษ สุนัขที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวดุร้าย หรือสุนัขบางสายพันธ์ุ

ซึ่งสายพันธุ์สุนัขที่ไม่สามารถขนส่งผ่านสายการบินนกแอร์ ก็ประกอบไปด้วยสุนัขทั้งหมด 19 สายพันธุ์ ดังต่อไปนี้

  1. ปั๊ก ( Pug Breeds )
  2. เฟรนช์บูลด็อก ( French Bulldog )
  3. อิงลิชบูลด็อก ( English Bulldog )
  4. อเมริกันบูลด็อก / บูลลี่ ( American Bulldog / Bully )
  5. บรัสเซิลส์เทอร์เรียร์ ( Brussels Terrier )
  6. อิงลิชทอยสแปเนียล ( English Toy Spaniel )
  7. เจแปนนีสสแปเนียล ( Japanese Spaniel )
  8. ปักกิ่ง ( Pekingese )
  9. ทิเบตันสแปเนียล ( Tibetan Spaniel )
  10. ชาเป่ย ( Shar Pei )
  11. ลาซาแอปโซ ( Lhasa Apso )
  12. บอสตันเทอร์เรียร์ ( Boston Terrier )
  13. บ็อกเซอร์  ( Boxer Breeds )
  14. ด็อจเดบอร์โดซ์ ( Dogue de Bordeaux )
  15. เชาเชา ( Chow Chow )
  16. มาสทิฟฟ์บรีด ( Mastiff Breeds )
  17. อเมริกันพิทบูลเทอร์เรียร์ ( American Pit Bull Terrier )
  18. พิทบูล ( Pit Bull )
  19. สแตฟเฟอร์ดไชร์บูลเทอร์เรียร์ ( Staffordshire Bull Terrier)

นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ทางนกแอร์ก็ยังมีกฎเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ของสัตว์เลี้ยง นั่นก็คือ

  • กรงสัตว์เลี้ยงเป็นวัสดุพลาสติกแข็งตามข้อบังคับของ IATA
  • มีเพียงประตูเดียวสำหรับให้สัตว์เลี้ยงเข้า / ออก และสามารถป้องกันสัตว์เลี้ยงไม่ให้หลุดออกมาหรือป้องกันกรงเล็บของสัตว์เลี้ยงได้
  • ขันสกูรรอบด้านให้ครบ
  • มีช่องระบายอากาศที่เปิดออกได้มากกว่าหนึ่งด้าน มองเห็นได้ง่ายว่าเป็นกรงสัตว์ และมีวัสดุดูดซับความชื้นคลุมด้านล่างหรือพื้นของกรง
  • มีพื้นที่เพียงพอให้สัตว์เลี้ยงกลับตัวไปมาได้
  • หากส่งสุนัข แมว หรือ กระต่าย ต้องจัดเตรียมขวดน้ำแบบหยด และทำการยึดกับกรงให้แน่นหนา
  • หากกรงชำรุด ทางสายการบินไม่รับขนส่งเด็ดขาด โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่สายการบิน

นกแอร์ให้บริการขนส่งสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องเฉพาะบนเครื่องบิน Boeing 737-800 เส้นทางภายในประเทศเท่านั้น รวมถึงบางครั้งอาจไม่มีที่ว่างให้บริการในบางเที่ยวบิน เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด และก็อย่าลืมพาเจ้าสี่ขาไปถึงยังนกแอร์คาร์โก้ก่อนเวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงด้วย

ค่าใช้จ่าย

อัตราค่าบริการสำหรับบริการขนส่งสัตว์เลี้ยงเริ่มต้นที่ 440 บาท สามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราค่าบริการขนส่งสัตว์เลี้ยงของสายการบินนกแอร์ได้ ที่นี่

สายการบินบางกอกแอร์เวยส์ (Bangkok Airways) 

สายการบินบางกอกแอร์เวยส์ (Bangkok Airways) มีบริการขนส่งสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบิน โดยจะมีทางเจ้าหน้าที่พาสัตว์เลี้ยงของเราไปโหลดไว้ที่ห้องบรรทุกสัมภาระ ที่มีการควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมและปลอดภัยกับพวกเขา ส่วนรายละเอียดกฎเกณฑ์ของสายการบินในการขนส่งสัตว์เลี้ยงประกอบไปด้วย

  • รับเพียงสุนัขและแมวเท่านั้น
  • ต้องแจ้งกับทางสายการบินผ่านทาง Call Center หรือสำนักงานออกบัตรโดยสาร ก่อนออกเดินทาง 24 ชั่วโมง
  • ในการเดินทางต่างประเทศเจ้าของจะต้องจัดเตรียมเอกสารต่างๆ ให้ครบถ้วน (ใบอนุญาตนำเข้าสัตว์ ใบอนุญาตการส่งออกสัตว์ ใบอนุญาตขนถ่ายสัตว์ ใบรับรองสุขภาพจากสัตวแพทย์ เอกสารรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า หนังสือเดินทางสัตว์เลี้ยง)
  • กรงสัตว์เลี้ยงต้องมีมาตรฐาน แข็งแรงตามข้อกำหนดของกรง
  • ต้องถอดปลอกคอ เสื้อกั๊ก สายรัด เสื้อผ้า และอุปกรณ์ติดตาม GPS 
  • เส้นทางในประเทศจะให้บริการเฉพาะเส้นทางเข้า-ออก เชียงใหม่ ภูเก็ต และสมุย และเส้นทางที่เดินทางโดยเครื่องบินประเภท AT72 โดยสุนัขหรือแมวต้องมีอายุอย่างน้อย 8 สัปดาห์
  • เส้นทางต่างประเทศสามารถให้บริการรับขนส่งสัตว์เลี้ยงได้ทุกเส้นทาง ยกเว้นเส้นทางมัลดีฟส์มีบริการรับขนส่งเฉพาะแมวเท่านั้น

ทางสายการบินยังมีข้อห้ามในการนำสุนัขบางสายพันธุ์ขึ้นเครื่องด้วย (ข้อกำหนดนี้รวมถึงสุนัขที่มีการผสมข้ามสายพันธุ์กับสายพันธุ์ต้องห้าม) ดังนี้

  1. อเมริกันบูลด็อก / บูลลี่ (American Bulldog/ Bully)
  2. อเมริกันสแตฟฟอร์ดเชียร์เทอร์เรียร์ (American Staffordshire Terrier)
  3. อเมริกันพิทบูลเทอร์เรียร์ (American Pit Bull Terrier)
  4. บอสตัน เทอร์เรียร์(Boston Terrier)
  5. บ็อกเซอร์ (Boxer)
  6. บราสเซิลส์กริฟเฟิน (Brussels Griffon)
  7. บูลด็อก (Bulldog)
  8. ไชนีสปั๊ก (Chinese Pug)
  9. เชา เชา (Chow Chow)
  10. ดัชปั๊ก (Dutch Pug)
  11. อิงลิชบูลด็อก (English Bulldog)
  12. อิงลิชทอยสแปเนียล (English Toy Spaniel)
  13. เฟรนช์บูลด็อก (French Bulldog)
  14. ลาซาแอปโซ (Lhasa Apso)
  15. เจแปนนีสบ็อกเซอร์ (Japanese Boxer)
  16. เจแปนนีสปั๊ก (Japanese Pug)
  17. เจแปนนีสชิน Japanese Spaniel (Chin)
  18. มาสทิฟฟ์ (ทุกสายพันธุ์) Mastiff (All Breeds)
  19. ปักกิ่ง (Pekinese)
  20. พิทบูล (Pit Bull)
  21. ปั๊ก (Pug)
  22. ชาเป่ย (Shar Pei)
  23. ชิสุ (Shih Tzu)
  24. สแตฟเฟอร์ดไชร์บูลเทอร์เรียร์ (Staffordshire Bull Terrier)
  25. ทิเบตันสแปเนียล (Tibetan Spaniel)

ค่าใช้จ่าย

ค่าใช้จ่ายในการส่งสุนัข-ส่งแมวขึ้นเครื่องบิน ราคาเป็นไปตามค่าธรรมเนียมตามน้ำหนักสัมภาระเกินกำหนด (Excess Baggage) ซึ่งคิดจากน้ำหนักสัตว์เลี้ยงรวมกับน้ำหนักกรง เส้นทางในประเทศจะคิดอัตรากิโลกรัมละ 180 บาทต่อเที่ยวบิน และสำหรับเส้นทางต่างประเทศจะคิดตามอัตราของแต่ละเส้นทางโดยแบ่งตามโซน

ข้อควรระวังในการนำส่งสัตว์เลี้ยงทางเครื่องบิน

ข้อควรระวังในการนำส่งสัตว์เลี้ยงทางเครื่องบิน

ในการนำสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่อง นอกจากเงื่อนไขหรือข้อกำหนดของแต่ละสายการบินที่ควรรู้ไว้แล้ว คุณควรศึกษาข้อห้ามและข้อควรระวังเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้มีแต่ความปลอดภัยกับชีวิตของสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก

  • ควรงดให้อาหารกับสัตว์เลี้ยงก่อนการเดินทาง เพื่อให้กระเพาะอาหารของสัตว์เลี้ยงว่าง ป้องกันสัตว์เลี้ยงขับถ่ายขณะอยู่บนเครื่อง
  • ถ้าช่วงนั้นมีสภาพอากาศที่ร้อน ควรเลือกเดินทางในเวลาเช้าตรู่หรือในเวลาดึก แต่ถ้าช่วงนั้นมีสภาพอากาศที่หนาว ควรเลือกเดินทางในเวลากลางวัน
  • ควรเลือกจองตั๋วเป็นสายการบินประเภทบินตรงและบินในช่วงกลางสัปดาห์ที่มีผู้โดยสารน้อย หลีกเลี่ยงการเดินทางในวันศุกร์ วันเสาร์ วันอาทิตย์ หรือวันหยุดยาว
  • กรณีที่สายการบินไม่สามารถป้องกันการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่กระทบตัวสัตว์ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 45 องศาฟาเรนต์ไฮต์ เป็นเวลามากกว่า 45 นาที ระหว่างการขนถ่ายจากตัวเครื่องไปยังตัวอาคารผู้โดยสารได้ ห้ามสายการบินนั้นๆ รับสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องเด็ดขาด ยกเว้นว่าจะมีใบรับรองจากสัตวแพทย์ที่ระบุว่าสัตว์เลี้ยงของคุณสามารถทนต่อสภาพอุณหภูมิที่ต่ำ 45 องศาฟาเรนต์ไฮต์ (แต่ไม่เกิน 85 องศาฟาเรนต์ไฮต์) เป็นเวลามากกว่า 45 นาทีได้

จะเห็นได้ว่าการนำสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบินนั้นมีกฎเกณฑ์และข้อกำหนดที่แตกต่างกันไปในแต่ละสายการบิน ดังนั้น เจ้าของสัตว์เลี้ยงจึงต้องมีการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนเดินทางทุกครั้ง เพื่อป้องกันการผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง เมื่อหมดห่วงเรื่องสัตว์เลี้ยงแล้ว ใครที่เดินทางคนเดียว แต่สัมภาระเยอะสามารถใช้บริการของ Airportels ที่มีบริการส่งกระเป๋าจากสนามบิน-ถึงที่พัก ตัดความกังวลเรื่องไม่มีรถส่วนตัวขนย้ายได้เลย

วิธีอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และอัปเกรดห้องพัก ให้สะดวกสะบายเกินราคาจ่ายจริง

ทุกวันนี้การเดินทางไปยังจุดหมายมีตัวเลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น รถโดยสาร รถไฟ หรือแม้แต่การเดินทางด้วยเครื่องบิน ที่ทำให้การเดินทางสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงในเรื่องของการจองที่พักจุดหมายปลายทางก็มีตัวเลือกมากมายเช่นกัน  แต่จะดีกว่าไหม? ถ้าเราสามารถอัปเกรดการเดินทางของเราให้สะดวกมากยิ่งขึ้น เช่น การอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน รวมถึงการอัปเกรดห้องพักที่จะทำให้การพักผ่อนเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย บทความนี้ ขอแนะนพการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และห้องพัก เพื่อให้คุ้มค่ากับราคาที่จ่าย

การอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และห้องพัก คืออะไร 

การอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และการอัปเกรดห้องพัก คือ การเพิ่มสิทธิประโยชน์จากเดิมให้มากขึ้น เช่น เรื่องของการอำนวยความสะดวกต่างๆ หรือแม้แต่การให้บริการ ทำให้การเดินทาง และเข้าพักในแต่ละทริป สะดวก สบายมากยิ่งขึ้น และการอัปเกรดก็สามารถทำได้หลากหลายวิธีเช่นกัน

ทำไมจึงต้องอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และห้องพัก

ทำไมจึงต้องอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และห้องพัก

ในทุกการเดินทางและการเข้าพัก หากมีโอกา หรือมีความต้องการการอัปเกรด ไม่ว่าจะเป็นการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน หรือแม้แต่การอัปเกรดห้องพักก็ควรทำอย่างไม่ลังเล เพราะการอัปเกรดมีข้อดีมากมาย ที่นอกจาก เพิ่มความสะดวก สบาย ในราคาที่คุ้มค่า แต่ก็ยังเพิ่มสิทธิประโยชน์ในด้านอื่น เช่น

  • สิทธิพิเศษในการเช็กอิน
  • น้ำหนักกระเป๋าที่เพิ่มมากขึ้น
  • ที่นั่งสะดวกสบาย เหมาะกับทุกการเดินทางไม่ว่าจะใกล้ หรือไกล
  • บริการห้องรับรอง หรือเลานจ์ภายในสนามบิน

รวมไปถึงการอัปเกรดห้องพักด้วย เช่น

  • บริการของว่างรอต้อนรับ
  • ขยายเวลาเช็กอิน และเช็กเอาท์
  • ฟรีบริการในเรื่องของอาหาร
  • การใช้บริการอย่างมินิบาร์ หรือเลานจ์ เป็นต้น

เพิ่มประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบอัปเกรดในราคาประหยัด

เพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยวให้คุ้มค่าด้วยสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้น โดยการอัปเกรดตั๋วเครื่องบินและการอัปเกรดห้องพัก ที่จะทำให้การเที่ยวมีความสุขมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้ช่วยให้ได้รับประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ดี จากการรับการอำนวยความสะดวกในเรื่องของบริการ ทำให้ทุกการเดินทาง หรือการไปพักผ่อนไม่มีสะดุด และเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย

เพิ่มประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบอัปเกรดในราคาประหยัด

วิธีการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน

เพื่อให้การเดินทางไปยังจุดหมายด้วยความสะดวก สบายมากยิ่งขึ้น การอัปเกรดตั๋วเครื่องบินจึงเป็นที่นิยม ซึ่งสำหรับคนที่อยากจะอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน แต่ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นทำอย่างไรดี หรือทำวิธีนี้จะได้รับการอัปเกรดที่ถูกต้องหรือไม่  วันนี้ AIRPORTELs จึงมีวิธีการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน ที่สามารถทำตามได้ ดังนี้

ติดต่อกับสายการบินโดยตรง

การติดต่อกับสายการบินโดยที่เดินทางโดยตรง เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็ว เพราะนอกจากทำให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนสำหรับการซื้อ หรือการอัปเกรดตั๋วเครื่องบินแล้ว ในบางครั้งสายการบินอาจมีโปรโมชั่น หรือข้อเสนอพิเศษสำหรับอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน เช่น การแลกไมล์สะสม เพื่ออัปเกรดตั๋วเครื่องบิน หรือการใช้เงินสดและไมล์สะสม เพื่อทำการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน ทำให้ได้ในตั๋วเครื่องบินอัปเกรดในราคาที่คุ้มค่า

ใช้เครื่องมือออนไลน์

การจองตั๋วออนไลน์ ถือเป็นอีกวิธีในการจองที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เพราะให้ทั้งความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลา และอยู่ที่ไหนก็จองได้ อีกทั้งยังมีตัวเลือก และการเปรียบเทียบราคาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่น หรือข้อเสนอพิเศษสำหรับการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน นอกจากนี้ การจองออนไลน์สามารถทำได้จากเว็บไซต์สำหรับการจองตั๋ว หรือการเข้าร่วมโปรแกรมสมาชิกของสายการบิน และอีกวิธี คือ การจองผ่านแอปพลิเคชันสำหรับการจองตั๋วเครื่องบิน

ยกตัวอย่าง เช่น Traveloka แอปพลิเคชันการจองตั๋ว ที่มีตัวเลือกหลากหลายในทุกการเดินทางทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ อีกทั้งยังมีเครื่องมือตัวช่วยที่หลากหลาย เช่น การจองการค้นหาเส้นทางบิน การเลือกเที่ยวบิน และฟีเจอร์อย่าง Flight Upgrade ซึ่งเป็นตัวช่วยเพิ่มสิทธิพิเศษอย่างการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และยังมีวิธีการใช้งานที่ง่าย ตามวิธีต่อไปนี้

  1. ค้นหาเส้นทางบินที่ต้องการ ค้นหาเส้นทางการบินได้ง่ายดาย เพียงเลือกจากจุดหมายปลายทางที่เราต้องการ วันเวลาเดินทาง มีให้เลือกทั้งสายการบินในประเทศ และระหว่างประเทศ ทั้งยังมีการเดินทางให้เลือกไม่ว่าจะเป็น ขาเดียว/ไป-กลับ หรือแม้แต่การเดินทางไปยังหลายเมือง
  2. กดเลือกเที่ยวบินที่ต้องการ การเลือกเที่ยวบินที่ต้องการ ก็ทำได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่กดเลือก ก็จะมีข้อมูลเบื้องต้นของเที่ยวบิน ไม่ว่าจะเป็นเวลาการเดินทาง น้ำหนักสัมภาระ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่สรุปมาให้อย่างง่ายดาย
  3. กดแบนเนอร์ไฟล์ทอัปเกรด ไฟล์ทอัปเกรด สามารถใช้กับสายการบินที่ร่วมรายการเท่านั้น เช่น Thai Lion Air (ไทยไลอ้อนแอร์), Thai Vietjet Air (ไทยเวียตเจ็ทแอร์) รวมไปถึงบางสายการบินนอกประเทศ ไฟล์ทอัปเกรดสามารถช่วยยืดหยุ่นเรื่องของการเดินทาง เพราะเราสามารถเลือกเวลาการเดินทางเองได้ตามต้องการ หรือแม้แต่การเปลี่ยนเที่ยวบินที่สามารถเลื่อนได้ตลอดเวลา แต่ระยะเวลาการเปลี่ยนเที่ยวบิน ต้องเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น
  4. เลือกคลาสที่ต้องการอัปเกรด ในการเดินทางที่ไม่ว่าใกล้หรือไกล การเลือกที่นั่งเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น ฟีเจอร์นี้จึงมีให้เลือกอัปเกรดที่นั่งของตั๋วเครื่องบิน ถึง 3 แบบ ได้แก่ Eco, Deluxe และ SkyBoss ที่สามารถเลือกได้ทั้งขาไป และขากลับ โดยสามารถเลือก และเปรียบเทียบได้ตามต้องการ และในแต่ละครั้งที่เลือกอัปเกรดตั๋วเครื่องบินก็จะได้รับสิทธิประโยชน์แตกต่างกันออกไป

ใช้บริการบุคคลที่สาม หรือเอเจนซี่

สำหรับคนที่ไม่มีเวลาในการค้นหา หรือเปรียบเทียบราคาเที่ยวบินแต่ละสายการบิน สามารถใช้บริการจากบริษัทจองตั๋วที่มีความเชี่ยวชาญได้เช่นกัน ข้อดี คือ สะดวก รวดเร็ว เพราะรวมสายการบินมาไว้ในที่เดียว ทำให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบ และช่วยค้นหาโปรโมชั่น หรือข้อเสนอพิเศษสำหรับการอัปเกรดตั๋วเครื่องบินได้ แต่ก็มีข้อเสีย เพราะทุกครั้งในการจองอาจมีค่าธรรมเนียมในการบริการ

ใช้แต้มสะสม

บางครั้งสายการบินอาจมีโปรโมชั่น หรือข้อเสนอพิเศษสำหรับอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน คือ การใช้แต้มสะสมการเดินทางจากสายการบินเดิม หรือที่เรียกกันว่า ไมล์สะสม ให้กับคนที่เดินทางเป็นประจำ โดยสามารถนำแต้มสะสมเหล่านี้มาใช้ในการอัปเกรดตั๋วเครื่องบินได้ และการใช้แต้มสะสมของแต่ละสายการบินก็จะมีจุดเด่น หรือการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป

อย่างไรก็ตาม การอัปเกรดตั๋วเครื่องบินอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ไม่ว่าการเดินทางในประเทศ ระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ละสายการบินเองก็ตาม ดังนั้น คุณควรตรวจสอบข้อกำหนด และเงื่อนไข ก่อนตัดสินใจอัปเกรดตั๋วเครื่องบินของคุณ

วิธีการอัปเกรดห้องพัก

วิธีการอัปเกรดห้องพัก

การอัปเกรดห้องพัก นอกจากจะช่วยเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก หรือบรรยากาศภายในห้องแล้ว ยังรวมไปถึงการเปลี่ยนวิวทิวทัศน์เดิมๆ ให้ดูสวยงาม อย่างเช่น วิวภูเขา ทะเล หรือสวน ที่จะทำให้การพักผ่อนมีความสุข และผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การอัปเกรดห้องพักมักได้ใช้บริการต่าง ๆ จากที่พักมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บริการอาหารเช้า บริการดินเนอร์ หรือแม้แต่บริการนวดผ่อนคลาย เป็นต้น จึงทำให้คนส่วนใหญ่มักเลือกบริการอัปเกรดห้องพัก ซึ่งการขออัปเกรดห้องพัก มีวิธีดังนี้

ติดต่อโรงแรมโดยตรง

ในกรณีที่อยากขออัปเกรดห้องพัก วิธีที่ง่ายและได้ข้อมูลที่ครบถ้วน คือ การติดต่อโรงแรมที่จะเข้าพัก เพื่อขออัปเกรดห้องพักได้โดยตรง การติดต่อสามารถทำได้ทั้งทางเบอร์โทรศัพท์ หรือ Reception ซึ่งบางครั้งโรงแรมอาจมีโปรโมชั่น หรือข้อเสนอพิเศษสำหรับการอัปเกรดห้องพักให้คุณได้เลือกอีกด้วย

ใช้เครื่องมือออนไลน์ 

นอกจากการจองตั๋วเครื่องบินออนไลน์แล้ว การค้นหาที่พักออนไลน์ และการจองที่พักออนไลน์ก็มีให้บริการเช่นกัน เช่น การใช้เว็บไซต์การจองโรงแรม หรือแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับโรงแรม เช่น AGODA เว็บไซต์ และแอปจองห้องพักที่สามารถระบุปลายทาง วันเดินทาง และยังมีตัวเลือกการจองเพิ่มเติม เช่น การค้นหาตามราคา จำนวนดาวของที่พัก หรือประเภทของที่พัก รวมไปถึงข้อเสนอพิเศษอย่าง เช่น อัปเกรดห้องพัก และโปรโมชั่นที่น่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม การอัปเกรดห้องพักอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ดังนั้น คุณควรตรวจสอบข้อกำหนด และเงื่อนไขก่อนที่จะตัดสินใจอัปเกรดห้องพักของคุณ

แอร์พอเทลล์บริการรับฝากและขนส่งสัมภาระที่สนามบิน

บริการรับและส่งกระเป๋าและสัมภาระ

แอร์พอเทลล์ให้บริการฝากกระเป๋าที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง เริ่มต้นที่ 100 บาท/ใบ/วัน เพื่อให้คุณทำธุระหรือท่องเที่ยวได้อย่างอิสระ เรามีห้องเก็บกระเป๋าและระบบกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง และให้บริการส่งกระเป๋า ราคาเริ่มต้นที่ 299บาท/ใบ ปลายทางทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด มีพื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทย

สาขาของแอร์พอเทลล์ที่สนามบิน

สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้นบี,โซนแอร์พอร์ตลิงก์ (บริเวณใกล้กับซุปเปอร์ริช)

สนามบินดอนเมือง อาคารผู้โดยสารหลังที่ 2, ชั้น 1, ประตู 9 

สรุป

ในการอัปเกรดตั๋วเครื่องบิน และการอัปเกรดห้องพัก นอกจากทำให้การเดินทาง และการเข้าพักสะดวก สบายแล้ว ก็ยังมีสิทธิประโยชน์อีกมากจากการอัปเกรด และในการเดินทางไปยังที่ต่างๆ เวลาคุณลงจากเครื่อง แล้วอยากไปนั่งชิลต่อที่คาเฟ่ หรือไปเที่ยวรอบๆ โดยไม่อยากแวะเข้าที่พักหรือโรงแรมก่อน คุณสามารถใช้บริการจาก Airportels ที่ให้บริการรับฝากของที่สนามบิน หรือส่งสัมภาระจากสนามบินไปยังโรงแรมของคุณได้ เพื่อช่วยประหยัดเวลา และค่าเดินทาง อีกทั้งยังสามารถเรียกใช้บริการได้ 24 ชั่วโมงอีกด้วย

เตรียมตัวก่อน รู้ก่อน รู้ขั้นตอนในการเข้าพักโรงแรม

รู้หรือไม่ว่าหนึ่งในปัญหาสำคัญของมือใหม่หัดเที่ยว มักจะเกิดขึ้นระหว่างการเช็คอินโรงแรม เพราะในภาพจำหลายคนอาจจะคิดว่า แค่ จอง จ่าย จบ ก็เดินไปรับกุญแจเข้าห้องพักกันได้แล้ว แต่จริง ๆ แล้ว การเข้าพักกับโรงแรมเองก็ต้องใช้ ขั้นตอน และเอกสาร พร้อมทั้งกติกาสากลประกอบด้วย ซึ่งวันนี้ AIRPORTELs จะพาไปดูวิธีการจองโรงแรมไปจนถึงการเช็คอินเช็คเอาท์ ว่ามีอะไรบ้างที่ผู้อ่านต้องระวัง !

ขั้นตอนการเข้าพักโรงแรม
booking

การจองห้องพัก

จริง ๆ การจองห้องพักนั้น ถูกออกแบบมาให้เป็นขั้นตอนที่ง่ายและสะดวกที่สุดอยู่แล้วในการหาที่พัก เพราะถ้าขั้นตอนการจองลำบาก ก็ยากที่จะทำให้ลูกค้าเลือกเข้ามาใช้บริการกับโรงแรมต่าง ๆ ซึ่งโรงแรมส่วนมากนั้นจะขอแค่ชื่อ ช่องทางการติดต่อ และมัดจำเท่านั้น หรือถ้าเราจองผ่านนายหน้าที่เชื่อถือได้บางเจ้าอาจจะไม่จำเป็นต้องวางเงินมัดจำด้วย ซึ่งการจองโรงแรมนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบได้แก่

การจองด้วยตัวเอง หรือการจองโดยตรง

หรือพูดง่าย ๆ คือการติดต่อขอจองห้องพักกับโรงแรมโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อผ่านโทรศัพท์ เมลล์ โซเชียลมีเดีย หรือวอร์คอินเซอรเวย์ (Walk-in Survey) ซึ่งส่วนมากนั้นจะเหมาะกับการจองห้องจำนวนมาก ที่ต้องการสำรวจสิ่งอำนวยความสะดวกของโรงแรมก่อน รวมไปถึงต้องการต่อรองราคาด้วยตัวเอง เนื่องจากตัวเองมีกำลังในการต่อรอง หรือไม่เช่นนั้นผู้เข้าพักอาจจะเลือกจองแบบนี้เพราะต้องการรีเควสพิเศษบางอย่างจากโรงแรม แต่หากเราเป็นนักท่องเที่ยวธรรมดาที่ไม่ได้มีความต้องการพิเศษอะไร การจองแบบนี้มีโอกาสจะได้ราคาห้องที่สูงกว่าการจองผ่านนายหน้า จึงแนะนำให้ทำการเทียบราคาให้ดีก่อนตัดสินใจจอง

การจองผ่านนายหน้า

การจองโรงแรมผ่านนายหน้าอาจจะฟังเหมือนเราจะต้องเสียเงินเพิ่ม แต่จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องกลับกัน โดยเฉพาะกับบริษัทขนาดใหญ่ หรือนายหน้าออนไลน์ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีกำลังในการต่อรองมาก ทำให้ได้ห้องพักที่มีราคาถูกกว่า ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าห้องพักที่สั่งจองผ่านนายหน้าอย่าง Traveloka Booking หรือ Agoda นั้นมีราคาถูกกว่า นอกจากนั้นยังอาจจะมีบริการเสริมอื่น ๆ อย่าง ส่วนลดตามโอกาส หรือการจองแบบไร้มัดจำ แต่สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งในการจองที่พักผ่านนายหน้าคือ การตกหล่นของข้อมูล หรือการโดนหลอกจากนายหน้าที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ฉะนั้นใครที่จองผ่านนายหน้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แนะนำให้มีการโทรไปสอบถามโรงแรมทั้งก่อนจอง และหลังจอง เพื่อความครบถ้วนของข้อมูล

ข้อแนะนำและข้อควรระวังในการการจองห้องพัก

  • เทียบราคาการจองแบบโดยตรง และผ่านนายหน้าก่อนเสมอ
  • ตรวจสอบก่อนเสมอว่าโรงแรมยังให้บริการอยู่หรือไม่ เพราะบางครั้งโรงแรมที่ปิดไปแล้ว อาจจะยังเปิดการจองออนไลน์ผ่านนายหน้าเอาไว้อยู่
  • จองแบบยกเลิกได้เสมอ หรือทำประกันท่องเที่ยวเอาไว้หากจำเป็น เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
  • หลังจองตรวจสอบเสมอว่าโรงแรมได้รับการจองของเราหรือยัง
  • การจองแบบจองแล้วเข้าพักเลยอาจจะเกิดความผิดพลาดหรือตกหล่นได้ เลือกที่พักที่มั่นใจได้ว่ามีพนักงานให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
  • พิมพ์ใบยืนยันการจองหรือจดหมายยืนยัน และหลักฐานการจ่ายเงินไว้เก็บไว้ในกรณีที่มีปัญหา และนำไปในวันเช็กอินด้วย
ขั้นตอนการพักเข้าโรงแรม

การเช็กอิน ขั้นตอนในการเข้าพักโรงแรม

การเช็กอิน คือขั้นตอนในการยืนยันตนเพื่อเข้าพักกับโรงแรม โดยมีจุดประสงค์ในการยืนยันตัวผู้เข้าพัก และเก็บไว้เป็นหลักฐาน ทั้งเพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าพัก แขกท่านอื่นในโรงแรม และเพื่อแจ้งข้อมูลใด ๆ ที่ผู้เข้าพักควรทราบนั่นเอง โดยในขั้นตอนนี้เองก็เป็นช่วงที่เหมาะที่สุดสำหรับการแจ้งความต้องการใด ๆ หรือสอบถามบริการที่ต้องการกับทางโรงแรมโดยตรง

ขั้นตอนการเช็กอินโรงแรมเป็นอย่างไรบ้าง ?

  1. ผู้เข้าพักจะต้องแจ้งเรื่องการจองห้องพักกับพนักงานภายในโรงแรม โดยมีการแสดงหลักฐานการจอง เช่น ใบจองห้องพัก หรือรหัสการจองที่ได้รับจากเว็บไซต์รับจอง
  2. ผู้เข้าพักจะต้องยืนยันตัวตนเพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาเป็นผู้ที่จองห้องพักจริงๆ โดยการยืนยันตัวตนมักจะใช้บัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทางเป็นเอกสารประจำตัว
  3. ผู้เข้าพักจะต้องกรอกรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้โรงแรมมีข้อมูลเพียงพอในการให้บริการ รายละเอียดที่ต้องกรอกก็อาจจะมี ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล และอื่นๆ
  4. พนักงานจะแนะนำโรงแรมและกฎระเบียบต่าง ๆ เช่น ตารางเวลาเปิด-ปิดของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในโรงแรมการละเว้นเสียงดังในช่วงเวลาไหนถึงเวลาไหน เป็นต้น
  5. พนักงานจะมอบกุญแจหรือคีย์การ์ดให้ลูกค้า เพื่อใช้ในการเปิดประตูห้องพัก และจะพาลูกค้าไปยังห้องพักโดยส่วนใหญ่จะมีการแนะนำและแสดงแหล่งจ่ายไฟฟ้า สัญญาณอินเตอร์เน็ต โทรทัศน์ และอุปกรณ์อื่นๆ ในห้องพัก ไปด้วยในขั้นตอนนี้

เอกสารใดบ้างที่ใช้ยืนยันตนในโรงแรมได้

  • หนังสือเดินทาง
  • บัตรประจำตัวประชาชน
  • ใบขับขี่

เรื่องอะไรบ้างที่ควรแจ้งตอนเช็คอิน

  • ห้องสูบบุหรี่ / ไม่มีบุหรี่
  • ขออัพเกรดห้อง
  • ขอชั้นสูง / ชั้นเตี้ย
  • ขอไม่รับ มินิบาร์ หรือ ไม่รับแอลกอฮอล์ในมินิบาร์
  • จองดินเนอร์
  • Late Check-out / Early Check-in

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเช็คอินโรงแรม

  • การเก็บข้อมูลผู้เข้าพักของโรงแรมตามระเบียบจริง ๆ นั้นต้องทำการเก็บทุกคน ฉะนั้นทุกคนในทริปต้องเตรียมหลักฐานยืนยันตัวเองเอาไว้ แม้ว่าในทางปฏิบัติโรงแรมอาจจะไม่ได้ขอทั้งหมด
  • การเช็คอินโรงแรมส่วนมากจะมีเวลามาตรฐาน อยู่ที่ช่วงบ่ายโมงเป็นต้นไป เพื่อเป็นการเตรียมห้องให้เรียบร้อย แต่บางโรงแรมก็ถูกออกแบบให้เช็กอิน และเช็กเอาท์ได้ ตลอด 24 ชั่วโมง
  • หากไปถึงโรงแรมก่อนเวลาเช็คอิน หลายโรงแรมจะอนุญาตให้ใช้ Facility บางส่วนก่อนเพื่อให้แขกได้ฆ่าเวลา สามารถสอบถามโรงแรมได้ว่ามีบริการใดไหมที่เราสามารถเข้าไปใช้ได้ก่อน
  • บางโรงแรมสามารถขอ Early Check-in ได้ ฉะนั้นอย่าลืมสอบถามและแจ้งความประสงค์เพื่อทำให้แผนเที่ยวของเราคล่องตัวที่สุด
  • โรงแรมส่วนมากจะมีการเก็บค่ามัดจำผู้เข้าพัก เพื่อประกันความเสียหายระหว่างเข้าพัก ซึ่งหากไม่มีปัญหาผู้เข้าพักจะได้คืนเมื่อทำการเช็กเอาท์

Early Check-in คืออะไร ต้องทำเรื่องอย่างไร ?

การขอ Early Check-in คือการแจ้งโรงแรมเอาไว้ว่าเราต้องการเข้าไปพักก่อนเวลาทั่วไป ซึ่งอาจจะเกิดจากแผนเที่ยว เที่ยวบิน หรือสาเหตุอื่น ๆ ซึ่งแล้วแต่โรงแรมจะอนุมัติ หรือสามารถทำตาคำร้องได้หรือไม่ โดยการทำเรื่อง Early Check-in นั้นก็ไม่ยาก เพียงแค่สอบถามหรือบอกโรงแรมโดยตรงได้เลย ทว่าเราแนะนำว่าควรให้เวลาโรงแรมเตรียมการอย่างน้อย 4-8 ชั่วโมง

Check out

วิธีการเช็กเอาท์โรงแรม

การเช็คเอาท์โรงแรมเป็นขั้นตอนสิ้นสุดการพักผ่อนในโรงแรม ที่จะทำในวันสุดท้ายของการพัก โดยในวันนั้นหลังจากที่เราตื่นนอนและเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถนำกุญแจห้องไปยื่นที่เคาน์เตอร์รีเซปชั่นได้เลย แน่นอนว่าหลังจากยื่นกุญแจไปแล้ว เราก็จะกลับเข้าไปในห้องของเราไม่ได้แล้วเช่นกัน โดยส่วนมากโรงแรมจะมีเวลาเช็คเอาท์สากลอยู่ในช่วง 10-11 โมงเพื่อเตรียมห้องให้ทันลูกค้าที่จะเข้ามาพัก แต่ในบางกรณีที่โรงแรมไม่ได้มีแขกเยอะหรือมีคนรอใช้ห้อง ก็สามารถทำเรื่องของอนุโลมเช็กเอาท์เลทได้

ขั้นตอนการเช็กเอาท์โรงแรมเป็นอย่างไรบ้าง ?

  1. แจ้งรีเซปชั่นและส่งมอบกุญแจห้องคืน
  2. พนักงานจะเข้าตรวจสอบห้องว่ามีความเสียหายใดไหม และ มินิบาร์อยู่ครบรึเปล่า
  3. หลังจากการตรวจสอบเมื่อไม่มีปัญหา โรงแรมคืนค่ามัดจำห้อง และคิดเงินบริการ Pre-Paid ที่เราใช้ไปในโรงแรม
  4. เป็นอันเสร็จสิ้นการเช็คเอาท์

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเช็คเอาท์โรงแรม

  • เวลาการเช็กเอาท์สากลอยู่ที่ช่วง 10-11 โมง
  • เลทเช็กเอาท์จำเป็นต้องแจ้งก่อน ส่วนมากจะได้ต่อเวลาไม่เกินบ่าย 2 โมง
  • หากแจ้งออกเกินเวลามาก ๆ โรงแรมอาจจะคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
  • โรงแรมจะเก็บของที่เราลืมเอาไว้ในห้องให้และติดต่อกลับไว้ภายหลัง แต่ก็ควรตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนออกจากห้อง
  • บางโรงแรม Minibar ใช้ระบบ Sensor ฉะนั้นซื้อของมาใส่คืนก็อาจจะเสียเงินเหมือนกัน

Late Check-out คืออะไร ต้องทำเรื่องอย่างไร ?

การขอ Late Check-out คือการแจ้งโรงแรมเอาไว้ว่าเราต้องการพักต่ออีกเล็กน้อย อาจจะเพราะมีธุระที่ยังไม่เสร็จ หรืออยากใช้บริการบางอย่างของโรงแรมต่ออีกนิด การ Late Check-out ถือว่าเป็น Optional Service ที่โรงแรมไม่จำเป็นต้องมอบให้ผู้เข้าพักก็ได้ ฉะนั้นอย่าคาดหวังว่าทุกโรงแรมจะใจดีเหมือนกัน

สิ่งที่ควรทำเมื่อเข้าพัก

สิ่งที่ควรทำเมื่อเข้าพักโรงแรม

ต่อไปนี้ก็เป็นข้อแนะนำประกอบกับขั้นตอนอื่นๆ ถึงสิ่งทั่วไปที่ควรทำเมื่อเข้าพักโรงแรม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างการพักอาศัย และเพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายและทรัพย์สิน ดังนี้

  • เมื่อเข้าพักโรงแรมควรปฏิบัติตามกฎของโรงแรมอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เสียค่าปรับหากมีการละเมิดกฎของที่พัก 
  • ควรชาร์จแบตโทรศัพท์ให้เต็มอยู่เสมอ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ฉุกเฉินที่จะต้องติดต่อให้คนมาช่วย 
  • ควรตรวจสอบความแน่นหนาของประตูให้ดี เพื่อป้องกันการเข้าได้ง่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต 
  • ห้ามตรวจสอบปลั๊กไฟในห้องเพื่อป้องกันปัญหาความขัดข้องไฟฟ้า
พักโรงแรม

สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเข้าพักโรงแรม

เมื่อเข้าพักโรงแรม นอกจากจะมีขั้นตอนการเข้าพักโรงแรมที่ควรทำแล้วยังมีสิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและเพื่อความปลอดภัยทั้งร่างกายและทรัพย์สินเช่นกัน ดังนี้

  • ไม่ควรทำเสียงดังโวยวาย ควรลดเสียงดังๆ ที่อาจจะรบกวนคนอื่นในโรงแรม เช่น เล่นเพลงดังหรือพูดคุยดังเกินไป
  • ไม่ควรวางของมีค่าไว้นอกห้องหรือนอกกระเป๋า ควรนำของมีค่า เช่น ทองคำ อัญมณี หรือเงินสด ไว้ในตู้เซฟที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ และควรปิดกระเป๋าให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันการขโมย
  • ไม่ควรหยิบของในห้องกลับไป ไม่ควรหยิบของที่ไม่ได้เป็นของตนเอง เพราะอาจจะเข้าข่ายการลักลอบนำของออกนอกโรงแรมและอาจได้รับบทลงโทษได้
  • ไม่ควรลักลอบนำสัตว์เข้าห้อง ควรปฏิบัติตามกฎของโรงแรม ซึ่งบางโรงแรมอาจจะไม่อนุญาตให้เข้าพักพร้อมสัตว์ เพื่อป้องกันไม่ให้เสียค่าปรับในภายหลัง
  • ไม่เปิดเผยเลขห้องให้กับคนอื่นหรือผ่านโซเชียลมีเดีย เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาความปลอดภัย
  • ต้องตรวจสอบค่าใช้จ่ายของห้องพักกับโรงแรมให้เรียบร้อยก่อนเซ็นที่ใบเสร็จ และหากมีข้อสงสัยใดๆ ให้สอบถามพนักงานโรงแรมเพิ่มเติม
  • ห้ามเปิดประตูห้องให้กับคนแปลกหน้า เพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สินและความปลอดภัยของร่างกายของผู้พักอาศัยในห้องโรงแรม
  • รักษาความสะอาดและรักษาความเรียบร้อยของห้องพัก ไม่ควรสร้างความเสียหายหรือทิ้งขยะในห้องพักจนทำให้เกิดความสกปรก
  • อย่าเปิดที่จอดรถหรือรับบริการจากผู้ไม่รู้จักที่อาจเป็นอันตราย
  • อย่าเก็บของมีค่าอย่างเงินสดหรือเครื่องประดับให้ที่ห้องพักโดยไม่มีความจำเป็น เพราะอาจเสี่ยงต่อการหลอกลวงหรือการขโมย
  • ติดต่อพนักงานโรงแรมหรือติดต่อศูนย์สนับสนุนการเดินทางเมื่อเกิดปัญหาหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับการเข้าพักโรงแรม

การทำตามขั้นตอนต่างๆ ของการเช็คอินเข้าพักโรงแรมจะช่วยให้ทุกอย่างเป็นไปได้รวดเร็วและถูกต้องเป็นไปตามกฎของโรงแรม โดยจะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาและมีความปลอดภัยในระหว่างการเข้าพักโรงแรม
เมื่อมีการเดินทางและมีสัมภาระหนัก การใช้บริการรับส่ง-ฝากกระเป๋ากับ AIRPORTELs Luggage Delivery จะช่วยลดภาระที่ต้องใช้ในการขนกระเป๋า ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกและคล่องตัวยิ่งขึ้น
AIRPORTELs Luggage Delivery จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการขนกระเป๋าเอง โดยสามารถส่งกระเป๋าไปถึงโรงแรมโดยตรง และไม่ต้องเก็บสัมภาระในระหว่างเดินทาง ทำให้ลดความเสี่ยงในการสูญหายหรือเสียหายของสิ่งของที่อาจเกิดขึ้นได้ในการขนกระเป๋าเอง

13 ที่เที่ยวของคนโสด เดินทางท่องเที่ยวคนเดียว ลุยเดี่ยวมีข้อดีกว่าที่คิด

หากใครที่เป็นคนโสดแล้วอยากไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจหรือไม่อยากรอเพื่อนว่าง บทความนี้จะมาแนะนำ 13 ที่เที่ยวในไทยสำหรับคนโสดที่อยากไปพักใจ อยากเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว อยากลองทำอะไรใหม่ๆ ลุยเดี่ยวคนเดียวชิลๆ ท้าทายตัวเองว่าเที่ยวคนเดียวสามารถไปเที่ยว และการไปเที่ยวคนเดียวนั้นมีข้อดีมากกว่าที่เราคิด เพราะจะได้ใช้เวลากับตัวเองได้อย่างเต็มที่ สามารถโฟกัสกับสิ่งรอบตัว ซึมซับบรรยากาศได้มากขึ้นและยังมีข้อดีของการเที่ยวคนเดียวอื่นๆ อีกมากมายอยู่ในช่วงท้ายของบทความ

13 ทริปคนโสด ลุยเดี่ยว คนเดียวชิลๆ

13 ทริปคนโสดทั่วประเทศไทย ที่ได้คัดสรรมาแล้ว เดินทางท่องเที่ยวคนเดียวได้ทั้งหญิงและชาย ปลอดภัยไม่อันตราย ท่องเที่ยว พักผ่อนได้อย่างสบายใจ คลายกังวล กลับจากทริปด้วยใจฟูๆ 

ปาย จ.แม่ฮ่องสอน

1. ปาย จ.แม่ฮ่องสอน

สัมผัสเมืองเหนือ อากาศเย็นๆ และผู้คนที่อัธยาศัยดี การเดินทางที่สะดวก อาหารการกินก็ไม่แพง เหมาะแก่การมาเที่ยวคนเดียว บางทีเราอาจจะไม่กล้ากินเยอะเพราะว่าไม่มีคนหารด้วย แต่ที่นี่สามารถเพลิดเพลินกับอาหารได้แบบจุใจ และบรรยากาศสดชื่น อยู่กับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ และไปคนเดียวก็ไม่เหงา เพราะมีหลายอย่างสนุกๆ ให้ได้ลองทำมากมาย สถานที่ท่องเที่ยวก็เยอะ 

โดยที่ห้ามพลาดเลย เมื่อไปถึงก็คือ ‘ทะเลหมอกหยุนไหล’ เมื่อมาปายแล้ว การชมทะเลหมอกก็นับว่าถ้าไม่ได้มาก็เหมือนมาไม่ถึงก็ว่าได้ เพราะที่ปายคือสถานที่ที่ถูกขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองสามหมอก เพราะไม่ว่าจะมาตอนไหนก็จะพบหมอกทุกครั้งที่ได้มาเยือน เมื่อมองออกไปภาพที่เห็นคือทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น และรายล้อมไปด้วยทิวเขาน้อยใหญ่ต่างๆ และยังมีเสน่ห์ของบ้านเรือนเมืองปายที่ถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกอีกด้วย ที่เมื่อได้มาเที่ยวคนเดียวเหมือนได้สัมผัสความสงบ และดื่มด่ำให้เวลากับตัวเองได้อย่างเต็มที่ 

  • ที่อยู่ : หมู่บ้านสันติชล ตำบลเวียงใต้ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/hQiREWHZGzcxqHvw8
  • เปิดให้เข้าชม : เปิด 5.30-18.00 น. (ค่าเข้าชม 20 บาท)
  • เบอร์โทร : –
เชียงคาน จ.เลย

2. เชียงคาน จ.เลย

เมืองเล็กๆ ริมแม่น้ำโขงที่เต็มไปด้วยการตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมโบราณดั้งเดิม ให้ได้ซึมซับบรรยากาศวันวาน เดินเล่นคนเดียวได้ชิวๆ แถมยังมีกิจกรรมให้ทำ เช่น ไปปั่นจักรยานเลียบแม่น้ำโขง ได้สัมผัสธรรมชาติ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ทำให้การมาเที่ยวคนเดียวนั้นไม่เหงาอีกมากมาย เช่น ‘สกายวอล์ค เชียงคาน’ หรือ ‘สกายวอล์ค ภูคกงิ้ว’ สูงเทียบเท่ากับตึก 30 ชั้น จุดเด่นคือมีทางเดินที่ทำด้วยกระจก เป็นการปลดล็อคความกล้า เพราะจุดนี้เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น และน่าหวาดเสียว แต่ก็ต้องยอมรับว่าจุดที่วิวสวยงามมากเลยทีเดียว

  • ที่อยู่ : ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/inPvyiqBeMfBwi9V7
  • เปิดให้เข้าชม : ตลอดทั้งวัน
  • เบอร์โทร : –

หรือจะเป็น ‘ถนนคนเดินเชียงคาน’ ที่เหมาะแก่การเดินชิล มีทั้งของกิน ของอาร์ตต่างๆ สินค้าพื้นเมือง สินค้าแฮนด์เมด มีกิจกรรมให้ทำมากมายสำหรับคนมาเที่ยวคนเดียว บ้างก็มีการเพ้นหน้า สัก เป็นต้น ด้วยอากาศเย็นๆ และบรรยากาศดี จนติดใจอยากมาอีกรอบเลยก็ได้

  • ที่อยู่ : ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/R3XgyifiuXidhv5Z9
  • เปิดให้เข้าชม : ตลอดทั้งวัน (ถนนคนเดินเปิดช่วง 17.00-22.00 น.)
  • เบอร์โทร : –
บางกระเจ้า จ.สมุทรปราการ

3. บางกระเจ้า จ.สมุทรปราการ

ไปเติมความสดชื่นกับธรรมชาติแบบเต็มเหนี่ยว รอบล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียว เดินทางง่าย นั่ง BTS ไปได้ จุดเด่นของที่นี่เลยคือ การปั่นจักรยานเที่ยวสัมผัสบรรยากาศรอบด้าน ทั้งธรรมชาติและวิถีชีวิตของชุมชน ซึ่งหากมาเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวแล้วเกิดหลงทาง ก็สามารถถามคุณลุงคุณน้าตามชุมชน 

เมื่อมาถึงคุ้งบางกระเจ้าแล้ว พลาดไม่ได้เลยที่จะไป ‘สวนศรีนครเขื่อนขันธ์’ หรือ ‘สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติศรีนครเขื่อนขันธ์’ ภายในสวนจะเต็มไปด้วยร่มเงาของต้นไม้ เย็นสบาย พักผ่อนหย่อนใจจากกายที่เหนื่อยล้าได้อย่างเต็มที่ ถ่ายรูปสวยโพสต์ลงโซเชียล และยังสามารถให้อาหารปลาได้อีกด้วย ซึ่งจะมีจำหน่ายอยู่ด้านหน้าของสวน และจุดไฮไลต์ในสวนคือ ‘หอดูนก’ ที่มีความสูง 7 เมตร มีทั้งหมด 3 ชั้น ซึ่งในแต่ละชั้นยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับนกที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศอีกด้วย 

  • สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติ ศรีนครเขื่อนขันธ์
  • ที่อยู่ : 73 ซ.วัดราษฎร์รังสรรค์ ต.บางกะเจ้า อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
  • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/7uaBbVzLzJiV947q7?g_st=il
  • เปิดให้เข้าชม : เปิด 05.00 – 19.00 น. ทุกวัน
  • เบอร์โทร : 02 461 0972
สิมิลัน จ.พังงา

4. สิมิลัน จ.พังงา

บรรยากาศทะเลสวยๆ ที่ภาคใต้ น้ำทะเลใสสีฟ้า และเต็มไปด้วยหากทรายขาวละเอียด มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ที่จะมาช่วยทำให้การมาเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวนั้นเต็มไปด้วยเรื่องสนุก ไม่ว่าจะเป็น ดำน้ำดูปะการัง จุดว่ายน้ำ ดำน้ำ มุมถ่ายรูปสวยๆ โพสต์อวดลงโซเซียล จุดไฮไลท์ที่คนชอบมาถ่ายรูปคือ ‘หินเรือใบ’ หรือ ’Sailing Rock’ เป็นหินที่เกิดจากกัดเซาะพังทลายจากน้ำทะเล เลยเกิดเป็นหินรูปร่างแปลกตา ผู้คนจึงชอบมาถ่ายรูปกัน

  • ที่อยู่ : อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน เลขที่ 93 หมู่ที่ 5 บ้านทับละมุ ถนนเพชรเกษม ตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/32L4izpNCpnf99Ze6
  • เปิดให้เข้าชม : 15 ตุลาคม – 15 พฤษภาคม ของทุกปี
  • เบอร์โทร : 0-7645-3272
ไร่ชาฉุยฟง จ.เชียงราย

5. ไร่ชาฉุยฟง จ.เชียงราย

ไร่ชาสีเขียว เพื่อให้ได้นั่งจิบชาพักผ่อนให้จิตใจสงบ สถานที่ก็สวยงาม ถ่ายรูปกันได้กับวิวสีเขียว และท้องฟ้าสีคราม ท่ามกลางภูเขาน้อยใหญ่ และรอบๆ ยังมีคาเฟ่เล็กๆ ให้นักเดินทางท่องเที่ยว ให้ได้อร่อยไปพร้อมกับเค้ก และจิบชาในบรรยากาศดีดี

ถ้าเราอยากมาเที่ยวคนเดียวเพื่อพักผ่อนจิตใจ การมาที่ไร่ชาจะช่วยทำให้สดชื่น ลดความเหนื่อย คลายความตีงเครียดได้ดี เพราะว่าในไร่ชานั้นล้อมรอบไปด้วยสีเขียว ซึ่งสีเขียวเป็นสีที่ช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้จิตใจภายในสงบได้ และยังช่วยเรื่องการมองเห็น ทำให้มีสมาธิได้ดี 

  • ที่อยู่ : 97 หมู่ 8 อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/S7JvTSCBPQ5ZPkyc6
  • เปิดให้เข้าชม : 08.30-17.30 น.
  • เบอร์โทร : 0-5377-1563
แพกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี 

6. แพกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี 

สัมผัสธรรมชาติแท้ๆ ให้เราได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ที่แพกาญจนบุรี จะมีอะไรฟินไปกว่าการได้นอนบนแพมองท้องฟ้า แล้วปล่อยใจไหลไปกับสายน้ำ บางทีการมาเที่ยวคนเดียวนั่นก็เพราะอยากสลัดความวุ่นวายต่างๆ การได้มองดูสายน้ำไหลผ่านก็ทำให้เพลิดเพลินจิตใจได้ แลได้ซึมซับบรรยากาศไปอีกด้วย หรือถ้าเริ่มรู้สึกเบื่อ ที่แพกาญจนบุรีก็มีกิจกรรมให้ทำตลอด 

ยกตัวอย่างเช่น ครอส ริเวอร์ แคว (Cross River Kwai) ที่พักที่ตกแต่งให้ดูคล้ายรถไฟที่เชื่อมกับประวัติศาสตร์ของจังหวัดกาญจนบุรี มีกิจกรรมที่ห้ามพลาด อย่างเรือคายัคที่มีให้ทุกห้อง ไม่ทำให้คุณต้องเบื่อแน่นอน

  • ที่อยู่ : 138 หมู่ 4 ตำบลหนองหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/pQhkTnbrzmGb5tRv6
  • เปิดให้เข้าชม : ตลอดเวลา
  • เบอร์โทร : 09-3120-7832
แปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา

7. แปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา

ถ้าใครที่อยากเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว ต้องได้ลองมาที่แปดริ้ว มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย กิจกรรมที่หลากหลาย มาเที่ยวคนเดียวได้แบบมันส์ ไม่เหงา เป็นการได้พักผ่อนจากความเหนื่อยทั้งหลาย ซึ่งมีสถานที่ที่เป็นจุดไฮไลท์มากมายที่เหมาะกับทั้งชายและหญิง เช่น อาจจะเริ่มด้วยการมาทำบุญที่ ‘วัดหลวงพ่อโสธร’ ที่เมืองแปดริ้ว เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล เพื่อให้จิตใจสงบ ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำบางปะกง เป็นทริปการท่องเที่ยวที่ช่วยทำให้อยู่กับความสงบ สลัดความวุ่นวายภายในจิตใจออกได้อย่างเต็มที่

  • วัดหลวงพ่อโสธร
  • ที่อยู่ : ถนนเทพคุณากร ตำบลหน้าเมือง อำเถอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/eaK6JRvySsNTPEc38
  • เปิดให้เข้าชม : วันจันทร์-ศุกร์ เปิด 7.00-16.30 น. เสาร์-อาทิตย์ เปิด 7.00-17.00 น.
  • เบอร์โทร : 038-511-048

หรือหากอยากได้ความชุ่มชื้นสักหน่อย ให้คลายร้อน ก็แวะมาเล่นน้ำที่ ‘น้ำตกบ่อทราย’ อยู่ในกลางป่า เป็นน้ำตกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ บนร่องน้ำขออ่างเก็บน้ำคลองสียัด นอกจากจะได้เล่นน้ำเย็นๆ แล้ว บรรยากาศรอบๆ นั้นก็สวยงาม แสงแดดที่กระทบกับกับสายน้ำที่ไหลผ่าน เป็นการเอาใจที่เหนื่อยมาชะล้างให้ผ่อนคลาย

  • น้ำตกบ่อทราย
  • ที่อยู่ : หมู่ 18 บ้านคลองสียัด ตำบลคลองตะเกรา อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา
  • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Se4kYBURMxHTdqFdA?g_st=ic
  • เปิดให้เข้าชม : เปิด 7.00-18.00 น. ทุกวัน
  • เบอร์โทร : 09-6817-9906 , 06-3684-8669
Coro Field สวนผึ้ง จ.ราชบุรี

8. Coro Field สวนผึ้ง จ.ราชบุรี

ฟาร์มสไตล์ญี่ปุ่น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร หากมาเที่ยวคนเดียวไม่น่าเบื่อแน่นอน เพราะมีกิจกรรมมากมายให้ได้ทำ เช่น ชมผัก ปลูกผัก แถมยังได้กินผักออร์แกนิค ตอบโจทย์สายออร์แกนิคสุดๆ ถ้าไม่อยากทำอะไร ที่นี่มีบริเวณพื้นที่สำหรับทำกิจกรรม เป็นมุมพักผ่อนชั้นยอด และถ้าหากหิวก็ยังมีโซนร้านอาหาร คาเฟ่ ให้ได้เพลิดเพลินไปกับอาหารออร์แกนิคอีกด้วย บรรยากาศภายในร้านที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ที่ญี่ปุ่น

  • ที่อยู่ : ตำบลป่าหวาย อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี
  • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/CZ6CK4W69HoJ4xvp7?g_st=ic
  • เปิดให้เข้าชม : วันจันทร์-ศุกร์ เปิด 9.00-18.00 น. เสาร์-อาทิตย์ เปิด 9.00-21.00 น.
  • เบอร์โทร : 0-92569-4791
เกาะขาม สัตหีบ จ.ชลบุรี

9. เกาะขาม สัตหีบ จ.ชลบุรี

เกาะขามเป็นเกาะยอดนิยมของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ เพราะมีน้ำทะเลที่ใสแจ๋ว หาดทรายสีขาว ท้องฟ้าสีคราม ที่ที่เหมาะแก่การพักผ่อน หรือจะได้รูปสวยๆ กลับมาแน่นอน ด้วยวิวสวยๆ จะทำให้คุณลืมไปเลยว่าอากาศร้อน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ทำมากมาย ทริปมาเที่ยวคนเดียวที่สนุดสุดเหวี่ยงไปกับการดำน้ำดูปะการัง หรือจะพายเรือคายัค

  • ที่อยู่ : สำนักงานกิจการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม ทัพเรือภาคที่ 1 ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/x6mBvksmFXFfme186
  • เปิดให้เข้าชม : สามารถเที่ยวชมได้ตามรอบเรือ จุดจำหน่ายตั๋ว ท่าเรือเขาหมอจอ
  • เบอร์โทร : 0-3312-4848, 09-3397-1342 (เฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ 08.30-11.30 น. และ 13.00-16.30 น.)
อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

10. อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

ตลาดน้ำอัมพวา เป็นตลาดที่รู้จักกันดีในสมุทรสงคราม มีชื่อเสียงทั้งในเรื่องของอร่อย รวมไปถึงการนั่งเรือล่องแม่น้ำ แถมยังไม่ไกลจากกรุงเทพ เดินทางได้ง่าย มาเที่ยวคนเดียวได้สบาย 

ที่ที่ผู้คนนิยมมาเที่ยวกันมากที่สุดก็คงไม่พ้น ‘ตลาดน้ำอัมพวา’ เป็นตลาดที่ทรงเสน่ห์เหลือล้น เพราะจะมีพ่อค้า แม่ค้าที่พายเรือขายอาหาร และเครื่องดื่มกันมากมาย มีทั้งขนมไทย ก๋วยเตี๋ยวเรือ ผัดดไทย และอื่นๆ อีกมากมาย บอกเลยว่าถึงแม้ว่าจะมาเที่ยวคนเดียวก็เจริญอาหารสุดๆ แถมบรรยากาศยังเหมือนได้กลับไปอดีต พักผ่อนได้อย่างเต็มที่

  • ที่อยู่ : อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
  • พิกัด : https://g.page/amphawa?share
  • เปิดให้เข้าชม : วันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ 09.00-21.00 น
  • เบอร์โทร : –

หรือถ้าเป็นสายรักสัตว์ที่อัมพวามี ‘บ้านแมวไทย’ เป็นสถานที่ที่จะรวบรวมแมวพันธุ์ไทยโบราณต่างๆ ไว้ ซึ่งจะมีโซนให้เราได้ไปเล่นกับน้องๆ ได้อย่างใกล้ชิด น้องจะเดินเข้ามาอ้อน กระโดดขึ้นตัก หรือถ้าจะอุ้มก็ได้ เป็นสวรรค์ของทาสแมวจริงๆ ซึ่งหากมาเที่ยวคนเดียวแล้วเหงา ก็สามารถแวะมาที่นี่ น้องแมวจะช่วยเยียวยาจิตใจให้เราได้

  • ที่อยู่ : ตำบลแควอ้อม อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/sHdY3dZD12HaBV7P9
  • เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.
  • เบอร์โทร : 0-3470-2068
โบราณสถาน จ.อยุธยา

11. โบราณสถาน จ.อยุธยา

เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยวัดเก่าแก่ และโบราณสถานที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เหมือนได้มาสัมผัสกับอดีตต่างๆ เป็นการมาเที่ยวคนเดียวที่ครบรสชาติ สถานที่ที่ได้สัมผัสธรรมชาติ พร้อมกับประวัติศาสตร์ และได้กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ ควบคู่ไปกับการพักผ่อนหย่อนใจ

ซึ่งมีวัดที่สำคัญมากมาย โดยจะเริ่มกันที่ ‘วัดใหญ่ชัยมงคล’ นับเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของอยุธยาเลย เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และมีนักท่องเที่ยวมากันมากมาย หากเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว นอกจากได้กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังได้ความรู้ และเพลิดเพลินไปกับสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นอีกด้วย

  • ที่อยู่ : 40/3 หมู่ที่ 3 ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/PdTxx23ZYHJ3g29
  • เปิดให้เข้าชม : เปิด 8.00-17.00 น. 
  • เบอร์โทร : –

และต่อกันด้วย ‘วัดมหาธาตุ’ เป็นอีกวัดที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากเป็นประดิษฐานองค์พระบรมสารีริกธาตุ และเป็นศูนย์กลางเมืองในการจัดพระราชพิธีต่างๆ และยังมีเศียร์พระพุทธรูปหน้าวิหารเล็กที่ปกคลุมไปด้วยรากไม้ใหญ่ ที่ถ้าหากมาเที่ยวที่นี่และได้เห็นเป็นครั้งแรกจะต้องรู้สึกว่าดูน่าหลงใหล เหมือนถูกดึงเข้าไปในอดีตเลยก็ว่าได้ 

  • ที่อยู่ : เชิงสะพานป่าถ่าน ถนนนเรศวร ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/uUCriY2vTZCaLKQC6
  • เปิดให้เข้าชม : เปิด 8.30-16.30 น. มีค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาท 
  • เบอร์โทร : –

ซึ่งหากได้เดินทางท่องเที่ยวคนเดียว บอกได้เลยว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะนอกจากโบราณสถานที่ให้ความรู้ และได้สัมผัสบรรยากาศต่างๆ แล้วยังมีคาเฟ่มากมายให้ได้ไปลิ้มลอง

เกาะสีชัง จ.ชลบุรี

12. เกาะสีชัง จ.ชลบุรี

เกาะสีชังเป็นอีกหนึ่งเกาะที่มีความสวยงาม แถมยังใกล้กรุงเทพ การเดินทางนั้นก็ไม่ยากมาเที่ยวคนเดียวก็สามารถเดินทางได้อย่างสบาย ไม่ต้องกลัวหลง มีเรือข้ามไปเกาะสีชัง โดยเรือข้ามไปเกาะสีชังเที่ยวแรก 6.00 น. เที่ยวสุดท้าย 19.00 น. มีเรือออกทุกๆ 1 ชั่วโมง และเมื่อไปถึงก็มีมอเตอร์ไซต์ให้เช่าบริการ ขับรับลมฟินๆ รอบเกาะ หรือถ้าหากไม่อยากขับก็มีพี่วินมอเตอร์ไซต์ให้รับจ้าง และรถสกายแล็บให้ใช้บริการ

จุดที่เป็นไฮไลท์ที่ต้องแวะมาถ่ายรูปด้วยคือ ‘ช่องอิศริยาภรณ์’ หรือ ‘ช่องเขาขาด’ ความงามที่ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาชม เป็นช่องเขาขาดที่มีลักษณะคล้ายแหลมพรหมเทพ และยังมีกิจกรรมให้ทำอีก นั่นคือการตกปลา เนื่องจากที่นี่มีโขดหินมากมาย เลยเป็นแหล่งที่อยู่ของปลาหลายชนิด ซึ่งถ้าหากไม่อยากตกปลา เราก็สามารถนั่งชมปลาอย่างเดียวได้ เพราะปลาแต่ละชนิดที่นี่นั้นมีลวดลายที่สวยงาม หาดูได้ยาก 

  • ที่อยู่ : 231/1 ถนนท่าเทววงษ์ อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/g1VWfQwZLQvoRCL36
  • เปิดให้เข้าชม : เปิด 8.00-18.00 น.
  • เบอร์โทร : –
ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่

13. ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่

เมื่อพูดถึงการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว หลายคนคงเคยคิดอยากลองหนีขึ้นดอย ไปสัมผัสอากาศเย็นๆ บรรยากาศเมืองเหนือ ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น และไปเพลิดเพลินกับอาหารท้องถิ่นของชาวเหนือ ซึ่งที่ดอยอินทนนท์มีที่ให้เที่ยวมากมาย กิจกรรมให้ทำก็เยอะ ของกินก็อร่อย ผู้คนในชุมชนก็น่ารัก 

ซึ่งมาถึงดอยสิ่งแรกที่นึกถึงก็คงเป็นการชมวิวระดับพระเจ้าสร้าง โดยเริ่มที่ ‘จุดชมวิวกิ่วแม่ปาน’ เป็นวิวที่สวยขนาดยอมทนตื่นเช้ามาให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นในยามเข้า และบรรยากาศของทะเลหมอก แถมเส้นทางในการขึ้นมาจุดชมวิวนั้นก็ได้สัมผัสธรรมชาติได้อย่างเต็มปอด ร่มเงาของต้นไม้ และมีแสงแดดส่องรำไรตามพื้นป่า มีเฟิร์นหลายชนิด มอสสีเขียวขึ้นคลุมโคนต้นไม้มากมาย แม้ว่าจะเดินไกลแค่ไหนก็คงต้องหายเหนื่อยเลยทีเดียวเดียว เมื่อได้ชมวิวสวยงามตามข้างทางแบบนี้ เป็นทริปมาเที่ยวคนเดียวที่คุ้มสุดๆ แล้วกับสิ่งสวยงามที่ได้พบเจอ

  • ที่อยู่ : เขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ บริเวณกม.ที่ 43 ใกล้กับพระมหาธาตุ นถทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ถนนจองทอง-ดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง สันป่าตอง และแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/tfkjFPX4YGbzRWAC9
  • เปิดให้เข้าชม : เปิด 6.00-16.00 น.
  • เบอร์โทร : 09-3146-9682
ข้อดีของการไปเที่ยวคนเดียว ไม่ต้องง้อใคร

ข้อดีของการไปเที่ยวคนเดียว ไม่ต้องง้อใคร

การเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวนั้นไม่ได้แย่อย่างที่เราคิดเสมอไป บางคนอาจจะกลัวเหงา  แต่จริงๆ การเที่ยวคนเดียวมีข้อดีมากมายหลายอย่าง ซึ่งถ้าหากเราไม่อยากไปคนเดียว มัวแต่รอให้เพื่อนว่าง รอใครสักคนไปด้วย อาจทำให้เราพลาดไปสถานที่ที่เราชอบ ไปพักผ่อน ฮีลลิ่งจิตใจเลยก็ได้ ยิ่งถ้าเป็นนิทรรศการที่มีวันมากำหนดด้วยอีก จริงๆ การไปเที่ยวไม่จำเป็นต้องไปเป็นแก๊งก็สนุกได้ ข้อดีของการท่องเที่ยวคนเดียวจะมีอะไรบ้างนั้น มาดูกันเลย

เป็นการเปิดโลก ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง อยู่กับอิสระที่แท้จริง

บางครั้งการไปเที่ยวหลายคนอาจจะเกิดความวุ่นวายหลายอย่าง เช่น รอคนครบ  ไปเลท การตัดสินใจร่วมกัน กิจกรรมที่ทำ สถานที่พัก ฯลฯ การมาเที่ยวคนเดียวสามารถตัดสินใจเองได้เลยโดยไม่ต้องรอความเห็น และในระหว่างเดินทางเราจะได้มีเวลาคิดอะไรได้มากมาย สลัดความวุ่นวาย ได้อยู่กับตัวเอง และได้พักผ่อนอย่างแท้จริง ประหยัดพลังงานร่างกายจากการใช้กับผู้คน และยังได้โฟกัสกับสิ่งรอบตัวได้อย่างเต็มที่ 

ได้เจอคนใหม่ เพื่อนใหม่ และอาจจะพบรักใหม่ในที่ใหม่ๆ

การไปเที่ยวคนเดียว นอกจากจะได้ลองทำอะไรกิจกรรมใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยได้ลองทำคนเดียวแล้ว ยังได้เจอกับคนใหม่ๆ อีกด้วย เพื่อนในแก๊งอาจจะไม่เหมาะกับสไตล์การท่องเที่ยวในแบบของเราก็ได้ การได้มาเที่ยวคนเดียว ทำให้เราได้เจอคนแบบเดียวกัน ชอบอะไรเหมือนกัน จึงมีในหลายเหตุการณ์ที่การท่องเที่ยวนั้นนำพารักมาหาเราและส่วนใหญ่นั้นเป็นคนโสด  และได้เพื่อนใหม่ที่เดินทางท่องเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน 

ออกจากเซฟโซน กล้าตัดสินใจเอง คิดเองแบบ 300%

อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า การเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวเราจะสามารถตัดสินใจได้เลยโดยไม่ต้องรอความเห็น ซึ่งในจุดนี้จะช่วยทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิด กล้าทำ เป็นการหลุดออกจากเซฟโซนอย่างนึง ในตอนเริ่มต้นเราอาจจะยังไม่กล้าสนทนากับใคร หรือไม่กล้าเริ่มทำอะไรมากนัก แต่ในบางสถานการณ์จะบังคับให้เราต้องทำอะไรสักอย่าง เช่น เมื่อต้องการความช่วยเหลือในการเดินทาง เราอาจจะต้องถามคนที่อยู่แถวนั้น

และในกรณีที่อยู่คนเดียวต้องตัดสินใจ ณ ตอนนั้น เราจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากการตัดสินใจของเรา แม้ว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือไม่ ในภายหลังเราจะสามารถนำประสบการณ์ตรงนี้ขึ้นมาใช้ได้เอง

ค้นหาตัวเอง พบเจอตัวตนใหม่ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน

ในบางครั้งเราก็ยังไม่รู้จักตัวเองไปซะทั้งหมดหรอก การมาเที่ยวคนเดียวจะทำให้เรามองเห็นตัวเองในหลายมุมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น มุมที่กล้าหาญ มุมที่บ้าได้หลุดโลก หรือมุมที่เราได้เห็นวิวสวยๆ นั้นทำให้มีความสุขได้มากขนาดไหน จนทำให้เรากลายเป็นคนใหม่ที่เราชอบมากกว่าเดิม 

หลายคนอาจจะไม่กล้าเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว จากเหตุผลหลายๆ อย่าง เช่น อาจจะกลัวเหงา หรือกลัวว่าคนอื่นจะมองอย่างไรเวลาเห็นเราอยู่คนเดียว หรือไม่กล้าที่จะทำกิจกรรมคนเดียว บทความนี้จะเชิญชวนให้กล้าออกไปใช้เวลากับตัวเอง เที่ยวคนเดียวแบบไม่ต้องรอใคร กล้าคิด กล้าตัดสินใจ กล้าลองทำอะไรคนเดียว เป็นการปลดล็อคตัวเองในอีกขั้น นั่นเลยเป็นหนึ่งในข้อดีของการมาท่องเที่ยวคนเดียว

ซึ่งบางครั้งการไปเที่ยวคนเดียวก็ต้องการความสะดวกสบาย เพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง ทั้งกระเป๋าและสัมภาระ ที่อาจจะสร้างความลำบากให้กับการเดินทาง เป็นอุปสรรคในการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว ซึ่งเพื่อลดภาระการเดินทาง เพื่อให้เดินทางได้อย่างสบายใจ สบายหลัง สามารถเลือกใช้บริการรับส่ง-ฝากกระเป๋ากับ Airportels เป็นสายงานบริการที่จะช่วยบริการขนส่งกระเป๋าเดินทางของนักท่องเที่ยว ช่วยให้การเดินทางของเรานั้นสะดวกสบายมากขึ้น มีหลายสาขาให้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นสาขาสุวรรณภูมิ สาขาเซนทรันเวิล์ด สนามบินดอนเมืองก็สามารถฝากสัมภาระไว้ได้เลย แล้วไปเที่ยวคนเดียวได้โดยไม่ต้องพกกระเป๋าหนักๆ และวันสุดท้ายของทริปก็สามารถฝากสัมภาระ ไว้ที่โรงแรมก่อน แล้วออกไปเที่ยวได้เช่นกัน ทริปไปเที่ยวคนเดียวจะสนุกมากขึ้น

เที่ยวสบายไม่ต้องแบกของ ด้วยบริการฝากกระเป๋า |AIRPORTELs

เที่ยวสบายไม่ต้องแบกของ ด้วยบริการฝากกระเป๋า

ฝากกระเป๋ากับ AIRPORTELs

ฝากกระเป๋า AIRPORTELs

กรุงเทพมหานคร เป็นศูนย์กลางความเจริญของประเทศไทยที่มีจุดท่องเที่ยวหลายจุด ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ให้คุณได้ผจญภัยไปกับดินแดนแห่งนี้ที่มีทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ศิลปะวัฒนธรรมอันสวยงาม หรือแม้แต่ลองชิมอาหารอร่อยๆ ที่มีรสชาติแบบไทยแท้ที่รอให้คุณได้มาสัมผัส ดังนั้นมาเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ดินแดนที่ครองอันดับต้นๆ ของโลกในเรื่องของการพักผ่อนและท่องเที่ยว

เมื่อเข้าสู่กรุงเทพมหานครแล้ว หลายๆ คนคงพลาดไม่ได้กับการเดินชอปปิงของดีราคาถูกในกรุงเทพ หากเดินถือกระเป๋าเดินทางไปด้วย ถือถุงชอปปิงไปด้วยคงลำบากน่าดู หากมีแหล่งฝากกระเป๋าใจกลางกรุงเทพคงจะดีไม่ใช่น้อย โดยทาง AIRPORTELs เป็นบริษัทชั้นนำที่มีบริการดีๆ อย่างบริการการฝากกระเป๋าที่พร้อมอำนวยความสะดวกให้คุณได้ใช้เวลาสำรวจประเทศไทยได้อย่างเต็มที่

บริการฝากกระเป๋าทำงานอย่างไร ?

บริการฝากกระเป๋า หรือฝากสัมภาระกับทาง AIRPORTELs นั้น มีเคาน์เตอร์บริการทั้งหมด 6 จุดรอบกรุงเทพมหานคร ได้แก่ 

  1. สนามบินสุวรรณภูมิ บริเวณชั้น B ใกล้กับแอร์พอร์ตเรลลิงก์
  2. สนามบินดอนเมือง บริเวณอาคารผู้โดยสาร 2 ชั้น 1 ใกล้กับเกท 9
  3. ห้างสรรพสินค้า Central World บริเวณชั้น 1 โซน Groove
  4. ห้างสรรพสินค้า MBK Center บริเวณชั้น 6 โซน B
  5. ห้างสรรพสินค้า Terminal 21 อโศก บริเวณชั้น 1 โซนโตเกียว
  6. ห้างสรรพสินค้า Mixt Chatuchak บริเวณชั้น 2 โซน บี

โดยมีขั้นตอนการฝากกระเป๋าทั้งหมด เพียง 3 ขั้นตอน ได้แก่

ฝาก กระเป๋า

Step 1 : ฝาก

เริ่มจากขั้นตอนที่1 การฝากกระเป๋า แบกกันมาให้เต็มที่ จะถือมากี่ใบก็ได้ หนักเท่าไหร่ก็ได้ ไม่จำกัดขนาดกระเป๋าอีก สามารถเลือกติดต่อเคาน์เตอร์บริการทั้ง 6 แห่งได้ตามความสะดวก

ที่ ฝาก กระเป๋า

 Step 2 : ช้อป

ฝากสัมภาระเสร็จแล้ว ก็ชอปปิงให้เต็มที่! จะเที่ยวไหนก็สนุกสุดเหวี่ยงไม่ต้องกังวลเรื่องของหายอีกต่อไป อีกทั้งยังมั่นใจได้ว่าที่ฝากสัมภาระของทาง AIRPORTELs นั้นมีความปลอดภัย แล้วยังเปิดให้บริการตั้งแต่เช้าจรดเย็นอีกด้วย

รับ กระเป๋า

Step 3 : รับ

หลังจากชอปปิง เดินเที่ยวจนหนำใจ สามารถมาแวะรับกระเป๋าได้ที่จุดฝากสัมภาระ โดยนำใบเสร็จรับ (Receive Slip) ยื่นให้พนักงานเค้าน์เตอร์ และตรวจสอบสัมภาระให้เรียบร้อย เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้นขั้นตอนการใช้บริการฝากกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว

ฝากกระเป๋า

ทำไมต้องฝากกระเป๋า ?

ทำไมต้องฝากกระเป๋า ฝากกระเป๋าดียังไง? มาดูข้อดีของการฝากกระเป๋ากับทาง AIRPORTELs กันดีกว่า

  • ฝากกระเป๋าช่วยลดภาระการแบกของ
  • ฝากกระเป๋าทำให้สามารถเดินเที่ยว หรือชอปปิงได้ตามสะดวก ของไม่เกะกะใคร
  • สามารถฝากกระเป๋าแบบไหนก็ได้ อีกทั้งยังฝากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออุปกรณ์กีฬาได้อีก
  • ช่วยอำนวยความสะดวก รวดเร็ว มีเว็บไซต์ให้เข้าไปจองที่ฝากกระเป๋าก่อน หมดปัญหาที่ฝากกระเป๋าเต็ม
  • เพิ่มความปลอดภัย เนื่องจากมีระบบ CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง
  • บริการฝากกระเป๋าช่วยลดโอกาสเสี่ยงการลืมของ หรือของหาย
  • หากกระเป๋าเกิดการสูญหาย บริษัทมีวงเงินชดเชยให้สูงสุดถึง 50,000 บาทต่อใบ
ที่ ฝาก กระเป๋า

บริการฝากกระเป๋าเหมาะกับ ใครบ้าง ?

บริการฝากกระเป๋าเหมาะกับใครบ้าง? แน่นอนว่าการฝากกระเป๋านั้นช่วยอำนวยความสะดวกมากมาย ตอบโจทย์ในเรื่องของการเดินทาง ทำให้การเดินทางของคุณสะดวกสบาย ลดภาระในการแบกของหนัก อีกทั้งยังลดความเสี่ยงที่จะลืมของอีกด้วย โดยบริการฝากกระเป๋าเหมาะกับผู้คนหลายแบบ

1. Shop hoppers

สายชอปปิงตัวแม่ต้องมาลองฝากกระเป๋ากับทาง AIRPORTELs ดู เพราะที่นี่มีบริการที่หลากหลาย และไม่ได้จำกัดว่าของที่ฝากต้องเป็นกระเป๋าเดินทางเท่านั้น สามารถฝากถุงชอปปิง หรือของที่เพิ่งซื้อมาได้เลย จะฝากไว้เท่าไหร่ก็ได้อีก ให้คุณได้ชอปปิงได้อย่างจุใจ แล้วค่อยกลับมารับกระเป๋าได้ตามเวลาที่ต้องการ 

2. Backpackers

สายแบกต้องชอบบริการนี้ เหล่านักท่องเที่ยวสายลุย แบกกระเป๋าเต็มสองไหล่อยู่ตลอด ถือของหนักๆ ไว้เต็มบ่า คงอยากหาพื้นที่ฝากกระเป๋าไว้สักพัก แล้วค่อยกลับมารับ บริการฝากกระเป๋าจึงตอบโจทย์ของแบ็กแพ็กเกอร์ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทย ให้คุณได้สำรวจประเทศไทยแบบใกล้ชิด แล้วยังเบาไหล่อีกด้วย

3. Travelers

นักท่องเที่ยวที่เที่ยวประเทศไทยก็ใช้บริการฝากกระเป๋าได้ บางคนเพิ่งลงจากสนามบินก็วางแผนตรงเข้ามาที่กรุงเทพมหานครเลย กว่าจะรอ Check-in เข้าที่พักก็ต้องรอเวลาถึงช่วงบ่าย จะเดินไปด้วยถือกระเป๋าเดินทางด้วย ก็ไม่สะดวกอีก บริการฝากสัมภาระถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกดีๆ ที่จะช่วยให้การท่องเที่ยวของคุณสนุกสนานมากยิ่งขึ้น

4. Everyones

บริการฝากกระเป๋าตอบโจทย์กับทุกคน ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร เพียงมีของเยอะแล้วอยากหาที่วางของ ก็สามารถมาฝากกระเป๋าไว้ได้เลย ทั้งนี้บริการของ AIRPORTELs นั้นมีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังสามารถฝากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้อีกด้วย ให้คุณมั่นใจได้ว่าการฝากกระเป๋าครั้งนี้คุ้มค่า คุ้มราคา ตอบโจทย์ความสะดวกสบายได้อย่างเต็มที่

Airportels ที่ฝากกระเป๋า

จะเห็นได้ว่าบริการฝากกระเป๋านั้น สามารถอำนวยความสะดวกให้กับทุกๆ คน โดยบริการฝากกระเป๋าของ AIRPORTELs มีจุดให้บริการถึง 5 แห่งทั่วกรุงเทพ สามารถไปลองใช้บริการได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ แถมค่าบริการก็ไม่แพง เริ่มต้นที่ 100 บาทต่อใบต่อวัน อีกทั้งบางเคาน์เตอร์ยังสามารถฝากกระเป๋าแบบฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 ชั่วโมงเต็ม* สามารถเข้าไปจองฝากกระเป๋าแบบล่วงหน้าได้ ที่นี่

เอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องได้ไหม ต้องความจุกี่แอมป์

สำหรับใครที่กำลังเดินทางขึ้นเครื่องไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม การเอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องเพื่อที่จะชาร์จแบตมือถือนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อที่ว่าหากมือถือใกล้แบตหมดก็จะมีพาวเวอร์แบงค์สำรองใช้ได้ แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าพาวเวอร์แบงค์นั้นมีหลายประเภท และบางประเภทก็ไม่สามารถนำขึ้นเครื่องได้ ดังนั้นใครที่กำลังจะเดินทางไปไหนและไม่มั่นใจว่าพาวเวอร์แบงค์สามารถขึ้นเครื่องได้หรือไม่ ในบทความนี้มีคำตอบให้แน่นอน

เอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องได้ไหม ต้องความจุกี่แอมป์
พาวเวอร์แบงค์คือ

พาวเวอร์แบงค์คือ

พาวเวอร์แบงค์ คือ แบตเตอรี่สำรองที่สามารถใช้ได้กับสมาร์ทโฟนต่างๆ รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ  โดยตัวเครื่องสามารถพกพาไปได้ทุกที่ สมาร์ทโฟนใกล้หมดเมื่อไหร่ก็จะสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ในทันที โดยพาวเวอร์แบงค์สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้

ชนิดลิเธียม ไอออน

พาวเวอร์แบงค์ชนิดลิเธียม ไอออน จัดว่าเป็นแบตเตอรี่สำรองที่เน้นในเรื่องของพลังงานที่สูง ในขณะเดียวกันก็จะปล่อยพลังงานที่ต่ำ ที่จะช่วยเซฟพลังงานได้เป็นอย่างดี แต่ขณะที่ไม่ได้ใช้งานก็จะมีการคายประจุไฟเสมอๆ จนในที่สุดแบตหมดได้ ข้อดีก็คือพาวแบงค์นี้มีราคาที่ถูก ในขณะที่ข้อเสียก็คือเสื่อมสภาพได้ไวมากๆ 

ชนิดเธียม โพลิเมอร์

พาวเวอร์แบงค์ชนิดลิเธียม โพลิเมอร์ นับว่าเป็นแบตเตอรี่ที่ต้องบอกว่าคุณภาพสูงมากๆ เพราะแบตเตอรี่สามารถจุพลังงานได้ดี ใช้งานได้อย่างต่อเนื่องยาวๆ  คายประจุไฟช้ากว่าแบบชนิดลิเธียม ไอออน มีน้ำหนักเบา และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่ราคาจะสูง

ความจุและจำนวนพาวเวอร์แบงค์ที่ขึ้นเครื่องได้

ความจุและจำนวนพาวเวอร์แบงค์ที่ขึ้นเครื่องได้

 ในส่วนนี้นับว่าเป็นเนื้อหาสำคัญที่จะมาให้คำตอบเกี่ยวกับพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องกี่แอมป์ และจำนวนพาวเวอร์แบงค์ที่สามารถนำขั้นเครื่องบินได้ โดยข้อมูลนี้ถือว่านโยบายส่วนใหญ่ที่หลายๆ สายการบินใช้กันโดยสามารถสรุปได้ดังนี้

  • ค่าความจุไฟฟ้าน้อยกว่า 20,000 แอมป์ สามารถนำติดตัวขึ้นเครื่องได้ ในส่วนของจำนวนได้แบบไม่มีจำกัด
  • ค่าความจุไฟฟ้าน้อยกว่า 20,000  – 32,000 แอมป์ สามารถนำติดตัวขึ้นเครื่องได้ ในส่วนของจำนวนสามารถนำขึ้นได้แค่ 2 ก้อนเท่านั้น 

สำหรับความจุไฟฟ้าที่มากกว่า 32,000 แอมป์ จะไม่สามารถนำขึ้นเครื่องได้ และในกรณีที่ตัวแบตเตอรี่ไม่ได้มีการระบุประเภทของแบตเตอรี่ก็ไม่สามารถเช่นกัน และพาวเวอร์แบงค์ที่จะนำขึ้นเครื่องจะต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อที่จะเช็คว่าเอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องได้ไหม

เอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องยังไง

เอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องยังไง

การเอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องได้ โดยปกติแล้วแต่ละสายการบินจะมีข้อกำหนดที่ชัดเจนโดยละเอียด และเมื่อถึงที่จะต้องตรวจเช็คจำเป็นที่จะต้องให้เจ้าหน้าที่ดูพาวเวอร์แบงค์ที่ตัวเองได้นำมา โดยหลัก ๆ แล้วการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่มีดังนี้

  • พาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องกี่แอมป์ ถึงจะพกขึ้นเครื่องบินได้
  • การนำพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องสามารถนำขึ้นได้กี่ก้อน และไม่ควรเกินกี่ก้อน
  • การนำพาวเวอร์แบงค์ห้ามใส่กระเป๋าโหลดใต้เครื่อง ควรจะผ่านเจ้าหน้าที่ในการตรวจขึ้นไปที่นั่งด้วย
ทำไมห้ามโหลดพาวเวอร์แบงค์ใต้เครื่อง

ทำไมห้ามโหลดพาวเวอร์แบงค์ใต้เครื่อง

ปกติแล้วทุกๆ สายการบ้านมีข้อห้ามอย่างชัดเจนว่าห้ามทำการนำอุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่โหลดใต้เครื่อง เนื่องมาจากว่าแบตเตอรี่เมื่อเกิดความร้อนที่สูงมากๆ จะสามารถเป็นตัวทำให้ติดไฟได้ หรือหากเลวร้ายกว่านั้นก็เกิดการระเบิดได้ เพราะในบริเวณที่โหลดใต้ท้องเครื่องจะไม่สามารถที่จะเช็คสภาพ ณ ตรงนั้นได้ทันทีหากเกิดเหตุร้ายขึ้น เลยการนำขึ้นเครื่องไปยังที่นั่งโดยสารนับเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

วิธีเลือกพาวเวอร์แบงค์ให้ปลอดภัย

วิธีเลือกพาวเวอร์แบงค์ให้ปลอดภัย

การเลือกพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องนับเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะประเด็นหลักๆ การจะเอาขึ้นได้หรือไม่อยู่ที่ความจุไฟฟ้าว่าเป็นไปตามที่กำหนดหรือไม่ แต่ทางที่ดีสำหรับคนที่ใช้พาวเวอร์แบงค์อยู่แล้ว ก็ควรเลือกซื้อพาวเวอร์แบงค์ที่มีคุณภาพและสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย โดยวิธีการเลือกมีดังนี้

ซื้อพาวเวอร์แบงค์ ให้เหมาะกับการใช้งาน

การเลือกซื้อพาวเวอร์แบงค์คือให้เหมาะกับการใช้งาน ถ้าหากพกพาวเวอร์แบงค์ที่สามารถใช้งานได้ในวันเดียว จะขอแนะนำพาวเวอร์แบงค์ที่มีความจุ 3,000 – 5,000 แอมป์ก็เพียงพอแล้ว เพราะด้วยความจุที่น้อยจึงทำให้สามารถพกพาสะดวก แต่ในกรณีที่จะเอาพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องก็แนะนำให้เลือกมากกว่า 20,000 แอมป์เพื่อที่จะสามารถสำรองแบตเตอรี่ได้หลายๆ วันได้

ไว้ชาร์จหลายเครื่อง

การกรณีที่เลือกพาวเวอร์แบงค์ที่สามารถชาร์จได้หลายๆ เครื่อง จะเหมาะกับคนที่มีทั้งสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่จะเป็นจะต้องชาร์จพร้อมๆ กัน การเลือกจึงเป็นสิ่งที่สำคัญโดยเบื้องต้นจะต้องดูก่อนว่าตัวแบตเตอรี่ที่ซื้อมาจะมีการแชร์แบตเตอรี่กันหรือไม่ และมีจำนวนความจุไฟฟ้าอยู่ที่เท่านั้น และแน่นอนว่าในส่วนของความปลอดภัยจำเป็นต้องศึกษาให้ชัดเจน

เลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐาน

สิ่งที่สามารถสร้างความมั่นใจในการเลือกซื้อแม้แต่ดูแบตเตอรี่ไม่เป็น ก็คือการเลือกแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ หรือเป็นแบรนด์ที่นิยมใช้ เพราะจุดนี้จะสามารถการันตีความปลอดภัยขณะใช้งานได้เป็นอย่างดี และมีระบบป้องกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร แบตเตอรี่มีความร้อนสูง รวมไปถึงการระเบิดได้

ใครที่อยากจะมีแบตเตอรี่สำรอง หรือ พาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องบิน สามารถนำขึ้นเครื่องบินได้ แต่ห้ามโหลดใส่กระเป๋าใต้ท้องเครื่องบิน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะมีการตรวจเช็คว่าพาวเวอร์แบงค์ที่แต่ละคนนำขึ้นเครื่องนั้น โดยดูในเรื่องของชนิดแบตเตอรี่ รวมทั้งความจุไฟฟ้าที่สามารถต่ำกว่า 20,000 จะสามารถพกได้ไม่จำกัดจำนวน และ 20,000 – 32,000 แอมป์จะพกได้เพียง 2 ก้อนเท่านั้น ดังนั้นการเลือกพาวเบอร์แบงค์สำหรับขึ้นเครื่องบินถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และควรใส่ใจในคุณภาพและความปลอดภัยขณะซื้อก่อนนำขึ้นเครื่อง

ลิสต์ 20 สิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน มัดรวมครบ จัดเต็ม ไม่มีพลาด

ยุคสมัยที่ผู้คนสามารถจองตั๋วเครื่องบินผ่านแอปพลิเคชันมือถือ อีกทั้งสายการบินยังขยันออกโปรโมชันมายั่วยวนกิเลส จนทำให้บัตรเครดิตในมือหลายๆ คนต้องสั่น 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเดินทางด้วยเครื่องบินกลายเป็นหนึ่งในการเดินทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าการขึ้นเครื่องบินจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ผู้คนก็มักหลงลืมเกี่ยวกับเรื่องมาตรการความปลอดภัย โดยเฉพาะในเรื่องของสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน 

ลิสต์ 20 สิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน

บ่อยครั้งที่ผู้โดยสารถูกบังคับให้ต้องทิ้งสินค้าที่เพิ่งซื้อหรือครีมแพงๆ ไว้ที่สนามบิน เนื่องจากลืมไปว่าของเหล่านั้นเป็นของต้องห้ามขึ้นเครื่อง 

AIRPORTELs จึงอยากชวนทุกคนมาพูดคุยถึง สิ่งของห้ามขึ้นเครื่อง 20 อย่าง พร้อมถึงสาเหตุที่พวกมันถูกแบนจากเครื่องบิน รวมไปถึงบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนกฏของสายการบินอีกด้วย ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านต่อกันได้เลย

ของเหลว

1. ของเหลว

สาเหตุที่ของเหลวกลายมาเป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2006 หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอังกฤษได้ทำการจับกุมกลุ่มผู้ก่อการร้าย ซึ่งมีเป้าหมายในการลักลอบนำสารระเบิดขึ้นไปบนเครื่องบินของสายการบินอังกฤษหลายสายที่มุ่งหน้าไปยังเมืองต่างๆ ทั้งในแคนาดาและสหรัฐอเมริกา โดยลักลอบนำสารระเบิดใส่ในขวดน้ำหวาน เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ และวางแผนที่จะนำไปใช้ในการจุดชนวนบนเครื่องบิน โชคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถขัดขวางแผนการก่อการร้ายได้เสียก่อน หลังจากเหตุการณ์นั้น ทำให้ของเหลวทุกชนิดกลายเป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่องมาจนถึงทุกวันนี้

ในปัจจุบัน สายการบินอนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถนำของเหลวใส่กระเป๋า Carry-on ได้ โดยแต่ละชิ้นต้องบรรจุในภาชนะที่ไม่เกิน 100 มิลลิลิตร และรวมกันทั้งหมดไม่เกิน 1,000 มิลลิลิตร หากต้องการพกพาของเหลวขึ้นเครื่องบิน ควรทำการเตรียมตัวดังนี้:

  • แบ่งของเหลวใส่ภาชนะบรรจุ สามารถหาซื้อชุดพกพาของเหลวได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยมักเป็นเซ็ตขวดใส่ของเหลวแบบใส ที่มีขนาดไม่เกิน 100 มิลลิลิตร
  • ใส่ขวดของเหลวในถุงซิปล็อกใส นำของเหลวทั้งหมดที่พกติดตัวขึ้นเครื่อง ใส่ในถุงพลาสติกใส และแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ณ ที่จุดตรวจความปลอดภัย
  • โหลดของเหลวที่เกินปริมาณที่กำหนด สำหรับของเหลวที่มีปริมาณมากกว่า 100 มิลลิลิตร ควรทำการโหลดเข้าใต้เครื่องบิน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระหว่างขึ้นเครื่อง
  • ของเหลวที่ซื้อจากร้าน Duty Free ที่สนามบิน ห้ามทำการแกะออกจากบรรจุภัณฑ์หรือมีร่องรอยฉีกขาด ใส่ในถุงพลาสติกปิดผนึก และต้องมีใบเสร็จเป็นหลักฐานยืนยันว่าเพิ่งซื้อสินค้ามาจาก Duty Free ที่ท่าอากาศยาน มิฉะนั้นของที่เพิ่งซื้ออาจกลายเป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่องได้

ของเหลวที่อนุโลมให้นำขึ้นเครื่องได้

ทั้งนี้มีของเหลวบางชนิดที่ได้รับการยกเว้นให้สามารถพกพาเกิน 100 มิลลิลิตรขึ้นเครื่องบินได้ โดยควรพกพาในปริมาณที่จำเป็นต้องใช้ในระหว่างการเดินทางบนเครื่องบินเท่านั้น และต้องทำการแจ้งเจ้าหน้าที่ ณ จุดตรวจความปลอดภัยก่อนทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ผิดกฏสิ่งของต้องห้ามขึ้นเครื่อง   

ของเหลวประเภทยา

สำหรับผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยสามารถนำยาที่เป็นของเหลว เช่น ยาน้ำ ยาแบบฉีดเข้าใต้ผิวหนัง หรือแบบสเปรย์พ่น ขึ้นเครื่องได้ โดยต้องมีฉลากและเอกสารกำกับยาที่เป็นชื่อของผู้โดยสาร สามารถนำขึ้นไปในปริมาณที่เพียงพอสำหรับไฟล์ทบินเท่านั้น

อาหารที่ต้องพกพา

ผู้ที่มีปัญหาทางด้านโภชนาการที่ต้องทานอาหารแบบพิเศษตามคำแนะนำของแพทย์ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อขออนุญาตนำอาหารเหลวขึ้นมาบนเครื่องได้ อาหารแบบพิเศษได้รับข้อยกเว้นจากการเป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่อง เพราะถือเป็นสิ่งของที่ใช้ในการรักษาความเจ็บป่วยแบบจำเพาะบุคคล และเป็นอาหารที่ผู้โดยสารไม่สามารถหาได้ในขณะที่อยู่บนเครื่องบิน

อาหารหรือนมสำหรับเด็กทารก

อาหารหรือนมสำหรับทารกไม่ถือเป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน เพราะเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ระหว่างการเดินทาง หลังจากได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พ่อแม่หรือผู้ปกครองที่เดินทางพร้อมเด็กอ่อน สามารถพกอาหารสำหรับทารก เช่น นมแม่ นมกล่อง หรืออาหารบดในปริมาณที่พอเหมาะขึ้นเครื่องได้ โดยไม่ขัดต่อกฏของสายการบิน

2. แบตเตอรี่สำรอง (Power Bank) 

2. แบตเตอรี่สำรอง (Power Bank) 

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ประกาศให้มีการกำหนดเกณฑ์ของแบตเตอรี่ลิเธียมที่สามารถพกพาขึ้นเครื่องได้ โดยมีเกณฑ์ดังนี้:

  • แบตเตอรี่ลิเธียมที่มีความจุไฟ น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100 Wh (20,000 mAh) – ไม่อนุญาตให้โหลดใต้ท้องเครื่อง แต่สามารถพกพาติดตัวขึ้นเครื่องบินได้
  • แบตเตอรี่ลิเธียมที่มีความจุไฟ มากกว่าหรือเท่ากับ 100 – 160 Wh (20,000 – 32,000 mAh) – ไม่อนุญาตให้โหลดใต้ท้องเครื่อง แต่สามารถพกพาติดตัวขึ้นเครื่องบินได้ คนละไม่เกิน 2 ชิ้น
  • แบตเตอรี่ลิเธียมที่มีความจุไฟ มากกว่า 160 Wh (32,000 mAh) ขึ้นไป – ไม่อนุญาตให้โหลดใต้ท้องเครื่องและห้ามพกพาติดตัวขึ้นเครื่องบิน

ดังนั้นก่อนออกเดินทาง อย่าลืมเช็กค่าความจุไฟของแบตเตอรี่สำรอง เพราะอาจกลายเป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่องโดยไม่รู้ตัว และทำให้ต้องทิ้งไว้ที่จุดตรวจความปลอดภัยที่สนามบินอย่างน่าเสียดาย

ขาตั้งกล้อง (Tripod)

3. ขาตั้งกล้อง (Tripod) 

สำหรับไอเท็มชนิดนี้ อาจมีการถกเถียงกันอยู่พอสมควร เพราะบางสายการบินก็อนุญาตให้นำขึ้นเครื่อง แต่บางสายการบินก็เป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน สาเหตุหลักเป็นเพราะขนาดของขาตั้งกล้องที่บ่อยครั้งมีความยาวเกินกระเป๋า Carry-on หรืออาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาวุธได้ ดังนั้นหากคิดที่จะพกพาขึ้นเครื่องแล้ว ควรเช็กว่ามีความยาวไม่เกินเกณฑ์ที่สายการบินกำหนดหรืออาจเลือกโหลดใต้เครื่องเลยก็เป็นทางออกที่ดีเช่นเดียวกัน

อาหารที่มีกลิ่นแรง

4. อาหารที่มีกลิ่นแรง

ไม่แปลกที่อาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น ทุเรียน กะปิ ปลาร้า หรืออาหารทะเลตากแห้ง จะกลายเป็นของต้องห้ามขึ้นเครื่อง เพราะอาจส่งกลิ่นรบกวนผู้โดยสารคนอื่นๆ ระหว่างการเดินทาง โดยเฉพาะในเที่ยวบินระยะไกล คงไม่มีใครอยากต้องมาทนกับกลิ่นเหม็นตลอดทั้งไฟล์ท ทางที่ดีที่สุดควรทำการแพ็คให้มิดชิดและโหลดลงใต้ท้องเครื่องเลยจะดีที่สุด 

อาวุธ ของมีคม 

5. อาวุธ ของมีคม 

ของมีคมทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น กรรไกร มีดพก คัตเตอร์ หรือแม้กระทั่งกรรไกรตัดเล็บ ล้วนเป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่อง เพราะอาจถูกใช้เป็นอาวุธโดยผู้ไม่ประสงค์ดีได้ หากต้องการพกของมีคม ให้ใส่ไว้ในกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่อง เพื่อไม่เป็นการฝ่าฝืนกฏความปลอดภัยของสนามบิน 

สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

6. สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

สำหรับเมืองไทย เรื่องของสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์นั้น อาจยังไม่ได้มีการตรวจขันอย่างเข้มงวดเท่าไหร่นัก แต่หากเดินทางไปในประเทศที่มีมาตรการตรวจสอบอย่างจริงจังแล้ว อาจโดนยึดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ที่พกติดตัวไปด้วย ทางออกที่ดีที่สุดคือการเลือกใช้สินค้าของแท้ เพราะนอกจากเป็นการสนับสนุนแบรนด์เจ้าของลิขสิทธิ์แล้ว ยังไม่เสี่ยงละเมิดกฏหมายลิขสิทธิ์อีกด้วย

 ของประดับมูลค่าแพง

7. ของประดับมูลค่าแพง

ของประดับและของมีค่าเป็นไอเท็มที่ถูกบางสายการบินกำหนดให้เป็นของต้องห้ามขึ้นเครื่อง เพราะกลัวในเรื่องของการโจรกรรมหรือการสูญหายระหว่างเที่ยวบิน ดังนั้นหากจะทำการพกติดตัว ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะเหตุไม่คาดฝันนั้นอาจเกิดขึ้นได้เสมอ

วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด

8. วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด

ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ไฟแช็ก ไม้ขีดไฟ หรือ ประทัด สีสเปรย์ และดอกไม้ไฟ ล้วนเป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่อง เพราะอาจปะทุและทำให้เกิดอุบัติเหตุกับผู้โดยสารคนอื่นๆ บนเที่ยวบินได้ จึงเป็นสิ่งของที่ไม่ควรพกพาติดตัวในขณะเดินทางเป็นอย่างยิ่ง

สารฟอกขาว (Bleach)

9. สารฟอกขาว (Bleach)

สารฟอกขาวทั้งชนิดน้ำและชนิดผงเป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน ทั้งนี้ยังรวมไปถึง สารที่มีฤทธิกัดกร่อนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำกรด สารหนู หรือ สารกำจัดแมลง สารเหล่านี้เป็นสารอันตราย ซึ่งหากเกิดรั่วไหลในระหว่างเที่ยวบิน อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย จึงไม่ได้รับอนุญาตให้นำขึ้นไปบนเครื่องบิน 

เนื้อสัตว์ของสดหรือแช่เเข็ง

10. เนื้อสัตว์ของสดหรือแช่เเข็ง

บางประเทศอาจมีข้อกำหนดเรื่องการนำเข้าเนื้อสัตว์หรือของสดเข้าประเทศ เพราะกลัวว่าอาจส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมหรือเป็นการนำโรคและพาหะเข้าสู่ประเทศ ส่วนของแช่แข็งนั้น หากแพ็คหรือจัดเก็บไม่ดีก็อาจจะละลาย และส่งกลิ่นรบกวนผู้โดยสารคนอื่นๆ ในระหว่างการเดินทางได้ 

สารเสพติด

11. สารอันตรายต่างๆ หรือสารเสพติด

แน่นอนว่าสารเสพติดเป็นของต้องห้ามขึ้นเครื่อง ที่ไม่สามารถพกพาติดตัวได้ ไม่ว่าจะเป็นนอกเครื่องบินหรือบนเครื่องบินก็ตาม ทั้งนี้ควรระมัดระวังเรื่องข้อกฏหมายของแต่ละประเทศ เช่น การซื้อสินค้าที่ผสมสารเสพติด เช่น กัญชา เพราะอาจถูกกฏหมายในประเทศต้นทาง แต่อาจผิดกฏหมายร้ายแรงในประเทศปลายทาง จึงควรศึกษาข้อกฏหมายของแต่ละประเทศให้ดีก่อนออกเดินทางเสมอ

วัตถุที่แตกง่าย

12. วัตถุที่แตกง่าย

ระหว่างการเดินทางด้วยเครื่องบินนั้น อาจเจอสภาพอากาศแปรปรวน เครื่องตกหลุมอากาศ ซึ่งแรงกระแทก อาจทำให้ข้าวของบนเครื่องเสียหายได้ ดังนั้นวัตถุที่แตกได้ง่าย เช่น แก้ว หรือกระจก จึงเป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกคน 

สัตว์บางชนิด และสัตว์ มีพิษ

13. สัตว์มีพิษ สัตว์ดุร้าย

สายการบินบางแห่ง บางประเทศอนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถนำสัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก เช่น สุนัข หรือแมว ขึ้นมาบนเครื่องบินได้ แต่สำหรับสัตว์มีพิษและสัตว์ดุร้ายนั้น ถือเป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบินโดยเด็ดขาด เพราะอาจเป็นอันตรายต่อคนอื่นๆ บนเที่ยวบินได้ 

14. ไม้ตียุงไฟฟ้า

หลายคนอาจแปลกใจว่าทำไมไม้ตียุงไฟฟ้า จึงเป็นของต้องห้ามขึ้นเครื่อง สาเหตุเพราะอุปกรณ์ทุกชนิดที่สามารถนำมาดัดแปลงเป็นอาวุธได้นั้น จะไม่ได้รับอนุญาตให้พกพาขึ้นเครื่องได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นหากไม่อยากโดนยึดไม้ตียุงละก็ ไม่ควรนำไม้ตียุงไฟฟ้ามาด้วยจะดีที่สุด

อุปกรณ์กีฬาบางชนิด

15. อุปกรณ์กีฬา

เหตุผลของการห้ามนำอุปกรณ์กีฬาบางชนิดขึ้นเครื่องคือ อุปกรณ์เหล่านี้สามารถดัดแปลงมาเป็นอาวุธได้นั่นเอง เป็นเรื่องที่อาจขัดใจนักกีฬาหลายๆ คน แต่เพื่อความปลอดภัยแล้วก็ไม่ควรฝ่าฝืนกฏ และทำการโหลดอุปกรณ์กีฬาลงใต้เครื่องบิน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

PC และ Labtop บางชนิด

16. โทรศัพท์หรือ Notebook บางรุ่น

โดยปกติแล้ว โทรศัพท์มือถือและโน้ตบุ๊คไม่ได้เป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่อง สามารถพกพาขึ้นเครื่องบินได้โดยไม่มีปัญหา แต่อาจเกิดเหตุการณ์ที่มือถือหรือโน้ตบุ๊คบางรุ่น ที่ทางแบรนด์ยอมรับว่ามีปัญหาตั้งแต่กระบวนการผลิต ทำให้เสี่ยงต่อการระเบิด หรือก่อให้เกิดอุบัติเหตุระหว่างการใช้งาน จนสายการบินต้องทำการแบน อาจเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก แต่เป็นอีกสิ่งที่ควรระวังก่อนการเดินทาง เพราะอาจถูกปฎิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องบินได้  

17. แม่เหล็ก

สำหรับแม่เหล็กอันเล็กๆ เช่น แม่เหล็กติดตู้เย็น อาจไม่เป็นปัญหา แต่หากเป็นแม่เหล็กขนาดใหญ่ หรืออุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดสนามแม่เหล็ก ถือเป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน เพราะสามารถส่งสัญญานรบกวนเข็มทิศ จนอาจส่งผลต่อการทำงานของอุปกรณ์อื่นๆ บนเครื่องบินได้ 

อุปกรณ์สื่อสารบางชนิด

18. อุปกรณ์รักษาความปลอดภัย

กุญแจมือ กระบองท่อน หรือ อุปกรณ์วิทยุสื่อสาร (อาจไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานในบางประเทศ) แม้ว่าจะไม่ใช่ของมีคมก็ตาม แต่ก็ถือเป็นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่องด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

อาวุธ หรืออุปกรณ์ป้องกันตัว

19. อุปกรณ์ป้องกันตัว 

ไม่ว่าจะเป็น สนับมือ เครื่องช็อตไฟฟ้าแบบพกพา หรือสเปรย์พริกไทย ล้วนถูกจัดให้เป็นของอันตรายและเป็นสิ่งของต้องห้ามขึ้นเครื่อง เช่นเดียวกับอาวุธปืนและของมีคม

20. กระเป๋าสัมภาระที่มีแบตเตอรี่ชนิดลิเธียม

ในปัจจุบันมีกระเป๋าแบบสมาร์ตแบ็ก ที่ถูกออกแบบมาให้มีฟังก์ชันต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น GPS ติดตาม หรือมีแบตเตอรี่สำรองที่สามารถชาร์ตมือถือได้ระหว่างเดินทาง ข่าวร้ายก็คือกระเป๋าสัมภาระดังกล่าวนั้น ถูกองค์กรด้านการบินนานาชาติกำหนดให้เป็นสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน เพราะมีแบตเตอรี่ลิเธียมที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้นั่นเอง โดยมีการอนุโลมให้สามารถนำขึ้นเครื่องได้ หากสามารถถอดแบตเตอรี่ออก และไม่ใช้งานแบตเตอรี่สำรองในขณะเดินทาง หากไม่สามารถทำได้ ทางสายการบินอาจทำการปฎิเสธให้ผู้โดยสารเดินทางไปพร้อมกับกระเป๋า

โทษและมาตรการเมื่อผู้โดยสารทำผิดกฏ

โทษและมาตรการเมื่อผู้โดยสารทำผิดกฏ

แน่นอนว่าการไม่ปฏิบัติตามกฏของสายการบิน เช่น การลักลอบนำของต้องห้ามขึ้นเครื่อง  ย่อมตามมาด้วยบทลงโทษ ซึ่งมาตรากฏหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของสนามบินนั้น มีโทษค่อนข้างรุนแรง โดยมีบทลงโทษ ดังนี้: 

นำสิ่งต้องห้ามมาถึงหน้าด่านตรวจ

หากเจ้าหน้าที่ตรวจค้นเจอวัตถุหรือสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน เช่น ของเหลว เจล หรือของมีคม เจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธไม่ให้ผู้โดยสารผ่านการตรวจไปได้ จนกว่าของที่เป็นสิ่งต้องห้ามจะถูกทิ้งหรือทำลาย และหากผู้โดยสารทำการขัดขวาง หรือหลีกเลี่ยงการตรวจค้นสิ่งของห้ามขึ้นเครื่อง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เมื่อสิ่งต้องห้ามหลุดตรวจและถูกบนในเกตหรือเครื่องบิน

ผู้อยู่ในอากาศยานในระหว่างรอการบิน หากถูกตรวจพบเจอสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องไว้ในครอบครอง ผู้โดยสารต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท 

เมื่อสิ่งต้องห้ามหลุดตรวจและไปถึงด่านตรวจขาออก

โทษของการครอบครองสิ่งของต้องห้าม อาจมีความหนักเบาแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของสิ่งที่ครอบครอง โดยเจ้าหน้าที่อากาศยานมีหน้าที่ รายงานและส่งมอบตัวผู้โดยสารที่กระทำผิดหลังจากที่เครื่องได้ลงจอด ให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำการลงโทษตามมาตรากฏหมายของประเทศปลายทาง

การเดินทางด้วยเครื่องบินนั้นเป็นการเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว แต่มีกฏระเบียบมากมายที่จำเป็นต้องรู้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระหว่างเดินทาง โดยเฉพาะในเรื่องของสิ่งที่ห้ามเอาขึ้นเครื่องบิน เพราะความไม่รู้อาจทำให้ต้องเสียเวลา เสียทรัพย์สิน และเสียความรู้สึกในขณะเดินทาง หรือแย่ที่สุดอาจโดนปรับและต้องโทษโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย 

AIRPORTELs หวังว่าบทความนี้จะช่วยไขความกระจ่างเกี่ยวกับสิ่งของห้ามขึ้นเครื่องให้กับทุกคน เดินทางครั้งต่อไปจะได้เตรียมตัวกันให้พร้อม จะได้เช็กอินกันได้ลื่นปรื้ดไม่มีสะดุด เดินทางได้สมูธตลอดทั้งทริป

มาจัดกระเป๋าเดินทางกัน check list พกของไปให้ครบไม่มีขาด

หากพูดถึงเรื่องไปเที่ยว ไม่ว่าใครก็อยากจะไปกันทั้งนั้น แต่ก่อนที่จะไปเที่ยวได้ ก็ต้องจัดกระเป๋าไปเที่ยวกันก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆ คนน่าจะไม่ชอบกัน เพราะว่าขี้เกียจ ไม่รู้จะเริ่มต้นจัดกระเป๋ายังไง ยังไม่รวมที่คิดไม่ออกว่าควรหยิบอะไรไปบ้างดี ถ้าหยิบไปแล้วจะได้ใช้ไหม หรือจะลืมอะไรไปบ้างหรือเปล่า ดังนั้น การจัดกระเป๋าไปเที่ยวตาม Checklist กระเป๋าเดินทาง จึงถือว่าเป็นทางออกที่สามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ โดย Checklist กระเป๋าเดินทางที่ AIRPORTELs นำมาฝากในบทความนี้จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย!

วิธีจัดกระเป๋าเดินทางให้ครบ
Checklist ช่วยจัดกระเป๋าเดินทาง

Checklist กระเป๋าเดินทางจาก AIRPORTELs

การจัดกระเป๋าไปเที่ยวนั้นควรเริ่มจากการแบ่งหมวดสิ่งของก่อนว่ามีหมวดหมู่อะไรบ้าง เพื่อที่จะได้จัดลำดับความสำคัญของสิ่งของว่าควรจะเริ่มต้นหยิบอะไรใส่กระเป๋าก่อนดี และถ้าหากกระเป๋าเต็มจะได้ตัดสิ่งของที่มีความจำเป็นน้อยที่สุดออกไปได้ โดย Checklist กระเป๋าเดินทางที่ AIRPORTELs ลิสต์มาให้นั้น สามารถแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 หมวดหมู่ ได้แก่ ของใช้จำเป็น ปัจจัย 4 และของเบ็ดเตล็ด โดยแต่ละหมวดหมู่มีรายละเอียด ดังนี้

ของใช้จำเป็นที่ต้องมีในกระเป๋าเดินทาง มีอะไรบ้าง

“ของใช้ที่จำเป็น” เป็น Checklist กระเป๋าเดินทางหมวดหมู่แรกที่ควรให้ความสำคัญในการจัดกระเป๋าไปเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งของเหล่านี้จำเป็นต่อการไปเที่ยวและการใช้ชีวิต หากลืมหรือขาดหายไป อาจส่งผลให้เกิดปัญหาตามมาได้อย่างแน่นอน โดยสิ่งของที่ไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาด มีดังนี้

หนังสือเดินทาง

หนังสือเดินทาง ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่จะแสดงและยืนยันตัวตนของเราได้ หากลืมอาจทำให้ไม่สามารถออกนอกประเทศหรือไม่สามารถเข้าประเทศปลายทางได้ ดังนั้น จึงไม่ควรลืม ควรพกติดตัวไว้เสมอและควรเก็บรักษาไว้ให้ดีที่สุด

Boarding Pass หรือหลักฐานการจองไฟล์ทของสายการบิน

Boarding Pass เป็นหลักฐานในการจองไฟล์ทของสายการบิน ว่าเราจองไว้ในชื่อเราจริงไหม จองไว้วันที่เท่าไร เดินทางเวลาไหน และเดินทางกับสายการบินอะไร เพื่อที่จะได้ทำการเช็กอิน ป้องกันการตกเครื่อง และเดินทางได้อย่างถูกต้อง

สำเนาของหนังสือเดินทางและหลักฐานการจองไฟล์ทของสายการบิน

ถึงแม้เราจะมีหนังสือเดินทาง และ Boarding Pass ตัวจริงอยู่ในมือแล้ว แต่การมีสำเนาสำรองไว้ประมาณ 1-2 ชุด จะช่วยให้เราอุ่นใจได้มากขึ้น เพราะอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ เช่น หนังสือเดินทาง หรือ Boarding Pass หาย หรือได้รับความเสียหาย จะได้มีสำเนาที่นำมาใช้แทนกันได้ 

เงินต่างประเทศ หรือเงินดอลล่าร์

ก่อนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ควรทำการแลกเงินเป็นสกุลเงินของประเทศที่เราจะไปเที่ยวเสียก่อน ในกรณีที่บางสถานที่รับแต่เงินสดเท่านั้น จะได้มีเงินสดไว้ใช้จ่าย และควรแลกไปในจำนวนที่เพียงพอ หรืออาจแลกเงินเป็นสกุลดอลลาร์เผื่อไว้ เพราะถ้าหากเงินที่แลกมาไม่พอ สามารถใช้เงินดอลลาร์แทนได้

Power Bank และสายชาร์จ อุปกรณ์ IT

Power Bank สายชาร์จ หรืออุปกรณ์ IT ต่างๆ รวมถึงอินเทอร์เน็ต เป็นสิ่งที่ควรเตรียมไว้ก่อนการเดินทาง เพราะการไปเที่ยวนั้นต้องใช้มือถือในการติดต่อสื่อสาร ถ่ายรูป หรืออัปเดตลงโซเชียลเป็นหลัก รวมถึงการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อหาข้อมูลต่างๆ ของสถานที่ท่องเที่ยว อินเทอร์เน็ตที่ดีทำให้ค้นหาได้รวดเร็ว ไม่ต้องหงุดหงิดเมื่อรอข้อมูล ส่วนแบตเตอรี่ที่ลดลงไปตามการใช้งานหรือหมดในระหว่างวัน หากมีแบตสำรองพกติดตัวไว้ก็นำมาชาร์จได้ตลอด ไม่ต้องกลัวแบตหมด

อแดปเตอร์แปลงไฟตามประเทศปลายทาง

หัวปลั๊กไฟในแต่ละประเทศนั้นมีลักษณะไม่เหมือนกันและมีกระแสไฟที่ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่าง เช่น

  • ประเทศญี่ปุ่น ใช้ปลั๊ก Type A และ B ที่มีกำลังไฟ 100V 50Hz
  • ประเทศเกาหลีใต้ ใช้ปลั๊ก Type C และ F ที่มีกำลังไฟ 110V/220V 60Hz
  • ประเทศสิงคโปร์ ใช้ปลั๊ก Type C, G และ M ที่มีกำลังไฟ 230V 50Hz
  • ประเทศไต้หวัน ใช้ปลั๊ก Type A และ B ที่มีกำลังไฟ 110V 60Hz
  • ประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้ปลั๊ก Type A และ B ที่มีกำลังไฟ 120V 60Hz 
  • ประเทศอังกฤษ ใช้ปลั๊ก Type G ที่มีกำลังไฟ 230V 50Hz

ดังนั้น จึงควรเตรียมหัวปลั๊กแปลงไฟของแต่ละประเทศปลายทางด้วยทุกครั้ง หรืออาจจะใช้หัวปลั๊กแปลงไฟแบบ Universal ที่สามารถแปลงปลั๊กได้ทุกลักษณะ 

บัตรเครดิตกลุ่ม Visa หรือ MasterCard 

การพกบัตรเครดิตที่เป็น Visa หรือ Mastercard เป็นอีกสิ่งที่ควรพกติดตัวไว้เมื่อไปต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่มักจะรับเฉพาะ 2 กลุ่มนี้เท่านั้น เพราะมีบริการที่ครอบคลุมมากกว่าบัตรแบบอื่นๆ เช่น กดเงิน หรือรูดจ่ายด้วยบัตรได้ทันที เป็นต้น

อุปกรณ์การทำงาน ในกรณีที่เป็น Workation 

หากใครไปท่องเที่ยวแบบ Workation ต้องห้ามลืมจัดกระเป๋าไปเที่ยวพร้อมอุปกรณ์ในการทำงานให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ค เมาส์ คีย์บอร์ด ที่ชาร์จโน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่สำคัญต่อการทำงาน เพราะหากลืมสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจทำให้การทำงานไม่สะดวก แถมยังอาจหาซื้อใหม่ที่ต่างประเทศได้ยากอีกด้วย

กลุ่มปัจจัย 4 

“กลุ่มปัจจัย 4” เป็น Checklist กระเป๋าเดินทางหมวดหมู่ที่ 2 สำหรับการจัดกระเป๋าไปเที่ยวที่สำคัญรองลงมาจากของใช้จำเป็น เพราะถ้าหากลืม หรือทำหาย ยังสามารถหาซื้อใหม่ได้ โดยสิ่งของต่างๆ ในหมวดปัจจัย 4 ที่ควรจัดใส่ในกระเป๋าไปเที่ยว มีดังนี้

เสื้อผ้า กางเกง

การเลือกเสื้อผ้าและกางเกง ในการจัดกระเป๋าไปเที่ยว ควรดูก่อนว่าไปกี่วัน ไปสถานที่แบบไหนบ้าง และประเทศที่เราจะไปนั้นมีสภาพอากาศเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้คำนวณได้ถูกว่าควรจะเตรียมไปกี่ชุด และควรเลือกเสื้อผ้าแบบไหนไปให้เหมาะสมกับสถานที่และสภาพอากาศมากที่สุด

ชั้นใน

ชุดชั้นใน เป็นอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้เสื้อผ้า และกางเกง โดยการเตรียมชุดชั้นใน ให้คำนวณจากวันที่ไปเหมือนกับการเตรียมเสื้อผ้าว่าในหนึ่งวันเราจะต้องใส่กี่ตัว เพื่อที่จะได้เตรียมไปได้ถูก แต่ต้องเตรียมไปเผื่อมากกว่าที่คำนวณไว้ประมาณ 2-3 ชุด เผื่อเกิดกรณีฉุกเฉินจะได้มีใส่ และไม่ต้องกังวลว่าจะหาซื้อได้ที่ไหนบ้าง 

ชุดว่ายน้ำ

สำหรับใครที่มีแพลนเที่ยวทะเล ควรพกชุดว่ายน้ำไปด้วย หรือใครที่จองที่พักที่มีสระว่ายน้ำ และคิดว่าจะลงไปเล่นน้ำ อาจจะเตรียมชุดว่ายน้ำไปเผื่อด้วยได้ เพราะว่าในบางที่มีข้อกำหนดว่าจะต้องใส่ชุดว่ายน้ำลงเล่นน้ำเท่านั้น

รองเท้า-ถุงเท้า

รองเท้าและถุงเท้า เป็นอีกสิ่งที่ควรเตรียมให้ดี โดยอาจจะใส่รองเท้าผ้าใบไป พร้อมกับเตรียมรองเท้าแตะ และรองเท้าผ้าใบสำรองไปอีกอย่างละ 1 คู่ รวมถึงถุงเท้าที่ควรเตรียมไปให้พอดี หรือเตรียมไปเผื่อมากกว่าเดิมประมาณ 1-2 คู่  เผื่อเกิดอาการเจ็บเท้า ถุงเท้าขาด หรือเกิดกรณีฉุกเฉินจะได้มีรองเท้าและถุงเท้าเปลี่ยน

ยาสามัญ

ยาสามัญประจำบ้าน เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้ไอ ยาแก้แพ้ ยาแก้ปวดท้อง หรือยาแก้ท้องเสีย รวมถึงยาดม หรือยาแก้เมารถ เมาเรือ ก็ควรพกติดกระเป๋าไว้ เพราะว่าเวลาไปเที่ยว อาจจะต้องเจอกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เดินเยอะ กินอาหารหลากหลาย หรือขึ้น-ลงรถบ่อยๆ จนทำให้เกิดอาการป่วยต่างๆ เช่น ปวดหัว ปวดขา ปวดท้อง หรือเมารถตามมาได้ ทั้งนี้ ควรศึกษาก่อนด้วยว่าประเทศปลายทางนั้นมีข้อห้ามในการนำเข้ายาบางชนิดหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการนำเข้ายาผิดกฎหมาย

อาหารแห้ง อาหารฉุกเฉิน

อาหารแห้งหรืออาหารฉุกเฉิน เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำพริก น้ำจิ้ม หรืออาหารสำเร็จรูปอื่นๆ เป็นสิ่งที่หลายๆ คนนิยมใส่ไว้ในการจัดกระเป๋าไปเที่ยว เผื่อกลัวว่าอาหารที่ประเทศอื่นจะไม่ถูกปาก ทำให้กินได้ไม่เยอะหรือกินไม่อิ่ม จนทำให้เกิดอาการหิวตอนดึกนั่นเอง 

อาหารเสริม วิตามิน

สำหรับใครที่ต้องทานอาหารเสริมหรือวิตามินเป็นประจำ ควรแพ็กใส่กล่องหรือซองให้พอดีตามจำนวนเวลา และวันที่ไปเที่ยว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพกไปทั้งกระปุก แถมยังช่วยประหยัดพื้นที่และน้ำหนักของกระเป๋า ทั้งนี้ ควรศึกษาก่อนด้วยว่าประเทศปลายทางนั้นมีข้อห้ามในการนำเข้าอาหารเสริม หรือวิตามินบางชนิดหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการนำเข้ายาที่ผิดกฎหมาย

กลุ่มเบ็ดเตล็ด

Checklist กระเป๋าเดินทางสำหรับจัดกระเป๋าไปเที่ยวหมวดหมู่สุดท้าย คือ สิ่งของเบ็ดเตล็ด โดยหมวดหมู่นี้จะมีความสำคัญน้อยที่สุดในการจัดกระเป๋าไปเที่ยว เพราะว่าเป็นสิ่งของที่สามารถหาซื้อได้ง่าย หรือใช้ของอย่างอื่นทดแทนได้ เพื่อช่วยลดสัมภาระหรือน้ำหนักกระเป๋า โดยสิ่งของต่างๆ ในหมวดหมู่เบ็ดเตล็ด มีดังนี้

เครื่องสำอางค์ เครื่องประทินผิว

เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ เป็นสิ่งของที่สามารถหาซื้อได้ในต่างประเทศ โดยเราอาจจะพกไปแค่ชีตมาส์ก ครีมกันแดด แป้งฝุ่น ลิปสติกแท่งโปรด คอนซีลเลอร์ และที่เขียนคิ้ว ส่วนที่เหลือนั้นอาจจะไปซื้อต่างประเทศแทนได้ เพื่อประหยัดน้ำหนักกระเป๋า แถมยังได้ชอปปิงของใหม่อีกด้วย

เครื่องประดับ พร็อพถ่ายรูป

เครื่องประดับหรือพร็อพถ่ายรูป อย่างเช่น แว่นตา หมวก ต่างหู กระเป๋า หรือเครื่องประดับอื่นๆ อาจพกไปแค่เครื่องประดับชิ้นโปรดและกระเป๋าใบโปรดเท่านั้น เพื่อลดสัมภาระที่ไม่จำเป็นออกไป ประหยัดน้ำหนักกระเป๋า แล้วค่อยไปซื้อของใหม่ หรือไปเช่าที่หน้างานแทนได้

กล้องถ่ายรูป 

ถ้าหากไม่ได้ไปถ่ายรูปที่ต้องนำมาใช้งานหรือถ่ายแค่ลงโซเชียล อาจจะไม่จำเป็นที่ต้องพกกล้องถ่ายรูปไป และใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายแทน เพราะในปัจจุบันนั้นกล้องโทรศัพท์มือถือมีสเปกสูงเหมือนกับกล้องถ่ายรูป แถมยังไม่ต้องแบกให้เมื่อยอีกด้วย

ไฟฉาย เทียน ไฟแช็ก ไม้ขีดไฟ

ไฟฉาย เทียน ไฟแช็ก หรือไม้ขีดไฟ เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่นัก เพราะมีโอกาสที่จะได้ใช้น้อยมาก หรืออาจพกไปแค่ไฟฉายก็เพียงพอ แต่ถ้าหากพื้นกระเป๋าเต็มแล้ว สามารถตัดออกไปได้เช่นกัน

อื่น ๆ

สิ่งของอื่นๆ ที่สามารถหาซื้อได้ที่ปลายทางได้ง่าย ไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ หรือไม่มีความจำเป็น ควรตัดออกไปเลย เช่น ตุ๊กตา ผ้าห่ม ยากันยุง หรือของจิปาถะอื่นๆ เพื่อช่วยลดสัมภาระ และน้ำหนักกระเป๋าที่อาจเกินได้โดยที่ไม่จำเป็น

การจัดกระเป๋าเดินทาง

ทำ Checklist ช่วยจัดกระเป๋าเดินทางดีอย่างไร มีเทคนิคอะไรบ้าง ?

สำหรับข้อดีของการทำ Checklist กระเป๋าเดินทาง เพื่อช่วยจัดกระเป๋าไปเที่ยวให้ง่ายขึ้น มีดังนี้

  • ช่วยให้จัดกระเป๋าไปเที่ยวได้อย่างมีระเบียบ
  • สามารถตรวจสอบได้ง่ายว่าลืมอะไรหรือไม่
  • นำไปแต่สิ่งของที่มีความจำเป็น
  • ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าเตรียมของครบหรือเปล่า
  • ช่วยให้จัดกระเป๋าไปเที่ยวได้เร็วขึ้น เพราะรู้ว่าต้องหยิบอะไรบ้าง

โดยเทคนิคสำคัญในการทำ Checklist กระเป๋าเดินทาง มีอยู่ 2 เทคนิคด้วยกัน ได้แก่

  • การทำ Checklist 2 ฉบับ เพื่อเช็กของทั้งขาไปและขากลับ 
  • การทำ Checklist 2 แบบ สำหรับกระเป๋าเดินทางที่จะโหลดลงใต้เครื่องและกระเป๋าที่จะถือขึ้นเครื่อง เพื่อที่จะได้รู้ว่าควรใส่อะไรไว้ที่กระเป๋าไหน จะได้หาของได้ง่ายขึ้น 

การทำ Checklist กระเป๋าเดินทาง สามารถช่วยให้การจัดกระเป๋าไปเที่ยวนั้นเป็นเรื่องง่ายขึ้นได้ แถมยังช่วยให้จัดได้อย่างรวดเร็ว และสะดวกมากขึ้น เพราะรู้ว่าจะต้องใช้ของอะไรบ้าง และควรให้ความสำคัญกับสิ่งของในหมวดหมู่ไหนก่อน ที่สำคัญคือ ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบได้ว่าเราจัดของที่จำเป็นต้องใช้ครบหรือไม่ แล้วยังช่วยให้จัดกระเป๋าได้อย่างเป็นระเบียบมากขึ้